คุยเบื้องหลังซีรีส์ “รักไม่รู้ภาษา” กับ “ต้าห์อู๋-ออฟโรด”

Chill Talk

คุยเบื้องหลังซีรีส์ “รักไม่รู้ภาษา” กับ “ต้าห์อู๋-ออฟโรด”

เปิดตัวมาก็ชวนจิ้นฟินสุด ๆ สำหรับซีรีส์ "รักไม่รู้ภาษา" (Love in Translation) นำแสดงโดย "ต้าห์อู๋ พิทยา" และ "ออฟโรด กันตภณ" ที่มาร่วมกันถ่ายทอดเรื่องราวของ “หยาง” หนุ่มหล่อชาวจีนที่ได้หอบเงินก้อนสุดท้ายในชีวิตมาประเทศไทย จนได้บังเอิญมาเจอกับ “ภูมิใจ” ที่ตกหลุมรักอินฟลูเอนเซอร์สาวชาวจีน แต่มีอุปสรรคด้านภาษา ภูมิใจอยากให้หยางช่วยสอนภาษาจีนให้ ทั้งคู่จึงตกลงร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กัน งานนี้จากพาร์ทเนอร์ร้านจะกลายมาเป็นพาร์ทเนอร์รักได้อย่างไร เราจึงชวนต้าห์อู๋ และออฟโรด มาพูดคุยถึงซีรีส์เรื่องนี้กัน

 

รู้สึกยังไงที่ได้มาเล่นซีรีส์คู่กันเรื่องแรก

ต้าห์อู๋ – “รู้สึกดีครับ เพราะว่าจริง ๆ เราไม่รู้เลยว่าเราจะได้มีโอกาสได้เล่นซีรีส์หรือเปล่า เพราะเราเข้ามาเป็นนักร้อง แรก ๆ เราก็แบบ เราจะเป็นพระเอกซีรีส์ได้หรือเปล่านะ มันก็มาพร้อมกับความกังวลด้วย แต่พอได้มาเล่นกับออฟโรดก็คือรู้สึกสบายใจ เพราะว่าน้องมีประสบการณ์ แล้วอีกอย่างนึงก็คือสนิทกันมาอยู่แล้ว ด้วยความที่เป็นซีรีส์วาย ที่เราเคยดูก็คืออย่างน้อยมันก็ต้องรักกัน เรารู้สึกว่าเราไม่ต้องมานั่ง force ตัวเองขนาดนั้น เพราะเรามีความสนิทกันอยู่แล้ว”

ออฟโรด – “ของผมก็รู้สึกดีใจที่มันเกิดโปรเจคนี้ขึ้นมา เพราะว่าตัวผมเองก็ชอบในการเล่นซีรีส์อยู่แล้ว การได้กลับมาเล่นซีรีส์อีกครั้งก็รู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน ได้ทำในอีกสิ่งที่เราถนัด แล้วอีกอย่างก็คือได้เล่นกับพี่ต้าห์อู๋ มันก็รู้สึกว่าเราไม่ต้องปรับตัวอะไรเยอะ มันทำให้เราคุยกันง่าย แล้วก็ทำงานด้วยความเข้าใจกัน เอาจริง ๆ ซีรีส์มันก็ทำให้จากที่เราสนิทกันอยู่แล้วก็สนิทขึ้นกว่าเดิม ได้เข้าใจในมุมมองของแต่ละคนมากขึ้น ได้อยู่ด้วยกันมากขึ้น”

ซีรีส์เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของต้าห์อู๋เลยหรือเปล่า

ต้าห์อู๋ – “เรื่องแรกเลยครับ”

ออฟโรด – “ส่วนของผมเป็นเรื่องที่สามแล้ว”

ออฟโรดได้ใช้ประสบการณ์ในการแสดงช่วยต้าห์อู๋บ้างมั้ย

ออฟโรด – “ก็มีบ้าง จะบอกในเรื่องของการแอคติ้ง บอกเขาว่าไม่ต้องสนใจกล้อง ผมจะบอกกับพี่อู๋ว่าให้เน้นความรู้สึก”

ต้าห์อู๋ – “เขาจะสอนผมหลาย ๆ เรื่อง การทำงานในกอง process การทำงาน เขาจะคอยบอกว่ามันจะเป็นแบบนี้ ๆ นะ หรือไม่ก็แบบว่า เหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้น มันใส่อะไรได้อีก เพิ่มอะไรได้อีก พี่ลองแบบนี้สิ”

คาแรคเตอร์ของตัวละครที่แต่ละคนเล่นเป็นแบบไหน

ต้าห์อู๋ – “ของพี่หยางเนี่ย เขามีแบคกราวน์บางอย่างที่ทำให้ช่วงแรก ๆ เขาจะต้องมีความเครียด แล้วก็ไม่ได้อยากคุยกับใคร สิ่งเดียวที่เขาต้องทำคือเขาต้องทำธุรกิจ มันมีเหตุผลที่เขาต้องทำ มันคือความจำเป็น แต่ด้วยคาแรคเตอร์ของเขาจริง ๆ เขาเป็นคนอบอุ่น แล้วก็รักครอบครัวมาก ถ้าเขาได้รักใครแล้วเขาจะรักมาก ๆ เขาจะไม่ค่อยแคร์สิ่งอื่นนอกจากสิ่งที่เขาโฟกัสเท่าไหร่ พอเขาโฟกัสแต่ธุรกิจ เขาก็จะสนใจแต่ธุรกิจว่ามันจะต้องกลับมาให้ได้นะ มันจะต้องดีให้ได้ แต่พอเขาไม่ได้โฟกัสเรื่องธุรกิจแล้วเนี่ย ก็คงต้องเดาว่าพอเขามาโฟกัสเรื่องความรัก มันจะเป็นยังไง คาแรคเตอร์พี่หยางก็จะประมาณนี้”

ออฟโรด – “ส่วนตัวภูมิใจก็จะเป็นคาแรคเตอร์ที่ค่อนข้างคอนทราสกับตัวละครพี่อู๋ จะเป็นคนที่สดใส คิดบวกมาก ๆ ทำอะไรก็จะ alert อยู่ตลอดเวลา ด้วยความที่บ้านของภูมิใจเป็นบ้านที่มีฐานะ แล้วก็เลี้ยงมาแบบอบอุ่น มีพ่อแม่ที่เป็นห่วงลูกมาก ๆ จะไม่อยากให้ลูกเจอเรื่องที่เสียใจหรือว่าผิดพลาด แต่มันก็คือการทำร้ายลูกทางอ้อม ภูมิใจมันจึงเกิดความคิดว่า ทำไมไม่มีใครเชื่อใจเราเลย แบบไม่ยอมให้เราทำนู่นทำนี่ในสิ่งที่เราอยากจะทำ ก็กลายเป็นว่าภูมิใจเลยอยากเจอคนที่ยอมรับในตัวเขา หรือว่ายอมรับในสิ่งที่เขาอยากทำจริง ๆ แล้วก็ได้มาเจอกับพี่หยาง”

อายุตัวละครประมาณเท่าไหร่

ออฟโรด –ของผมเพิ่งจบครับ ก็ประมาณเท่าผมเลย 23 ครับ ส่วนพี่หยางก็จะประมาณ 27 ครับ”

ต้าห์อู๋ – “ผมจะต้องเล่นเป็นคนที่แก่กว่าผมแบบเป็น 10 ปี (หัวเราะ) คือถึงผมจะอายุ 25 แล้ว แต่ว่าด้วยความที่ผมทำงานอยู่กับน้อง ๆ เยอะ เรารู้สึกว่าในมุมของเรา ในด้านการใช้ชีวิต มันยังไม่ได้โตขนาดนั้น เรามีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเยอะ แต่เราใช้วิธีคิดแบบเด็กที่ไม่ได้คิดเยอะ คืออย่างน้อยก็ทำไปแล้ว ก็แก้ทุกปัญหาไป แต่ว่าพี่หยางเป็นคนอายุ 27 ที่มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ แล้วเขาใช้ทัศนคติในการใช้ชีวิตที่โต เขาเลยจะเครียด ปัญหามันใหญ่ด้วย แล้วเขาเป็นเท้าหน้าของครอบครัว มันก็เลยแตกต่างกันมาก ๆ พวกชุดความคิด วิธีคิด”

ออฟโรด – “ความกดดันมันต่างกันเยอะมาก ๆ พี่หยางเขาแบกความกดดันไว้เยอะ”

ต้าห์อู๋ – “ใช่ครับ มันคือเหมือนถ้าเราพลาด เราจะไม่เหลืออะไรอีกแล้ว”

ออฟโรด – “ก็เลยเป็นตัวละครที่คิดเยอะนิดนึง เหมือนพอมีเงินร้อยนึงแล้วต้องทำอะไรสักอย่าง เขาต้องคิดเยอะแล้ว ว่าจะจัดสรรยังไงให้คุ้มค่าที่สุด”

คิดว่าตัวละครที่ตัวเองเล่นมีความเหมือนหรือต่างกับตัวจริงของทั้งคู่ยังไงบ้าง

ต้าห์อู๋ – “ของผมก็ค่อนข้างต่างเยอะ เกือบจะทุกมุม ยกเว้นเรื่องความรัก ที่ผมพยายามเอามารีเลทกับตัวเองแล้วรู้สึกว่ามันไปได้ แล้วก็เป็นพี่หยางที่น่ารัก แต่ในมุมอื่น ๆ มันค่อนข้างต่างกัน ด้วยฟิลเตอร์มายเซตที่มันผ่านชีวิตกันมาคนละแบบ อย่างผมผ่านมาหลาย environment มาก ๆ มันเลยทำให้รู้สึกว่า ต่อให้เจอปัญหาอะไร มันก็เจอทางออกได้ ผมว่าเอามาเทียบในชีวิต ปัญหาที่หยางเจอกับปัญหาที่ผมเจอ ผมว่าบางทีผมอาจจะเจอปัญหาที่ใหญ่กว่าหยางด้วยก็ได้ แต่เราก็รู้สึกว่าเราจะทำอะไรได้ ในเมื่อเราก็แค่ทำตรงนี้ให้ดี อีกอย่างในชีวิตจริง ผมอาจจะมีช่องทางที่มันเยอะกว่าหยาง ในการที่จะกำจัดปัญหานั้น แต่หยางเนี่ย เขามีแค่ทางเดียวแล้ว เขาไม่เหลืออะไรแล้ว”

ออฟโรด – “เพื่อนก็ไม่มี”

ต้าห์อู๋ – “เออนั่นดิ ไม่มีเพื่อน อาจจะมีแต่ว่าไม่สามารถไปตรงนั้นได้ หรืออาจจะเป็นมายเซตของเขาอีก ที่เขาใช้ชีวิตมาแบบไม่อยากพึ่งคนอื่น เพราะฉะนั้นมันก็เลยต่างกันมาก ๆ ทั้งเหตุการณ์ต่าง ๆ ประสบการณ์ก่อนหน้าที่มันไม่เหมือนกัน วิธีการคิดวิธีการพูดมันเลยต่างกัน เวลามีเหตุการณ์นึงเข้ามา เราจะรีแอคออกไปยังไง มันเลยต่างกันมาก”

ออฟโรด – “ส่วนของผมมันไปได้เวย์เดียวกัน แต่มันไม่ได้เหมือนกัน100% คือเป็นคนที่สดใสเหมือนกัน แต่เลเวลของตัวละครภูมิใจจะเยอะกว่าผม แบบค่อนข้างที่จะก้าวกระโดด จะยากในเรื่องของการทำเอเนอร์จี้ให้เหมือนเขา”

ต้าห์อู๋ – “เขาจะเป็นคนที่เอเนอร์จี้หมดไว แต่เขาต้องเล่นเป็นภูมิใจที่เอเนอร์จี้เกิน100% อะไรแบบนี้”

บรรยากาศในกองถ่ายเป็นยังไงบ้าง

ออฟโรด – “บรรยากาศในกองถ่าย ตลกครับ บรรยากาศดีมาก ผู้กำกับ เพื่อนนักแสดง ทีมงาน”

ต้าห์อู๋ – “คือตั้งแต่ผู้กำกับ แม้แต่สวัสดิการ หรือว่าพี่ ๆ นักแสดงสมทบ คือทุกคนตลกหมดเลย มันเลยกลายเป็นว่ากองเราเฮฮามาก ซึ่งความเฮฮานั้นแหละ มันเลยทำให้เวลาเข้าเลิฟซีน เราก็เขินเขา เหมือนเราสนิทกันแล้วเราก็เล่นกันมาตลอด แต่พอต้องเข้าฉากดราม่าปุ๊บ เราก็จะตลก ซึ่งไม่มีความกดดันเลย หรือบางครั้งเวลาเราเล่นซีนเครียด ๆ ผมพูดไดอะล็อกผิด เราก็จะหันมาหัวเราะใส่กัน ทุกคนดูไม่มีใครมานั่งซีเรียส กลายเป็นว่าพอเรามาทำสมาธิ แล้วก็เริ่มใหม่ มันก็จะออกมาได้ดีเหมือนเดิมทุกครั้ง”

เรามีเขินกันเองบ้างมั้ย

ออฟโรด – “ก็มีครับ แล้วแต่ซีนไป มันก็มีซีนที่ต้องใกล้ชิด”

ต้าห์อู๋ – “มันจะมีซีนแรก ๆ ที่ผมเขิน แล้วเขายังไม่เขิน เขาก็จะมาล้อผม พี่เขินอะไรอะ ๆ แล้วมันจะมีบางซีนที่เรากุ๊กกิ๊กกันบ้าง พอเขาเขินบ้าง เราก็เลยได้เอาคืนว่านี่ก็เขินเหมือนกันนี่หว่า”

แต่ละคนชอบฉากไหนมากที่สุดในเรื่อง

ออฟโรด – “ฉากที่ชอบเหรอครับ ผมรู้สึกชอบฉากที่ไปถ่ายโลเคชันสุดท้ายละ เป็นตอนที่ไปเที่ยวกัน มันไม่มีคอนฟลิคอะไรที่เราต้องแก้ไขแล้ว มันรู้สึกว่ามีแต่เอเนอร์จี้ที่ดี เราได้ไปเที่ยวกับเพื่อน ได้ไปเที่ยวกับครอบครัว ชอบบรรยากาศตอนกลางคืนด้วย เลยรู้สึกว่าบรรยากาศดี ชอบมู้ดตอนนั้น”

ต้าห์อู๋ – “จริง ๆ ก็ชอบช่วงหลัง ๆ ชอบหมดเลย มันรู้สึกว่าเราดีใจกับตัวละครด้วย ที่ในที่สุดเราก็ปลดล็อคแล้ว ตัวละครมีความสุข เราก็มีความสุขด้วย อย่างที่น้องออฟโรดบอกว่า ตอนฉากท้าย ๆ ที่เราไปเที่ยวกัน ตรงนั้นมันไม่ได้เหมือนแค่ตัวละครไปเที่ยวเนอะ มันเหมือนพวกเราไปเที่ยวด้วยกันด้วย มันก็เลยรู้สึกว่าการไปทำงานที่นั่น ไม่ว่าจะกับพี่ ๆ ในกอง หรือเพื่อนนักแสดง มันเป็นวันที่มีความสุข การถ่ายทำทุกอย่างมันก็เลยมีความสุข”

ออฟโรด – “กินกันไม่หยุดอะ”

ต้าห์อู๋ – “จริง กินเช้า กินเย็น กินกลางวัน กินกลางคืน กินไม่หยุด ซึ่งเขาเอามาเป็นพร็อบ แต่ว่าเรากินจริง”

ออฟโรด – “ซึ่งอร่อยมาก”

ต้าห์อู๋ – “อร่อยจริง เดี๋ยวทุกคนต้องรอดู ถ้าทุกคนไปเห็นนะ อาหารขนาดนั้นจะต้านยังไงไหว”

ออฟโรด – “ก็คือ 5 4 3 2 แอคชั่น ก็กินเป็นแบบตัวละคร แต่พอคัทก็คือกินเหมือนแร้งลง หมดเกลี้ยง”

มีสิ่งไหนที่รู้สึกว่ายาก หรือต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษมั้ย

ออฟโรด – “ของผมเป็นเรื่องของไดอะล็อก ซึ่งไดอะล็อกเยอะมาก ยาวมาก เป็นตัวละครที่เหมือนไม่แบ่งให้ใครพูด ถ้าไปดูในเรื่องคือผมพูดเยอะมาก ๆ ผมพูดกับพี่หยางยาวมาก แต่พี่หยางตอบกลับมานิดนึง”

ต้าห์อู๋ – “ซึ่งนั่นแหละมันเป็นความยากที่สอดคล้องกัน ไดอะล็อกเราจะเข้าคู่กันเยอะมาก แล้วเขาจะพูดเยอะ พอเขาพูดเยอะ กล้องก็จะรับหน้าเราเหมือนกัน เราก็จะต้องรีแอคไป ซึ่งแต่ละคำพูดของเขา เราก็ต้องรีแอคตามความรู้สึกนั้น ๆ ยากคนละแบบ เพราะเราก็ต้องคิดตามเขาด้วย แล้วคือการเล่นแบบคิดตามอะ มันต้องเล่นให้คนรู้ว่าเราคิดอยู่ เราคิดอะไร รู้สึกยังไง มันก็ต้องเล่นผ่านออกมาด้วย เพราะกล้องก็ต้องรับความรู้สึกทั้งสองคน มันเลยเป็นสิ่งที่ผมก็ต้องทำการบ้าน น้องก็ต้องทำการบ้านเยอะเหมือนกัน แต่ผมอาจจะสบายหน่อยตรงที่ว่าเราใช้ความรู้สึกกับซีนนั้น แล้วก็ผูกกับตัวละครไว้ แต่น้องต้องท่อง แล้วก็ต้องใช้ความรู้สึกด้วย มันก็จะเป็นที่น้องต้องเตรียมตัวมาเยอะ ส่วนเราต้องเตรียมใจกับหัวโล่ง ๆ ว่ารีแอคชันเราจะออกไปยังไง มันก็เลยต้องเป็นไดเรคชันที่มันรู้สึกออกมาจากตัวละคร”

ออฟโรด – “มันซ้อมยากด้วย เพราะถ้าซ้อมเยอะเกินไป มันจะกลายเป็นว่าเราไม่รู้สึกกับซีนนั้น มันช้ำ แล้วก็อิมโพรไวซ์กันเยอะมากในซีรีส์เรื่องนี้ เอาจริง ๆ ตอนที่เราเล่นไป พอเรามาดูผลงานตัวเอง ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเขาจะใช้อิมโพรไวซ์ของเราเยอะขนาดนี้”

ต้าห์อู๋ – “ขี้ในหัวกุ้ง กุ้งในหัวมีแต่ขี้ เนี่ยก็คือต้าห์อู๋เลย ฉากที่หาชื่อเสี่ยวไท่หยาง ก็อิมโพรไวซ์เลย เพราะเขาบอกว่าจะขีดยังไงก็ได้ให้คำสุดท้ายเหลือแค่เสี่ยวไท่หยาง เพราะฉะนั้นไดอะล็อก ณ ตรงนั้น ที่เราทะเลาะกัน ก็คือด้นสด ซึ่งมันก็ออกมาน่ารัก”

แล้วเรื่องภาษามีอะไรที่ต้องทำการบ้านมั้ย

ต้าห์อู๋ – “ผมด้วยความที่ไปแข่งรายการเซอร์ไวเวอร์ที่ต่างประเทศมา มันมีความจำเป็นที่จะต้องร้องภาษาจีนให้ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมได้มาคือสำเนียง แล้วก็การจำ ถึงแม้เราจะรู้ศัพท์ไม่ได้เยอะ แต่เรารู้การเรียงประโยค การออกเสียง เราก็จะต้องจำ มันจะมีที่เข้าไดอะล็อกกับพี่แทมมี่ที่พูดจีนเยอะมาก ก็ต้องจำว่าไดอะล็อกเป็นยังไง การออกเสียงเป็นยังไง รูปแบบประโยคเป็นยังไง ก็ต้องทำการบ้าน แต่ก็มีคุณครูมาช่วย”

ออฟโรด – “ถ้ายากกว่าน่าจะเป็นพี่แจม”

ต้าห์อู๋ – “ใช่ เพราะพี่แจมพูดจีนไม่ได้เลย เขาไม่เคยเรียนจีน แต่ว่าเขาสามารถทำออกมาได้ดีมาก แล้วคือเขาต้องเล่นเป็นคนจีน เพราะฉะนั้นเขาจะพูดไทยไม่ชัด คือด้วยความที่เขาทำการบ้านหนัก ท่องไดอะล็อกมาด้วย ต้องเป็นอินฟลูเอนเซอร์จีนจริง ๆ เขาก็เลยต้องเล่นให้เรียล พี่เขาเก่งมาก”

เพิ่งมีงานดู EP1 พร้อมกับแฟน ๆ ไปด้วย กระแสตอบรับเป็นยังไงบ้าง

ออฟโรด – “การตอบรับดีมากครับ ขายบัตรหมดเร็วมาก บัตร 600 ที่ ก็ต้องขอบคุณแฟนคลับมาก ๆ ที่สนับสนุนพวกเรา เราก็รู้สึกดีใจนะ เพราะว่าตอนแรกก็มีหวั่น ๆ ว่าจะขายหมดหรือเปล่า”

ต้าห์อู๋ – “จริงครับ เรากลัวมาก”

ออฟโรด – “ใช่ เราก็เลยรู้สึกว่าดีใจมาก ๆ เลย แล้วก็เป็นงานที่เหมือนให้ใจกันจริง ๆ เพราะว่าวันงานมีกิจกรรมมากมาย แล้วก็ได้ไฮทัชเนอะ จังหวะไฮทัชมีน้ำตาไหลด้วย คือรู้สึกซาบซึ้งในความตั้งใจของแฟนคลับทุกคนมาก ๆ เลยที่มาให้กำลังใจ แล้วเราก็เหมือนเป็นโอเอซิสให้กัน ใช้คำนี้เลย เพราะว่ามันเป็นไดอะล็อกที่พูดตอน EP1 ก็คือผมเข้าใจการชอบใครสักคนมาก ๆ เหมือนพอผมได้เล่นเป็นภูมิใจ มันก็จะมีความเป็นติ่ง ผมก็เข้าใจเลยว่ามันมีความสุขยังไง มันเป็นความสุขจริง ๆ พอวันนั้นเราได้ให้เขา แล้วเขาก็ให้เรา มันเหมือนชาร์ตแบตให้กัน”

ต้าห์อู๋ – “ซึ่งมันคือโอเอซิสจริง ๆ นะ ปกติแฟนคลับชอบพูดว่าเราเนี่ยให้ความสุขกับเขาใช่มั้ย แต่วันนั้นก็คือ แฟนคลับ 600 คน ที่มาจับมือเรา เข้ามาให้กำลังใจเรา แล้วเขาก็บอกว่ามันดีจริง ๆ นะ กลายเป็นว่าเรารับพลังตรงนั้น สุดท้ายแล้วก็คือร้องไห้ออกมาตรงนั้นเลย ร้องจนรู้สึกว่ามันปลดล็อค เหมือนยกภูเขาออกจากอก ตอนเราแสดงซีรีส์ เราได้ดูบ้าง เราก็รู้สึกสบายใจแล้ว แต่ว่าพอผมเห็นแฟนคลับมาพูด เรารู้สึกว่า เออ ซีรีส์เรื่องแรกของเรามันไม่แย่ เราก็สามารถพูดได้เต็มปากว่า เนี่ยคือซีรีส์ของฉัน”

มาที่เพลง Ost. ประกอบซีรีส์ “รักไม่รู้ประสา” รู้สึกยังไงที่ได้กลับมาร้องเพลงคู่กันหลังจบโปรเจค LAZ1

ออฟโรด – “ดีใจครับที่ได้ร้องเพลงประกอบซีรีส์ด้วย เป็นเพลงที่ได้พี่โดม จารุวัฒน์ และพี่เบนซ์ วรเชษฐ์ มาช่วย เราก็รู้สึกว่าคุ้นเคยกันอยู่แล้ว เชื่อในฝีมือของพี่ ๆ เขา แล้วมันก็ออกมาดีมาก ๆ ตอนที่ฟังผมรู้สึกว่า เฮ้ย ทำไมมันเพราะจัง ผมชอบ”

ต้าห์อู๋ – “คือพี่โดมอัดไกด์มาแล้วเสียงเพราะมาก เสียงแบบ โอ้โห น้ำหวาน น้ำผึ้งเดือนห้า”

ออฟโรด – “ใช่ ทีเซอร์ตัวแรกใช้เป็นเสียงพี่โดมก็คือเพราะมาก ๆ แล้วพอเราได้มาร้องจริง ๆ เรารู้สึกว่าเราอิน เพราะมันรีเลทกับซีรีส์ด้วย แล้วเราก็อินกับเนื้อหา มันฟังง่าย ย่อยง่าย เข้าใจง่าย ยิ่งรู้สึกอินกับเนื้อเพลงเข้าไปอีก”

MV หวานมาก มีแฟน ๆ แซวว่านี่เพลงของพี่หยางน้องภูมิใจ หรือเพลงของพี่ต้าห์อู๋น้องออฟโรด เราว่ายังไง

ต้าห์อู๋ – “เบื้องหลังหวานกว่านี้อีกครับ (หัวเราะ) คือด้วยบรรยากาศกองมันสนุก แต่จริง ๆ แล้วมันก็จะต้องมีความพอดีของมันอยู่ เพราะว่าในเพลงมันมีพีเรียดของมันอยู่ ว่าจริง ๆ มันควรจะอยู่ตรงอีพีไหน แต่ว่าเขาก็มีบิ๊ว เราก็เล่นกันไปเรื่อย ๆ อันนั้นก็คือพยายามคัทมาให้พอดีที่สุดแล้ว”

ออฟโรด – “ใช่ครับ จริง ๆ มันด้วยความที่ MV ค่อนข้างจะสั้น มันก็ไม่ได้รีเลทกับซีรีส์ 100% อยู่แล้ว มันก็แค่เอามาบางซีน แล้วก็แค่เอาเป็น mood and tone เฉย ๆ พอดู MV ที่ออกมา มันก็ละมุนนะ รู้สึกชอบ ตอนที่เราได้เล่นกันจริง ๆ มันสนุกครับ เป็นบรรยากาศการถ่าย MV ที่สนุกมาก ๆ แล้วก็ผลงานก็ออกมาอย่างโอเคมาก ๆ เลยชื่นชอบ”

ปกติเวลาชอบใคร เราเลือกที่จะบอกตรง ๆ มั้ย หรือเก็บเอาไว้ในใจ

ออฟโรด – “ผมบอกครับ ผมรู้สึกว่ามันไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องเก็บไว้ ก็ประมาณนั้น เรารู้สึกว่า เรารู้สึกอะไรก็บอกไป แค่นั้นเอง”

ต้าห์อู๋ – “ของผมอะ ตอบเหมือนเดิมทุกครั้ง ว่าผมต้องดูเชิงก่อน เปรียบเหมือนนกละกัน นกมันต้องดูใช่มั้ยว่ามันจะกินอะไร เวลามันบินลงมา ถ้ามันเจอกับหมูป่า มันก็กินไม่ได้ ตัวใหญ่ไป มันก็ต้องเลือกสิ่งที่ถูกต้อง เหมือนเราจะโยนขนมปังไปอะครับ เราคงไม่โยนขนมปังไปให้เต่ากิน เราต้องโยนไปให้ปลากินอยู่แล้ว เรารู้ว่าเขาคนนั้นเป็นปลาที่ยังไงก็ต้องกิน ยังไงก็ต้องชอบเราอย่างเงี้ย เราก็ต้องดู ๆ ก่อนว่าเธอชอบอะไร ถ้าเราคืออันที่ใช่ เราก็จะเดินหน้าเลย”

ออฟโรด – “แล้วถ้าหว่านไปแล้วมีปลามาหลายตัวล่ะ”

ต้าห์อู๋ – “อันนั้นก็ต้องเลือกปลานิดนึง เดี๋ยวลองหว่านดูดีกว่า (หัวเราะ) ก็คือนั่นแหละครับ มันเป็นประมาณนี้ ผมไม่ค่อยชอบสิ่งที่เรียกว่านกเท่าไหร่ มันรู้สึกเฟลไง เรารู้สึกเราเอาคนที่แน่ใจดีกว่าว่าเขาจะชอบเราด้วย จริง ๆ ก็คือลองคุยดูก่อน ถ้าเจอคนที่ชอบ เราจะไม่เข้าไปแบบฉันจีบเธอ จริง ๆ มันคือการทำความรู้จักกันก่อนว่ามันใช่หรือเปล่านะ เพราะว่าคนที่ผมชอบจริง ๆ มันไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตาไง พอโตมาระดับนึงแล้ว การที่จะชอบใครสักคนมันมากกว่านั้น มันคือเส้นทางที่ยาว ๆ แล้ว ไลฟ์สไตล์ ทัศนคติ มายเซต ทุกอย่างมันโอเคมั้ย ถ้ามันโอเคก็คือเราไปกันต่อ แล้วอีกอย่างนึง พอเราได้คุยกัน เขาก็จะได้เห็นในมุมของเรา เราก็จะได้เห็นในมุมของเขา คือถ้ามันซัพพอร์ตกัน มันก็ถือว่าใช่ ถ้าเราสบายใจ เราก็ไปต่อ”

ถ้าต้องบอกรักกันโดยไม่ใช้ภาษา จะบอกรักกันด้วยวิธีใด

ออฟโรด –สำหรับผม ผมก็จะเป็นฟีลแบบว่าทำครับ เราดูแลเขาเท่าที่เราดูแลได้ ก็เหมือนเป็นการบอกรักของผม ผมอาจจะไม่ได้แบบ เป็นฟีลสกินชิพ”

ต้าห์อู๋ – “เปลี่ยนผ้าอ้อม”

ออฟโรด – “เปลี่ยนผ้าอ้อม เช็ดปาก อะไรแบบเนี้ยอะครับ”

ต้าห์อู๋ – “หยอก ๆ ยังไงนะ”

ออฟโรด – “ของเราก็จะเป็นฟีลแบบ เราดูแลเขา เป็นยังไง เหนื่อยมั้ย หรือว่าอยากกินอะไรหรือเปล่า จะเป็นฟีลแบบนี้ครับ”

ต้าห์อู๋ – “การบอกรักของผมใช้ภาษากายค่อนข้างเยอะ ผมค่อนข้างทำหลายอย่างนะ พาไปเที่ยว ซื้อของให้ ชอบอะไรก็จะตามใจ เวลาบอกรักส่วนใหญ่ก็จะทำให้เขารู้สึกว่าเราสบายใจที่จะพูดอะไรออกไป คือถ้าผมมีความรัก มันจะมีอีกมุมนึงที่คนอื่นไม่เห็น ปกติคนอาจจะเห็นผมพูดจาฉะฉาน ดูสู้ได้กับทุกดราม่า แข็งแกร่ง มีความคิดที่ดี โต อะไรแบบนี้ แต่จริง ๆ มันมีอีกมุมนึงที่แบบ เราก็รับมันไว้แหละ แต่มันก็มีมุมที่กำแล้วต้องปล่อยบ้าง ในมุมที่ปล่อย เราก็จะปล่อยกับคนที่เราไว้ใจแล้วก็เชื่อใจจริง ๆ ผมอาจจะแบบ เขาไปกอดแล้วบอกว่าเราเหนื่อยจัง ระบาย แต่ไม่ใช่เป็นมุมเศร้านะ เราแค่อ้อนเฉย ๆ”

แสดงว่าต้าห์อู๋ติดสกินชิพเหรอ

ต้าห์อู๋ – “ค่อนข้างครับ กับเพื่อน กับคนที่สนิท คือมันไม่ได้อะไร มันแค่รู้สึกว่าไม่อยากมีสเปซ มันอาจจะมีช่วงที่เรารู้สึกว่าไม่ปลอดภัย แต่พอมีคนอยู่ข้าง ๆ มันรู้สึกปลอดภัย เป็นเซฟโซน”

ฝากผลงานของทั้งคู่ รวมไปถึงสปอยล์งานในอนาคตได้มั้ย จะมีอะไรฟิน ๆ ให้แฟน ๆ ติดตามอีกบ้าง

ออฟโรด – “ฝากซีรีส์รักไม่รู้ภาษานะครับ ก็เป็นซีรีส์โรแมนติกคอมเมดี้ที่ดูง่าย ย่อยง่าย ก็บอกเลยว่าดูแล้วหัวใจของทุกคนจะพองโต ดูไปแล้วยิ้มไปแน่นอนครับ”

ต้าห์อู๋ – “เล่าอีกนิดนึงแล้วกัน แง้ม ๆ โปรเจคยาว ๆ เอาไว้ ว่าถ้าโปรเจคนี้ไปได้สวยงามเนี่ย เราก็มี...”

ออฟโรด – “อะไรนะ อะไรสอง ๆ สักอย่าง”

ต้าห์อู๋ – “อ่า รอดู มันก็มีแบบ คุย ๆ กันไว้บ้างแหละ อะไรก็ไม่รู้ด้วย พูด ๆ ไปก่อน”

ออฟโรด – “ก็ดูได้ทางช่องวัน 31 นะครับผม แล้วก็แอปพลิเคชัน oneD เวลา 21.15 น. ทุกวันเสาร์นะครับ แล้วก็ใครที่ดูออนไลน์ ดูได้ทางไหน”

ต้าห์อู๋ – “ดูย้อนหลังออนไลน์นะครับ ได้ทางเว็บทรูไอดี หรือว่าแอปพลิเคชันทรูไอดีนะครับ แต่ว่าสำหรับแฟนอินเตอร์ wéi le zhōng guó rén fěn sī hái shì wài guó rén fěn sī (ทั้งแฟนจีนและแฟนต่างชาตินะครับ) สามารถดูได้ที่ iQIYI ครับ”

ออฟโรด – “ซึ่ง iQIYI ก็จะพิเศษครับ เพราะว่าเป็นเวอร์ชันที่อันคัทด้วย”

ติดตามชมซีรีส์ รักไม่รู้ภาษา (Love In Translation) ทุกคืนวันเสาร์ เวลา 21:15 น. เริ่มตอนแรกเสาร์ที่ 19 สิงหาคมนี้ ทางช่อง one 31

you may also like

album

0
0.8
1