ไปเที่ยวคนเดียว แต่ที่พักเต็มจึงขอให้พนักงานช่วย ตกดึกรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ พอเปิดห้องอาบน้ำเข้าไปก็เจอกระถางธูป เกลือ และดอกไม้วางไว้! ระหว่างทำธุระส่วนตัวอยู่อีกห้อง ก็ได้ยินเสียงคนเดินออกมาจากห้องอาบน้ำเมื่อกี้! พอจะกลับห้องก็ดันเจอแขกไม่ได้รับเชิญ!

อังคารคลุมโปง RECAP

ไปเที่ยวคนเดียว แต่ที่พักเต็มจึงขอให้พนักงานช่วย ตกดึกรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ พอเปิดห้องอาบน้ำเข้าไปก็เจอกระถางธูป เกลือ และดอกไม้วางไว้! ระหว่างทำธุระส่วนตัวอยู่อีกห้อง ก็ได้ยินเสียงคนเดินออกมาจากห้องอาบน้ำเมื่อกี้! พอจะกลับห้องก็ดันเจอแขกไม่ได้รับเชิญ!

16 ส.ค. 2023

            ความหลอนกลับมาอีกครั้ง กับการโคจรมาพบกัน ระหว่าง ‘คืนพุธมุดผ้าห่ม’ และ ‘อังคารคลุมโปง X’ (8 สิงหาคม 2566) กับเรื่องหลอนของที่พักสุดสยอง จาก ‘ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ ที่ทำเอา ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และทีมงานต้องอึ้งกันทั้งสตู! กับเรื่องที่จะทำให้คุณต้องจำไว้ว่า ถ้าโรงแรมมันเต็ม ก็อย่าไปฝืน เพราะคุณอาจจะได้ห้องนอนที่เป็น ซุปเปอร์ VVIP ที่อาจลืมไม่ลง 

            วันหยุดที่ไทย ของบ้านเราส่วนใหญ่ มักจะไปหารีสอร์ท หรือโรงแรมเพื่อพักผ่อน แต่ถ้าใครเคยไปญี่ปุ่น เมื่อต้องไปเที่ยวตามต่างจังหวัด เราก็จะได้นอนเรียวกัง ดีเจเจ็มอธิบายเพิ่มว่าที่พักแบบเรียวกัง จะคล้ายกับห้องนอนของโนบิตะ มีเสื่อทาทามิ เมื่อเปิดเข้าไป ก็จะมีโต๊ะเล็ก ๆ วางอยู่ ไม่มีเตียง ไม่มีอะไร และจะมีคนดูแล คอยรับออเดอร์ ให้บรรยากาศแบบไปนอนบ้านญี่ปุ่นแท้ ๆ

            เรื่องนี้เกิดขึ้นกับผู้ชายคนหนึ่ง นามสมมุติ ‘โกฮัง’ ชายหนุ่มวัยทำงาน ที่ไม่มีครอบครัว ไม่มีแฟน ในช่วงวันหยุดยาวจึงตัดสินใจไปเที่ยวคนเดียว โกฮังไม่ได้วางแผนล่วงหน้าว่าจะเที่ยวในรูปแบบใด ไม่มีการจองอะไรทั้งสิ้น โกฮังคิดว่าทุกที่ที่มีสถานีรถไฟ จะต้องมีโรงแรมคู่กันอยู่แล้วจึงไม่คิดที่จะจองที่พักด้วย ในระหว่างนั้นโกฮังก็ออกท่องเที่ยวไปตามปกติ ทั้งขึ้นรถเมล์, รถบัส, รถไฟไปตามสถานีต่าง ๆ รู้ตัวอีกทีพระอาทิตย์ก็ตก ฟ้าเริ่มมืด โกฮังจึงถามร้านค้าแถวนั้น “ขอโทษนะครับแถวนี้มีที่พักบ้างไหมครับ” ทางร้านก็ตอบว่า “มี  ห่างออกไปจากตรงนี้ไม่มาก ให้เรียกรถแท็กซี่ให้ไหม หรือต้องการอะไรไหม” โกฮังก็ตอบกลับ “ ได้ครับ รบกวนด้วยนะครับ” จากนั้นรถแท็กซี่ก็พาโกฮังไปตามทางที่ร้านแนะนำ

            ขณะนั้นฟ้าก็เริ่มมืดลงเรื่อย ๆ โกฮังที่ไม่ได้จองอะไรล่วงหน้า เมื่อถึงที่พักก็รีบเข้าไปถาม “สวัสดีครับ ไม่ทราบวันนี้มีห้องว่างไหม” พนักงานก็ตอบกลับว่า “ขอโทษทีครับ วันนี้ห้องเต็ม ไม่มีว่างเลย วันหยุดด้วยแขกท่านอื่นมาจองล่วงหน้ากันหมดแล้ว” โกฮังก็ถามเพิ่มอีกว่า “ไม่มีเลยหรอครับ งั้นพอจะมีโรงแรมอื่นแนะนำได้ไหมครับ” พนักงานก็ตอบว่า “เอาจริงนะ แถวนี้ถ้าจะไปอีกโรงแรม ก็ห่างออกไปอีกสักประมาณเกือบ 50 กิโล” การเดินทาง 50 กิโลเมตรในตอนฟ้ามืด ก็จะลำบากมาก ไม่ใช่คนพื้นที่ด้วย โกฮังถามย้ำอีกครั้งว่า “ไม่มีเลยจริงๆ หรอครับ เป็นไปได้ไหมถ้าผมขอนอนตรงล็อบบี้ก็ได้ คุณจะคิดเงินผมตามเรทราคาเช่าห้องปกติเลยก็ได้” โกฮังคิดเพียงแค่ขอได้นอน ให้ผ่านพ้นคืนนี้ไปให้ได้ พนักงานดูแลที่พักก็ตอบโกฮัง “สักครู่ครับ เดี๋ยวขอปรึกษาเจ้าของเรียวกังก่อน” จากนั้นพนักงานหายไปสักพักหนึ่ง แล้วเดินกลับมาพร้อมคำตอบว่า “มันมีอยู่ห้องนึง แต่ห้องนี้มันไม่ได้อยู่ในตัวอาคาร” ส่วนใหญ่อาคารแยกจะเป็นห้องสำหรับ VIP หรือต้อนรับแขกแยกที่มาเป็นคณะเป็นกลุ่ม หรือบางกรณีก็คืออาจจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาไม่อยากใช้สถานที่ตรงนั้น “ถ้าเป็นตรงนั้นพอจะแนะนำได้ครับ แต่ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ ตรงนั้นจะมีแต่ห้องสุขา ไม่มีห้องอาบน้ำ” โกฮังรีบตอบตกลงทันที “ได้เลยครับ ได้เลย ไม่มีปัญหา ผมขอแค่ได้นอนก็พอ”

          หลังจากตกลงห้องพักกันเรียบร้อย พนักงานก็พาโกฮังเดินไปตามทาง ค่อยๆออกห่างจากตัวอาคารไปทางด้านหลังเรื่อย ๆ เส้นทางนี้ต้องเลาะไปตามทางแคบ ๆ  ในที่สุดก็เห็นห้องพักที่เหมือนบ้านอีกหลัง มีประตูทางเข้า มีโถงทางเดินยาวเข้าไป โกฮังค่อยๆเดินตามพนักงานไป จนถึงห้องพัก ในตอนนั้นที่เลื่อนเปิดประตูออก ก็เห็นว่าภายในห้องนี้มีสภาพปกติ ไม่ได้มีฝุ่นเยอะอย่างที่คิด มีเสื่อทาทามิ และตู้เย็นอุปกรณ์ต่างๆครบ ถือได้ว่าเป็นห้องที่สวย ดูดีพร้อมใช้เลย ไม่มีปัญหา ก่อนพนักงานจะออกจากห้องไปก็พูดว่า “ยังไงคืนนี้เดี๋ยวขออนุญาตแค่นี้ก่อนนะครับ ยังไงถ้ามีอะไรไปเรียกที่ล็อบบี้ได้เลยครับ พอดีห้องนี้โทรศัพท์ไม่สามารถใช้ได้” โกฮังถามพนักงานว่า “ขอโทษนะครับ ขอโทษครับ ตู้เย็นนี้ใช้ได้ใช่ไหมครับ พอดีเห็นมีตู้เย็น” พนักงานตอบกลับด้วยเสียงตะกุกตะกักว่า “อ๋อ เอ่อ ตู้เย็น ตู้เย็นเสียครับ” โกฮังไม่ได้คิดอะไรก็บอก “อ๋อไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากครับ” หลังจากนั้นพนักงานก็เดินออกไป

             โกฮังนั่งลงแล้วก็คิดว่าลืมถามรายละเอียดอีกตั้งหลายอย่าง เช่น เรื่องอาหาร ความสะดวก ของใช้ต่าง ๆ แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะระหว่างเดินทาง โกฮังได้เตรียมข้าวปั้นและน้ำใส่กระเป๋ามาจากบ้านอยู่แล้ว จึงหยิบขึ้นมากิน ระหว่างนั้นในห้องก็ได้ยินแต่เสียงนาฬิกาดัง แก๊ก แก๊ก แก๊ก โกฮังไม่ได้คิดอะไรมาก เมื่อกินอาหารเสร็จก็สำรวจห้องต่อ ก็เห็นมีโต๊ะหนึ่งตัวตั้งอยู่กลางห้อง มีตู้ที่เอาไว้ใส่ฟูก และมีตู้เย็นที่ใช้ไม่ได้ตั้งอยู่ สุดท้ายเป็นโต๊ะเครื่องแป้ง ที่หันหน้าตรงกับประตูพอดี ลักษณะของโต๊ะเครื่องแป้งนี้เป็นกระจกบานพับปิดอยู่ ระหว่างนั้นก็คิดว่า แล้วห้องสุขาอยู่ตรงไหน โกฮังจึงตัดสินใจเปิดประตูออกไป ก็พบความมืด แต่ในต้อนนั้นโกฮังยังไม่กล้าที่จะเดินเข้าไป จึงตัดสินใจที่จะอดทนไว้แล้วปิดประตู จากนั้นก็เข้าห้องเตรียมนอน เขาเปิดไฟหรี่ ๆ เอาไว้แล้วก็นอนลง แต่โกฮังก็นอนไม่หลับเพราะได้ยินเสียง ก๊อกๆ แก๊กๆ ของนาฬิกาอยู่ตลอดเวลา และเพราะอยากเข้าห้องน้ำด้วย จึงตัดสินใจกับตัวเอง  “เอาหละ ไปก็ได้ อึดใจเดียว” เขาลุกขึ้นและค่อย ๆ เลื่อนเปิดประตู มองซ้าย ขวา แต่ทุกอย่างเงียบสนิท โกฮังจึงไปตามทางที่มีป้ายลูกศรชี้ไปยังห้องน้ำ  เดินไปเรื่อย ๆ ก็เห็นประตูบานหนึ่ง ข้างๆประตูนี้มีประตูบานใหญ่ๆ ติดกันอีกหนึ่งบาน เรียวกังมองไปที่ประตูบานใหญ่และคิดว่าต้องใช่ห้องน้ำแน่ ๆ แต่ก็คิดในใจว่าทำไมพนักงานถึงบอกว่าไม่มี  หรือน้ำไม่ไหล จึงใช้ไม่ได้ โกฮังอยากรู้จึงค่อย ๆ เลื่อนประตูเปิดดู เสียงประตูก็ดังขึ้น แก๊ก แก๊ก แก๊ก เมื่อมองเข้าไปในห้องน้ำสักพักสายตาค่อย ๆ ปรับแสงทำให้โกฮังเห็นชัดมากยิ่งขึ้น ในห้องนั้นเป็นห้องอาบน้ำรวมใหญ่ๆ สวยงาม แต่กลางห้องมีโต๊ะเล็ก ๆ ตั้งอยู่ และมีกระถางธูป มีเกลือ พร้อมกับดอกไม้วางไว้!

            ทีนี้แหละ โกฮังเข้าใจชัดเจนแล้วว่าห้องอาบน้ำนี้ต้องมีอะไรแน่นอน เขาจึงค่อย ๆ เลื่อนประตู แก๊ก แก๊ก แก๊ก แก๊ก ปิดกลับไปตามเดิม แล้วเข้าห้องน้ำประตูเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างกัน เปิดไฟแล้วก็นั่งลงทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ เนื่องจากอดกลั้นอั้นมานาน ทำให้ใช้เวลานานกว่าปกติ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง แก๊ก แก๊ก แก๊ก แก๊ก แก๊ก เป็นเสียงประตูบานเมื่อกี้เลย แล้วตามด้วยเสียง ตึบ ตึบ ตึบ ค่อย ๆ เดินออกมาจากห้องน้ำ! โกฮังก็คิดในใจว่า “ใครวะ” เสียงเท้าเดินมาหยุดที่หน้าประตูบานเล็กที่โกฮังอยู่  โกฮังก็คิดว่า “เอายังไงดี” เอาหละยังไงก็ต้องธุระตัวเองให้เสร็จก่อน โกฮังกลั้นหายใจซึ่งก็ไม่รู้ว่าต้องกลั้นทำไม แต่ก็กลั้นหายใจ แล้วทำธุระต่อไป เสียงเท้านั้นก็ยังดังอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ค่อยๆไกลออกไป ไกลออกไป โกฮังรู้สึกโล่งอกแต่ก็ยังมีความสงสัยอยู่ “เมื่อกี้ก็เปิดเช็คแล้วว่าห้องก็ว่าง ไม่มีใคร จะเป็นไปได้อย่างไร หรือว่าจะเป็นพนักงานที่อยู่อีกตึกนึง แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะสุดทางนี้คือทางตัน” โกฮังคิดในหัวไปเรื่อย เมื่อโกฮังทำธุระเสร็จก็กดชักโครก ปิดไฟ ค่อย ๆ เลื่อนประตูให้เปิดออกแล้วส่องดู แต่ทางกลับไม่ได้มืดสนิทเพราะมีไฟจากห้องพักที่แง้มเอาไว้ โกฮังค่อย ๆ เดินกลับ มองซ้าย มองขวา  ไม่มีอะไร แต่เมื่อถึงหน้าห้องพัก ทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าที่นี่เหมือนจะมีห้องพักแค่ห้องเดียว เพราะจากทางที่เดินกลับมา ทางด้านขวาเขาไม่เจอประตูอะไรเลย  ตรงไปเรื่อย ๆ ก็จะเป็นทางออกแล้ว มีเพียงด้านซ้ายที่มีประตู แล้วเขาไม่ได้ยินเสียงจากประตูด้านซ้ายที่เปิดออกไป แสดงว่าคนเมื่อกี้ที่เดินผ่านโกฮังไป ถ้าไม่ได้เห็นจากทางเดิน แสดงว่ามันมีอยู่ที่เดียวที่เขาจะอยู่ นั่นก็คือห้องพักของโกฮัง!

            โกฮังยังไม่ได้ตัดสินใจเข้าห้องพัก แม้จะมองเข้าไปแล้วเห็นว่าของยังวางไว้ปกติ ตู้ทุกอย่างก็ปิดสนิท โกฮังยังคิดในใจว่า “แต่ถ้าเราเข้าไปแล้วมีอะไรออกมาจากตู้ จะทำอย่างไงดีหรือเรากลับไปที่ล็อบบี้ตอนนี้ดี” เมื่อคิดได้ดังนั้น ก็มีเสียงดังขึ้น แก๊ก แอ๊ดดดดดด มันมาจากโต๊ะเครื่องแป้งที่มันอยู่ตรงกับประตูพอดี! แล้วโกฮังก็มองเข้าไปในห้อง ก็เห็นโต๊ะเครื่องแป้งค่อย ๆ แอ๊ดดดด เปิดออกมา! ทำให้โกฮังเห็นตัวเองสะท้อนอยู่ในกระจกบานกลาง แต่สองบานข้าง ๆ ค่อย ๆ เปิดออก แอ๊ดดดดดด จากนั้นก็เห็นมุมอื่น ๆ ภายในห้องนอน พอกระจกเปิดจนสุด ทำให้โกฮังต้องร้องออกมาด้วยความตกใจ! เพราะสิ่งที่เขาเห็นผ่านกระจกมันสะท้อนให้เห็นตรงประตูมุมลึกเข้าไป เป็นผู้หญิงคนนึง ยืนเอาหัวชิดประตูอยู่! ถ้าโกฮังตัดสินใจก้าวขาเดินเข้าไปในห้องแม้แต่ก้าวเดียว เขาจะได้เห็นผู้หญิงคนนี้อย่างเต็ม ๆ ใกล้ ๆอย่างแนบชิดเลย ลักษณะของผู้หญิงคนนั้นคือ ยืนอยู่อย่างตัวเปียก ๆ คือมองแล้วรู้เลยว่าไม่ใช่ สิ่งที่อยู่บนโลกนี้แน่ ๆ ในตอนนั้นโกฮัง ทิ้งของทุกอย่างแล้ววิ่งออกไปทันที!

            เมื่อถึงล็อบบี้ โกฮังก็รีบแจ้งพนักงาน “ผมนอนไม่ได้แล้ว” โกฮังเล่าเรื่องที่เจอให้พนักงานฟัง พนักงานจึงรีบขอโทษ  “ไม่น่าเลย ขอโทษด้วยครับ” แต่ทางเรียวกังก็ไม่ได้ผิดเพราะลูกค้าเป็นฝ่ายเรียกร้อง พนักงานก็ไม่ได้บอกว่าที่นั้นมีอะไร หรือเกิดอะไรขึ้น สิ่งเดียวที่โกฮังรับรู้คือกว่าจะได้กลับไปเอาของที่อยู่ในห้องนั้น เขาและพนักงานรอจน แล้วค่อยเดินกลับไปเอาของ

            ท้ายที่สุด โกฮังก็ถามพนักงานอีกครั้งว่า “ห้องนั้นเกิดอะไรขึ้น”  พนักงานก็บอกเพียงว่า “ที่เขาไม่ค่อยเล่ากัน จริงๆเป็นเพราะมันจะเกี่ยวข้องกับคดีก็เยอะเหมือนกัน” ต้นกล้าเสริมว่าถ้าคนฟังที่เป็นคนญี่ปุ่นเขาจะสันนิษฐานกัน ว่า ด้วยความที่เป็นอาคารแยก เท่ากับว่าต้องเป็นทริปส่วนตัว ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคู่รักมาด้วยกัน หรือสามีที่พาบ่านเล็กบ้านน้อยมา อาจเกิดการทะเลาะหึงหวงกัน จึงอาจเกิดเหตุต่าง ๆ ขึ้น

            ส่วนเรื่องความเชื่อนั้น ประเทศญี่ปุ่นจะมีความเชื่อว่า เกลือ และ เหล้าขาว ถือว่าเป็นสิ่งบริสุทธิ์ และเชื่อกันว่ามันจะชำระล้างอะไรที่มันชั่วร้ายออกไปได้

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ข้อห้ามเพียงอย่างเดียวของร้านอิซากายะแห่งนี้คือห้ามรับโทรศัพท์ แต่ด้วยความอยากรู้เลยรับสาย แต่กลับไม่ได้ยินเสียงอะไร ลองอีกรอบสอง ปลายสายพูดกลับมาว่า ผมอยู่ข้างหลัง.. หันมามองผมหน่อย!! ตกใจหลอนจนไม่กล้าไปทำงานอีก !

28 เม.ย. 2024

ข้อห้ามเพียงอย่างเดียวของร้านอิซากายะแห่งนี้คือห้ามรับโทรศัพท์ แต่ด้วยความอยากรู้เลยรับสาย แต่กลับไม่ได้ยินเสียงอะไร ลองอีกรอบสอง ปลายสายพูดกลับมาว่า ผมอยู่ข้างหลัง.. หันมามองผมหน่อย!! ตกใจหลอนจนไม่กล้าไปทำงานอีก !

เรื่องนี้ ‘คุณต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ ได้นำเรื่องเล่าสุดหลอนจากประเทศญี่ปุ่น มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 เมษายน 2567) ขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เวลาเดิม’เป็นเรื่องราวของเด็กพาร์ทไทม์ที่อยากจะลองดีจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! ต้นกล้าเล่าว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของผู้ชายชาวญี่ปุ่น ให้ชื่อสมมุติว่า ‘อาคิยะ’ ตัวเขานั้นกำลังหางานพาร์ทไทม์ จึงถามกับเพื่อนว่า “มีที่ไหน แนะนำบ้างไหม?” เพื่อนตอบว่า “ตอนนี้ไม่มีเลยว่ะ” แต่อาคิยะนึกขึ้นได้ว่า เพื่อนของตนทำงานอยู่ที่ร้านอิซากายะแห่งหนึ่ง จึงถามเพื่อนว่า “แล้วที่ทำอยู่ไม่รับเพิ่มแล้วหรอ” เพื่อนรีบตอบปัดเสียงแข็งกลับมาว่า “กูออกมาแล้ว” อาคิยะเกิดความสงสัยจึงถามต่อว่า “ทำไมถึงออกล่ะ?” แต่เพื่อนกลับแสดงท่าทีมีพิรุธแปลก ๆ ตอบเพียงว่า “เรื่องของกู กูอยากออก” อาคิยะจึงขอว่า “ถ้ามึงไม่ทำแล้ว.. กูขอได้ไหม เพราะตอนที่มึงทำอยู่ เจ้าของร้านก็ดูใจดี มีข้าวให้กิน มีเวลาให้พัก” ครั้งนี้เพื่อนกลับดูมีพิรุธกว่าเดิม และยังเตือนอีกว่า “อย่าเลย มันเดินทางลำบากน่ะ” อาคิยะจึงตอบปัดขำ ๆ ไปว่า “เดินทางลำบากมันเรื่องของกู ไม่เกี่ยวกับมึงไง มีอะไรก็แนะนำมาเถอะ อย่ามากั๊กกัน” สุดท้ายเพื่อนก็ยอมบอก หลังจากได้ข้อมูลร้านมา อาคิยะก็ทำการติดต่อร้านอิซากายะแห่งนั้นไป เมื่อถึงวันสมัครสัมภาษณ์งาน อาคิยะก็เตรียมความพร้อม ทั้งเรซูเม่และเอกสารทุกอย่างไปครบ แต่ยังไม่ทันได้ตอบสัมภาษณ์ทุกคำถาม ทางหัวหน้าก็ถามกลับมาทันทีว่า “เริ่มทำงานได้วันไหน วันนี้เลยไหม พร้อมทำงานหรือยัง?” อาคิยะตั้งตัวไม่ทัน แต่ก็ตอบกลับไปว่า “เริ่มวันนี้เลยก็ได้ครับ” หลังจากนั้นก็ถูกส่งต่อให้รุ่นพี่สอนงาน เมื่ออาคิยะเข้าใจหน้าที่ทุกอย่าง ก่อนที่จะแยกย้าย พี่ที่ร้านก็กำชับบางอย่างว่า “พี่ลืมบอกไป ร้านเราน่ะ ถ้ามีโทรศัพท์โทรเข้ามา ไม่ต้องรับนะ เพราะว่าคนชอบคิดว่าร้านอิซากายะเรามีเดลิเวอรี ก็เลยชอบโทรมา ถ้าจะรับก็แค่ช่วงกลางวันแล้วกัน ตอนนั้นจะมีคนโทรมาส่งของ แต่หลังช่วงเย็นมันไม่มี ไม่ต้องรับนะ” หลังจากนั้นอาคิยะก็เริ่มทำงาน เขาทำงานกะดึก ซึ่งการทำงานก็ดูเหมือนว่าจะปกติทั่วไป แต่กลับมีบางอย่างแปลก ๆ อาคิยะสังเกตได้ว่า ร้านอิซากายะแห่งนี้ มีพนักงานช่วงกะดึกเพียงแค่ 2 คน คืออาคิยะและรุ่นพี่ ทั้งที่ตอนกลางคืนที่ร้านค่อนข้างยุ่ง แต่กลับไม่มีพนักงานคนอื่นอยู่เลย ส่วนหัวหน้าก็จะแอบหนีกลับไปก่อนทุกครั้ง เขาจึงถามกับหัวหน้าและก็ได้คำตอบว่า “ตอนนี้ญี่ปุ่นกำลังขาดแคลนแรงงาน แต่เดี๋ยวหัวหน้าให้เงินเดือนเพิ่ม” สุดท้ายอาคิยะก็ต้องทำงานต่อไป นอกจากนี้ยังมีเรื่องแปลก ๆ เกี่ยวกับโทรศัพท์ อย่างที่หัวหน้าเคยบอกว่า ทุกวันที่ร้านจะมีสายโทรศัพท์โทรเข้ามาเวลาเดิม เป็นช่วงเวลาหลังปิดร้านพอดี และตอนที่ตัวเขาเองกำลังจะกลับบ้าน อาคิยะก็ท่องจำไว้เสมอกับคำที่หัวหน้าเคยบอกว่า “ไม่ต้องรับสายนะ” อาคิยะก็ไม่เคยรับโทรศัพท์เลย จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง ระหว่างที่อาคิยะกำลังเก็บของอยู่คนเดียว เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น อะไรดลใจก็ไม่ทราบได้ อาคิยะยกหูรับสายทันที เสียงจากปลายสาย เป็นเสียงคล้ายคนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งเขาเองไม่สามารถจับใจความได้ อาคิยะก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าคงโทรผิด จึงเลือกที่จะวางสายไป ช่วงเย็นของอีกวัน ขณะที่รุ่นพี่กำลังยืนล้างจานอยู่ อาคิยะก็เล่าเหตุการณ์ที่เจอให้รุ่นพี่ฟังว่า “เมื่อวาน.. ผมน่ะ รับสายโทรศัพท์ที่มันดังในร้านทุกวัน” หลังอาคิยะพูดจบ รุ่นพี่ก็เผลอปล่อยจานจนหล่นแตก แล้วถามกลับว่า “แล้วมึงได้ฟังไหม ได้ยินที่เขาพูดหรือเปล่า?” อาคิยะตอบว่า “ได้ยินนะครับพี่ แต่เขาพูดไม่รู้เรื่อง” รุ่นพี่บอกต่อว่า “อ๋อ เออดีแล้ว แต่วันหลังไม่ต้องรับนะ” แต่อาคิยะจับพิรุธได้ว่า รุ่นพี่มีอาการแปลก ๆ จนเขาตั้งข้อสงสัยขึ้นมาว่า นี่คงเป็น ‘โทรศัพท์ผีสิง’ มันจะต้องมีเรื่องราวลึกลับบางอย่างกับสายโทรศัพท์นี้แน่นอน อาคิยะจึงเริ่มวางแผน แกล้งทำงานช้า ๆ ปล่อยให้รุ่นพี่กลับบ้านไปก่อน เขาจะได้อยู่ร้านเพียงคนเดียว ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน จากนั้นเขาจึงมานั่งรอสายโทรศัพท์ เมื่อใกล้ถึงเวลา โทรศัพท์ก็ดัง กริ๊งงงง… ตรงตามเวลาเป๊ะ อาคิยะหัวใจเต้นแรง ตึกตัก.. ตึกตัก เมื่อยกหูรับสาย “สวัสดีครับ..” ก็ไร้การตอบกลับจากเสียงปลายสายเหมือนเดิม ได้ยินเพียงเสียงคนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่สามารถเข้าใจได้ เมื่อเขากำลังจะวางสายลง เสียงก็เริ่มชัดเจนขึ้นจนได้ยินว่า “ผมอยู่ข้างหลัง ผมอยู่ข้างหลัง ผมอยู่ข้างหลัง.. หันมามองผมหน่อย ผมอยู่ข้างหลัง” ปลายสายพูดย้ำหลายครั้ง และเป็นจังหวะเดียวกับที่อาคิยะกำลังจะเหลือบไปมองข้างหลัง เขาสัมผัสได้ทันทีว่า มีคนหรืออะไรบางอย่างยืนอยู่ข้างหลังเขาจริง ๆ ! อากิยะรีบวางโทรศัพท์ แล้ววิ่งกลับบ้านทันที ! โดยที่ไม่มาทำงานอีกเลย เวลาผ่านไปจนกระทั่ง อากิยะได้เจอเพื่อนที่แนะนำร้านอิซากายะแห่งนี้ให้ เพื่อนก็ถามว่า “เป็นยังไงล่ะมึง” อาคิยะบอกว่า “แล้วทำไม ไม่บอกตั้งแต่แรกว่าที่ร้านมีผี” เพื่อนก็อธิบายให้ฟังว่า “ถึงบอกไป มึงก็ไม่เชื่อ กลัวโดนหาว่าโกหกอีก แต่สิ่งที่มึงสัมผัสตอนนั้น คือของแท้หมดเลย มึงคงเจอผีจริงๆ” เพื่อนเล่าให้ฟังว่า ที่ร้านเคยมีพนักงานคนหนึ่ง เป็นคนที่ขยันทำงาน และทุ่มเทให้กับงานมาก แต่ทุ่มเทเท่าไหร่ก็เหมือนจะไม่พอ เกิดความกดดัน จนท้ายที่สุดก็จบชีวิตตัวเอง คิดว่าสาเหตุเป็นเพราะเครียดเรื่องงาน ซึ่งหลังจากพนักงานคนนี้ได้จากไป ทุกวันเวลาเดิมก็จะมีเสียงโทรศัพท์โทรเข้ามาเสมอ เพื่อที่จะบอกใครสักคนว่า “ผมอยู่ข้างหลัง.. หันมากลับมาดูหน่อย.. ผมที่กำลังตั้งใจทำงานอยู่..” ซึ่งคนที่พนักงานคนนั้นพยายามที่จะโทรหา ก็คือ ‘หัวหน้า’ นั่นเอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เจอดีทั้งบ้าน! เมื่อเข้าพักโรงแรมดังในห้องหมายเลข 329

21 ส.ค. 2023

เจอดีทั้งบ้าน! เมื่อเข้าพักโรงแรมดังในห้องหมายเลข 329

‘ตั้ม The Shock’ กลับมาเล่าเรื่องหลอนในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (15 สิงหาคม 2566) ได้ฟังอีกครั้ง กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ห้อง 329’ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากคดีจริงเมื่อปี 2550 เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ปิดไฟแล้วไปอ่านเลย! เรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากคดีฆาตกรรมเมื่อปี 2550 ที่จ.นครราชสีมา มีแม่บ้านจากโรงแรมแห่งหนึ่ง ได้ขึ้นไปทำความสะอาดห้องพักที่ชั้น 3 หมายเลขห้อง 329 เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็ถึงกับต้องผงะ เพราะกลิ่นเหม็นสาบคาวเลือดพุ่งกระแทกจมูกเข้าอย่างจัง แถมยังลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งชั้น 3 อีกด้วย แม่บ้านจึงแจ้งเจ้าหน้าที่โรงแรม และติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจรวมทั้งหน่วยกู้ภัย เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงก็ตรวจสอบพบว่า มีคราบเลือด คราบน้ำเหลืองอยู่บนเพดานห้อง กู้ภัยจึงเปิดฝ้าเพดานและได้เจอกับศพผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้งร่างมีคราบน้ำเหลืองและเลือดไหลปะปนกัน ยิ่งเข้าไปใกล้ ๆ ก็ยิ่งส่งกลิ่นให้แรงทวีคูณ เจ้าหน้าที่จึงทำการเคลื่อนย้ายร่างผู้ตายเพื่อส่งไปชันสูตรหาตัวตนและสาเหตุการตายต่อไป ตัดภาพมาที่ ‘คุณโก้’ เจ้าของเรื่องหลอนในครั้งนี้ คุณโก้เป็นคนเชียงใหม่ มีธุรกิจอยู่ที่โคราช ทำให้ต้องไป ๆ มา ๆ ระหว่าง 2 จังหวัดนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่หลังจากเจอวิกฤตโควิด-19 คุณโก้ก็ไม่ได้เดินทางมาที่โคราชเป็นเวลากว่า 3 ปี หลังจากนั้น สถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย คุณโก้จึงเดินทางไปที่โคราชอีกครั้ง ในครั้งนี้มีครอบครัวที่ประกอบไปด้วย คุณแจง (นามสมมุติ) ผู้เป็นภรรยาและ น้องจอย (นามสมมุติ) ลูกไปด้วย เมื่อถึงวันเดินทาง คุณโก้ก็ได้มาพักที่โรงแรมแห่งนี้ เป็นห้องชั้น 3 หมายเลข 329 ซึ่งปกติแล้วคุณโก้ก็เคยมาพักที่นี่ แต่ก็ได้ห้องชั้นอื่นตลอด คุณโก้เช็คอินเข้าห้องพัก กระเป๋าและสัมภาระก็ถูกขนขึ้นไปไว้บนห้อง ระหว่างนั้นครอบครัวคุณโก้ก็ออกไปรับประทานอาหารร้านประจำซึ่งมีพนักงานเสิร์ฟสาวที่รู้จักคุ้นหน้าคุ้นตากันดี เธอกล่าวทักทายคุณโก้ “สวัสดีค่ะคุณโก้ มาเที่ยวเหมือนเดิมเหรอคะ? แล้วพักที่ไหนคะ?” คุณโก้บอกชื่อโรงแรมไป แล้วเธอก็ถามต่ออีกว่า “แล้ว.. ห้องไหนคะ?” คุณโก้ก็ตอบไปตามปกติว่า “เมื่อก่อนได้ห้องชั้น 1 บ้าง ชั้น 2 บ้าง แต่รอบนี้ได้ห้อง 329 เหมือนจะเลขสวยด้วยน้า” เด็กเสิร์ฟที่กำลังตักข่าวอยู่ก็หยุดชะงัก จากนั้นก็เดินหนีออกไปโดยที่ไม่พูดอะไรเลย! คุณโก้ได้แต่สงสัยว่าทำไมเธอจึงเดินหนีออกไปแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย ครอบครัวของคุณโก้ก็กลับมาที่โรงแรม เมื่อถึงโรงแรม คุณแจงและน้องจอยโก้ก็ขึ้นไปบนห้อง ส่วนคุณโก้นั้นลงมาซื้อขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มเผื่อหิวกลางดึก ในระหว่างนั้น น้องจอยก็เข้าไปแปรงฟันในห้องน้ำ สักพักก็เดินออกมาแล้วบอกว่า “แม่ มีผู้หญิงอยู่ในห้องน้ำ” คุณแจงบอกกับลูกว่า “ไม่มีหรอกลูก ผู้หญิงที่ไหน เราอยู่กันสองคน” น้องจอยก็ยืนยันว่ามีจริง คุณแจงคิดว่าน้องจอยไม่ได้โกหกแต่อาจจะเป็นจินตนาการของน้องจอยที่คิดไปเอง “งั้นพาแม่ไปดูหน่อยสิ้” น้องจอยก็พาคุณแจงเดินเข้าไปในห้องน้ำ แต่คุณแจงก็ไม่เจออะไร จึงถามน้องจอยว่าเจอผู้หญิงตรงไหน น้องจอยก็ชี้ไปที่อ่างน้ำ แต่ในเมื่อไม่เห็นอะไรผิดปกติ คุณแจงจึงพาน้องจอยออกมาเพื่อเตรียมตัวเข้านอน เป็นจังหวะเดียวกับที่คุณโก้กลับมาเข้าที่ห้องพอดี คุณโก้และคุณแจงนอนอยู่บนเตียงด้วยกัน ส่วนน้องจอยจะนอนอยู่บนเตียงเด็กที่เตรียมมาเองในตำแหน่งปลายเตียงของพ่อแม่ คุณโก้บอกให้คุณแจงและน้องจอยรีบนอน เพราะพรุ่งนี้หลังจากทำธุรเสร็จแล้ว จะพาไปเที่ยวสวนสัตว์ด้วยกัน ทุกคนดูกระตือรือร้นที่จะได้ไปเที่ยว คุณโก้จึงปิดไฟเหลือไว้เพียงแสงจากโทรทัศน์ หลังจากนอนไปได้สักพัก คุณแจงที่มักจะนอนหงายอยู่ฝั่งขวา ก็เริ่มรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก รู้สึกอบอ้าวและร้อนไปหมดทั้งตัว แถมยังรู้สึกระคายเคืองที่คอ และยังได้ยินเสียงเหมือนคนสำลักออกมาด้วย คุณแจงตื่นขึ้นมาแต่ก็ขยับตัวไม่ได้ ทำได้เพียงชำเลืองหางตาไปทางขวามือที่คุณโก้นอนอยู่ ก็เห็นว่ามีผู้หญิงผมยาวนั่งก้มหน้าในมุมมืดข้างเตียง ลิ้นจุกอยู่ที่ปากส่งเสียงสำลักในคอมาเป็นระยะ! คุณแจงที่ยังขยับตัวไม่ได้ก็สังเกตเห็นอีกว่ามือของผู้หญิงคนนั้นเอือมมาบีบคอตัวเองอยู่! คุณแจงพยายามดิ้นและนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สักพักก็หลุดพ้น คุณแจงลุกขึ้นมานั่งแล้วสะกิดคุณโก้เสียงเบาเพราะกลัวว่าลูกจะตื่น คุณแจงบอกว่าตนนั้นโดนผีหลอก คุณโก้ปลอบใจและพยายามบอกว่าอาจจะเหนื่อยมากไปเพื่อให้คุณแจงใจเย็นลง หลังจากใช้เวลาสักพัก คุณแจงก็ยอมนอนต่อแต่โดยดี เมื่อคุณแจงหลับไป คุณโก้ที่ปกติแล้วชอบนอนตะแคงก็รู้สึกได้ว่าเหมือนมีคนมากอดจากข้างหลัง จึงคิดว่าอาจจะเป็นคุณแจง แต่มันแปลกตรงที่การกอดมันแน่นรุนแรงขึ้น และยังรู้สึกอีกว่าแขนที่มากอดมันหนักเกินกว่าจะเป็นแขนของภรรยาได้! จากนั้นก็เริ่มได้กลิ่นแปลก ๆ และรู้สึกว่าแขนนั้นมันเปียกชื้นแฉะ คุณโก้จึงหันไปมอง ก็เห็นเป็นผู้หญิงผมยาว ลิ้นจุกปาก น้ำเหลืองและน้ำเลือดไหลออกจากตา สำลักในลำคอของเธอก็ดังขึ้นเป็นระยะพร้อมกับสายตาน่ากลัวที่มองคุณโก้! คุณโก้ตกใจดิ้นหลุดจนตกลงมาซอกเตียง หลังจากควบคุมสติได้ก็มองขึ้นบนเตียงอีกที ทุกอย่างก็หายไป! คุณโก้ใช้มือยันพื้นหลังติดผนังแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน จังหวะนั้นก็ได้ยินเสียงกุกกักจากข้างบนฝ้าตามมาด้วยเสียงสำลักในลำคอดังขึ้นมาอีก! คุณโก้รู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ข้างบนนั้นมันกำลังจะร่วงลงมา จากนั้นฝ้าก็เผยอเปิดออก! คุณโก้รีบไปดึงตัวคุณแจงและน้องจอยออกจากห้องโดยที่ไม่พูดอะไรและทิ้งของทุกอย่างไว้ที่ห้องนั้น แล้วขับรถออกจากโรงแรมทันที! เมื่อมาถึงอีกโรงแรม คุณโก้ก็บอกน้องจอยแค่ว่า “พ่อนัดเพื่อนไว้ ลูกขึ้นไปนอนก่อนนะ” คุณแจงและน้องจอยก็ขึ้นไปบนห้อง คุณโก้นั่งอยู่ที่ฟร้อนโรงแรมเพื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จากนั้นก็เห็นป้อมยามของโรงแรม จึงไปเดินถามเพราะคิดว่าถ้าเป็นเรื่องผีจริง คนที่จะรู้มากที่สุดก็คงจะเป็นคนในพื้นที่ ก็เจอลุงคนหนึ่งนั่งอยู่ในป้อมยาม คุณโก้เล่าให้คุณลุงฟังว่าเจออะไรมาบ้าง พร้อมกับบอกชื่อโรงแรมที่เจอ คุณลุงถามกลับมาทันทีว่า “329 ใช่มั้ย?” คุณโก้พยักหน้าตอบ คุณลุงจึงเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น นั่นทำให้คุณโก้ตัดสินใจว่าหลังจากนี้ จะไม่มาพักที่โรงแรมต้นเรื่องอีก ต้นตอของคดีฆาตกรรมห้อง 329 คือมีผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมีสามีอยู่ที่กรุงเทพฯ ทำอาชีพเป็นพนักงานนวดแผนโบราณ และมีงานพิเศษเป็นสาวอาบอบนวด ทำให้มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาพัวพันด้วย ผู้ชายคนนี้ทำอาชีพเป็นช่างแอร์ เมื่อคบกันไปได้สักพัก ผู้ชายก็จับได้ว่าเธอมีสามีอยู่แล้ว ทั้งคู่นักมาเคลียร์ใจกันที่โรงแรมนี้ในห้อง 329 เมื่อตกลงกันไม่ได้ ฝ่ายชายเกิดบันดาลโทสะบีบคอฝ่ายหญิงจนเสียชีวิต ด้วยความที่เขาเป็นช่างแอร์ จึงนำศพของผู้หญิงอำพรางไว้ในช่องข้างฝ้าเพดานข้างบน จากนั้นก็ลงไปซื้อเครื่องดื่มขึ้นบนดื่มบนห้องอย่างใจเย็น จนกระทั่งถึงเช้าอีกวัน เขาก็เช็คเอาท์ออก หลังจากนั้น 3 วัน แม่บ้านก็เข้ามาทำความสะอาดในห้อง จากนั้นก็แจ้งเจ้าหน้าที่และพบศพอยู่ข้างบนฝ้าในห้อง..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เจอหลอน! เลี้ยงโต๊ะจีนผีที่สุสานใหญ่อยู่ดีๆ เครื่องเซ็นเซอร์ผีดังรัวๆ เลยเดินไปพูดว่า “สวัสดีครับ เป็นไงบ้าง อยากได้อะไรก็บอก”

22 ธ.ค. 2023

เจอหลอน! เลี้ยงโต๊ะจีนผีที่สุสานใหญ่อยู่ดีๆ เครื่องเซ็นเซอร์ผีดังรัวๆ เลยเดินไปพูดว่า “สวัสดีครับ เป็นไงบ้าง อยากได้อะไรก็บอก”

เมื่อต้องไปเลี้ยงโต๊ะจีนผีที่สุสานใหญ่ซึ่งเป็นธรรมเนียมประจำปีของ The Shock งานนี้จะเจออะไรหลอน ๆ บ้าง รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (19 ธ.ค 2566) วันนี้จะพาทุกคนหลอนไปกับ ‘ตั้น The Shock’ และ ดีเจทั้งสองท่าน ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวของคุณตั้นที่ได้พบเจอกับบางสิ่งบางอย่าง จะเป็นอย่างไรไปอ่านกันเลยยย เรื่องนี้ ‘คุณตั้น’ ได้เริ่มเล่าว่า ทางทีมงาน The Shock ได้เดินทางไปเลี้ยงโต๊ะจีนผี ซึ่งเป็นธรรมเนียมประจำปีของ The Shock ซึ่งปีนี้จะไปจัดกันที่สุสานจังหวัดราชบุรี เวลางานจะเริ่มตั้งแต่ 6 โมงเย็น จนถึง 3 ทุ่ม โดยปีนี้ ‘พี่ป๋อง The Shock’ นำทัพไปจัดโต๊ะหมู่ขึ้นที่สุสานใหญ่ มีอาหารบางส่วนและวงปี่พาทย์ เอาไปตั้งไว้ที่เก็บศพไร้ญาติ ตัวคุณตั้นตามไปทีหลัง ไปถึงประมาณ 2 ทุ่ม เป็นเวลาใกล้จบงาน ช่วงที่วงปี่พาทย์เล่นให้ผีฟัง ซึ่งตรงนั้นจะมีซองเก็บศพประมาณ 300 – 400 ซอง คุณตั้นก็เดินไปยืนตรงหน้าวงปี่พาทย์และซองเก็บศพ ซึ่งปกติธรรมเนียมของ The Shock ที่ทำกันมาเป็น 10 ปี คือ เวลาที่เลี้ยงผี ก็จะมีการนำใบตองมาวางและเอาแป้งมาโรยไว้ เพื่อเป็นการเก็บรอยเท้าว่าเขามาหรือเปล่า ซึ่งก็มีรอยเท้ามาจริง ๆ ในระหว่างที่ทุกคนยืนดูกันอยู่ ก็มีเสียงเครื่องเซ็นเซอร์ดังขึ้น “ตื้อดึง ตื้อดึง ตื้อดึง” ดังอยู่อย่างนี้โดยไม่มีเหตุผลอยู่ตัวเดียว ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นจึงเริ่มฮือฮาว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในระหว่างนั้น ด้วยความห่ามของคุณตั้น คุณตั้นได้เดินผ่านซองเก็บศพไป และในขณะที่เดินก็ได้พูดว่า “สวัสดีครับ อยากได้อะไรมาบอกเนาะ อยากได้อะไรก็มาเข้าฝัน แล้วก็มาพูดกับเราแล้วกัน” เมื่อคุณตั้นเดินไปถึง เครื่องจับเซ็นเซอร์ก็เงียบเสียงลง คุณตั้นก็พูดไปว่า “สวัสดีครับ เป็นไงบ้าง อยากได้อะไรก็บอก” แต่ถามด้วยความไม่ลบหลู่ ไม่ได้ท้าทาย แต่ระหว่างที่คุณตั้นเดินย้อนกลับมา ก็มองกวาดสายตาไปเรื่อย ๆ ก็ได้ไปสะดุดสายตาอยู่ที่ผู้ชายคนหนึ่ง เป็นร่างสีขาวในความมืด เขาเดินและหายไป คุณตั้นที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่คิดว่า ‘ตรงนั้นมีอะไร มีทีมงานเอาเครื่องเซ่นไปไว้หรือเปล่า’ เพราะตอนนี้งานก็ใกล้จะเลิกแล้ว คุณตั้นจึงเดินกลับมา คนอื่น ๆ รีบมาถามถามคุณตั้นว่า “มึงไม่กลัวหรอ” แต่คุณตั้นก็ไม่ได้คุยอะไร แต่พูดไปประโยคหนึ่ง คือ “ตรงนั้นมีอะไร เราจะได้ไปช่วยเก็บ” ทุกคนก็หันมาถามคุณตั้นว่า “พี่เห็นหรอ” คุณตั้นก็หันไปบอกว่า “ก็เห็นสิ ตรงนั้นน่ะ มีคนยืนอยู่” แล้วก็มีคนตอบกลับมาว่า “ไม่มีพี่ ไม่มีอะไรด้วย ตรงนั้นคือ เชิงตะกอนเผาศพของมูลนิธิ” คุณตั้นก็รู้ได้เลยว่า นั่นคือผี หลังจากที่ฟังจบ คุณตั้นก็เงียบไป ทุกคนก็กรูกันเข้ามาถามคุณตั้นว่า “พี่เห็นหรอ” หลังจากนั้นก็จะมีเหล่าคนที่มีเซ้นส์มาบอกว่า “เนี่ย ตรงนี้มี ตรงนี้น่ากลัวมาก รู้สึกว่ามี” คุณตั้นก็ได้การันตีว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นคือผีจริง ๆ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

คู่รักนักสะสมตาดีเจอตู้เสื้อผ้ามือสาม พอซื้อกลับมาก็เจอเหตุการณ์ชวนสยอง มีเสียงตะกุกตะกัก ประตูตู้เสื้อผ้าก็เปิด-ปิดเอง! แถมยังฉายภาพนองเลือดให้ดูสด ๆ เหมือนไปอยู่ในเหตุการณ์จริง!

13 พ.ย. 2023

คู่รักนักสะสมตาดีเจอตู้เสื้อผ้ามือสาม พอซื้อกลับมาก็เจอเหตุการณ์ชวนสยอง มีเสียงตะกุกตะกัก ประตูตู้เสื้อผ้าก็เปิด-ปิดเอง! แถมยังฉายภาพนองเลือดให้ดูสด ๆ เหมือนไปอยู่ในเหตุการณ์จริง!

‘อังคารคลุมโปง X’ (7 พฤศจิกายน 2566) ที่ผ่านมา อยู่กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เปิดไมค์ต้อนรับ ‘คุณต้น’ ที่นำเรื่องหลอนชวนเสียวสันหลังจากประสบการณ์การซื้อของมือสอง ที่มีของแถมชวนขนหัวลุกติดมาด้วย! ถ้าพร้อมแล้ว เปิดไฟให้สลัวแล้วไปอ่านกันเลย! คุณต้นเล่าว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับพี่ชายคนหนึ่ง นามสมมติว่า ‘พี่เอก’ ความหลอนถูกนำมาเล่าต่อ ๆ กันว่า พี่เอกชื่นชอบของเก่าและสะสมของมือสอง-มือสาม จนวันหนึ่งได้มีโอกาสไปเดินตลาดกับแฟน จู่ ๆ ก็สะดุดตาเข้ากับตู้ใบหนึ่ง ซึ่งเป็นตู้เสื้อผ้าเก่า ราวกับมีอะไรบางอย่างมาดึงดูด จึงหยุดเดินและไปดูตู้นี้ใกล้ ๆ พี่เอกเดินวนดูไปดูมาก็เกิดความรู้สึกอยากทราบราคาตู้ใบนี้ จึงเอ่ยปากถามกับคนขาย ปรากฏว่าตู้ใบนี้ราคาถูกมาก เพียงหกร้อยบาทเท่านั้น หากเทียบกับขนาดตู้ที่ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป เมื่อทราบราคา จึงตัดสินใจซื้อตู้ใบนี้ ท่าทีของแฟนเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เนื่องจากที่ห้องของทั้งคู่ก็ยังไม่มีตู้เสื้อผ้า หลังจากตกลงซื้อขายกันเรียบร้อย ทางร้านก็ให้คนมายกขึ้นรถ ทุกอย่างก็ยังดูปกติดี แต่ในระหว่างทางที่กำลังขับรถนั้น พี่เอกก็รู้สึกว่าท้ายรถหนักแปลก ๆ เหมือนมีหลายคนนั่งอยู่ท้ายรถ หนักกว่าที่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรยังคงขับมาจนถึงห้อง และก็คิดขึ้นมาได้ว่า ‘ถ้าหนักขนาดนี้ จะยกกับแฟนแค่สองคนไหวเหรอ’ แต่ก็คงจะทำอะไรไม่ได้ต้องลองยกดูก่อน ปรากฏว่าทุกอย่างก็ปกติดี ไม่ได้หนักเหมือนตอนที่อยู่ท้ายรถ หลังจากนั้นพี่เอกและแฟนก็นำเสื้อผ้ามาเรียงเก็บเข้าตู้ให้เรียบร้อย พร้อมกับพูดเชิงภาคภูมิใจที่ตนตาดีหาของที่สวยและราคาถูกได้อีกด้วย เช้าวันใหม่ ทั้งคู่ตื่นมาอาบน้ำไปทำงานปกติ แต่ช่วงเย็นหลังจากที่กลับมาจากทำงาน พี่เอกเปิดประตูเข้าไปในห้องก็รู้สึกว่าภายในห้องเหมือนมีร่องรอยถูกรื้อข้าวของ ตู้เสื้อผ้าก็เปิดทิ้งไว้ ทั้งคู่มองหน้ากันด้วยความสงสัย พี่เอกถามแฟนว่า “เมื่อเช้าเธอไม่ได้เก็บของก่อนออกไปเหรอ” แฟนจึงตอบกลับว่า “จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อเราก็ออกไปพร้อมกัน” ทั้งคู่จึงคิดว่าห้องอาจจะโดนงัด ทั้งคู่จึงพยายามเดินดูตามประตู หน้าต่างว่ามีร่องรอยอะไรหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีร่องรอยอะไรเลย แล้วจู่ ๆ เรื่องแปลกก็เกิดขึ้นอีก เพราะทั้งคู่รู้สึกเหมือนได้กลิ่นสาปเน่าเหม็นเหมือนกลิ่นคนตายอยู่ในห้อง! ทั้งคู่จึงพยายามเดินหาและเก็บของเข้าที่เดิม จนถึงเวลาประมาณสองทุ่ม ก็ยังไม่เจอต้นตอของกลิ่นนั้น ทั้งคู่จึงเข้านอนกันตามปกติเพราะว่าต้องไปทำงานต่อในตอนเช้า ระหว่างที่พี่เอกนอนอยู่ก็รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำจึงลุกขึ้น และจังหวะที่จะเปิดประตูปรากฏว่าพี่เอกลืมตามาดูกลับไม่ใช่ประตูห้องน้ำ แต่ดันเป็นประตูของตู้เสื้อผ้า! ซึ่งพี่เอกเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะเดินละเมอได้ขนาดนี้ เพราะตำแหน่งของห้องน้ำและตู้เสื้อผ้านั้นอยู่คนละทาง พอเห็นว่าเปิดประตูผิด จึงพยายามที่จะปิดประตูตู้แล้วไปเข้าห้องน้ำ แต่ประตูของตู้เสื้อผ้าไม่สามารถปิดได้ เหมือนมีคนยื่นอยู่แล้วใช้แขนมาค้ำไว้ พี่เอกพยายามดันประตูอยู่นาน จนคิดว่าจะปล่อยไว้แบบนี้แล้วไปเข้าห้องน้ำก่อน เมื่อเข้าห้องน้ำทำธุระจนเสร็จ ในตอนที่กำลังจะเดินก้าวขาออกจากห้องน้ำ ก็ได้ยินเสียงตู้เสื้อผ้าปิดดังปั้งงง!! พี่เอกถึงกับงงว่าจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะเมื่อสักครู่นี้พยายามปิดอยู่นานแต่ก็ปิดไม่ได้ จู่ ๆ เหมือนมีลมพัดก็ปิดได้เอง จากนั้นพี่เอกก็ล้มตัวนอนต่อ ขณะที่กำลังนอนอยู่นั้นก็รู้สึกถึงความผิดปกติที่อยู่ในตู้เหมือนมีเสียงไม้แขวนหรือเสียงอะไรบางอย่างตะกุกตะกักอยู่ในตู้ ในตอนแรกพี่เอกคิดว่าอาจจะเป็นหนู จึงตัดสินใจจะเดินไปเปิดดู แต่เมื่อเดินไปเปิดดูตู้ เสียงนั้นก็เงียบหายไป.. พี่เอกกลับมานอนต่อ ในขณะที่หลับ ก็ฝันว่าตัวเองไปนอนอยู่ข้างหน้าตู้เสื้อผ้า จากนั้นตู้ก็เปิดออกมาเอง พร้อมกับมีผู้หญิงคนหนึ่ง สวมชุดสีขาวค่อย ๆ ลอยออกมาจากตู้เสื้อผ้า ลอยมาจนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าอก แล้วก้มหน้ามามอง ตอนนั้นพี่เอกเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออกและกลัวมาก แต่ก็พยายามมองหน้าผู้หญิงคนนี้ว่าเป็นใคร จังหวะที่กำลังมอง ก็รู้สึกว่าเหมือนมีน้ำอะไรบางอย่างไหลลงมาโดนหน้า จึงค่อย ๆ เอามือลูบ ปรากฎว่าน้ำที่ไหลมาคือเลือดจากคอผู้หญิงคนนั้น! และได้เห็นว่าผู้หญิงคนนี้มีรอยตรงคอเหมือนเป็นรอยที่ถูกเฉือนด้วยของมีคมจนคอกับหัวเหมือนจะหลุดออกจากกัน! ผู้หญิงคนนี้ยังคงมองหน้าพี่เอกและชี้หน้าว่า “มึงฆ่ากู มึงฆ่ากู!!” ด้วยความตกใจกลัวพี่เอกพยายามที่จะนอนดิ้นไปดิ้นมาเพื่อให้ผู้หญิงคนนี้หลุดไปจากตัว สักพักพี่เอกก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา แต่สิ่งที่เห็นคือ มือของแฟนกำลังพาดมาตรงคอของตัวเอง แล้วอีกมือนึงของแฟนดันมีมีดอยู่ในมือ! ด้วยความตกใจกลัวจึงรีบเขย่าตัวแฟนให้ตื่น ส่วนแฟนเองก็ตกใจว่ามีมีดมาอยู่ในมือของเธอได้อย่างไร หลังจากที่เกิดเหตุการณ์แปลก ๆ ขึ้น ทั้งคู่กำลังนอนคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้น ก็มีเสียงตะกุกตะกักดังขึ้นอีกครั้ง แล้วก็กลายเป็นเสียงกรีดร้อง ในตอนแรกทั้งคู่คิดว่าหรือจะเป็นเสียงจากข้างนอกหรือเสียงจากห้องอื่น ขณะที่กำลังหาต้นตอของเสียงนั้น ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นออกมาอีกจากในตู้เสื้อผ้าอีก จากนั้นทั้งคู่เริ่มรู้สึกว่า ขยับตัวไม่ได้ ทำได้เพียงนอนนิ่งอยู่บนเตียง แล้วจู่ ๆ ตู้ใบนี้ก็เปิดออกเองพร้อมกับร่างผู้หญิงคนที่พี่เอกฝันเห็น กระเด็นออกมาจากในตู้! สักพักก็มีภาพแปลก ๆ ขึ้นมา เป็นร่างของผู้ชายคนหนึ่ง กำลังทำร้ายร่างกายผู้หญิงที่กระเด็นออกมาจากในตู้ จากนั้นผู้ชายก็เดินเข้าไปในครัวแล้วหยิบมีดขึ้นมา ส่วนผู้หญิงรีบวิ่งเข้าไปแย่งมีดจนมีดนั้นฟันโดนแขนของผู้ชาย แต่ก็ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ ยังคงแย่งมีดกันไปมา จนผู้ชายดึงมีดกลับมาได้ ด้วยความโมโหจึงใช้มีดปาดเข้าไปที่คอของผู้หญิงจนเลือดกระเด็นมาโดนทั้งคู่ที่นอนอยู่บนเตียง ฝ่ายชายหลังจากที่ปาดคอผู้หญิงเสร็จก็ได้หายตัวไปในทันที ผู้หญิงที่นอนจมกองเลือดอยู่ก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นมา แล้วหันหน้ามาชี้ที่พี่เอกแล้วพูดอีกว่า “มึงฆ่ากู มึงฆ่ากู!!” ทั้งคู่ที่นอนอยู่บนเตียงไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับเหตุการณ์นี้ จึงพยายามนอนหลับตา สวดมนต์ ภาวนาออกไปว่า “ไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่พวกเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้าพรุ่งนี้พวกเรารอดออกไปได้เดี๋ยวจะทำบุญไปให้” ในขณะที่หลับตาภาวนาอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงดังปั้งงง!! ประตูของตู้เสื้อผ้าปิดเองอีกครั้ง จากนั้นทั้งคู่ก็รู้สึกขยับตัวได้ปกติ เหมือนได้หลุดจากการถูกอำ แต่ในคืนนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้นอนอีกเลย รุ่งเช้าวันต่อมา ทั้งคู่คิดเห็นตรงกันว่าอยากจะรู้ที่มาที่ไปของตู้เสื้อผ้านี้ จึงหยุดงานและเดินทางไปที่ร้านขายตู้ เมื่อไปถึงร้าน เจ้าของก็ได้เล่าว่า ตู้นี้ถูกซื้อต่อมาอีกทีเหมือนกัน แต่ว่ายังมีเบอร์ติดต่อคนที่นำมาขายจึงลองโทรถามให้ ปรากฏว่าพอเจ้าของร้านโทรไปประมาณ 4-5 สายก็ยังไม่มีคนรับ จนสายที่ 6 เสียงปลายสายก็พูดออกมาว่า “อ๋อจะเอาเงินคืนเหรอ โอเคโอเคเดี๋ยวจะเอาเงินไปคืนให้ แต่ของไม่ต้องเอามาคืนนะ เอาไปเลย” จากนั้นปลายสายก็ตัดสายทิ้งไป สุดท้ายพอโทรกลับไปสืบสาวราวเรื่องจนได้รู้ว่า ตู้ใบนี้เดิมถูกใช้งานอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง และโรงแรมนี้ถูกปิดตัวลงไปในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตู้เสื้อผ้าตู้นี้จึงถูกขายต่อ ๆ กันมา ซึ่งมือแรกที่เป็นคนขายตู้ใบนี้เล่าว่า ในตอนนั้นมีคู่รักคู่หนึ่งไปเที่ยวด้วยกัน แล้วเกิดทะเลาะกันหนักมาก จากนั้นตอนเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมก็มีเพียงผู้ชายรีบออกไปแค่คนเดียว ยังไม่มีใครเห็นผู้หญิง ทางพนักงานต้อนรับพูดกันว่าผู้ชายที่ออกไปเหมือนคนเล่นของ ร่างกายเต็มไปด้วยรอยสักยันต์ จากนั้นทางแม่บ้านก็เข้าไปทำความสะอาดห้อง ถึงขั้นกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ เพราะเมื่อเปิดตู้เสื้อผ้าก็ไปเจอกับศพผู้หญิงคนถูกฆ่าปาดคอนอนตายอยู่ในตู้! หลังจากที่ได้รู้เรื่องราวของตู้ใบนี้แล้ว ทั้งคู่จึงขอให้เจ้าของร้านช่วยพาเอาตู้ไปหาหลวงพ่อเพื่อจะนำไปเผา ขณะที่กำลังขนย้าย ก็มีคนเห็นว่าตรงข้างล่างของตู้เหมือนมีเป็นเป็นเศษผ้ายันต์สีแดงติดอยู่ และมีกระจุกผมที่ถูกตัดออกมาแปะไว้ด้วย เมื่อหลวงพ่อเห็นตู้จึงพูดขึ้นมาว่า “เอาเขาไปแต่ตัว แล้วยังไม่ยอมให้วิญญาณเขาไปไหนอีก เขาก็ต้องติดอยู่แต่ในนี้แหละ” จากนั้นหลวงพ่อจึงช่วยทำพิธี นำตู้ไปเผาและสวดส่งวิญญาณให้ หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีกเลย...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1