Phone in เรื่องเล่าจาก 'อัค อัครัฐ' I อังคารคลุมโปง X ฟิล์ม ธนภัทร - นุ่น ศิรพันธ์ [4 ก.พ. 2568]

อังคารคลุมโปง RECAP

Phone in เรื่องเล่าจาก 'อัค อัครัฐ' I อังคารคลุมโปง X ฟิล์ม ธนภัทร - นุ่น ศิรพันธ์ [4 ก.พ. 2568]

04 ก.พ. 2025

      ‘คุณอัค อัครัฐ’ ได้ Phone in มาเล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากกองถ่าย เหตุการณ์เกิดขึ้นกลางวันแสก ๆ แต่กลับมีบางสิ่งเดินผ่านกล้อง ทั้งที่ทั้งกองยืนยันว่า ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น! ทว่าภาพที่ปรากฏในมอนิเตอร์ กลับเผยให้เห็นเงาร่างลึกลับ.. สวมโจงกระเบน เดินผ่านประตูไปต่อหน้าต่อตา! แล้วใครที่เดินผ่านไปกันแน่? มาฟังพร้อมกันในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (4 กุมภาพันธ์ 2568) กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ แล้วจะรู้ว่า บางสิ่งรอบตัวอาจกำลังจับมามองคุณอยู่!

      ‘อัค อัครัฐ’ เล่าว่าเรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้คุณอัคได้รู้ว่าผีมีอยู่จริง และสถานที่ก็คือกองถ่ายละครแห่งหนึ่ง ย่านลำลูกกา คลองสาม เป็นหมู่บ้านจัดสรรร้างที่มีคนไปถ่ายละครที่นั่นกันบ่อย ๆ

      ในวันนั้น เหตุเกิดขึ้นตอนเวลาประมาณบ่ายสองโมงครึ่งถึงบ่ายสามโมง สมัยก่อนกล้องถ่ายหนังมักจะใช้กล้องเล็ก ๆ กล้องเดียวตามหลังนักแสดง เหตุการณ์ตอนนั้นคือตากล้องกำลังถ่ายเก็บภาพเดินตามหลังนักแสดงอยู่ สถานที่ถ่ายทำนั้นเป็นทางยาวตรง มีสามแยกอยู่ทางด้านขวา ปลายทางของทางตรงมีประตูอยู่หนึ่งบาน เป็นประตูสีขุ่นที่ทีมงานปิดเอาไว้ แล้วเอาไฟไปยิงอยู่ด้านหลัง ซึ่งแถว ๆ นั้นจะมีผู้กำกับและทีมงานยืนอยู่ เพื่อกันไม่ให้คนเดินผ่าน เพราะถ้ามีคนเดินผ่านมันจะเข้าเฟรมกล้องที่ถ่ายอยู่และจะเห็นทันที ผู้ช่วยผู้กำกับจึงไปยืนกันไว้ตรงข้างประตูสีขุ่นนั้น

      หลังจากเริ่มถ่าย ตากล้องก็ค่อย ๆ เริ่มเดินตามหลังนักแสดงไป แต่จู่ ๆ ผู้กำกับก็ตะโกนขึ้นมา

      “คัต! ใครเดินวะ”

      แล้วทีมงานทั้งหมดเกือบ 50 ชีวิตของทั้งกองต่างเดินพากันมาหยุดอยู่ที่หน้ามอนิเตอร์ เพื่อดูภาพย้อนหลังในกล้อง จะเห็นประตูสีขุ่นบานนั้นอยู่ ซึ่งทุกคนเห็นอย่างเดียวกันว่า มีเงาคนเดินจากทางฝั่งขวาประตู ไปทางฝั่งซ้ายประตู เดินไปทางผู้ช่วยผู้กำกับที่ยืนกันคนอยู่ แต่ทางผู้ช่วยก็ได้ตะโกนบอกกลับมาว่า

      “มันไม่มีใครเดินนะพี่”

      ทีมงานที่ยืนอยู่แถวนั้น ต่างก็ช่วยยืนยันอีกเสียงว่า ‘มันไม่มีใครเดินจริง ๆ’ เพราะหากมีคนเดิน ผู้ช่วยที่ยืนอยู่ก็ต้องเห็น แต่ในมอนิเตอร์ที่ทุกคนเห็นมันมีเงาของคนเดินผ่านจริง ๆ จากนั้นทุกคนก็ได้ทำได้เพียงแค่ปลอบใจกันเองว่า

      ‘คงเป็นทีมงานเดินแหละ แต่ไม่มีใครกล้ายอมรับเพราะกลัวผู้กำกับด่า’ เพื่อที่จะให้งานสามารถไปต่อได้

      วันนั้นหลังจากที่ถ่ายทำเสร็จเรียบร้อย ทีมงานก็ได้นำฉากนี้ไปลงในคอมพิวเตอร์เพื่อจะมาดูย้อนหลัง หลังจากนำไฟล์ลงในคอมพิวเตอร์แล้ว ก็จะสามารถดูเฟรมต่อเฟรมได้ ทีมงานก็ได้ซูมเข้าไปที่ประตู ก็เห็นเป็นเงาของคนที่เดินจากประตูฝั่งขวามาฝั่งซ้ายจริง ๆ แต่เพิ่มเติมคือเห็นรายละเอียดของเงาปริศนานั้นชัดเจนขึ้นคือ ‘ระหว่างขาที่เขาเดิน เห็นเป็นกางเกงโจงกระเบน ตรงส่วนไหล่จะเป็นพุ่มสองข้างทั้งซ้ายและขวา’

      ซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่ใช่เพียงแค่คุณอัคที่เห็นคนเดียว แต่เป็นคนทั้งกองเห็น คุณอัครู้สึกได้ทันทีเลยว่า ‘ผีมีอยู่จริง’

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

เรื่องเล่าจากคุณทันเดอร์ ‘เรือเที่ยวสุดท้าย’ l อังคารคลุมโปง X ใหม่ รอเรน [ 3 มิ.ย.2568 ]

08 มิ.ย. 2025

เรื่องเล่าจากคุณทันเดอร์ ‘เรือเที่ยวสุดท้าย’ l อังคารคลุมโปง X ใหม่ รอเรน [ 3 มิ.ย.2568 ]

‘คุณทันเดอร์’ ได้เข้ามาเล่าเรื่องราวสุดหลอนที่ตัวเองได้เจอเมื่อต้องเลิกงานดึก เป็นเหตุให้เขาได้เจอกับผีบนเรือ เรื่องราวทั้งหมดจะจบลงอย่างไร สามารถติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 มิถนายน 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ในเรื่องที่มีชื่อว่า ‘เรือเที่ยวสุดท้าย’ ที่เชื่อว่าทำเอาหลายคนอาจจะไม่กล้านั่งเรืออีกเลย เมื่อประมาณ 5 ปีก่อน คุณทันเดอร์ต้องทำงานกะดึก วันนั้นฝนตกหนักมากจนต้องรอฝนหยุดก่อนจะได้กลับบ้าน แต่พอนึกได้ว่าใกล้ถึงเวลาเรือเที่ยวสุดท้ายแล้ว จึงตัดสินใจรีบฝ่าฝนไปที่ท่าเรือ พอไปถึง เรือกำลังจะออกพอดี เขาจึงรีบกระโดดขึ้นเรือได้แบบทันเวลา บนเรือนั้นมีคนนั่งอยู่ไม่กี่คน คุณทันเดอร์เลือกไปนั่งแถวท้ายเรือ ใกล้ ๆ กับคุณป้าคนหนึ่ง ไม่นาน เรือก็แวะจอดที่ท่าเพื่อรับผู้โดยสารใหม่ เขาสังเกตเห็นว่ามีคนรออยู่ประมาณ 5 คน หนึ่งในนั้นเป็นนักศึกษาหญิงคนหนึ่ง ยืนเท้าเปล่า ตัวเปียกฝน เธอดูไม่เหมือนคนทั่วไปตรงที่.. เธอไม่ขึ้นเรือ ที่แปลกกว่านั้นคือ เธอหันมามองคุณทันเดอร์ สายตาของเธอนิ่งและว่างเปล่าจนน่าขนลุก พอเรือเริ่มออกจากท่า เธอก็ยังมองมาเหมือนเดิม ก่อนจะค่อย ๆ ย่อตัวลง คลานออกมาจากหลังคาท่าเรือจนถึงขอบบันได แล้วจู่ ๆ ก็ทิ้งตัวลงไปในน้ำ สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ทุกคนบริเวณนั้นกลับไม่มีใครแสดงท่าทีตกใจเลยแม้แต่น้อย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณทันเดอร์เริ่มมั่นใจว่าตัวเองเจอดีเข้าให้แล้ว จึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา ไม่นาน ฝนก็ตกหนักขึ้น เขาเริ่มได้ยินเสียง ‘จ๋อม...จ๋อม...’ จากข้างเรือ พอหันไปดู ก็เห็นมือซีดขาวโผล่ขึ้นมาจับกาบเรือ มือนั้นค่อย ๆ เลื่อนเข้ามาใกล้ เขาพยายามไม่สนใจ แต่แล้วน้ำก็สาดเข้าหน้า จึงหันไปมอง ก็เห็นผู้หญิงคนนั้นขึ้นมานั่งคุกเข่าอยู่บนกาบเรือ ก้มหน้ามองเขา มือของเธอเอื้อมมาจับแขน แล้วบีบแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นก็ค่อย ๆ เอื้อมมาจับแก้ม มือของเธอเย็นเฉียบเหมือนเนื้อแช่แข็ง ก่อนจะพูดว่า... “อยู่ตรงนี้” คุณทันเดอร์หลับตาภาวนาในใจว่าจะทำบุญให้เธอ พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็หายไปแล้ว หลังจากขึ้นจากเรือ คุณทันเดอร์ต้องต่อรถกลับ ขณะที่นั่งรถ ทุกครั้งที่รถขับข้ามสะพาน เขามักจะเห็นผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ริมสะพานเงียบ ๆ จ้องมองรถที่แล่นผ่านไป จนกระทั่งกลับไปทำงานและต้องใช้เรืออีกครั้ง เมื่อเรือใกล้จะถึงท่าเดิม เขาเห็นนักศึกษาคนเดิมยืนอยู่ที่เดิมในสภาพเปียกโชกเหมือนเดิม คราวนี้คนบนเรือลุกขึ้นมามุงดูอะไรบางอย่าง และได้ยินเสียงพูดว่า “จอดท่านี้ไม่ได้ ต้องไปจอดที่อื่น” ขณะที่เรือกำลังแล่นออกมาจากท่า เขาเห็นทีมกู้ภัยกำลังช่วยดึงร่างของหญิงสาวคนหนึ่งขึ้นจากน้ำ เป็นร่างนักศึกษาผู้หญิงคนเดียวกับที่เขาเห็นมาตลอด ขณะที่เรือแล่นออกไปไกล เขามองเห็น “เธอ” คนเดิม ยืนอยู่ริมฝั่ง มองดูร่างไร้วิญญาณของตัวเอง แล้วกระโดดลงน้ำอีกครั้ง... 2–3 วันต่อมา ได้ยินข่าวมาว่า นักศึกษาหญิงคนนั้นเสียชีวิตจากการทะเลาะกับแฟน ฝ่ายชายเผลอพลั้งมือทำให้เธอตาย แล้วนำศพไปโยนทิ้งคลอง เขาคิดว่าสิ่งที่เขาเจอคือวิญญาณของนักศึกษาผู้หญิงคนนั้นที่มาขอความช่วยเหลือ(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณหมิง ‘คอร์สเสริมเพิ่มหลอน’ I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [ 7 พ.ค. 2567]

11 พ.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณหมิง ‘คอร์สเสริมเพิ่มหลอน’ I อังคารคลุมโปง X โนอาร์ ล่าท้าผี [ 7 พ.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘คุณหมิง’ ได้นำเรื่องราวสุดหลอนจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (7 พฤษภาคม 2567) ขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘คอร์สเสริมเพิ่มหลอน’ จะหลอนแค่ไหนนั้น ไปอ่านกัน! โดยคุณหมิงเริ่มเล่าว่า ย้อนกลับไปสมัยที่คุณหมิงยังเรียนอยู่ปี 1 คณะที่คุณหมิงกำลังศึกษาอยู่นั้น ได้เปิดสอนรายวิชาอนาโตมีหรือกายวิภาคศาสตร์ ซึ่งต้องเรียนกับอาจารย์ใหญ่ เพื่อที่สุดท้ายแล้วจะต้องเอาความรู้ทั้งหมดไปสอบ ‘แล็บกริ๊ง’ หรือการสอบดูชิ้นส่วนอวัยวะของมนุษย์ เช่น กล้ามเนื้อ สมอง ลำไส้ และกระดูก โดยต้องแข่งกับเวลาที่จำกัด คุณหมิงจึงตัดสินใจอยู่ที่ห้องเรียนจนดึก เพื่อต้องการศึกษาด้วยตนเองนอกรอบ ภายในห้องเรียนนั้น จะพบกับร่างของอาจารย์ใหญ่ ซึ่งอาจารย์ใหญ่บางท่านที่ผ่านการดองมานาน หรือผ่านมือลูกศิษย์มาหลายคน ยิ่งเวลานานเข้า สภาพศพก็ยิ่งเน่าเปื่อยไปตามกาลเวลา อาจารย์ใหญ่บางท่านก็อาจจะถูกตัดชิ้นเนื้อบางส่วนออกไป หรือมีการเลาะเส้นเลือดออก เพื่อศึกษาอวัยวะ คุณหมิงใช้เวลาในห้องเรียนนี้มาถึงช่วงตีหนึ่งกว่า ความมืดทำให้การมองเห็นยากขึ้น คุณหมิงต้องใช้ความพยายามที่จะเพ่งดูเส้นเลือดขนาดเล็ก บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความกดดันและความเครียด คุณหมิงจึงเริ่มสติหลุด ด้วยความเหนื่อยจึงบ่นกับตัวเองว่า “โอ้ย ! อะไรเนี่ย… จะจำได้ไหม สอบไม่ได้แน่เลย” และยังปากพล่อยออกไปอีกว่า “ท่านคะ มาสอนหนูหน่อย หนูจำอะไรไม่ได้” ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีเทคโนโลยี คุณหมิงไม่สามารถใช้โทรศัพท์บันทึกภาพหรือวิดีโอได้ คุณหมิงทำได้เพียงจดจำทุกอย่างเท่าที่จะจำได้ จากนั้นไม่นาน คุณหมิงก็ตัดสินใจกลับหอพัก หลังจากที่ทำภารกิจส่วนตัวเสร็จ คุณหมิงก็พร้อมนอน ระหว่างที่กำลังจะหลับสนิท คุณหมิงก็เห็นภาพในห้วงนิมิต เป็นภาพคล้ายร่างของอาจารย์ใหญ่ มายืนจ้องเขม็งสายตามองตรงมาที่คุณหมิง โดยร่างมีสภาพเปลือยเปล่าเหมือนศพ สักพักภาพก็ค่อย ๆ ใกล้ขึ้น เป็นภาพกล้ามเนื้อตรงหน้าอก ซึ่งอาจารย์ใหญ่ท่านก็กำลังยืนฉีกและแหวกหน้าอกของตนโชว์ต่อหน้าคุณหมิง! ท่านค่อย ๆ ฉีก ค่อย ๆ แหวก ทำให้หนังด้านนอกหลุดออก จนสามารถเห็นกล้ามเนื้อด้านในชัดเจนมากขึ้น ซึ่งภาพตรงเข้ามาหาคุณหมิงเรื่อย ๆ! ความรู้สึกของคุณหมิงตอนนั้น คือ ช็อคจนทำอะไรไม่ถูก ตกใจสุดขีด แต่จะร้องก็ร้องไม่ออก กลัวจนตัวสั่น คุณหมิงจึงรีบลุกขึ้นจากเตียง ลงมานั่งยกมือไหว้ พูดขอขมาซ้ำไปซ้ำมาว่า “หนูขอโทษ ไม่ต้องมาสอนหนูแล้ว หนูรับไม่ไหว… หนูขอโทษค่ะ” หลังจากนั้นไม่นานภาพก็หายไป แล้วคุณหมิงก็ไม่เห็นภาพอาจารย์ใหญ่อีกเลย ซึ่งพอคุณหมิงดึงสติกลับมาได้ จึงมานั่งคิดว่า “ถ้าหากตนทนต่อตอนนั้น มีหวังอาจารย์ใหญ่ก็คงจะสอนต่อจนหมดทั้งร่างแน่นอน”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณเอฟ ‘หุ่นลอยได้’ I อังคารคลุมโปง X เอฟ พงศ์พิทักษ์ [ 14 พ.ค. 2567]

19 พ.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณเอฟ ‘หุ่นลอยได้’ I อังคารคลุมโปง X เอฟ พงศ์พิทักษ์ [ 14 พ.ค. 2567]

เรื่องราวนี้ ‘คุณเอฟ พงศ์พิทักษ์’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (14 พฤษภาคม 2567) ขนหัวลุกไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า ‘หุ่นลอยได้’ จะหลอนแค่ไหนนั้น ไปอ่านกัน! คุณเอฟเล่าว่าเรื่องราวนี้เกิดช่วงปิดเทอมหน้าร้อน คุณเอฟนัดกับเพื่อนไปเที่ยวที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพประมาณ 2-3 วัน ซึ่งเพื่อนของคุณเอฟก็บอกว่าสามารถมาได้ แต่ก็ได้ขอให้คุณเอฟช่วยงานที่มหาวิทยาลัยด้วย คุณเอฟจึงตอบตกลงไป เรื่องนี้จะมีสถานที่สำคัญอยู่ 2 แห่ง คือ ‘ตึกที่เกิดเหตุ’ และ ‘ตึกที่คุณเอฟจะไปช่วยงาน’ คุณเอฟได้อธิบายเพิ่มว่าทั้ง 2 ตึกนี้อยู่ตรงข้ามกันขั้นกลางด้วยถนนสี่แยก โดยตึกที่เกิดเหตุจะมีหุ่นลองเสื้อผ้าจำนวนมากและศิลปะทำมือเก่า ๆ ส่วนตึกที่คุณเอฟไปช่วยงานเป็นตึกที่ด้านล่างจะเป็นลานกว้าง และมีโต๊ะสำหรับนักศึกษา เมื่อคุณเอฟไปถึงที่มหาวิทยาลัย เพื่อนคุณเอฟได้สอบถามว่า “มีใครขับมอเตอร์ไซค์เป็นบ้าง” คุณเอฟจึงตอบกลับไปว่า “ผมขับเป็น” เพื่อนคุณเอฟจึงวานให้คุณเอฟเอากระติกน้ำไปให้กับกลุ่มเชียร์หลีดเดอร์ทุก ๆ 2 ทุ่มและไปนำกระติกกลับในช่วงเที่ยงคืน - ตี1 เพราะในช่วงนั้นมหาลัยของเพื่อนคุณเอฟจะมีการซ้อมเชียร์หลีดเดอร์เพื่อแข่งงานกีฬาของมหาวิทยาลัย ในวันแรก คุณเอฟได้นำกระติกน้ำไปให้กลุ่มเชียร์หลีดเดอร์ตามที่ตกลงกับเพื่อนไว้ เมื่อถึง ก็ได้บอกกับกลุ่มเชียร์หลีดเดอร์ว่า “เดี๋ยวช่วงเที่ยงคืน – ตี1 จะมาเอากระติกคืนนะ” หลังจากนั้นคุณเอฟก็ขับรถไปที่ร้านเกมและนั่งเล่นเกมตั้งแต่ 2 ทุ่มถึงเที่ยงคืน เมื่อถึงเวลาคุณเอฟก็ขับรถไปเอากระติกคืน คุณเอฟเล่าว่าบริเวณสี่แยกจะมีช่องถนนที่ทำให้เห็นบริเวณหลังตึกของตึกเกิดเหตุ ซึ่งในบริเวณนั้นจะมีนักศึกษากำลังทำอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการขึ้นแสตนด์ของงานแข่งกีฬา เช่น อุปกรณ์เชียร์ เมื่อเก็บกระติกเสร็จคุณเอฟก็กลับห้องตามปกติ ในวันที่สอง คุณเอฟก็นำกระติกไปให้ตามปกติ วันนี้คุณเอฟสังเกตว่าจำนวนนักศึกษานั้นมากกว่าปกติถึงเท่าตัว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร เพราะคิดว่าน่าจะใกล้วันงานแล้วนักศึกษาจึงรีบมาช่วยกันทำ หลังจากนั้นคุณเอฟก็ขับรถกลับไปนั่งเล่นเกมเหมือนเดิม ซึ่งจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้กำลังจะเกิดขึ้น ในตอนที่คุณเอฟกำลังจะไปนำกระติกคืน เมื่อถึงก็คุยกับเพื่อนเชียร์หลีดเดอร์ตามปกติ หลังจากนั้นในตอนที่กำลังกลับ คุณเอฟจะต้องกลับรถไปทางฝั่งตึกที่เกิดเหตุเนื่องจากเป็นทางเข้าทางเดียว ในขณะที่คุณเอฟกำลังกลับรถก็มีสายโทรศัพท์โทรเข้ามา คุณเอฟจึงขับรถชิดขวาซึ่งอยู่บริเวณตึกที่เกิดเหตุ และบอกกับเพื่อนที่ซ้อนท้ายว่าขอคุยโทรศัพท์ก่อน ซึ่งในตอนที่คุณเอฟกำลังคุยโทรศัพท์ก็โดนเพื่อนที่ซ้อนท้ายสะกิดเหมือนกับส่งสัญญาณว่าให้ไปได้แล้ว หลังจากที่คุณเอฟวางสายก็ได้ถามเพื่อนว่า “มีอะไรหรือเปล่า” แต่เพื่อนก็ตอบแค่ว่า “ไป ไปก่อน ไปเดี๋ยวนี้” เมื่อคุณเอฟขับถึงประตูทางเข้า คุณเอฟก็จอดแล้วถามเพื่อนว่า “เป็นอะไร ทำไมถึงมาสะกิดเร่งให้ไป” เพื่อนคุณเอฟจึงบอกว่าตัวเขาไม่รู้ว่าตัวเขาตาฝาด หรือมองพลาดไป เพราะในตอนที่คุณเอฟจอดรถคุยโทรศัพท์ เพื่อนของคุณเอฟก็เห็นกลุ่มนึกศึกษาบริเวณตึกเกิดเหตุกำลังขนของกันตามปกติ แต่คนสุดท้ายของแถวที่กำลังแบกไม้อยู่นั้น ดันมีแค่หัวของหุ่นลองเสื้อผ้าสีชมพูอมม่วงที่ลอยตามหลังไป ซึ่งเพื่อนของคุณเอฟก็ตกใจจนกระอักกระอ่วน คุณเอฟรู้สึกว่าอยากให้เพื่อนสบายใจจึงขับรถกลับไปดูบริเวณที่เพื่อนของคุณเอฟเห็น เมื่อคุณเอฟเลี้ยวไปจอดที่บริเวณนั้น สิ่งที่คุณเอฟเห็นคือซากหุ่นจำนวนมากที่กองอยู่ แต่มีหุ่นอยู่ตัวหนึ่งที่ลำตัวยืนอยู่ แต่หัวของหุ่นวางอยู่ที่พื้นซึ่งสีของหุ่นตัวนี้คือสีชมพูอมม่วง ในขณะที่หุ่นที่เหลือนั้นเป็นสีขาวครีมทั้งหมดเลย! คุณเอฟอยากรู้จึงถามเพื่อนที่เรียนที่นี่ว่ามีประวัติอะไรหรือไม่ เพื่อนคุณเอฟได้บอกว่า “โดนรับน้องซะแล้ว เพราะจริง ๆ สถานที่นี้เคยเป็นป่าช้าเก่าที่เคยมีสงครามมาก่อนและมีคนเคยเจอเยอะมาก ส่วนใหญ่ที่เจอคือจะเป็นหัวของหุ่นลอย และตัวหุ่นจะเปลี่ยนท่าทางยืนเอง หรือไม่ก็เจ้าที่ใส่ชุดไทยเดินผ่านไปผ่านมา” หลังจากเหตุการณ์นี้ คุณเอฟก็ไม่ขอวนรถกลับไปดูอีก คุณเอฟกล่าวว่าถ้ากลางวันไปถ่ายรูป Portrait ก็ดูอาร์ตและเท่ดี แต่ถ้ากลางคืนคงไม่กล้าไปอีกเพราะหลอนมาก(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณเอก ตายเเน่ 'ความตั้งใจครั้งสุดท้าย' I อังคารคลุมโปง X ออโต้ เดอะโกส [ 26 พ.ย. 2567 ]

30 พ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณเอก ตายเเน่ 'ความตั้งใจครั้งสุดท้าย' I อังคารคลุมโปง X ออโต้ เดอะโกส [ 26 พ.ย. 2567 ]

‘คุณเอก ตายแน่’ สายจากทางบ้านได้นำเรื่อง ‘ความตั้งใจครั้งสุดท้าย’ มาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 พฤศจิกายน 2567) ฟังกัน มาดูกันว่า ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟังแล้วจะรู้สึกอย่างไร เรื่องราวจะหลอนขนาดไหน ไปอ่านพร้อมกันเลย!! ‘คุณเอก ตายแน่’ บอกว่าเป็นเรื่องที่ได้ยินมาจาก ‘คุณแม่’ ซึ่งคุณแม่ได้เล่าว่า เมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่แล้ว น้าของคุณเอกที่ชื่อ ‘เก่ง’ เป็นผู้ชายผมยาว เจ้าสำอาง มักจะพกครีมและหวีผมตลอด นอกจากนี้ยังเป็นสายเกมอีกด้วย น้าเก่งมีเพื่อนเป็นรุ่นน้องคนหนึ่งชื่อ ‘แบงค์’ เป็นคนที่ชอบความเร็ว ชอบแต่งรถมอเตอร์ไซค์ กิจวัตรประจำวันก็จะชอบมาเล่นมาเที่ยวที่บ้านทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้า สาย เที่ยง บ่าย เย็น บางวันก็มาช่วงดึก ทุกครั้งที่แบงค์มาที่บ้าน ก็จะชอบเอาแจ็คเก็ตมอเตอร์ไซค์มาคลุมหัว เพราะเขาจะแกล้งหมา เมื่อน้องหมา 3-4 ตัวที่อยู่ที่บ้านเห็นก็จะเห่า จากนั้นแบงค์ก็เฉลยด้วย “แฮ่!” ออกมา หมาก็จะกระดิกหางดีใจใหญ่ เพราะแบงค์มาบ่อยจนมันจำได้ มีอยู่วันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันสำคัญทางศาสนา เป็นวันพระใหญ่ แบงค์ก็ได้บอกกับน้าเก่งว่า “พี่ เดี๋ยวผมมาหานะวันนี้ ผมไปเที่ยวกับเพื่อนก่อน น่าจะมาดึกหน่อยสัก 4-5 ทุ่ม” จากนั้นแบงค์ก็ได้ซ้อนสามไปกับเพื่อน ทั้งสามคนได้ดื่มแอลกอฮอล์ด้วยกัน หลังจากเที่ยวเสร็จก็ได้ขี่รถซ้อน สามกลับมา วันนั้นได้เกิดอุบัติเหตุขึ้น สองคนเสียชีวิตคาที่ อีกหนึ่งคนเสียชีวิตที่โรงพยาบาล แบงค์เป็นหนึ่งในสองคนที่เสียชีวิตคาที่ โดยแบงค์กระเด็นออกไปนอกรถ ช่วงล่างตั้งแต่ขาลงไป ไปฟาดกับต้นไม้ใหญ่ จนแตกไปหมด สาเหตุที่เสียชีวิตมาจากลูกอัณฑะแตก ทำให้เขาเสียชีวิตคาที่ ระหว่างนั้นเอง ที่บ้านของน้าเก่งที่อยู่กันเป็นครอบครัว โดยน้าเก่งจะนอนคนเดียว แม่ของคุณเอกกับป้านอนด้วยกัน และตากับยายนอนแยกอีกห้อง ซึ่งบ้านจะเป็นไม้ยกสูงขึ้น มีบันไดอยู่ประมาณ 7 ขั้นไม่สูงมาก ช่วงประมาณ 4 ทุ่ม จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงหมาเห่า ทุกคนในบ้านเป็นอันรู้กันว่าแบงค์มาแล้ว เพราะหลังจากหมาเห่าเสร็จ น้องก็จะดีใจกระดิกหางตีก้นดัง แปะ แปะ แปะ เมื่อได้ยินดังนั้น น้าเก่งก็ตะโกนบอกคนในบ้านให้ไปรับแบงค์ขึ้นมา เพราะตนนั้นนั่งเล่นเกมอยู่ พี่ใหญ่สุดก็คือคุณป้าของคุณเอก เป็นสาวหล่อห้าว ได้เดินออกไปดู หลังจากออกไปดูเสร็จก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาในห้อง พร้อมกับเอาหมอนอุดหัว แล้วกัดฟัน กอด! กอด! เหมือนกับไปเจออะไรมา จนทำให้น้องที่อยู่ในห้องกลัวกันหมด แม่ของคุณเอกก็สงสัยว่าไปเจออะไรมา จึงเปิดประตูออกไปแล้วชะโงกหัวออกไปตรงบันได แม่ของคุณเอกเล่าให้ฟังว่า ถึงมันจะแปปเดียว แต่ก็จำรายละเอียดได้หมดว่า เป็นภาพแบงค์ที่ยืนอยู่ ช่วงบนตัวชุ่ม แต่ช่วงล่างเละ กางเกงยีนส์ขาดเป็นช่อง แสงส่องเข้าไปเห็นเป็นเนื้อสีแดง ขาข้างหนึ่งบิดเป็นเกลียวและบิดจนหันไปข้างหลัง หลังจากแม่ของคุณเอกเห็นอย่างนั้นก็ตกใจวิ่งเข้ามาในห้องและตะโกนว่า “ผีหลอก! ผีหลอก! ช่วยด้วย!!” ทางน้าเก่งที่เล่นเกมอยู่ก็ได้ยินเสียง และตะโกนออกมาว่า “จะตะโกนเสียงดังอะไรนักหนา ดึกแล้วเนี่ย เอ้าสรุปใครมา” ผ่านมาสักพักเป็นเสียงที่ลอยมาตามลมเย็น ๆ เบา ๆ ว่า “พี่เก่ง ๆ ให้ผมขึ้นบ้านหน่อยพี่ ผมขึ้นไปไม่ได้” น้าเก่งที่กำลังเล่นเกมอยู่ ซึ่งเกมออนไลน์สมัยนั้นต้องต่อสายแลน แล้วมันก็หยุดไม่ได้ น้าเก่งเลยตะโกนตอบไปว่า “เอ็งขึ้นมาเลย เอ็งก็เคยขึ้นมาประจำ” แต่ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า “ผมขึ้นไปไม่ได้พี่ ให้ผมขึ้นไปหน่อย ให้ผมขึ้นไปนะพี่” น้าเก่งเริ่มโมโหจึงพูดว่า “เออ เอ็งขึ้นมาเร็ว ๆ เอ็งขึ้นมาเลย” หลังจากที่พูดคำนั้นเสร็จ ก็มีเสียงบันไดไม้ที่ถูกเหยียบขึ้นมา มันก็ลั่น แอ๊ด แอ๊ด พร้อมกับเสียงลากขาแปลก ๆ กางเกงยีนส์ที่ไม่ได้พับขาก็ถูกลากไปกับพื้น ครืด ครืด ครืด จนเสียงนั่นก็มาหยุดที่หน้าห้องของน้าเก่ง เมื่อเสียงเดินเงียบไป มีเสียงพูดขึ้นมาต่อว่า “พี่เก่ง เปิดประตูให้ผมหน่อย” น้าเก่งยังคงโมโหอยู่ ก็รีบไปเปิดประตู และบอกว่า “อะไรหนักหนาเนี่ย” แต่สิ่งที่เห็นคือความว่างเปล่า! จึงพูดออกไปว่า “แบงค์อย่ามาเล่นอย่างนี้นะ ถ้าจะเล่นแบบนี้ก็กลับไป” จากนั้นก็ปิดประตูด้วยความหัวเสีย และกลับมาเล่นเกมต่อ ทางด้านพี่น้องคนอื่น ๆ ก็ขุดตัวอยู่ในผ้าห่ม กลัวกันไม่กล้านอน ภายในคืนนั้น น้าเก่งก็ฝันว่า แบงค์มานั่งอยู่ปลายเท้า และเริ่มร้องไห้ขึ้นมา จากนั้นแบงค์ก็ยกมือขึ้นมานวดขาตัวเอง นวดไปนวดมา ทางน้าเก่งที่กำลังจัดการเรื่องวิดีโอเกมอยู่ในฝัน ก็ได้ยินเสียงแบงค์พูดเป็นเสียงกระเส่าว่า “พี่เก่ง ผมปวดขาพี่ ผมปวดขามากเลยอะ” น้าเก่งก็ได้ตอบว่า “เอ็งก็นวดขาเองไปดิ จะบอกข้าทำไม” แบงค์ก็ตอบกลับมาว่า “ผมปวดจริง ๆ นะ พี่ช่วยมาดูให้ผมหน่อย” น้าเก่งรู้สึกว่ามันผิดปกติ จึงหันไปดู ปรากฎว่าเป็นแบงค์ที่นั่งอยู่ ก็เห็นว่าขาข้างหนึ่งข้อต่อตรงเข่าหลุด แต่ยังมีเส้นเอ็นที่รั้งไม่ให้มันขาดจากกัน พอน้าเก่งเห็นแบบนั้นก็ตกใจและสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก และหันไปมองปลายเท้าก็ไม่เห็นอะไร แต่สิ่งที่ผิดปกติคือประตูที่เปิดอยู่ทั้ง ๆ ที่ตอนกลางคืนได้ปิดไปแล้ว หลังจากนั้น ก็เก็บเรื่องราวทั้งหมดมาจนถึงตอนเช้า และก็ได้รู้ข่าวว่า แบงค์ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แบงค์นั้นเป็นลูกคนมีสตางค์ หลังจากที่จัดการเรื่องศพ ก็มีกำหนดการว่าวันพรุ่งนี้จะต้องมีงานศพ ทุกคนก็กลับมารวมกันที่เกิดเหตุนั่นก็คือบ้านของน้าเก่ง และได้มานั่งคุยกันที่ใต้ต้นมะยมกลางบ้านถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในคืนนั้นเอง ก็ได้ยืนเสียงหมาเห่าขึ้นมา ซึ่งเห่าไปตรงกลางบ้านที่ไม่มีอะไร เสร็จแล้วก็กระดิกหางดีใจ พอทุกคนเห็นอย่างนั้นก็คิดว่า ‘แบงค์มาหรือเปล่า’ กลุ่มที่นั่งอยู่ก็ได้แตกฮือ บางคนก็วิ่งขึ้นบนบ้าน บางคนวิ่งออกนอกบ้าน แต่พี่คนโตสุดที่เป็นสาวหล่อ ก็ห้าวพูดขึ้นมาว่า “คืนนี้เรามาดูกันไหมว่า 4 ทุ่มผีจะมาเปล่า” น้องทุกคนก็กลัวกัน แต่ว่าตอนนั้นสว่างอยู่ ทุกคนจึงใจกล้า พอตกดึก 4 ทุ่ม ตอนนั้นอากาศก็เริ่มหนาว จู่ ๆ เสียงแบบเดิมก็มาอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีใครกล้าออกมา พอเสียงมาหยุดอยู่ที่หน้าบันได ก็ได้ยินเสียงเรียกที่เหมือนเดิมว่า “พี่เก่ง เปิดประตูให้ผมหน่อย ผมขึ้นไปไม่ได้” แต่ตอนนั้นไม่มีใครกล้าออกมา ทำเป็นแกล้งหลับกันหมด ส่วนคนที่จะจบเรื่องนี้ก็มีเพียงน้าเก่งที่ยังไม่หลับ และยังไม่เคยเจอต่อหน้า ที่เจอก็เป็นเพียงแค่ในฝัน เขาจึงยังไม่เชื่อว่าเป็นแบงค์จริง ๆ น้าเก่งจึงเปิดประตูออกมาชะเง้อดู แต่สิ่งที่เห็นคือ มีคนยืนอยู่ตรงกลางความมืด ขาถ่างเล็กน้อย แล้วก็ยื่นหน้าเข้ามาบริเวณ ที่เป็นไฟเหลือง ปรากฏเป็นหน้าแบงค์จริง พร้อมกับเลือดที่อาบอยู่ พอเห็นเช่นนั้น น้าเก่งก็ตกใจแล้วก็วิ่งเข้าไปในห้อง ทุกคนได้ยินเสียงเรียกทั้งคืน วันต่อมาก็มีงานศพ คุณแม่ของแบงค์เดินเข้ามาหากลุ่มของน้าเก่งแล้วพูดออกมาว่า “คนที่ชื่อเก่งนี่คือใครเหรอ ลูกเขาเสียชีวิตไปแล้ว ไม่มาหาแม่เลย มาหาแต่คนชื่อเก่ง เก่งนี่มันมีดีอะไรเหรอ ทำไมไม่รักแม่เลยรักแต่เพื่อน” เพราะข่าวลือที่ว่าแบงค์มาหาครอบครัวของน้าเก่งนั้นแพร่กระจายไป พอแม่ของแบงค์มาถึงหน้าบ้านของน้าเก่ง ก็เข้ามากอดขาพูดพร้อมกับร้องไห้ว่า “ลูกป้าเนี่ย ชอบน้องนะ รักน้องขนาดนี้ บวชให้น้องมันได้ไหมลูก” เนื่องจากน้าเก่งนั้นเป็นคนเจ้าสำอางรักเส้นผมของตัวเองมาก แต่การบวชนั้นต้องโกนผม จึงไม่ได้บวชให้ หลังจากเสร็จจากงานศพก็มารวมตัวพูดคุยกันที่หน้าบ้าน ญาติพี่น้องก็คะยั้นคะยอบอกน้าเก่งว่า “เอ็งบวชให้เขาเถอะ วิญญาณเขาจะได้ไปสู่งสุขติสักที” ระหว่างที่พูดอยู่ หมาทั้ง 3 ตัวก็อาการเหมือนเดิม จู่ ๆ ก็ตกใจแล้วก็หันมาดีใจ แล้วมองไปที่ว่างเปล่าที่หน้าบ้าน ทุกคนต่างกลัวและแตกฮือกันอีกเหมือนเดิม พี่สาวคนโตก็พูดกับน้อง ๆ ว่า “มันมีอยู่วิธีหนึ่ง เป็นวิธีโบราณ ที่เอาแป้งมาโรย แล้วจะเห็นรอยเท้าของผี” พอพูดเสร็จ พี่คนโตก็หยิบแป้งเด็กมาโรยไปทั่ว ไม่มีบทสวด ไม่มีอะไรทั้งนั้น โรยตั้งแต่หน้าบ้านไปจนถึงขั้นบันได แล้วก็โรยไปถึงหน้าห้องของทุกคน จากนั้นทุกคนก็เข้านอน และพกขวดใส่ปัสสาวะติดตัวไว้ เพราะไม่มีใครกล้าออกมา คุณตา คุณยายก็รับรู้ว่าหลานในบ้านเริ่มกลัวกันหมด จึงตัดสินใจว่า ถ้าได้ยินเสียงอะไรจะออกมาจัดการ พอถึง 4 ทุ่มเวลาเดิม เสียงก็เริ่มจากหมาเห่า จนถึงเสียงคนเดินเข้ามาในบ้าน คุณตาก็ได้หยิบธูปดอกหนึ่ง แล้วก็ปักไว้ที่กลางบ้าน จากนั้นก็สวดบทสวดเป็นภาษาบาลีพร้อมกับพูดเป็นภาษาไทยว่า “ไอหนูเอ้ย เอ็งอะมันอยู่คนละภพคนละภูมิกันแล้ว ถ้ายังไงเดี๋ยวจะทำบุญไปให้ น่าสงสารจริง ๆ อายุก็ยังน้อย มาตายละยังไม่รู้ตัวอีก” เมื่อสวดเสร็จ เสียงนั้นก็ก็หายไป.. เช้าวันถัดมา พี่คนโตก็รีบออกมา เพื่อที่จะไปดูผลงานของแป้งที่โรยเอาไว้ สิ่งที่เห็นคือเป็นรอยเท้าคนจริง ๆ แต่มันแปลกตรงที่ เท้าข้างหนึ่งเดินปกติ ส่วนเท้าอีกข้างมันหันกลับหลัง แต่เป็นลักษณะเท้าที่เดินไปพร้อมกัน คุณตาเห็นดังนั้นก็จับตีเรียงคน แล้วก็ใช้เท้าลบแป้งตรงนั้น น้าเก่งที่เห็นเหตุการณ์ ก็รู้สึกสงสารเพื่อนขึ้นมา จึงตัดสินใจบวชให้ในที่สุด หลังจากที่ตัดสินใจบวชให้ เสียงปริศนาและภาพที่น่าสยดสยองทั้งหมด ก็หายไปตั้งแต่วันนั้น..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1