อังคารคลุมโปง RECAP

อังคารคลุมโปง RECAP

กลายเป็นทริปทะเลทรายสุดหลอน เมื่อไกด์ทัวร์ไม่ยอมจองที่พักล่วงหน้าไว้ ทำให้ต้องไปนอนทับที่คนตายโดยไม่รู้ตัว และด้วยความชอบส่วนตัวจึงแต่งตัววาบหวิวออกมาถ่ายรูป จบที่คืนนั้นเกือบตาย! เพราะโดนหลอกแบบดับเบิ้ล!

22 พ.ค. 2023

       ‘คุณอ้วน รีเทิร์น’ ได้มาเยือนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (9 พฤษภาคม 2566) เพื่อมาเล่าเรื่องหลอนของตัวเองที่เจอดีระหว่างท่องทริปทะเลทราย ให้กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ ฟัง ว่าได้เจอผีถึง 2 ตน! เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปติดตามกันได้เลย!

       คุณอ้วนเล่าว่าตัวเองนั้นชอบไปเที่ยวทะเลทรายช่วงเดือนธันวาคมของทุกปีมาก เพราะมันดูมีมนต์ขลัง ดูมีเสน่ห์ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม และเมื่อย้อนกลับไปประมาณ 6 ปีที่แล้วในวันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันที่คุณอ้วนวางแพลนว่าจะไปเคาท์ดาวน์ที่กลางทะเลทราย มีเพื่อนคนไทยไปด้วย 2 คน หนึ่งในนั้นสามารถพูดอาหรับได้ และมีไกด์ทัวร์ด้วยอีกหนึ่งคน ซึ่งได้วานให้ไกด์ทัวร์รีบโทรไปจองเต็นท์ที่อยู่ในแคมป์กลางทะเลทราย เพราะกลัวว่าเต็นท์จะเต็ม แต่ไกด์ทัวร์บอกว่าไม่เต็มแน่นอน พอไปถึงปรากฏว่าเต็นท์เต็ม! จะกลับก็ไม่ได้เพราะใช้เวลาเดินทางมากว่า 4 ชั่วโมง ด้วยความโมโห คุณอ้วนจึงโวยวายด่าไกด์ทัวร์หนักมาก จนเจ้าของแคมป์เดินมาเห็นเหตุการณ์และสงสารไกด์ทัวร์คนนั้น จึงเดินเข้ามาบอกว่า “ขอโทษนะ ถ้าไม่รังเกียจ เขามีห้องเล็ก ๆ อยู่ห้องหนึ่ง ซึ่งจะนำเตียง 3 ฟุต 3 เตียง มาเติมให้แต่ห้องสภาพไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ เพราะไม่เคยมีคนมานอน” คุณอ้วนชั่งใจอยู่สักครู่ ก็หยวน ๆ ให้เพราะไม่รู้ว่าจะไปพักที่ไหนแล้ว แถมตอนนั้นอากาศก็เริ่มเย็นลงแล้ว...

       ก่อนที่ฟ้าจะมืดคุณอ้วนได้ไปถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ ซึ่งชุดที่คุณอ้วนสวมใส่ค่อนข้างที่จะโป๊ เมื่อไกด์ทัวร์เดินมาเห็น เขาก็เข้ามาเตือนว่าอย่าถ่ายรูปแบบนี้ แต่ด้วยความที่ยังคงโกรธไกด์ทัวร์คนนั้นอยู่ คุณอ้วนจึงไม่สนใจและยืนยันว่าจะถ่ายต่อ เพราะบนสันของเนินทะเลทรายนี้มีแค่กลุ่มของคุณอ้วนเท่านั้น และคิดว่าไม่น่ามีใครมาเห็น เมื่อถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณอ้วนรู้สึกเหนื่อยมาก จึงไม่ได้ออกไปปิ้งย่างบาร์บีคิวกับเพื่อน ๆ และได้อาบน้ำเข้านอนทันที

       คุณอ้วนนอนที่เตียงด้านในสุด ขณะที่กำลังล้มตัวนอนและกำลังจะเคลิ้มหลับ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเปิดเต็นท์ตรงเข้ามายังเตียงที่นอนอยู่ เมื่อลืมตามอง ก็เห็นเป็นผู้ชายคนหนึ่งคล้ายคนอินเดีย ผมสั้นแต่พะรุงพะรัง มีหนวด ใส่เสื้อเป็นลายสก็อตแขนสั้นเก่า ๆ ในใจคุณอ้วนก็คิดสงสัยว่าเป็นใคร เป็นคนงานหรือเปล่า และพอเขามาหยุดที่เตียงของคุณอ้วน เขาก็มายืนจ้องหน้าพร้อมกับทำตาเหลือกถลนใส่ ในขณะนั้นคุณอ้วนก็เหมือนกับมองชายคนนั้นอยู่ในภวังค์กึ่งหลับกึ่งตื่น และรู้สึกได้ทันทีว่าเขาไม่ใช่คนแน่ ๆ และรู้สึกว่าอยากจะลุกหนีไปให้เร็วที่สุด จึงพยายามร้องให้คนช่วย! และเพื่อนทั้ง 2 คนของคุณอ้วนก็เดินเข้ามาในเต็นท์พอดี จึงพยายามร้องเรียกให้ช่วย ด้วยอาการเหมือนจะขาดใจเพราะเริ่มหายใจไม่ออก แต่เพื่อนทั้ง 2 คนนั้นคิดว่าคุณอ้วนแค่ละเมอ จึงไม่ได้สนใจและพากันเข้านอน และผีผู้ชายคนนั้นก็ได้หายไป แต่คุณอ้วนรู้สึกว่าเหมือนมีตัวอะไรไม่รู้มุดเข้ามาในผ้าห่มแทน! และเมื่อมันมุดมาถึงตรงหน้าอก คุณอ้วนก็พยายามเอามือดันตรงหน้าอกไว้ คุณอ้วนกลัวมาก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงตัดสินใจสวดมนต์และคิดถึงพ่อกับแม่ ซึ่งในตอนนั้นอาการหายใจไม่ออกเหมือนจะขาดใจตายให้ได้ก็หนักขึ้น ขณะที่กำลังสวดมนต์อยู่นั้นก็เห็นเป็นผู้ชายตัวเล็ก ชุดขาว หน้าเหี่ยวย่น มีหนวดเคราและใส่ผ้าโพกหัวสีขาว เดินเข้ามาหาที่เตียงซึ่งในตอนนั้นคุณอ้วนรู้สึกว่าเหมือนตัวเองลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่งเรียบร้อยแล้ว และผู้ชายคนนั้นก็เอามือหนึ่งกดบ่าคุณอ้วน อีกมือหนึ่งดันเต็นท์ไว้ แล้วก็มองหน้าคุณอ้วนด้วยสายตาที่ดูน่ากลัว นึกในใจตอนนั้นคิดว่าตัวเองต้องตายแน่ ๆ จึงพยายามเอามือไปหยิบพาวเวอร์แบงค์เพื่อจะโยนใส่เพื่อนที่นอนอยู่ แต่พอจะโยนมันกลับหลุดมือตกลงพื้นเสียงดัง ทำให้ในตอนนั้นคุณอ้วนก็รู้สึกตัว และลุกขึ้นมาตะโกนร้องว่า “ช่วยด้วย ๆ ผีหลอก” เพื่อนทั้งสองคนจึงสะดุ้งตื่นขึ้นมาและเห็นว่าหน้าของคุณอ้วนนั้นเขียวไปหมดเลยเหมือนคนกำลังจะช็อก เพื่อน ๆ ก็ถามว่าเป็นอะไรคุณอ้วนจึงเล่าทุกอย่างให้ฟัง

       หลังจากนั้นคุณอ้วนไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ เพราะเวลาตี 2 แล้ว จะนอนก็ไม่ได้ จึงพากันออกไปนอกเต็นท์ เพื่อนคนหนึ่งจึงไปตามไกด์ทัวร์มาและเล่าทุกอย่างให้ฟัง พร้อมกับขอให้เขาหาที่นอนใหม่ให้ แต่จนแล้วจนรอดก็หาที่นอนใหม่ให้ไม่ได้ จะพากันไปนอนที่รถก็ไม่ได้ จึงจำใจต้องกลับไปนอนที่เต็นท์นั้น เพื่อนคุณอ้วนก็ช่วยกันปลอบว่าอย่ากลัว ให้ตั้งสติ และทุกคนจึงตัดสินใจไปนอนกองรวมกันอยู่ที่มุมเต็นท์ คุณอ้วนเองก็ให้เพื่อนทั้ง 2 คนมานอนประกบสองข้าง และเอาขามากอดคุณอ้วนไว้ด้วย ส่วนไกด์ทัวร์คนนั้นไปนอนที่เตียงของคุณอ้วนแทน แต่คุณอ้วนและเพื่อน ๆ ก็นอนไม่ลงอยู่ดี แถมพากันสวดมนต์แทบทั้งคืนจนถึงเช้า

       รุ่งเช้า คุณอ้วนก็ลุกออกไปชงกาแฟกิน เพื่อน ๆ และไกด์ก็ตามออกมา เจ้าของแคมป์เดินมาเห็นเข้าพอดี จึงถามว่าทำไมถึงพากันออกเต็นท์มาเช้าจัง ปกตินักท่องเที่ยวจะตื่นสายกว่านี้ ไกด์ทัวร์จึงบอกไปว่าเมื่อคืนแขกของเราโดนผีหลอก ทำให้นอนไม่ได้ ด้วยความที่คนอาหรับมักจะเป็นคนที่พูดตรงและไม่โกหก เจ้าของแคมป์จึงเล่าว่าจริง ๆ เต็นท์ตรงนั้นถ้าไม่จำเป็น ก็ไม่ได้อยากขายให้ เพราะย้อนกลับไปตอนที่เขาเข้ามาทำกิจการแคมป์ตรงพื้นที่นี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีคนงานเป็นคนอินเดียมาฆ่าตัวตายตรงเต็นท์ที่คุณอ้วนนอน คุณอ้วนได้ฟังดังนั้นก็ขนลุกหนักมาก เพราะตอนที่เจอเหตุการณ์นั้นก็นึกสงสัยในใจอยู่ว่าคนอินเดียจะมาอยู่ทำไมในพื้นที่อาหรับ 

       หลังจากนั้น ตามแพลนคุณอ้วนและเพื่อน ๆ จะต้องนอนค้างอีกหนึ่งคืน แต่ทุกคนก็ตัดสินใจยกเลิกทริป และนั่งรถกลับเข้าเมืองทันที ระหว่างที่ขับรถอยู่นั้น ไกด์ทัวร์ก็พูดว่า “ผมบอกคุณแล้วใช่ไหม ว่าไม่ให้แต่งตัวโป๊ออกมาถ่ายรูป เพราะที่นี่เจ้าที่แรงมาก และศาสนาเขาไม่ชอบเรื่องอะไรแบบนี้” นั่นทำให้คุณอ้วนนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น ว่าจริง ๆ แล้วตนเจอผีผู้ชาย 2 คน และผีผู้ชายคนที่สองที่เข้ามาในเต็นท์คงต้องเป็นเจ้าที่เจ้าทางแน่ ๆ คุณอ้วนถึงกับขนลุกขึ้นมาอีกครั้งทันที และบอกกับตัวเองว่าจะไม่ไปในพื้นที่ตรงนั้นอีกแล้ว เมื่อกลับมาถึงยังในตัวเมืองจึงได้ทำพิธีของไทยเพื่อกราบขอขมาลาโทษผีเหล่านั้น และเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็ทำให้คุณอ้วนไม่กล้าแต่งตัวโป๊ถ่ายรูปอีกเลย พร้อมกับบอกว่าเวลาเราจะไปยังสถานที่ไหน เราควรให้ความเคารพต่อสถานที่ตรงนั้นทั้งสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็นด้วย

  (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

 

related อังคารคลุมโปง RECAP

อย่าเชื่อ GPS เพราะถ้าคุณเลี้ยวผิด ก็อาจจะติด.. ผี!

08 มี.ค. 2023

อย่าเชื่อ GPS เพราะถ้าคุณเลี้ยวผิด ก็อาจจะติด.. ผี!

“พี่แจ็ค The Ghost Radio” กลับมาเล่าเรื่องหลอนให้ชาว “อังคารคลุมโปง X” (28 กุมภาพันธ์ 2565) ได้ขนลุกกันอีกครั้ง กับเรื่องที่เกี่ยวกับการใช้รถบนท้องถนน และการใช้ GPS นำทาง มีชื่อเรื่องว่า “เลี้ยวผิด ติดผี” เหตุการณ์จะเป็นยังไงนั้น เราสรุปไว้ให้คุณอ่านแล้ว! พี่แจ็คเล่าว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับ “คุณเปิ้ล” และ “คุณเอก” ทั้งสองคนเป็นแฟนกัน เมื่อถึงเทศกาลปีใหม่ก็พากันเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด แน่นอนว่าช่วงปีใหม่แบบนี้ ถนนเส้นที่มุ่งหน้าสู่แผ่นดินอีสานย่อมรถติดเป็นธรรมดา อาจต้องใช้เวลาหลายสิบชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมายได้ และทั้งคู่ไม่ได้กลับบ้านต่างจังหวัดบ่อย ๆ จึงต้องเปิด GPS นำทางไปด้วย... ระหว่างที่ขับรถไปนั้น ด้วยความที่รถติด GPS จึงคำนวณเส้นทางใหม่ให้ และพูดขึ้นมาว่า “ขณะนี้มีเส้นทางที่เร็วกว่า ประหยัดเวลาได้ 30 นาที” ทั้งสองคนที่ทนรถติดไม่ไหวก็ตัดสินใจไปเส้นทางใหม่ตามคำแนะนำของ GPS เมื่อเปลี่ยนไปใช้เส้นทางใหม่ก็ต้องประหลาดใจ เพราะถนนเส้นนั้นแทบจะไม่มีรถยนต์วิ่งอยู่เลย ใช้เวลาสักพัก GPS ก็บอกว่าอีก 10 กิโลเมตรให้เลี้ยวซ้าย ระหว่างที่ขับไป บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วคุณเปิ้ลก็พูดติดตลกขึ้นมาว่า “ถนนแบบนี้ บรรยากาศแบบนี้ ถ้าเจอผีขึ้นมา ก็คงจะไม่แปลกเลยนะ” แต่มันก็เป็นเพียงการพูดขำ ๆ จึงไม่ได้ใส่ใจอะไร ผ่านไปสักพักใหญ่ คุณเอกก็รู้สึกว่ามันน่าจะเกิน 10 กิโลเมตรตามที่ GPS บอกแล้ว ทำไมยังไม่เจอทางที่ให้เลี้ยวซ้ายสักที แล้ว GPS ก็ยังคงบอกให้ตรงไปเรื่อย ๆ พอย่อแผนที่ดู ก็ยังบอกให้ตรงไปอีก ทั้งสองใจคอไม่ค่อยดี เพราะบรรยากาศก็เปลี่ยวมาก ข้างทางเป็นป่าดูรกร้างและมืดไปหมด คุณเปิ้ลจึงบอกว่า “ขับไปเรื่อย ๆ ก่อน ถ้าเจอชาวบ้านหรือใครแถวนี้ ก็ค่อยจอดถามทาง” จากนั้นก็ขับรถต่อไปสักพัก แล้วก็เห็นแสงจากรถมอเตอร์ไซต์ขี่สวนมาไกล ๆ พอรถกำลังจะสวน คุณเอกก็เตรียมเปิดกระจกเพื่อที่จะโบกทัก แต่คุณเปิ้ลกลับพูดเสียงดังบอกว่า “ไม่ต้องเปิด! ไปเลย ๆ ขับไปเลย!” คุณเอกก็ตกใจแต่ก็ทำตามที่คุณเปิ้ลบอก คุณเอกก็ถามว่าทำไมไม่ให้เปิด คุณเปิ้ลตอบกลับมาว่า “ไม่เห็นหรอ! ไอ้ที่ขี่มาอ่ะ!” คุณเปิ้ลบอกว่า ที่ขี่รถมอเตอร์ไซต์มานั้น เป็นผู้ชายหน้าซีด ๆ เสื้อขาดรุ่งริ่งมีเลือดอยู่ แล้วก็ขี่สวนไปไม่ได้สนใจรถที่สวนมา ตรงนั้นอาจจะไม่ได้แปลกอะไรมาก ที่แปลกคือปกติถ้าเจอแบบนี้จะต้องได้ยินเสียงเครื่องยนต์ แต่นี่ ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย อย่างกับรถคันนั้นมันลอยผ่านไป! พอคุณเอกได้ยินแบบนั้น ก็คุยกันว่าจะขับไปเรื่อย ๆ ตาม GPS ไปก่อน เพราะถ้าจะวนรถกลับมันก็ผ่านมาไกลมากแล้ว เมื่อขับต่อไปอีกก็เห็นแสงไฟรถมอเตอร์ไซต์ขับสวนมาอีก ทั้งคู่ก็นั่งนิ่ง เพื่อรอดูว่าจะเจอเหมือนเดิมหรือเปล่า พอรถเข้ามาใกล้ ก็ไม่มีเสียงเครื่องยนต์เหมือนเดิม และก็เห็นว่ามันเป็นผู้ชายคนเดียวกับคันเมื่อกี้! นอกจากนี้ยังเห็นอีกด้วยว่ารอบนี้เขาขี่รถด้วยมือซ้ายมือเดียว ส่วนใบหน้าก็ยุบไปครึ่งนึง เสื้อขาดรุ่งริ่ง ส่วนมือขวาก็เหมือนกับจับอะไรบางอย่างไว้ คล้ายกับขาคน แล้วมอเตอร์ไซต์คันนั้นก็สวนผ่านไป! ทั้งสองตกใจและคิดว่าน่าจะโดนผีหลอก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากขับรถไปตามทาง ขณะที่กำลังจะสติแตก GPS ก็บอกว่าอีก 800 เมตรให้เลี้ยวซ้าย แต่ก่อนจะถึงแยกนั้น คุณเปิ้ลและคุณเอกก็เห็นว่าซ้ายมือมีผู้ชายยืนอยู่ข้างทาง แล้วมองไปอีกฝั่ง พอรถขับเข้าไปใกล้ เขาก็ยื่นมือออกมาทำเหมือนจะโบกรถ แต่คุณเปิ้ลก็บอกว่า “อย่าจอด ขับรถต่อไป” จึงขับรถผ่านผู้ชายคนนั้นไป แล้วเลี้ยวซ้ายตามที่ GPS บอก จากนั้น GPS ก็บอกว่า “คุณมาถึงจุดหมายแล้ว” ทั้งสองยิ่งตกใจสติแทบกระเจิง! คุณเปิ้ลเล่าเสริมว่า พอเลี้ยวซ้ายไปตามที่บอกแล้ว ก็เห็นซุ้ม คล้ายกับประตูอะไรบางอย่าง พอผ่านเข้าไปก็จะเห็นวัดร้าง เป็นซากปรักหักพัง จึงตัดสินใจเลี้ยวรถเพื่อกลับออกไปทันที พอขับรถออกไป ก็เห็นผู้ชายคนนั้นยืนโบกมืออยู่ที่เดิม คราวนี้ทั้งคู่หันไปมอง ก็เห็นเป็นผู้ชายไม่มีขา พอเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบขับรถออกไปทันที! พอขับออกไปทางเดิมเรื่อย ๆ ก็เห็นไฟจากรถมอเตอร์ไซต์ตามมาข้างหลัง เหมือนจะขับแซง พอมอเตอร์ไซต์เข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ก็เห็นเป็นผู้ชาย 2 คน คนนึงเป็นผู้ชายที่เห็นตั้งแต่ตอนแรก ส่วนอีกคนซ้อนหลัง พอมอเตอร์ไซต์ซ้อนไป กลายเป็นว่าคนที่ข้างหลังตัวนั่งซ้อนปกติ แต่หัวดันหันมาอยู่ข้างหลัง! คุณเอกเห็นดังนั้นก็พยายามเร่งความเร็วเพื่อที่จะแซงมอเตอร์ไซต์คันนั้น พอแซงไปปุ๊บ หันไปมองอีกครั้ง มอเตอร์ไซต์คันนั้นก็หายไป! เมื่อรถเร่งความเร็วมาจนถึงทางแยกที่เป็นถนนใหญ่อีกครั้ง ก็พบว่ารถไม่ติดแล้ว จึงขับเข้าสู่เส้นทางหลัก กระทั่งเจอปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ทั้งสองเลี้ยวรถเข้าไปตั้งสติ แล้วก็เข้าห้องน้ำ ระหว่างที่ทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ ก็เห็นป้าแม่บ้านคนหนึ่ง ด้วยความอยากรู้จึงเข้าไปถามว่า “ป้าครับ ป้าพอจะรู้จักโลเคชันที่เป็นวัดร้างบ้างมั้ย?” ป้าก็บอกว่า “มี ย้อนจากนี่ไปนิดนึง แล้วก็เลี้ยวขวาเข้าไป” ก็ตรงกับซอยที่ทั้งสองได้เลี้ยวเข้าไปเมื่อกี้นี้ ป้ายังบอกอีกว่า “กลางคืนไม่ค่อยมีคนเข้าไปนะ ที่นั่นผีดุ ล่าสุดไม่นานมานี้ มีมอเตอร์ไซต์ 2 คน ไม่รู้ขี่เข้าไปทำอะไร แล้วไปรถคว่ำมั้ง มาเจอศพอีกทีก็ช่วงเช้า อีกคนหน้าฟาดกับเสาหลักกิโล ส่วนอีกคนขาขาด ทุกวันนี้ยังหาขาไม่เจอเลย” แม้จะตรงกับสิ่งที่เจออย่างไม่น่าเชื่อ แต่ทั้งสองก็ไม่กล้าเล่าให้ป้าฟังว่าเจออะไรมาบ้าง จึงมานั่งคุยกับตัวเองว่าถ้าตอนที่เจอไม่มีสติ ก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุและตายอยู่ที่นั่นก็ได้ โอกาสที่คนจะเข้าไปเจอก็คงจะยาก พี่แจ็คเล่าเสริมว่า ถ้าจะต้องเดินทางไปต่างจังหวัดหรือไปที่ที่ไม่คุ้นชินเวลากลางคืน ถ้า GPS บอกให้ไปทางลัด อย่าไปเด็ดขาด ไปเส้นทางหลักจะดีกว่า และบอกว่า “เจอผีอาจจะยังพอตั้งสติได้ แต่ถ้าเจอมิจฉาชีพ อันนี้ลำบาก”(เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ติดตามฟังเรื่องเต็มได้ที่

เรื่องเล่าจากหมอพิพิม 'เก้าอี้ข้างเตียง' I อังคารคลุมโปง X หมอพิพิม [ 3 ก.ย. 2567]

06 ก.ย. 2024

เรื่องเล่าจากหมอพิพิม 'เก้าอี้ข้างเตียง' I อังคารคลุมโปง X หมอพิพิม [ 3 ก.ย. 2567]

‘คุณหมอพิพิม’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 สิงหาคม 2567) เตรียมตัวขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘เก้าอี้ข้างเตียง’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! ‘คุณหมอพิพิม’ เล่าว่า เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ของลูกดวง ดูไปดูมาลูกดวงของคุณหมอพิพิมก็ได้บอกว่า “แม่นมาก ในเมื่อดูแม่นขนาดนี้ผมขอปรึกษาเรื่องหนึ่งได้ไหม” ซึ่งคุณหมอพิพิมก็ยินดี ลูกดวงจึงบอกว่าเป็นเรื่องสิ่งลี้ลับ และเล่าให้คุณหมอพิพิมฟังว่า ลูกดวงทำงานที่ต่างตังหวัดเพราะได้งานใหม่ ซึ่งงานใหม่ที่ได้นี้มีสวัสดิการให้เป็นบ้านพัก 2 ชั้นที่ต้องอาศัยร่วมกับเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่ง โดยลูกดวงคนนี้จะอยู่ชั้น 2 เพื่อนร่วมงานจะอยู่ชั้นล่าง บรรยากาศของบ้านไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาด แต่ลูกดวงคนนี้จะรู้สึกแปลก ๆ เวลาเข้าไปในบ้านหลังนี้ ลูกดวงมักจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวที่ชั้น 2 รู้สึกถูกจ้องมองตลอดเวลา และรู้สึกไม่ปลอดภัย โดยลักษณะชั้น 2 นี้ ห้องนอนจะอยู่ซ้ายมือ มีเตียงไม้ มีโต๊ะเขียนหนังสือปลายเตียง และจะมีเก้าอี้อยู่ด้วยหนึ่งตัว พอลูกดวงนอนช่วง 2-3 วันแรกก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่อมาช่วงวันที่ 4-5 ลูกดวงคนนี้ได้เอางานกลับมาทำที่บ้าน ซึ่งตอนนั้นค่อนข้างดึกและเกิดอาการง่วง จึงเก็บเอกสารและเอาเก้าอี้วางชิดใต้โต๊ะอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และเดินมานอนที่เตียง แต่เมื่อตื่นเช้ามาสิ่งที่ลูกดวงเห็นคือเก้าอี้มาอยู่ข้างเตียงในลักษณะที่หันเข้าหาเตียง ลูกดวงก็คิดไปว่าตัวเองอาจจะลืมเก็บเก้าอี้ไม่ได้คิดอะไร วันต่อมาเมื่อกลับมาจากทำงานก็มานั่งทำงานที่ค้างตามปกติ แต่ขณะทำงานก็รู้สึกว่ามีคนจ้องและมองอยู่ แต่ก็พยายามไม่คิดอะไร จึงเก็บเอกสารเก็บเก้าอี้แล้วไปนอน เมื่อตื่นขึ้นมาเก้าอี้ดันมาอยู่ข้างเตียงในลักษณะเดิมอีกแล้ว และคืนถัดไปก็ยังเป็นแบบนี้อีก เมื่อเป็นบ่อยเข้าก็รู้สึกไม่ไหวจึงสวดมนต์ก่อนนอน ในคืนนั้นลูกดวงได้บอกว่า ณ ตอนนั้นไม่มั่นใจว่ากำลังฝันหรือว่าเห็นเป็นภาพจริง คืนนั้นลูกดวงนอนแล้วหันตะแคงข้างออกไปทางหน้าต่างที่มีแสงลอดเข้ามา และหันไปเห็นผู้หญิงนั่งขดตัวอยู่ในเงามืดเหมือนร้องไห้ ในขณะนั้นลูกดวงไม่สามารถขยับตัวได้ ส่วนผู้หญิงที่นั่งขดตัวอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามอง จนลูกดวงช็อคหลับไป เมื่อตื่นมาก็เห็นเก้าอี้มาอยู่ข้าง ๆ อีกแล้ว ลูกดวงถามคุณหมอพิพิมว่ามันเป็นเรื่องจริงใช่ไหม คุณหมอพิพิมจึงเปิดไพ่ และได้ความว่ามีจริง ๆ แต่วิญญาณไม่ได้มาทำอันตราย แต่เหมือนวิญญาณเขาเหงา เขาไปไหนไม่ได้ นาน ๆ ทีมีคนมาอยู่เขาก็คงอยากจะสื่อสาร และเก้าอี้ปลายเตียงเป็นเก้าอี้ที่เค้าใช้นั่งประจำ ซึ่งเขาต้องการขอบุญ อยากให้คนทำบุญให้ ลูกดวงจึงทำบุญให้ หลังจากนั้นก็ไม่เคยเจออีกเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เจอศพที่เกิดอุบัติเหตุเป็นคนแรก แฟนเขาโทรมาว่า “ขอคุยกับแฟนหน่อย” แต่ไม่กล้าบอกความจริงว่าตายแล้ว เมื่อถูกขอร้องจนใจอ่อน จึงยื่นมือถือไปใกล้ศพ แรกๆก็คุยฝ่ายเดียว หลังๆเหมือนคุยโต้ตอบกันจึงหันมาดู ปรากฏว่าศพนั้นกำลังพูดอยู่จริงๆ

29 พ.ค. 2023

เจอศพที่เกิดอุบัติเหตุเป็นคนแรก แฟนเขาโทรมาว่า “ขอคุยกับแฟนหน่อย” แต่ไม่กล้าบอกความจริงว่าตายแล้ว เมื่อถูกขอร้องจนใจอ่อน จึงยื่นมือถือไปใกล้ศพ แรกๆก็คุยฝ่ายเดียว หลังๆเหมือนคุยโต้ตอบกันจึงหันมาดู ปรากฏว่าศพนั้นกำลังพูดอยู่จริงๆ

‘ต้นกล้า คืนพุธมุดผ้าห่ม’ มาเยือนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (23 พฤษภาคม 2566) ทั้งที งานนี้ขนเอาความหลอนมาฝาก ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เต็มกระเป๋า! จะหลอนแค่ไหน แท็กเพื่อนมาอ่านไปด้วยกันเลย! ต้นกล้าเล่าว่าที่ญี่ปุ่นจะมีงานเทศกาลที่คล้ายกับงานวัดบ้านเรา เป็นเรื่องที่เกิดกับผู้หญิงคนหนึ่ง นามสมมุติว่า ‘ยูริ’ เธอได้ไปขายของในงานเทศกาลนี้ และได้สนิทกับพี่ผู้หญิงอีกคนที่เต็นท์ข้าง ๆ ให้นามสมมุติว่า ‘จุนโกะ’ หลังจากงานเทศกาลเลิก เต็นท์อื่นก็พากันเก็บของกลับไปจนหมด เหลือแค่ยูริและจุนโกะ แต่ถึงแม้จุนโกะจะของเยอะ และต้องใช้เวลานานพอสมควรในการเก็บของ แต่เธอก็เก็บจนเสร็จและกลับไป สุดท้ายก็เหลือเพียงยูริคนเดียว เทศกาลนี้จัดอยู่ในศาลเจ้า บรรยากาศก็เริ่มวังเวง ยูริเริ่มกลัวจึงเก็บของเท่าที่ไหว และคิดว่าพรุ่งนี้ค่อยกลับมาเก็บอีกรอบ จากนั้นก็ขับรถออกมา ระยะทางจากศาลเจ้าและตัวเมืองเป็นถนนที่อยู่บนภูเขา และยังมีป่าทึบสองข้างทาง.. เมื่อขับรถออกมา จนผ่านทางที่ไม่มีไฟข้างถนน ยูริก็เห็นว่าข้างหน้ามีไฟสีแดงสว่างอยู่ จึงขับรถเข้าไปก็เห็นว่าเป็นไฟท้ายรถ ยูริคิดในใจว่า “รถใครมาจอดอยู่ตรงนี้” เมื่อยิ่งเข้าไปใกล้ ก็ยิ่งเห็นว่ารถคันนั้นเกิดอุบัติเหตุชนกับต้นไม้ข้างทาง แถมยังเป็นรถคันเดียวกับพี่จุนโกะที่อยู่เต็นท์ข้าง ๆ ด้วย ยูริตกใจมาก เธอหันไปมองรอบ ๆ ก็ไม่พบใคร ไม่มีแม้แต่รถสักคันขับผ่านมา เธอจึงหยิบโทรศัพท์เพื่อโทรไปยังสายด่วนฉุกเฉิน และแจ้งว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ปลายสายก็ถามว่า “แล้วรถที่เกิดอุบัติเหตุนั้นคนที่อยู่ข้างในเป็นอย่างไรบ้าง” ยูริตอบไปว่า “ไม่รู้เลยค่ะ ไม่กล้าเข้าไปดู” ปลายสายก็พูดต่อว่า “รบกวนเข้าไปดูใกล้ ๆ แล้วช่วยเช็คให้หน่อยนะครับ เผื่อเขาต้องการความช่วยเหลือ” เธอจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปและก็เห็นว่า “ครึ่งตัวของพี่จุนโกะพาดกระเด็นออกมานอกตัวรถ หัวห้อยจนผมสยายลงมาพร้อมกับแขนที่ชุ่มไปด้วยเลือดแนบกับประตูฝั่งคนขับ” ยูริเห็นสภาพดังนั้นก็กลัว และไม่กล้าเข้าไปเช็คมากกว่านี้ จึงบอกปลายสายไปว่า “คิดว่าเขาน่าจะมีสตินะคะ” ปลายสายก็พูดเสริมอีกว่า “ขอโทษนะครับเค้ายังหายใจทางจมูก หรือ ทางปากอยู่ไหม รบกวนเอามือไปทาบให้หน่อย” ในใจยูริรู้สึกกลัวมาก แต่ก็ฮึดขึ้นมา จากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้ ๆ จนเห็นว่า พี่จุนโกะหัวแตกจนเลือดไหลอาบเต็มหน้า ไหลหยดลงมาตามแขน ยูริค่อย ๆ รวบรวมความกล้าอีกครั้ง แล้วยื่นมือไปทาบตรงจมูก แต่กลับรู้สึกอะไรไม่ได้เลยแม้กระทั่งลมหายใจ! ยูริรู้ได้ในทันทีว่าพี่จุนโกะคงเสียชีวิตแล้ว จึงตอบปลายสายไปว่า “เขาไม่หายใจแล้วค่ะ” ปลายสายก็ตอบรับและแจ้งว่าให้รอสักครู่ เพราะมีรถพยาบาลและรถกู้ภัยกำลังเดินทางมาแล้ว จากนั้นก็วางสายไป ในตอนนี้ ยูริต้องอยู่ลำพังกับศพ! เธอจึงถอยออกมาจากตัวรถ ในใจก็คิดว่า “ไม่น่ามาอยู่ตรงนี้เลย” พร้อมกับแสดงความเสียใจที่คนรู้จักต้องมาตาย สักพักก็มีเสียงโทรเข้าจากโทรศัพท์ดังขึ้น เธอจึงหยิบของตัวเองขึ้นมาดู ปรากฏว่าไม่ใช่ เมื่อมองเข้าไปในรถก็พบว่าเป็นโทรศัพท์ของพี่จุนโกะ เธอชั่งใจอยู่ชั่วครู่ว่าจะรับหรือไม่รับดี แต่ความรู้สึกก็บอกว่าถ้าเป็นครอบครัวเขาโทรมา เราก็ควรจะเป็นพลเมืองดีแจ้งให้เขาทราบ จึงตัดสินใจจะหยิบโทรศัพท์มารับสาย แต่โทรศัพท์มันดันอยู่ที่เบาะอีกฝั่งของศพ จะเดินไปเปิดประตูฝั่งนั้นก็ไม่ได้เพราะมันชนติดอยู่กับต้นไม้ เสียงโทรศัพท์ก็ดังอยู่อย่างนั้น เธอจึงเอามือล้วงผ่านศพเข้าไปหยิบโทรศัพท์ จนหน้าเธอกับพี่จุนโกะแทบจะติดกัน! เมื่อรับสายเสียงจากปลายสายก็พูดว่า “ฮัลโหล ๆ เธออยู่ไหนแล้ว” ยูริจึงตอบไปว่า “อ๋อนี่ไม่ใช่ค่ะ” ปลายสายจึงขอจึงพูดว่า “ขอสายแฟนผมหน่อยครับ” ด้วยความที่ไม่กล้าบอกว่าจุนโกะเสียชีวิตแล้ว เธอจึงตอบไปว่า “พอดีแฟนคุณประสบอุบัติเหตุค่ะ ตอนนี้เขาไม่มีสติเลย เขาอาการค่อนข้างหนัก” แฟนจุนโกะจึงพูดด้วยอาการตกใจว่า “หรอครับ!? งั้นรบกวนช่วยเปิดลำโพงโทรศัพท์ให้หน่อยได้มั้ยครับ ผมจะได้ส่งเสียงเรียกเค้า เผื่อเค้าได้สติคืนมา” ยูริตอบไปว่า “จะดีหรอคะ?” แต่แฟนจุนโกะก็ยังยืนยันและตอบกลับมาว่า “เผื่อเขาได้ยินเสียงคนที่รักแล้วอาจจะได้สติกลับมา นะ ๆ ผมรบกวนหน่อย” เธอจึงยอมทำตามนั้น แฟนจุนโกะก็เรียก “เธอ เธอ ได้ยินหรือเปล่า??” อยู่อย่างนั้น ระยะห่างของยูริกับตัวรถค่อนข้างไกล เธอจึงเขยิบเข้าไปใกล้ ๆ และยื่นโทรศัพท์เข้าไปที่หน้าศพ เธอไม่กล้ามองภาพที่อยู่ตรงหน้าจึงหันไปอีกทางในขณะที่แขนก็ยื่นอยู่อย่างนั้น ปลายสายก็พยายามเรียกจุนโกะ จนเงียบไปได้ครู่หนึ่งก็พูดขึ้นมาประมาณว่า “อ้อหรอ อ่าวจริงหรอ เป็นอย่างงี้หรอ ไม่เป็นไรนะเธอ ตั้งสติไว้นะ” เหมือนทั้งคู่กับกำลังพูดคุยโต้ตอบกันอยู่! ยูริจึงหันหน้ากลับมาดูและพบว่าภาพที่เธอเห็นคือ “จากศพที่หัวที่เอียงห้อยอยู่ มันตั้งขึ้นมาพิงกับเบาะ แล้วปากขยับพูดกับโทรศัพท์ด้วยถ้อยคำที่ฟังไม่เป็นภาษาเพราะมีเลือดไหลกกอยู่เต็มปาก!” เธอตกใจกลัวกับภาพสยดสยองตรงหน้าจนมือไม้อ่อนเผลอปล่อยโทรศัพท์ทิ้งลงตรงนั้น แล้ววิ่งกลับไปนั่งตัวสั่นอยู่ในรถของตัวเอง! กระทั่งรถพยาบาลเดินทางมาถึง เมื่อเจ้าหน้าที่จัดการพื้นที่เกิดเหตุเรียบร้อย ยูริก็เดินทางไปที่โรงพยาบาลด้วย เพราะเธอคือคนที่เจอและแจ้งเหตุเป็นคนแรก แพทย์ได้ยืนยันการเสียชีวิตของจุนโกะ และยูริก็คิดขึ้นมาว่า “อ้าวแล้วที่เขาคุยกับแฟนเขาล่ะ??” จนเมื่อแฟนของจุนโกะมาถึงก็ร้องไห้คร่ำครวญเสียใจ และพูดกับยูริว่า “แต่อย่างน้อยในช่วงเวลาสุดท้ายของเขา ผมก็ได้ยินเสียงเขาอีกครั้งหนึ่ง” ทำให้เธอคิดว่าภาพที่เห็นในตอนนั้นคงไม่ใช่ภาพจริง แต่เป็นภาพวิญญาณของจุนโกะที่อยากสื่อสารกับแฟนตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากไปนั่นเอง..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

สามเหตุการณ์หลอนจากพี่ปิ๊ด Bodyslam

10 มี.ค. 2024

สามเหตุการณ์หลอนจากพี่ปิ๊ด Bodyslam

เรื่องนี้ ‘พี่ปิ๊ด Bodyslam’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 มีนาคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องเกี่ยวกับบ้านหลังเก่าที่คุณปิ๊ดมักจะเจอเหตุการณ์หลอนที่ทำเอาทีมงานไม่กล้ามาบ้าน! เรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลยเหตุการณ์ที่หนึ่ง เรื่องนี้เกิดขึ้นที่บ้านหลังเก่าของพี่ปิ๊ด วันหนึ่งพี่ปิ๊ดไปดื่มสังสรรค์จนเมา แต่วันรุ่งขึ้นมีงานที่จะต้องเดินทางด้วยเครื่องบินทำให้ต้องตื่นเช้า พี่ปิ๊ดกลัวว่าตนจะตื่นไม่ทัน จึงโทรไปหาผู้จัดการส่วนตัวให้มาปลุกที่บ้าน ระหว่างที่พี่ปิ๊ดนอนหลับอยู่ในห้องน้ำ จนใกล้เวลาที่จะต้องตื่นมาเตรียมตัว ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเสียงดัง พี่ปิ๊ดคิดว่าน่าจะเป็นเสียงเคาะของผู้จัดการ จึงเดินไปเปิดประตู ปรากฏว่าไม่เจอผู้จัดการ ข้างนอกว่างเปล่าไม่มีใคร พี่ปิ๊ดจึงโทรศัพท์ไปหาผู้จัดการถามว่า “อยู่ที่ไหน?” ผู้จัดการกลับตอบว่า “ยังไม่ได้ออกจากบ้าน” พี่ปิ๊ดคิดว่าอาจจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านที่มาช่วยไม่ให้ตกเครื่องบิน และนี่คือเหตุการณ์แรกที่พี่ปิ๊ดเจอในบ้านเหตุการณ์ที่สอง ขณะที่พี่ปิ๊ดกำลังนอนอยู่บนเตียงในตอนเช้า ซึ่งจะปิดผ้าม่านให้ห้องมืดสนิด เมื่อนอนหลับไปสักพักก็ได้ยินเสียงสะบัดผ้าม่านแรง ๆ ไปมา พี่ปิ๊ดจึงลืมตาขึ้นมา มองเห็นเป็นผู้ชายยืนอยู่ที่ปลายเท้า และผู้ชายคนนั้นก็กำลังจ้องหน้าพี่ปิ๊ดอยู่พร้อมกับใช้มือสะบัดม่านแรง ๆ พี่ปิ๊กนิ่งไปสักพักและคิดว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของตนเอง น่าจะพูดคุยกันรู้เรื่อง พี่ปิ๊ดตัดสินใจพูดกับผู้ชายคนนั้นว่า “ขอเถอะ จะนอน” ปรากฏว่าได้ผล ผู้ชายคนนั้นหยุดสะบัดผ้าม่านแล้วก็เดินหายไปอีกทาง!เหตุการณ์ที่สาม พี่ปิ๊ดกับภรรยามีแพลนไปเที่ยวทะเล ตนจึงพูดลอย ๆ ขึ้นมาว่า “ถ้าหวยงวดหน้าออกเลขที่บ้าน เดี๋ยวจะซื้ออาหารทะเลมาไหว้” พอถึงวันที่หวยออกก็ไม่ถูก พี่ปิ๊ดกับภรรยาก็ไปเที่ยวทะเลตามแพลนที่วางไว้ ขากลับก็ซื้ออาหารทะเลมาด้วย แต่ไม่ได้ตั้งใจซื้อมาไหว้เพราะไม่ถูกหวย พอถึงบ้านก็นั่งกินอาหารทะเลกับภรรยา และในขณะที่กำลังจะตักอาหารเข้าปาก ก็ได้ยินเสียงเหมือนกับมีคนเอาเหรียญเคาะตู้ปลาถี่ ๆ ต่อกันยาว พี่ปิ๊ดเล่าว่าขณะที่กำลังตักอาหารเข้าปาก ตัวเองกับภรรยาตัวค้างนิ่งทั้งคู่เพราะลึก ๆ ในใจรู้อยู่แล้วว่าตัวเองเคยพูดอะไรไว้ พี่ปิ๊ดจึงตัดสินใจแบ่งอาหารทะเลบางส่วน จุดธูป แล้วไปวางไว้ เสียงเคาะตู้ปลาก็เงียบลงแล้วสถานการณ์ก็กลับมาเป็นปกติ พี่ปิ๊ดได้นำเรื่องราวที่เจอไปเล่าให้ทีมงานฟัง ทำให้ทีมงานกลัว ไม่มีใครกล้าไปบ้านพี่ปิ๊ด ถึงจะไม่กล้าอย่างไรทีมงานก็ยังต้องมารับพี่ปิ๊ดที่บ้าน พร้อมกับต้องช่วยขนของอุปกรณ์ต่าง ๆ และต้องยืนรอพี่ปิ๊ดล็อกประตูบ้าน แต่วันหนึ่ง อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงปิดประตูเสียงดังมากมาจากข้างบนบ้าน พี่ปิ๊ดก็ได้ยินเสียงจึงหันหลังเพื่อจะดูว่าทีมงานได้ยินเหมือนกันหรือไม่ ปรากฏว่าทีมงานทุกคนวิ่งหนีแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง! ปัจจุบันนี้ พี่ปิ๊ดขายบ้านหลังนี้ไปแล้ว ก่อนหน้าที่จะขายบ้านได้ นายหน้าคนแรกทำอย่างไรก็ขายบ้านไม่ได้ จนกระทั่งเปลี่ยนนายหน้าคนใหม่ พี่ปิ๊ดจึงให้นายหน้าคนใหม่ไหว้พระที่บ้าน หลังจากนั้นผ่านมาไม่กี่วันก็ขายบ้านได้(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1
Contact usGreenwave02-665-8377EFM02-665-8373
Advertise with usมัลลิกา ปราบอริพ่าย (กบ)(Atime Showbiz, Online Content)063-282-6915จุฑา วนศานติ (บี) (EFM)02-669-9512, 081-923-9823
อังคณา พองาม (นุก) (Greenwave)02-669-9444-7
ดาวน์โหลด Application ได้แล้ววันนี้ที่atime online application download from app storeatime online application download from play storeติดต่อสอบถาม / แจ้งปัญหาการใช้งานatimeplatform@atimemedia.com
บริษัท จีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน)เลขที่ 50 อาคาร จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เพลส ถนนสุขุมวิท21 (อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขต วัฒนา กรุงเทพ 10110