เรื่องเล่าจากคุณแทค 'ดงปอบ' l อังคารคลุมโปง X ส้ม มัลนิการ์ คนตาทิพย์ [11 มี.ค. 2568 ]

อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณแทค 'ดงปอบ' l อังคารคลุมโปง X ส้ม มัลนิการ์ คนตาทิพย์ [11 มี.ค. 2568 ]

15 มี.ค. 2025

         ไปหานักเรียนที่ขาดเรียนไปถึง 10 วัน มีคนมาเตือนว่าอย่าไปเลย แต่ก็ไม่เชื่อ จนเจอดีถึงในที่นอน! เรื่องราวสุดหลอนนี้จะจบลงอย่างไร? ติดตามได้กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ดงปอบ’ จาก ‘คุณแทค’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’(11 มีนาคม 2568) พร้อมด้วย ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีีเจเจ็ม’ ที่จะเป็นเพื่อนหลอนไปกับคุณ!!

         ‘คุณแทค’ ได้นำเรื่องเล่าของ ‘ครูเอ’ (นามสมมติ) มาเล่าให้ฟัง เรื่องนี้ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้วโดยในช่วงนั้น ครูเออายุเพียง 20 ต้น ๆ เพิ่งได้บรรจุเป็นข้าราชการใหม่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดร้อยเอ็ด หลังจากที่ได้เข้าไปสอนในโรงเรียนนี้ มีนักเรียนในห้องที่ครูเอได้ประจำชั้นอยู่ไม่มาโรงเรียนนานถึง 10 วัน ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของครูที่ต้องไปหาที่บ้าน เพื่อตรวจดูว่านักเรียนคนนี้เกิดอุบัติเหตุ หรือว่าเกิดอะไรขึ้น

         บ้านของนักเรียนคนนี้อยู่ถัดไปอีกหนึ่งหมู่บ้าน โดยอยู่ท้ายหมู่บ้านและเป็นหลังเดียวที่อยู่ตรงนั้น พอไปถึงครูเอจึงไปสังเกตดูว่าใช่หลังนี้หรือไม่ เมื่อสังเกตอยู่นานก็คิดจะกลับ แต่ตาก็ไปเห็นนักเรียนของตัวเองที่เดินอยู่ในบ้าน จึงมั่นใจว่าเป็นบ้านหลังนี้ และเมื่อเข้าไปในบ้านสิ่งที่ครูเอเห็นก็คือ แมวประมาณ 100 ตัวที่อยู่ภายในบ้าน ซึ่งนักเรียนคนนี้อยู่กับคุณยาย 2 คน คุณยายนุ่งขาวห่มขาว ผมหงอกทั้งหัว

         ครูเอจึงเข้าไปคุยกับคุณยายถึงสาเหตุที่หลานไม่ไปโรงเรียน พอคุยกับคุณยายเสร็จ ครูเอก็เห็นว่านักเรียนกำลังให้นมแมวอยู่ เป็นนมโรงเรียน ซึ่งแมวก็ไม่กิน ครูเอคิดไปว่า แมวน่าจะชอบรสหวาน ครูเอจึงอาสาจะไปซื้อน้ำตาลเพื่อมาใส่ในนม จากนั้นก็ขับรถไปซื้อน้ำตาลจากร้านค้าที่อยู่ในหมู่บ้าน

         ด้วยความที่คนในชนบทจะรู้จักกันทุกบ้าน แม่ค้าจึงถามกับครูเอว่า

         “น้าครูจะซื้อไปไหน ซื้อไปทำอะไร มาหมู่บ้านนี้ทำไม”

         ครูเอเล่าเหตุผลที่ตนต้องมาหมู่บ้านนี้ให้แม่ค้าฟัง เมื่อเล่าจบแม่ค้าก็บอกต่อว่า

         “อย่าไปบ้านหลังนั้นได้ไหม กลับบ้านเลยเถอะ นี้มันก็มืดแล้ว” 

         ครูเอนึกสงสัย จึงถามไปว่า “ทำไมครับ”

         แม่ค้าตอบว่า “บ้านหลังนั้นเขาเลี้ยงปอบ ไม่อยากให้ไป”

         ครูเอตอบกลับเชิงตลกไปว่า

         “ผมไม่กลัวหรอก ปอบอะ ให้มันมากินผมเลย”

         หลังจากนั้นครูเอก็กลับหมู่บ้านของตนเอง และด้วยความที่เป็นบ้านสมัยก่อน บันไดที่จะขึ้นไปชั้น 2 จึงเป็นแบบพับเก็บได้ด้วยการดึง ซึ่งครูเอก็นอนอยู่บนชั้น 2 ของบ้าน

         ช่วงกลางดึกที่ครูเอเข้านอนแล้ว ครูเอก็ได้ยินเสียงคนเดินอยู่รอบบ้าน แต่ครูเอก็คิดว่าคงเป็นคู่อริเก่าหรือโจรขึ้นบ้าน จึงจะไปหยิบปืนมาป้องกันตัว แต่จู่ ๆ ครูเอก็ตกใจ ที่แขนและขาของตัวเองไม่สามารถขยับได้ ขยับได้เพียงแค่ส่วนหัวและตาเท่านั้น 

         และเสียงเดินก็ไปหยุดอยู่ที่บันไดบ้าน แต่เพราะครูเอดึงบันไดเก็บเรียบร้อยแล้ว จึงคิดว่าคงขึ้นมาไม่ได้ แต่ในตอนนั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนปีนเสาบ้านขึ้นมา คืนนั้นเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง ถึงแม้ไม่ได้เปิดไฟก็สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน และครูเอก็ได้เห็นเงาตะคุ้ม ๆ ที่กำลังปีนเสาบ้านขึ้นมา ในใจของครูเอตอนนั้นคิดว่า คงตายแน่ ๆ เพราะไม่สามารถขยับตัวได้เลย 

         พอเงานั้นปีนขึ้นมาได้สำเร็จ มันก็เริ่มคลานเข้ามาใกล้ครูเอ จนมาถึงหน้ามุ้งที่ครูเอนอนอยู่ แต่สิ่งที่ทำให้ต้องตกใจมากขึ้นไปอีก คือ สิ่งที่ครูเอเห็น เป็นคุณยายแก่ ๆ คนหนึ่ง ผมขาวทั้งหัว ใส่ชุดสีขาวทั้งชุด และยายคนนี้ก็เปิดมุ้งขึ้น เมื่อมุ้งเปิด ครูเอก็เห็นใบหน้าของคุณยายคนนั้น แต่บนหน้ากลับไม่มีจมูก ไม่มีปาก ไม่มีตา ไม่มีคิ้ว เป็นแค่หน้าโล้น ๆ และมีเสียงพูดขึ้นมาว่า 

         “กูมาแล้ว เดี๋ยวกูจะกินมึงให้หมดเลย”

         ครูเอช็อคไป และไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะแขนขาก็ไม่สามารถขยับได้ บทสวดก็ท่องไม่ได้เพราะไม่ได้นับถือศาสนาอะไร และเป็นคนที่เชื่อในวิทยาศาสตร์ 

         ในจังหวะเดียวกันที่ยายคนนั้นเริ่มใกล้เข้ามา ขาข้างหนึ่งของครูเอก็ขยับได้ จึงถีบเข้าไปที่ตรงกลางอกจนร่างยายกระเด็นตกลงไปข้างล่าง จากนั้นครูเอก็ขยับตัวได้ จึงรีบไปเปิดไฟให้ทั่วบ้าน ครูเอไม่กล้าลงไปดูเพราะยังช็อกอยู่ จึงเลือกที่จะนั่งอยู่ตรงทางขึ้นชั้น 2 จนเกือบจะสว่าง ระหว่างนั้นก็เดินไปที่หน้ากระจก เห็นว่ามีเลือดไหลออกจากจมูก ปาก และทั้งตัวก็เต็มไปด้วยเลือดของตัวเอง

         และเมื่อใกล้เช้าก็มีคนมาเรียกครูเอ ซึ่งเป็นเสียงของผู้ใหญ่บ้านที่ครูเอจำได้ แต่ครูเอก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นผู้ใหญ่บ้านจริง ๆ หรือเปล่า จึงไม่ยอมลงไปข้างล่าง เพราะข้างนอกยังไม่สว่างมาก ครูเอเลือกที่จะอยู่บนบ้านและถือปืนไว้เผื่อเกิดอะไรขึ้น คนที่อยู่ข้างล่างบอกให้ครูดึงบันได้ลงมาเพื่อจะขึ้นไปดู ครูเอตัดสินใจให้ขึ้นมา แต่ถ้าไม่ใช่ผู้ใหญ่บ้านครูเอก็จะยิงทันที และก็เป็นผู้ใหญ่บ้านจริง ๆ ที่ขึ้นมา ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยถามว่า

         “ทำไมเปิดไฟไว้ทั้งคืน เป็นอะไรลูก เลือดเต็มตัวเลย“

         ครูเอที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็ร้องไห้ออกมา และเข้าไปกอดผู้ใหญ่บ้าน เมื่อได้สติจึงเล่าทุกอย่างให้ผู้ใหญ่บ้านฟัง 

         จากนั้นในตอนเช้าผู้ใหญ่บ้านจึงพาครูเอไปรดน้ำมนต์ และชาวบ้านในหมู่บ้านก็มาผูกแขนเพื่อรับขวัญให้ครูเอ รวมถึงแม่ค้าที่เคยเจอกันในตอนนั้น ซึ่งแม่ค้าคนนั้นก็บอกกับครูเอว่า

         “หนูบอกน้าครูแล้ว ว่าอย่าไปพูดแบบนั้น”

         หลังจากเรื่องนี้ผ่านไป ทำให้ครูเอกลายเป็นคนที่มีเซ้นส์ จากที่ไม่เคยเห็นผี ครูเอก็รู้ได้ในทันทีว่าใครคือคนหรือไม่ใช่คน 

 (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรียนหมอไม่ค่อยเข้าใจ ได้รุ่นพี่มาช่วยสอนจนคะแนนดีขึ้น ก่อนปิดเทอมไปสารภาพรักกับเขา แต่เขาตอบกลับมาว่า “ถ้าคุณรู้จักผมมากกว่านี้ คุณอาจจะเปลี่ยนใจ” แล้วเขาก็หายไปเลย!

02 มี.ค. 2024

เรียนหมอไม่ค่อยเข้าใจ ได้รุ่นพี่มาช่วยสอนจนคะแนนดีขึ้น ก่อนปิดเทอมไปสารภาพรักกับเขา แต่เขาตอบกลับมาว่า “ถ้าคุณรู้จักผมมากกว่านี้ คุณอาจจะเปลี่ยนใจ” แล้วเขาก็หายไปเลย!

เรื่องนี้เป็นสายจาก ‘คุณสุ’ ที่ได้มาเล่าเรื่องรักชวนหลอนเกี่ยวกับนักศึกษาแพทย์และร่างอาจารย์ใหญ่ ให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเคเบิ้ล’ จะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันเลย! คุณสุเล่าย้อนว่าเมื่อก่อนตนนั้นเป็นพยาบาลในแผนก ICU ก่อนที่จะลาออก เพื่อนร่วมงานก็จัดปาร์ตี้เลี้ยงส่ง นั่นทำให้ ‘พี่หมอมุ่ย’ (นามสมมติ) นำเรื่องหลอนสมัยที่เขายังเป็นนักศึกษาแพทย์มาเล่าให้คุณสุฟัง หมอมุ่ยเล่าย้อนว่า ปกติแล้วนักศึกษาแพทย์จะใช้เวลาหนึ่งปีไปกับการศึกษาร่างกายมนุษย์ (Anatomy) กับร่างของอาจารย์ใหญ่ ในช่วงนั้นหมอมุ่ยมีปัญหากับการจดจำรายละเอียดต่าง ๆ ของร่างกาย มักจะจำผิดพลาดและคลาดเคลื่อนอยู่บ่อยครั้ง จึงลงการเรียนเสริมให้ตัวเอง เพื่อที่ตนเองนั้นจะสามารถเรียนทันนักศึกษาคนอื่นและสอบได้ เพราะหากต้องมาสอบแก้ทีหลังจะเสียเวลาไปกันใหญ่ วันหนึ่ง ขณะที่หมอมุ่ยเรียนเสริมอยู่ เขาก็รู้สึกแย่กับตนเองเพราะไม่สามารถตอบคำถามของอาจารย์ได้เลย ทั้งยังไม่เข้าใจบทเรียนที่เรียนในวันนี้ด้วย หมอมุ่ยคิดในใจว่า ‘ถ้ามีใครสักคนมาสอนให้เรารู้มากกว่านี้ โดยที่เราไม่ต้องขอเงินจากพ่อแม่เพิ่ม ไม่ต้องไปทำงานหาเงินเพื่อมาเรียนเสริม มันก็คงจะดีเนอะ’ หลังจากนั้น ก็มีรุ่นพี่คนหนึ่ง นามสมมติว่า ‘ทรงเกียรติ’ มาเป็นผู้ช่วยสอนในเรื่องของกายวิภาคศาสตร์โดยเฉพาะ รุ่นพี่คนนี้พูดกับหมอมุ่ยว่า “พี่เห็นในคลาสเรียนแล้ว น้องดูไม่ค่อยเข้าใจเลย อยากเรียนเสริมกับพี่มั้ย? เดี๋ยวพี่สอนเอง พี่สอนให้ฟรีเลย ถือว่าเป็นการช่วยรุ่นน้อง” หมอมุ่ยดีใจมากที่จะได้เรียนเสริมเป็นการส่วนตัว แถมคนที่มาสอนยังรูปหล่อหน้าตาดีอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เองทำให้หมอมุ่ยได้แต่แอบกรี๊ดอยู่ในใจ ช่วงพักทานข้าวหรือระหว่างคาบเรียน ก็เป็นช่วงเวลาที่พี่ทรงเกียรติเข้ามาช่วยสอน ระหว่างที่เรียนเสริมนั้น ปรากฏว่าผลการเรียนของหมอมุ่ยก็เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขั้นได้รับคำชมจากอาจารย์ว่า “มีพัฒนาการขึ้นนะ ขอให้รักษาผลการเรียนแบบนี้ไว้นะ” นั่นทำให้หมอมุ่ยรู้สึกภูมิใจมากขึ้นไปอีก เป็นเวลากว่า 6-7 เดือนที่พี่ทรงเกียรติมาช่วยสอน ก็เกิดความรู้สึกดี ๆ ขึ้นภายในใจของหมอมุ่ย หมอมุ่ยบอกว่า “เขาเป็นคนแรก ที่ทำให้พี่รู้สึกปลื้มจนอยากไปสารภาพรักเลย” ก่อนจบการศึกษา หมอมุ่ยตัดสินใจบอกว่าพี่ทรงเกียรติไปว่า “หนูขอบคุณนะคะที่มาช่วยสอน หนูชอบพี่นะ หนูอยากเป็นแฟนกับพี่ พี่จะรับรักหนูมั้ย? ถึงหนูจะไม่ใช่ผู้หญิงแท้ แต่หนูก็รักจริงนะ” แต่พี่ทรงเกียรติก็ตอบกลับมาว่า “ผมไม่ได้รังเกียจหรอกครับว่าคุณจะเป็นเพศอะไร ขอบคุณมากที่คุณมีความรู้สึกดี ๆ ให้กับผม แต่ถ้าคุณรู้จักผมมากกว่านี้ คุณอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้” แม้พี่ทรงเกียรติจะปฏิเสธอย่างมีมารยาท แต่หมอมุ่ยก็รู้สึกเสียใจไม่ใช่น้อย หลังจากวันนั้น หมอมุ่ยก็ไม่ได้เจอพี่ทรงเกียรติอีกเลย ไม่ว่าหมอมุ่ยจะพยายามเดินไปตึกเรียนที่คาดว่าพี่ทรงเกียรติจะอยู่แต่ก็ไม่เคยเจอ และยังไม่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับพี่ทรงเกียรติได้เลย จนกระทั่งวันหนึ่ง ได้มีการจัดพิธีส่งร่างอาจารย์ใหญ่เพื่อนำไปฌาปนกิจ ซึ่งก่อนหน้านั้นจะมีการรวมตัวนักศึกษาเพื่อให้มากล่าวขอบคุณร่างอาจารย์ใหญ่ หมอมุ่ยบอกว่ามีชื่อนึงที่คุ้นหู และรูปก็คุ้นตาคล้ายกับพี่ทรงเกียรติอย่างไรอย่างนั้น แต่หมอมุ่ยก็ยังไม่แน่ใจเพราะเห็นในระยะไกล จนพิธีเสร็จสิ้น หมอมุ่ยจึงแอบปลีกตัวเองเดินออกไปหาร่างนั้น เพื่อที่จะไปดูป้ายชื่อว่าใช่อย่างที่ตนคิดหรือไม่ ปรากฏว่าร่างของอาจารย์ใหญ่ที่มีป้ายชื่อห้อยอยู่ รวมทั้งรูปภาพเจ้าของร่างนั้นเป็นพี่ทรงเกียรติจริง ๆ คุณสุนึกสงสัยจึงถามหมอมุ่ยไปว่า “ระหว่างนั้นเขาไม่มีอะไรแปลก ๆ เลยหรอคะหมอ?” หมอมุ่ยส่ายหัวและบอกว่า “ไม่เลย ทุกอย่างเหมือนกับที่เรานั่งคุยกันแบบนี้ เราแตะตัวกันได้ แล้วตอนที่เขามาสอนไม่ใช่นั่งตรงข้ามนะ เขาจะนั่งข้างขวาไม่ก็ซ้าย ใกล้ชิดหมอมาก ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกผิดแปลกอะไรเลย จะมีแค่อย่างเดียวคือ เวลาสั่งน้ำหรือสั่งขนมมาให้ พี่ทรงเกียรติจะไม่แตะอะไรเลย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่าเขาอาจจะเกรงใจเรา” นั่นคือข้อสังเกตเดียวที่เห็นจากพี่ทรงเกียรติ นอกนั้นแล้ว เขาก็เหมือนคนปกติทั่วไป นั่นทำให้หมอมุ่ยเข้าใจความหมายของพี่ทรงเกียรติที่บอกว่า “ถ้ารู้จักผมมากกว่านี้ อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้..” คุณสุถามเพิ่มเติมว่า “ระหว่างที่ติวด้วยกัน ไม่มีใครเห็นเลยหรอ?” หมอมุ่ยก็บอกว่า “สถานที่ที่เลือกติวกันนั้น หลาย ๆ คนมักจะจดจ่อกับสิ่งที่ตนสนใจอยู่ ทำให้ไม่ได้สนใจปฏิกิริยาที่คนอื่นมอง ไม่แน่ว่าคนอื่นก็อาจจะไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติก็เป็นได้” นอกจากนี้หมอมุ่ยก็ยังไปสืบมาว่าพี่ทรงเกียรติเป็นผู้ป่วยภาวะสมองตาย แต่ข้อมูลอื่น ๆ นั้นไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนรุ่นน้องของหมอมุ่ยก็เจอบ้างเป็นบางรุ่น เช่น นักศึกษาบางคนอยากจะเรียนเพิ่ม จึงไปอยู่กับร่างอาจารย์ใหญ่เพียงลำพัง พี่ทรงเกียรติก็จะเดินมาบอกว่า “น้อง มันหมดเวลาแล้ว กลับไปก่อนมั้ย ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนมาถามพี่หรืออาจารย์ท่านอื่นก็ได้ ถ้าพวกพี่ยามเขามาปิดตึกแล้ว น้องจะกลับบ้านไม่ได้นะ” เป็นต้น หลายคนที่เจอมักบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า หากตั้งใจตามหาพี่ทรงเกียรติจะหาตัวไม่เจอ เขาจะปรากฏให้เห็นก็ต่อเมื่อเขาอยากมาเท่านั้น และนี่ก็เป็นรักแรกของหมอมุ่ยที่ยังคงจำได้ฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

หญิง รฐา เล่าเรื่อง ‘เจ้าของโรงเรียนเก่า’ l อังคารคลุมโปง X หญิง รฐา - ก๊ก ปริญญา [ุ6 พ.ค.2568]

17 พ.ค. 2025

หญิง รฐา เล่าเรื่อง ‘เจ้าของโรงเรียนเก่า’ l อังคารคลุมโปง X หญิง รฐา - ก๊ก ปริญญา [ุ6 พ.ค.2568]

เมื่อ ‘หญิง รฐา’ ได้ไปถ่ายทำภาพยนตร์ชวนหลอนขนหัวลุกเรื่อง ‘The Tutor พี่วรรณมาสอน’ ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ในระหว่างถ่ายทำนั้น ทุกคนในกองมีอาการแปลก ๆ แต่ไม่ยอมพูดอะไร หลังจากนั้น หญิง รฐา ก็รู้สึกขนหัวลุกได้ด้วยตัวเอง! เกิดอะไรขึ้นระหว่างการถ่ายทำ? และทุกคนในกองพบเจอกับอะไรกันแน่? หาคำตอบไปพร้อมกันกับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เจ้าของโรงเรียนเก่า’ ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (6 พฤษภาคม 2568) พร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ หลังจากอ่านจบแล้ว อาจทำให้คุณ คิดถึงโรงเรียนเก่าของตนเองก็เป็นได้.. หญิง รฐา ได้เล่าว่า ระหว่างที่กำลังถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ‘The Tutor พี่วรรณมาสอน’ มีอยู่วันหนึ่งต้องไปถ่ายในตึกโรงเรียน ซึ่งซีนที่ต้องเข้าฉากในวันนั้นตนจะต้องแต่งเอฟเฟ็กต์ผีด้วย ตารางการถ่ายทำแบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงเช้าจะถ่ายซีนของคุณครูที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนช่วงบ่ายจะถ่ายซีนที่เป็นผี ซึ่งทำให้มีเวลาให้แต่งหน้าหลายชั่วโมง แต่ระหว่างนั้นจู่ ๆ ทุกคนก็แปลกไป มีพิรุธ เหมือนมีอะไรปิดบังอยู่ จนผู้ช่วยของหญิง รฐา ต้องลุกขึ้นเดินไปถาม แต่ก็ไม่มีใครเล่าอะไรให้ฟัง เพราะคุณหญิง รฐายังต้องรับบทผีอยู่กลัวว่าจะหลุดและกลัว จากนั้นการถ่ายทำก็ดำเนินไปตลอดทั้งวัน จนมาถึงซีนสุดท้าย ได้เปลี่ยนไปถ่ายที่ห้องปิดตายด้านหน้าของโรงเรียน ซึ่งห้องมีลักษณะเป็นโถงยาว เสมือนห้องผู้อำนวยการ ทางเข้าห้องนั้นเป็นพื้นต่างระดับ ต้องก้าวขาสูงในการเข้าไป ถือว่าเป็นอะไรที่แปลกมากอย่างหนึ่ง การถ่ายทำในห้องนั้นเกิดเรื่องราวแปลก ๆ มากมาย เช่น กล้องถ่ายไม่ติด แต่หญิง รฐา พยายามมองในมุมวิทยาศาสตร์ เมื่อถึงคิวสุดท้ายเวลาประมาณเที่ยงคืน หญิง รฐา ได้สังเกตเห็นว่าพื้นที่ตรงกลางห้องนั้นถูกจัดเซ็ทให้ดูสวยแปลกตา ทั้งที่วันนี้ทั้งวันไม่มีใครใช้พื้นที่ตรงนั้นในการถ่ายทำเลย เธอจึงคิดว่าคงเป็นของสถานที่จริงทั้งหมด และนับเป็นเรื่องแปลกเรื่องที่ 2 ของวันนั้น หลังจากนั้น เธอได้ย้ายไปถ่ายห้องตรงข้าม เป็นซีนที่คุณหญิง รฐา ต้องยืนคนเดียว 'พี่อ๊อด' (ผู้กำกับ) จึงพูดว่า “หญิงยืนตรงนี้คนเดียวนะ แต่เดี๋ยวพี่จะให้น้องผู้หญิงอีก 2 คนมาคุกเข่าตรงนี้ ” หลังจากพูดจบ หญิง รฐา ก็คิดว่าต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้น เมื่อเริ่มถ่ายทำเทคแรก หางตาของเธอก็เหลือบไปเห็นเหมือนคนใส่ชุดไทยโจงกระเบนสีน้ำเงิน ตอนนั้นเธอรู้สึกแปลกใจ แต่ยังไม่ได้รู้สึกอะไรมาก จนกระทั่งผู้กำกับสั่งคัต เธอจึงหายใจเข้าลึก ๆ แล้วหันไปสู้กับสิ่งที่เห็น พอหันหน้าไปก็พบว่าเงาที่หางตาเห็นนั้นเป็นเพียงกรอบรูปเท่านั้น ในใจตอนนั้น คิดว่าคงเป็นรูปของเสด็จพ่อรัชกาลที่ 5 แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า ‘แล้วทำไมถึงมาวางในห้องที่มันรกร้างแบบนี้?’ แต่แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ และจดจ่ออยู่กับการถ่ายทำต่อไป ซีนถัดมาเป็นซีนอารมณ์ที่อเล็กซ์ (อเล็กซานดร้า อริดา มาเต้) ต้องแสดงอาการกลัวต่อหน้ากล้อง โดยมีหญิง รฐา ยืนอยู่ข้างหลัง ในเทคแรกกล้องปรับโฟกัสไม่ทันจึงพลาดไป รวมแล้วถ่ายทั้งหมด 4-5 เทค ก็พบว่ามีเทคหนึ่งที่กล้องไม่โฟกัสใครเลย ซึ่งตามหลักการแล้วไม่มีทางเป็นไปได้ หญิง รฐา ยังคงคิดในมุมวิทยาศาสตร์อยู่เพราะวันนั้นเธอใส่คอนแทคเลนส์ผี ดวงตาอาจจะแห้งและพร่ามัวได้ เมื่อเวลาผ่านไป เธอได้เห็นเป็นเงาผู้ชาย สีดำ สูงใหญ่ อยู่ข้างหลังคุณอเล็กซ์ ซึ่งก็คือข้างหน้าของเธอนั่นเอง ทันใดนั้นเธอจึงระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 8 ทิศ และพูดว่า “หญิงมาเป็นนักแสดง มาด้วยจิตที่ดี อยากมาเล่นบทให้คนเข้าใจว่าการเป็นครูเป็นอาชีพที่ดี มีความคาดหวัง มีความกดดัน หญิงมาดี เดี๋ยวจะกลับแล้ว ถ้าทำอะไรผิดพลาด ถ้ามีอะไรไม่ดี ขอโทษ ขอให้มันผ่านไปได้ด้วยดีเพราะจะเสร็จแล้ว จะไม่รบกวนแล้ว” หลังจากนั้นการถ่ายทำก็ลื่นไหลไปจนจบ ผู้กำกับให้ผ่าน หญิง รฐา ไม่พูดคุยกับใคร และกลับบ้านคนเดียว พร้อมทั้งพูดคำแก้เคล็ดว่า “หญิงกลับมาคนเดียวนะ มีแค่คนรถกับหญิงนะ” เช้าวันถัดมา หญิง รฐา ได้โทรสอบถามผู้ช่วยว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น ผู้ช่วยบอกว่า “ทุกคนเจอกันหมด เจอตรงจุดที่พี่หญิงยืนเลย” ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับคนในรูปด้วย เมื่อ หญิง รฐา หาคำตอบว่าบุคคลในภาพคือใคร ก็มีข้อมูลว่าเหมือนจะเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนนั่นเอง..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจาก ณัฐผี 'ทายาทสืบสยอง' I อังคารคลุมโปง X คืนเผาผี Ghost Night [ 29 ต.ค. 2567]

07 พ.ย. 2024

เรื่องเล่าจาก ณัฐผี 'ทายาทสืบสยอง' I อังคารคลุมโปง X คืนเผาผี Ghost Night [ 29 ต.ค. 2567]

กลับมาอีกครั้งกับ ‘ณัฐผี’ ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X (29 ต.ค. 2567) กับเรื่องเล่า ‘ทายาทสืบสยอง’ ที่มีทั้งความหลอน ความตื่นเต้น และเศร้าในเรื่องเดียวกัน มาดูกันว่า ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟังแล้วจะเป็นอย่างไร ไปอ่านพร้อมกันเลย! คุณณัฐผีบอกว่า เจ้าของเรื่องนี้คือ ‘คุณมาตาลดา’ เธอเล่าว่าเรื่องนี้ผ่านมา 20 กว่าปีแล้ว คุณมาตาลดาเป็นคนจังหวัดราชบุรี สอบติดเข้าเรียนมหาวิทยลัยแห่งหนึ่งในภาคอีสาน จึงต้องย้ายจากราชบุรีไปอยู่ภาคอีสาน เมื่อเข้าไปเรียนก็ได้เจอเพื่อนที่มาจากหลากหลายที่ แต่จะมีอยู่คนหนึ่งที่ได้เรียนอยู่ห้องเดียวกัน คณะเดียวกัน พักอยู่หอเดียวกัน ทำให้สนิทกัน เพื่อนของคุณมาตาลดาเป็นคนภาคอีสาน ให้นามสมมุติว่า ‘คุณฝน’ คุณฝนเป็นคนสวยระดับดาวมหาลัย ขาว หุ่นดี แต่งตัวดี ทั้งคู่ใช้ชีวิตมหาวิทยาลัยด้วยกันเรื่อยมา จนกระทั่งปิดเทอม คุณมาตาลดาไม่อยากกลับบ้านที่ราชบุรี แต่อยากไปเที่ยวบ้านเพื่อนในแถบภาคอีสานมากกว่า และเนื่องจากคุณมาตาลดาสนิทกับคุณฝนมาก จึงตกลงว่าจะไปเที่ยวบ้านคุณฝน คุณมาตาลดาไปเที่ยวบ้านคุณฝนทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งแรกและครั้งที่สองก็ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ครั้งที่สามเริ่มมีเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้น ครั้งนี้ในหมู่บ้านของคุณฝนได้จัดงานทำบุญ คนในหมู่บ้านมารวมตัวกัน คุณมาตาลดาจึงถามคุณฝนว่า “จัดงานอะไร” คุณฝนตอบว่า “เหมือนจะเป็นงานขับไล่สิ่งไม่ดีในหมู่บ้าน” คุณฝนอธิบายต่อว่า มีผู้ชายตายในหมู่บ้านอย่างไม่มีสาเหตุประมาณ 5-6 คน เชื่อกันว่าเป็นผีแม่ม้าย จึงให้ผู้ชายทาสีเล็บเป็นสีแดงและทาปากแดงกัน ในวันแรกที่ไปถึงเป็นช่วงเย็นโพล้เพล้ มีผู้ใหญ่บ้านประกาศเสียงตามสายว่า “พวกผู้หญิง ลูกเด็กเล็กแดง ผู้หญิงท้องเข้าบ้านห้ามออกมาตอนกลางคืน ส่วนผู้ชายที่จะมาช่วยงานให้ออกมา” คุณมาตาลดาก็เกิดความสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ก็เชื่อฟังผู้ใหญ่บ้านจึงไม่ออกไปไหน คืนแรกไม่มีอะไรเกิดขึ้น วันที่สองคุณมาตาลดาเริ่มสบายใจจึงไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนอย่างสนุกสนานเมื่อตกเย็น ผู้ใหญ่บ้านก็ประกาศเสียงตามสายเหมือนเดิม คุณมาตาลดาอธิบายเพิ่มเติมว่าบ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัดนั้น เป็นบ้านไม้สองชั้น ข้างล่างมีใต้ถุนสูง ห้องน้ำแยกออกจากตัวบ้าน ช่วงกลางวันคุณมาตาลดากินเยอะจนแน่นท้อง ตกกลางคืนก็รู้สึกปวดท้องจึงชวนคุณฝนไปเข้าห้องน้ำด้วยกัน พร้อมกับหยิบไฟฉายไปหนึ่งกระบอก ทั้งคู่พากันไปเข้าห้องน้ำ ด้วยความที่ปวดท้องหนักจึงใช้เวลาในการเข้าห้องน้ำนานพอสมควร จนคุณฝนบอกว่า “ทำไมนานจัง รอนานแล้วเนี่ย” คุณมาตาลดาก็ตอบกลับไปว่า “ถ้ารีบขึ้นไปก่อนเลย ทิ้งไฟฉายไว้” คุณฝนจึงขึ้นกลับเข้าบ้านแล้วปล่อยให้คุณมาตาลดาทำธุระในห้องน้ำคนเดียว เมื่อทำธุระในห้องน้ำเสร็จก็เปิดประตูห้องน้ำออกมา ก้มเก็บกระบอกไฟฉายที่คุณฝนวางไว้ให้ โดยก่อนทางขึ้นบันไดบ้านจะมีต้นมะม่วงใหญ่อยู่ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นลิงตัวหนึ่ง เป็นลิงเผือก สีขาว ตัวเท่าคนกำลังปีนอยู่ต้นมะม่วงอยู่! คุณมาตาลดาพยายามมองให้ชัด ก็ยิ่งมั่นใจว่านั่นคือลิงแน่นอน จากนั้นก็รีบวิ่งขึ้นบ้านไปเล่าเหตุการณ์ให้คุณฝนฟัง จนคุณอาได้ยิน (บ้านของคุณฝนมี คุณยาย คุณอา และคุณฝนที่อาศัยอยู่) คุณอาถามว่าเกิดอะไรขึ้น คุณมาตาลดาก็ได้เล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เจอให้ฟัง แต่คุณอากลับรู้สึกเรียบเฉยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คุณอาบอกว่าถ้าจะไปเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนให้มาบอกอาด้วย อาจะพาไปเอง คุณมาตาลดาบอกว่าคืนนั้นตนไม่กล้านอน เพราะกลัวมาก แต่สุดท้ายก็หลับไปเพราะความเพลีย วันสุดท้ายก่อนกลับเวลาโพล้เพล้เหมือนเดิม ผู้ใหญ่ประกาศเสียงตามสายเหมือนเดิม ในคืนนั้นเวลาประมาณ 2-3 ทุ่ม คุณมาตาลดาก็ได้ยินเสียงคนเดินแห่ขบวนเคาะมาตลอดทาง แล้วมาหยุดที่บ้านของคุณฝนที่คุณมาตาลดานอนอยู่ คุณอาก็เปิดหน้าต่างออกมาถามพูดผู้ใหญ่บ้านว่า “มีอะไรกันผู้ใหญ่” ผู้ใหญ่บ้านก็ตะโกนกลับมาว่า “ที่บ้านนี้มีปอบ ปอบอยู่ที่นี่!” จากนั้นผู้ใหญ่บ้านก็ขอให้คนที่อยู่ในบ้านหลังนี้ลงมาให้หมด ทางฝั่งที่มากับผู้ใหญ่บ้านจะมีหมอธรรมหรือหมอไสยศาสตร์ประมาณ 6 คน พวกเขากระโดดขึ้นบ้านไล่จับปอบ ส่วนทางฝั่งคุณมาตาลดาทุกคนในบ้านลงมาจากบ้านหมดยกเว้นคุณยายของคุณฝนที่ไม่ลงมา จากนั้นหมอธรรมก็ตะโกนบอกว่า “มันมีทั้งหมด14 ตัว” สิ่งที่คุณมาตาลดาเห็นคือมีลิงตัวเล็ก ๆ ปีนเกาะตามผนังบ้าน แล้วก็ช่วยกันจับได้แค่ 6 ตัว หมอธรรมจึงเขาไปที่ห้องของคุณยาย คุณยายพูดกลับมาว่า “มึงออกไป มึงอย่ามายุ่งกับกู!” หมอธรรมถามกลับว่า “มึงเป็นใคร” คุณยายพูดกลับมาว่า “กูไง อีสอง” สองคือชื่อของคุณยาย คุณยายได้แต่พูดซ้ำๆ ว่า “มึงออกไป มึงอย่ามายุ่งกับกู” จนสุดท้ายหมอธรรมได้ทำพิธีบริเวณที่ยายสองนอนอยู่ ยายสองก็กีดร้องเรียกชื่อลูกนั้นก็คือคุณอา “ดำช่วยแม่ด้วย ดำช่วยแม่ด้วย” จนเสียงเงียบไป หมอธรรมบอกให้นำตัวคุณยายไปที่ลานกลางหมู่บ้านที่กำลังทำพิธีกัน จากนั้นหมอธรรมก็ได้ผูกสายสิญจน์ตรงข้อมือและข้อเท้าของคุณยายเพื่อที่จะนำคุณยายไปที่ลานทำพิธี คุณมาตาลดากลัวมากและงงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในตอนนั้น ทุกคนก็ไปที่ลานกลางพิธี แต่คุณมาตาลดาบอกว่า “หนูอยู่ไม่ได้แล้ว” และขอร้องให้ผู้ใหญ่บ้านพากลับหอพักที่มหาวิทยาลัย หลังจากนั้นผ่านไปไม่กี่วัน ที่บ้านของคุณฝนก็โทรมาหาบอกว่าคุณยายเสียแล้ว คุณฝนได้กลับบ้านไปงานศพคุณยายจนกลับมาหอพัก สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่คุณฝนกลับมาคือ คุณฝนซึมเก็บตัวเงียบไม่พูดคุยกับใคร ที่แปลกคือตอนเช้านอน กลางคืนตื่นและจะตื่นเวลาประมาณเที่ยงคืน ในตอนเช้าคุณมาตาลดาจะเอาข้าวมาให้ คุณฝนก็ไม่กิน แต่จะออกมากินตอนประมาณเที่ยงคืน หลังจากนั้นคุณฝนก็หยุดเรียนไปหนึ่งเดือน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ อาการเริ่มแปลกขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ตื่นมาตอนเที่ยงคืนแล้วก็ลุกเดินรอบห้อง คุยภาษาแปลก ๆ ร้องบ่นแสบท้องปวดท้อง แล้วพูดว่าหิว คุณมาตาลดาจึงบอกว่า “ไปกินสิ อะไรอยู่ในตู้เย็นก็ไปกินสิ” คุณฝนก็เดินไปที่ตู้เย็น แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ เมื่อคุณมาตาลดาเปิดตู้เย็นกลับเจอแต่ของสดของดิบอยู่ในตู้เย็น! คุณมาตาลดาแปลกใจ เพราะคุณฝนไม่ได้มีพฤติกรรมการกินแบบนี้ แต่พอกลับมาจากงานศพเธอก็ได้เปลี่ยนไป จนมีอยู่วันหนึ่งคุณฝนมีอาการปวดท้องหนัก กรีดร้องโวยวายจนคุณมาตาลดาต้องโทรบอกอาจารย์ ให้ช่วยพาคุณฝนไปหาหมอ อาจารย์จึงรีบออกมาพาฝนไปหาหมอ สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่จะพาคุณฝนขึ้นรถคืออาจารย์ได้เปิดประตูห้องเข้าไป คุณฝนบอกว่า “มึงเป็นใคร มึงอย่ามายุ่งกับกู ออกไป!!” จากนั้นไม่ว่าจะเป็นใครที่เข้ามายุ่งกับคุณฝน ก็จะมีอาการเกรี้ยวกราดทันที แต่ถ้าเป็นคุณมาตาลดาคุณฝนกลับยอม เมื่อถึงโรงพยาบาล พยาบาลถามคุณฝนถึงอาการแต่คุณฝนไม่แม้แต่จะตอบ กลับเป็นคุณมาตาลดาที่บอกอาการแปลก ๆ ของคุณฝนแทน พยาบาลยังคงยืนยันที่จะเอาคำตอบจากคุณฝน จึงเงียบและนิ่งไปพร้อมกับพูดออกมาว่า “คุณเป็นใคร” คุณฝนก็ตอบ “กูเป็นปอบ!!!” ทุกคนตกใจ เดินถอยออกมาห่าง ๆ ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ สักพักก็ได้เข้าไปตรวจ แต่ผลตรวจที่เป็นปกติทุกอย่างหมอจึงให้กลับบ้านได้ อาจารย์จึงมาถามคุณมาตาลดาว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร คุณมาตาลดาก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้อาจารย์ฟัง อาจารย์บอกว่าที่นี่เขาเชื่อเรื่องปอบนะ อาจารย์จึงถอดพระให้กับคุณฝน หลังจากนั้นก็นั่งรถกลับบ้าน คุณฝนถามคุณมาตาลดาว่า “ฉันเป็นอะไร หิวจังเลย” คุณมาตาลดาจึงบอกให้อาจารย์แวะซื้อข้าวต้มให้คุณฝนกินตรงนั้น อาการคุณฝนปกติเหมือนคนทั่วไปแต่มีความเหนื่อยล้า พอมาถึงห้อง อาจารย์บอกว่าให้คล้องพระไว้ จนตกกลางคืนคุณฝนจะอาบน้ำจึงต้องถอดพระออก แล้วก็พูดว่า “วันนี้ร้อนจังเลย เธอนอนบนเตียงนะ ฉันนอนตรงพื้น” พอถึงเที่ยงคืน คุณฝนกลับมามีอาการแปลก ๆ อีกครั้งคุณฝนบอกว่า “หิวจังเลย” คุณมาตาลดาจึงบอกว่าจะพาไปหาอะไรกิน แต่คุณฝนยืนยันที่จะไปเอง จากนั้นคุณฝนก็หายไปสักพักใหญ่ จนคุณมาตาลดาต้องเดินไปดูด้วยตัวเอง สิ่งที่เห็นคือ คุณฝนกำลังต้มและกำลังกินไส้อยู่! คุณมาตาลตาบอกกับคุณฝนไปว่า “ฝนอย่ากินแบบนี้ได้ไหม มันเหม็นคาว มันไม่ดี” คุณฝนก็หันกลับมาตอบว่า “ถ้ากูไม่กินมัน มันสั่งให้กูกินมึง!” คุณมาตาลดาอยู่ไม่ไหวอีกต่อไป แต่อีกใจหนึ่งก็เป็นห่วงเพื่อนจึงตัดสินใจโทรหาที่บ้านคุณฝนให้มารับพอญาติมารับ คุณฝนก็ได้กลับไปอยู่ที่บ้าน คุณมาตาลดาก็พักอยู่ที่หอ หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์ที่บ้านของคุณฝนโทรมาบอกว่า “มาดูใจฝนมันหน่อย มันจะไม่ไหวแล้ว” ด้วยความเป็นเพื่อนคุณมาตาลดาก็เลยไปที่บ้านของฝน พอไปถึงคุณมาตาลดาเห็นคุณฝนซูบผอมเนื้อติดกระดูก เสื้อผ้าไม่ใส่ นอนหมดสภาพ จึงเดินเข้าไปจับมือคุณฝนและพูดคุยกัน คุณฝนพูดว่า “มาตาลดา.. ในระหว่างที่อยู่ด้วยกัน มันสั่งให้กูกินมึงทุกวันเลย แต่กูเลือกที่จะไปกินของดิบของสด” คุณฝนพยายามจะยื้อสิ่งที่อยู่ในตัว เหมือนมีอะไรอยู่ในตัวเขา และมีเสียงในหูบอกว่า “มึงกินมันสิ มึงกินมันสิ ” หลังจากนั้นคุณฝนก็เสียชีวิตลงในวันนั้น...(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องหลอน ๆ ของคนมีเซนส์ หลังย้ายไปทำงานที่พังงา

21 มี.ค. 2023

เรื่องหลอน ๆ ของคนมีเซนส์ หลังย้ายไปทำงานที่พังงา

เรื่องหลอน ๆ ของคนมีเซนส์ หลังย้ายไปทำงานที่พังงา คืนหนึ่ง.. ต้องไปส่งเอกสารด่วน ขากลับขับผ่านโค้งหักศอก ตรงนั้นมีศาลตั้งอยู่ด้วย! พยายามมองแค่ทางตรงแล้ว แต่หางตาดันสะดุด ทำให้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น! สติหลุด ทั้งกรี๊ด ทั้งร้องไห้ ขับต่อแทบไม่ไหวจนต้องจอดพัก แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ก่อให้เกิดคลื่นน้ำขนาดยักษ์ที่เรารู้จักและหวาดกลัวอย่าง ‘สึนามิ’ พัดถล่มเข้าชายฝั่งหลายจังหวัดทางภาคใต้ในประเทศไทย ส่งผลให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่ทั้งโลกไม่อาจลืมเลือน หนึ่งในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นยักษ์เต็ม ๆ คือ จ.พังงา และยังเป็นจุดหมายปลายทางของ ‘คุณแนน’ สายจากทางบ้านที่พบเจอกับประสบการณ์หลอนทันทีที่ได้มาถึง ทำเอา ‘ดีเจแนน’, ‘ดีเจเจ็ม’ และ ‘ดีเจมดดำ’ ถึงกับอ้าปากค้างในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (14 มีนาคม 2566) กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ย้ายไปพังงา’ คุณแนนเล่าว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์เมื่อ 13 ปีก่อน ตอนนั้นคุณแนนได้บรรจุเป็นราชการครั้งแรก ได้ทำงานอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งในจังหวัดพังงา แต่เดิมนั้นคุณแนนอาศัยอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี จึงใช้เวลาเดินทางไปที่พังงานานหลายชั่วโมง ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ทำงาน รวมทั้งบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยทะเลที่สวยงาม และความเหน็ดเหนื่อยจากเดินทางไกล ทำให้คุณแนนไม่ได้บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง และผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยทันทีที่เดินทางไปถึงบ้านพักข้าราชการ.. ทันทีที่หลับ คุณแนนก็ฝันว่าตัวเองนั้นนั่งอยู่ที่ท้ายกระบะ สักพักก็มีคนโยนศพขึ้นมาบนรถ! โยนมาจนเต็มหลังกระบะและเบียดพื้นที่ของคุณแนน ตอนนั้นคุณแนนรู้ตัวแล้วว่ากำลังฝันอยู่ แต่ก็ขยับตัวไม่ได้ จากนั้นก็พยายามพูดแต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่ส่งเสียง “อึกอัก อึกอัก” ไม่เป็นภาษา จนพี่ที่อยู่บ้านพักเดียวกันตื่นขึ้นมาเขย่าตัวคุณแนนและตะโกนเรียกเสียงดังจนคุณแนนตื่นขึ้นมาจากภวังค์นั้น และบอกว่า “เห้ยพี่ หนูฝันร้าย” เมื่อชาวบ้านทราบข่าวก็ถามขึ้นมาว่า “พอลงเกาะมาเนี่ย ได้ไหว้ ได้ขอเจ้าที่เจ้าทางบ้างหรือเปล่า” คุณแนนก็ตอบไปว่า “ไม่ได้ขอเลยค่ะ” เมื่อได้ยินดังนั้นก็พาคุณแนนไปที่หน้าหาดเพื่อทำพิธีไหว้เจ้าที่เจ้าทาง จะได้ทำงานและอยู่อาศัยที่นี่ได้อย่างราบรื่น คุณแนนเล่าเสริมอีกว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์สึนามิถล่ม จำนวนประชากรที่เกานี้มีประมาณ 500 - 600 คน จนปีที่คุณแนนบรรจุเข้าไปทำงาน เหลือประชากรเพียง 200 กว่าคนเท่านั้น นอกจากจะไปไหว้ที่หน้าหาดแล้ว ชาวบ้านยังพาคุณแนนไปไหว้ที่ศาลพ่อตาหินกอง ลักษณะคือเป็นศาลที่ตั้งอยู่บนหิน ซึ่งเป็นจุดเดียวที่ไม่โดนสึนามิแม้จะตั้งอยู่หน้าหาดก็ตาม หลังจากนั้นคุณแนนก็ไม่เจออะไรพิศวงจนกระทั่ง.. เวลาผ่านไปสักพัก ในคืนที่คุณแนนต้องนอนคนเดียว เพราะเพื่อนร่วมงานหลายคนส่วนใหญ่เป็นคนใต้ที่มาจากจังหวัดใกล้เคียง เช่น นครศรีธรรมราชบ้าง สุราษฎร์ธานีบ้าง พัทลุงบ้าง เขาก็จะกลับบ้านในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ คุณแนนเล่าว่าทุกครั้งที่ต้องนอนคนเดียว จะรู้สึกเหมือนว่าถูกผีอำ แล้วก็จะเห็นบางสิ่งบางอย่างอยู่ที่ปลายเท้า บางครั้งก็เป็นเด็ก บางครั้งก็เป็นผู้ชายแก่ หรือคนท้องบ้าง เรียกได้ว่ามาทุกรูปแบบ ทุกครั้งที่เจอคุณแนนก็จะสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้ตลอด บางคนก็ไปง่าย แต่กับบางคนก็ต้องใช้เวลาสวดนาน คุณเล่าเสริมอีกว่าเขาจะมาปรากฏโดยที่ไม่ได้พูดหรือสื่อสารอะไร เหมือนมายืนมองเราเฉย ๆ แต่ก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่หลอนขนลุกจนคุณแนนจำได้ถึงทุกวันนี้.. คุณแนนเล่าให้ฟังว่าอำเภอที่อาศัยอยู่นั้นค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมือง ต้องใช้เวลาเดินทางกว่า 2 ชั่วโมง แถมที่นี่ยังมีฝนตกแทบจะตลอดเวลา วันนั้นต้องไปส่งเอกสารด่วนในตัวเมือง คุณแนนจึงรีบออกเดินทางเพราะรู้ดีว่าเส้นทางขากลับที่จะต้องผ่านหากว่ายิ่งมืดก็ยิ่งอันตราย เส้นทางที่ว่าจะมีลักษณะเป็นทางโค้งหักศอกหากหลุดโค้งก็เท่ากับตกเหว นอกจากนั้นยังมีศาลตั้งอยู่ด้วย ทุกครั้งที่ผ่านคุณแนนก็จะรู้สึกอึดอัดใจทุกครั้ง แต่ด้วยงานที่ยังค้างคาและกว่าจะสะสางเสร็จ เวลากลับก็ล่วงเลยมาถึงหนึ่งทุ่ม คุณแนนตั้งใจว่าจะไม่วอกแวกและจะตั้งสติในการขับรถเพียงอย่างเดียว พี่ที่นั่งมาด้วยก็รู้ดีว่าคุณแนนสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง เขาก็พยายามหาเรื่องอื่นคุยกับคุณแนน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเครียด พอใกล้จะถึงทางโค้ง พี่เขาก็จับขาคุณแนน แล้วก็บอกว่า “พี่อยู่นี่นะ ไม่ต้องกลัว เราอยู่ด้วยกัน” คุณแนนก็พยายามมองแค่ทางตรง แต่ก็ต้องเสียสมาธิเพราะมีอะไรบางอย่างดึงความสนใจอยู่ที่หางตา! คุณแนนเผลอหันไปมองเข้าเต็ม ๆ ภาพที่เห็นคือศพหน้าเละที่ถูกผ้าห่อเต็มไปด้วยเลือดสีแดงยืนอยู่ตรงศาล! คุณแนนเห็นแบบนั้นก็ร้องกรี๊ดออกมาทันที สติแทบไม่อยู่กับตัว! พี่ที่นั่งมาด้วยก็พยายามช่วยตั้งสติ เพราะกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ คุณแนนพอเริ่มได้สติก็พยายามขับรถให้ผ่านตรงนั้นไปแม้จะยังร้องไห้และช็อคกับสิ่งที่เห็น เมื่อขับผ่านจุดนั้นก็จอดรถและรวบรวมสติให้ได้มากที่สุด เมื่อทุกอย่างเริ่มโอเคขึ้น ก็ขับรถกลับที่พักอย่างปลอดภัย ปัจจุบันนี้คุณแนนได้ย้ายกลับมาทำงานที่จังหวัดสุพรณบุรีแล้ว แต่ก็ยังคงมีความรู้สึกสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้คิดร้ายอะไร ขอแค่ถ้าอยากได้อะไรก็ให้มาบอกดี ๆ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ติดตามฟังเรื่องเต็มได้ที่

album

0
0.8
1