Talk with “Jeff Satur” ถึงเบื้องหลังการทำซิงเกิลล่าสุด “Black Tie”

Chill Talk

Talk with “Jeff Satur” ถึงเบื้องหลังการทำซิงเกิลล่าสุด “Black Tie”

เมื่อแฟชั่นมาพบกับดนตรี "Jeff Satur" หรือ "เจฟ-วรกมล ซาเตอร์" เซอร์ไพรส์แฟน ๆ ด้วยซิงเกิลภาษาอังกฤษซิงเกิลแรกอย่างเป็นทางการ "Black Tie" ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากคอลเลกชัน Black Tie ของ Valentino ซ่อนนัยยะการใช้ชีวิตในแบบของตัวเองเอาไว้ภายใต้เสียงทรงพลัง และซาวน์ดนตรีอันหนักแน่น เราจึงไม่พลาดชวน เจฟ ซาเตอร์ มาพูดคุยถึงเบื้องหลังในการทำซิงเกิลนี้กัน

ซิงเกิลใหม่ “Black Tie” เริ่มต้นมาจากอะไร

“จริง ๆ มันเริ่มมาจากการตั้งคำถามกับสังคม เรื่องของบิวตี้สแตนดาร์ด เจนเดอร์ สแตนดาร์ดต่าง ๆ ที่คนชอบมอบให้กับคนคนนึง ว่า success ต้องเป็นยังไง คนที่สวยงามคนที่ดีต้องเป็นยังไง ก็เลยทำให้เรามีไอเดียตรงนี้อยู่ แล้วพอได้เห็นคอลเลกชัน Black Tie ของ Valentino ก็เลยรู้สึกว่า คอนเสปมันเป็นเรื่องที่เรากำลังคิดอยากจะแต่งเพลงแบบนี้อยู่ เลยกลายเป็นเพลงที่ชื่อว่า Black Tie โดยที่ในเนื้อเพลงจะพูดถึงเรื่องของการตีความคำว่า Black Tie เป็นเรื่องของการที่ต้องอยู่ในกฎระเบียบ การที่ต้องอยู่ในสแตนดาร์ดของอะไรบางอย่าง ที่คนอื่นเป็นคนมาแขวนให้เรา ว่านี่คืออยู่ในกฎระเบียบ ต้องโตแล้ว ต้องทำงาน ต้อง success โดยที่มันไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้นก็ได้ เราสามารถมีเส้นทางเป็นของตัวเองก็ได้ มันก็เลยเหมือนคอลเลกชัน Black Tie ที่เป็นการตีความไทด์ในแบบที่ไม่เหมือนกันเลย เป็น Black Tie เหมือนกัน แต่ไม่มี Black Tie ธรรมดาเลย เป็น Black Tie ที่ต่างกันออกไปหมดเลย”

สำหรับซิงเกิลนี้ เจฟได้เนื้อร้องหรือเมโลดี้มาก่อน

“เป็นเมโลดี้ก่อน ผมขึ้นโครงดนตรีก่อน แล้วผมก็นั่งร้องไปกับดนตรีว่าจะขึ้นว่าอะไรดี ก็เลยขึ้นคำว่า Black Tie มา ที่ใส่ไปตรงท่อนฮุค หลังจากนั้นก็มีท่อนลาลาลาตามมา”

เจฟลงคลิปสปอยล์เพลงนี้ใน TikTok ตั้งแต่เดือนมิถุนายนเลย ตอนนั้นแต่งเสร็จหรือยัง

“ตอนนั้นก็ยังแต่งไม่เสร็จครับ เพิ่งเอามานั่งแต่งใหม่ตอนช่วงก่อนจะปล่อยเพลง ตอนแรกก็มีแค่ท่อนนั้นแหละครับ (หัวเราะ)”

ใช้เวลาทำเพลงนี้นานมั้ย

“จริง ๆ ใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือนเลย เพราะมี schedule หลายอย่าง ก็เลยทำบ้าง พักบ้าง แต่ว่าตอนที่ทำจริง ๆ ประมาณ 2-3 วัน ก็เสร็จแล้วครับ”

ทำไมครั้งนี้ถึงเลือกทำเป็นเพลงภาษาอังกฤษ

“ผมรู้สึกว่าอะไรที่มันเป็นครั้งแรก มันควรจะเป็นการบ่งบอกตัวตนเราได้ดีที่สุด ก็เลยกลายเป็นว่า เพลงนี้มันเป็นการรวมกันของแฟชั่น งานศิลป์ วิชวล งานเพลงทั้งหมด แล้วก็เป็นภาษาอังกฤษ ปกติเราก็ฟังเพลงสากลใช่มั้ยฮะ แล้วเราก็อยากจะเขียนเพลงฟีล ๆ แบบนี้มานานแล้ว แล้วก็เล่าเรื่องของตัวเราให้ออกมาชัดที่สุด แล้วผมก็อยากจะเปิดเพลงแรกที่มันเป็นภาษาอังกฤษด้วยเพลงที่ค่อนข้างเร็ว”

เจฟได้ใส่เสียงเอื้อนและเสียงดนตรีไทยมาในเพลงด้วย ใช้เครื่องดนตรีชนิดไหน แล้วทำไมถึงเลือกทำออกมาในรูปแบบนี้

“ก็จะมีเป็นกลอง คือการที่เราต้องการจะเล่าเรื่องในเพลงสากลเพลงแรก เราอยากให้มันมีความเป็นตัวเรามากที่สุด คือเสียงพวกนี้เราเคยเรียนมาตอนนาฏศิลป์ เราเคยฟังมา ยังไงคนไทยก็ต้องได้ยินอะไรแบบนี้สักครั้งนึงในชีวิต เพราะฉะนั้นการที่เราเล่าเรื่อง แล้วก็การที่เราจะแตกต่างจากคนอื่น สร้างเพลงสากลขึ้นมาโดยที่มันไม่เหมือนใคร มันจะต้องเป็นตัวเองมากที่สุด เล่าเรื่องตัวเองมากที่สุด เราก็เลยเอา element พวกนี้มาใส่”

คิดว่าอะไรเป็นสิ่งที่ยากหรือท้าทายที่สุดในเพลงนี้

“ผมว่าเป็นการทำเพลงสากลยังไงก็ได้ ที่ไม่ได้เป็นการบังคับให้เมโลดี้ต้องเป็นไปตามคอนเสปของเพลง เพราะว่าพอเราไปอิงคอนเสปมาก ๆ บางทีเราไปยึดเนื้อร้อง จนทำให้เมโลดี้หรือโครงสร้างมันเสียหาย คืออันนี้ผมยึดเมโลดี้หรือดนตรีเป็นหลักไว้ก่อน ส่วนคอนเสปมันจะมาเองในวันที่ดนตรีกับเมโลดี้มันพร้อมแล้ว”

เจฟชอบท่อนไหนที่สุดในเพลง ทำไมถึงชอบท่อนนี้

“Now I’m in the wedding of my tears and my despair ตอนนี้ผมอยู่ในงานแต่งงานของน้ำตาและความสิ้นหวัง Soon I’d be at the funeral of all the things I care หลังจากนั้นผมจะไปงานศพที่มีแต่สิ่งที่ผมแคร์ เพราะทั้งสองที่ ทั้งงานแต่งงาน และงานศพ เราต่างใส่ Black Tie ครับ”'

มีท่อนที่ร้องว่า “Seven years old losing that part of my soul” ทำไมต้องเป็น 7 ขวบ

“เพราะว่า 7 ขวบ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของทุกคน ถ้าสมมุติ 7 ขวบที่เราเติบโตมา เราเติบโตมาดี หลังจากนั้นเราจะเป็นคนที่มี positive energy แต่ถ้าเราโตมาแบบครอบครัวทำร้าย โดนกดขี่ ก็จะโตมาอีกแบบ ซึ่งผมรู้สึกว่า 7 ปีมันสำคัญที่สุด ถ้ามันหายไปจากชีวิตเลย ในช่วงเวลาวัยเด็กอะไรแบบนี้ หมายความว่าเราก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่มีความเป็นเด็กเลย ก็ต้องโตแล้ว ต้อง success แล้วก็ไม่มีเวลาที่จะเล่น ไม่มีความคิดสร้างสรรค์หรือความครีเอทีฟเลย”

มาที่ MV บ้าง สตอรีของ MV นี้เป็นยังไง

“MV นี้ เราจะได้เห็นคนที่ทำตามกันมาก ๆ อย่างแดนเซอร์หลายคนที่ทำท่าคล้าย ๆ กัน เหมือนอยู่ในคำสั่ง อยู่ใน norm ของอะไรบางอย่าง ที่บังคับให้ทุกคนต้องทำตามแบบเดียวกันหมด ส่วนเราก็คือคนที่หลุดออกมาจากกรอบ เราอยู่อีกที่นึงกับพวกเขาแล้ว เรา wear my own black tie เราเลยไม่จำเป็นต้องทำตามใคร เป็นมาสเตอร์ เหมือนพอคนที่มันหลุดออกมา มันก็จะมีคนที่จะตามคนเหล่านั้นไป เพราะฉะนั้นจริง ๆ สแตนดาร์ดมันไม่มี มันมีแค่ว่าสแตนดาร์ดที่เราถูกสร้างขึ้นมาจากคนที่แยกออกมาจากสแตนดาร์ดเก่า มันก็จะกลายเป็นสแตนดาร์ดใหม่ไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องแคร์เรื่องสแตนดาร์ด ฉะนั้นในแต่ละพาร์ทของ MV มันก็จะมีสัญลักษณ์หรืออะไรบางอย่างที่บ่งบอกเรื่องนั้น”

ลุคใน MV ดีทุกลุคเลย มีลุคไหนเป็นลุคโปรดของเจฟมั้ย

“สองลุคที่ Valentino เขา customize ให้แล้วกัน Pierpaolo เป็นคนที่ลงมาดูงานตรงนี้ด้วยตัวเอง แล้วก็มันเป็นเกียรติมาก ๆ ที่จะมีชุด customize ของตัวเอง มีชื่อ Jeff Satur อยู่บนหลัง เป็นอะไรที่ภูมิใจมาก ๆ ครับ”

มีเรื่องเล่าสนุก ๆ หรือเรื่องเซอร์ไพรส์อะไรตอนถ่าย MV บ้างมั้ย

“เรื่องเซอร์ไพรส์นี่เล่าทุกที่เลย เป็นเรื่องระหว่างถ่ายทำครับ ซีนสุดท้าย เพราะว่ามันหมดเวลาแล้ว จะไปถ่ายอีกซีนนึงที่ต้องย้ายโลไปถ่าย แล้วมันใกล้จะเช้าแล้วด้วย เราก็เลยตัดสินใจถ่ายซีนสุดท้ายเป็นซิงค์เอา แล้วถ้าถ่ายซีนสุดท้ายเป็นซิงค์เอามันก็จะแห้งมาก ๆ เพราะว่ามันจะไม่มีอะไรเลย แต่ปรากฏว่าอยู่ดี ๆ ฝนตก ฝนตกในซีนแรก ตอน verse มาตกปรอย ๆ แล้วไดเรคเตอร์เขาก็ถามว่า เจฟไหวหรือเปล่า แต่ก็ถ่ายต่อไปเรื่อย ๆ เพราะผมคิดว่ามันคงจะดีถ้ามันมีฝนตก ช่วงท่อนฮุคแรกก็ฝนตกหนักประมาณนึง แล้วก็หายไปในช่วงท่อน verse 2 ตามดนตรี พอดนตรีหนักขึ้น ฝนก็ตกหนักขึ้นตามดนตรี จนสุดท้ายก็คือตกหนักเลย แล้วพอถ่ายเสร็จฝนก็หยุดตกเลย ตกแค่ในจังหวะ 2 นาทีนั้นที่เราถ่าย”

ก็คือสมฉายาลูกพระพิรุณ

“ครับ (หัวเราะ)”

ซิงเกิลนี้ก็ซิงเกิลที่ 8 แล้ว ยังไม่มีเพลงรักที่สมหวังเลย ในอนาคตจะมีมั้ย

“มีแน่นอนครับ อาจจะเป็นซิงเกิลต่อไปก็ได้”

มีแพลนจะรวมเป็นอัลบั้มเต็มมั้ย จะปล่อยออกมาช่วงไหน

“น่าจะช่วงต้นปีหน้าครับ ตอนนี้เพลงใกล้ครบแล้ว”

บอกได้มั้ยว่าจะมีทั้งหมดกี่เพลง

“น่าจะประมาณ 12 เพลงครับ”

พูดอะไรถึงคุณวันเสาร์ที่ติดตามเจฟอยู่หน่อย

“อยากขอบคุณจริง ๆ เพราะตอนนี้เราก็อยู่กันมานานมาก บางคนก็เพิ่งได้รู้จักกัน ก็ขอบคุณที่สนับสนุนมาโดยตลอด ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เราสามารถสนุกไปด้วยกันได้อีก มีอีกหลายโปรเจคที่ยังพูดไม่ได้ แล้วก็เป็นอะไรที่ผมตื่นเต้นด้วย แล้วก็ขอให้ทุกคนมีสุขภาพที่แข็งแรง แล้วเราสนุกไปด้วยกัน journey ไปด้วยกันครับ”

ฝากอะไรถึงคนที่กำลังทำตามความฝันแบบเจฟหน่อย

“ผมเคย give up ไปหลายรอบแล้ว แล้วก็มันเป็นเรื่องปกติที่เราจะ give up เราก็เป็นมนุษย์ ถ้าเราทำไปแล้วมันไม่ work สักที อยากให้มองว่าความฝันมันค่อย ๆ ทำไปได้ มันไม่จำเป็นต้องอายุเท่านี้อายุเท่านั้นถึงจะทำสำเร็จ แล้วถ้าทำไม่สำเร็จก็ไม่จำเป็นต้องผิดหวัง ความฝันมันไม่จำเป็นต้องมีแค่อันเดียวนะครับ เราอาจจะทำอย่างอื่นด้วยก็ได้ แต่ลองทำมันดูก่อน แต่ถ้าเฟลก็ไม่เป็นไรนะ ผมก็เคยคิดอย่างนั้นแหละ มันก็เลยไม่มีแรงกดดัน แล้วก็ทำไปดู ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”

ฝากผลงานหน่อย ช่วงนี้เจฟมีอะไรให้ติดตามกันบ้าง

“ก็มีเพลง Black Tie นะครับ ฟังได้ใน YouTube และทุก Music Streaming แล้วก็มี Wuju Bakery เป็นซีรีส์ที่ไปถ่ายที่ประเทศเกาหลีกับบาร์โค้ด แล้วก็หนังกับ GDH น่าจะเป็นช่วงปีหน้า แล้วก็อัลบั้ม สุดท้ายจะเป็นทัวร์ 6 ประเทศ อ่อ แล้วก็มี Call Me by Fire เป็นเรียลลิตี้ที่จีน กำลังออนแอร์อยู่ครับ”

ทำหลายอย่างมาก เจฟได้นอนมั้ย

“ไม่ค่อย นี่ก็อยากนอนอยู่ แต่กินกาแฟดำไปแล้ว ก็เลยนอนไม่ได้แล้ว (หัวเราะ)”

สุดท้าย บอกเราหน่อยว่า “Black Tie” ในแบบของ “Jeff Satur” เป็นยังไง

“Black Tie ในแบบของเจฟ คือ Black Tie ที่ไม่เหมือนคนอื่นเลย แล้วผมก็อยากให้ทุกคนมี Black Tie ที่ไม่เหมือนคนอื่นเลย เพราะว่า Black Tie ที่สวยงามที่สุด ก็คือ Black Tie ในแบบของเรา อะไรก็ตามที่เรามองกระจกแล้วรู้สึกว่ามันดูดีที่สุด มันก็ดูดีที่สุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องดีที่สุดสำหรับคนอื่น แต่ดีที่สุดสำหรับเรา เราเป็นสแตนดาร์ดของตัวเอง”

you may also like

album

0
0.8
1