Chill Talk

พูดคุยกับ “อะตอม ชนกันต์” ถึงซิงเกิลใหม่ โดนใจคนเป็นที่ปรึกษา “เก่งจัง (Good Job)”

อะตอม (atom) ชนกันต์ รัตนอุดม กลับมาอีกครั้ง กับซิงเกิลล่าสุด "เก่งจัง (Good Job)" ถ่ายทอดเรื่องราวของที่ปรึกษา ที่แก้ปัญหาให้เขาได้ทุกเรื่อง แต่เรื่องตัวเองกลับไม่เคยแก้ได้ วันนี้เราเลยจะชวนมาดูความเก่งของอะตอม กับเบื้องหลังการทำงานในซิงเกิลนี้กัน

ช่วยเล่าคอนเสปของเพลง “เก่งจัง” ให้เราฟังหน่อย

“เพลงนี้เล่าถึงเรื่องรักเพื่อนเป็นหลักครับ ก็คือเรารับบทเป็นคนที่ให้คำปรึกษาเขาตลอด เขาจะมีปัญหาอะไรเกี่ยวกับความรักของเขากับคนอื่น เราก็ให้คำปรึกษาได้หมด แต่สุดท้ายแล้วปัญหาที่ตัวเองมี ก็คือเรารักเขาแต่เราบอกเขาไม่ได้ เพราะว่าถ้าเราบอกเขา เขาก็คงจะไปเลย เพราะเขาไม่ได้คิดแบบเดียวกัน ก็เลยเป็นความอึดอัด เป็นสุขแบบหน่วง ๆ มีความเศร้าปนอยู่ ก็เป็นเพลงของที่ปรึกษา อย่างถ้าได้ดูมิวสิกวิดีโอ ก็จะเป็นเรื่องของเลิฟโค้ชที่รู้ดีไปหมด แต่ว่าสุดท้ายแล้วปัญหาที่ตัวเองต้องเจอก็ยังแก้ไม่ได้”

เพลงนี้แต่งเองเหมือนเดิม แต่งจากประสบการณ์ส่วนตัวด้วยมั้ย

“ส่วนนึงนะ เราว่าหลาย ๆ ครั้ง คนก็คงเคยเจอ อาจจะไม่ตรงตัวซะทีเดียว แต่มันต้องมีบ้าง สถานการณ์ที่คนเข้ามาปรึกษาเรา แล้วเราคิดอะไรกับเขาด้วย มันก็พูดลำบาก เราเองเราก็เคยเป็นคนที่ให้คำปรึกษาเขามาก่อน แต่สุดท้ายแล้วเราก็เลือกที่จะบอกกันตรง ๆ ถ้าไม่คิดเหมือนกันก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นเพื่อนกันต่อก็ได้สำหรับเรานะ”

ปกติมักจะเป็นที่ปรึกษาให้คนอื่น หรือไปปรึกษาคนอื่นมากกว่า

“ส่วนใหญ่มักจะเป็นเพื่อนมาปรึกษาแหละครับ แต่เราก็จะเป็นคนให้คำปรึกษาที่เราว่าเขาคงไม่อยากฟัง เพราะเราพูดตรง แล้วเราพูดเรื่องจริง ซึ่งบางครั้งถ้าให้คำแนะนำใคร ก็จะเป็น fact ที่ให้รู้ไปเลย ถ้าเจ็บก็เจ็บเลย ไปแก้ให้มันตรง ส่วนใหญ่เราไม่ค่อยแนะนำใครแบบไปเรื่อย เป็นเพื่อนที่สนิทจริง ๆ หรือว่าคนที่เราห่วงใยจริง ๆ เราก็จะบอกกันแบบตรง ๆ”

ปกติเขามักจะมาปรึกษาเรื่องอะไร

“ก็เรื่องความรักเรื่องแฟนก็เยอะนะ คือเราว่าเรื่องอื่น ๆ เราคงไม่ใช่ที่ปรึกษาที่เขาเห็นว่าน่าจะช่วยเขาได้มั้ง เรื่องชีวิต เรื่องธุรกิจ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องการทำเพลง เรื่องเส้นทางศิลปิน สำหรับน้อง ๆ หลายคนที่มีโอกาสได้เจอก็จะถามบ้าง แล้วก็มีเรื่องแฟนเนี่ยแหละฮะที่เขาชอบมาถามเรา คงคิดว่าเขียนเพลงประเภทนี้มาเยอะแล้วจะรู้เรื่อง”

คิดยังไงกับคำที่บอกว่า "ถ้าไม่เจอเองก็ไม่รู้หรอก"

“ก็จริงนะ เราว่าจริง เพราะสุดท้ายแล้วประสบการณ์มันไม่มีใครสอนแทนกันได้ มันต้องไปเจอเอง บางอย่างเราพูดให้ตาย มันก็นึกภาพไม่ออกหรอก มันก็ได้แต่จินตนาการเอาจนกว่าจะเจอเอง แล้วอย่างนึงเราคิดว่าในเรื่องความสัมพันธ์ของคนมันก็ต้องทดลองอะครับ หมายถึงว่าอย่างไหนมันเหมาะกับเรา เราเป็นคนแบบไหน เราควรอยู่กับคนประเภทไหน มันก็เป็นเรื่องที่ต้องเจอเอง ต้องเจ็บปวดแล้วก็เรียนรู้กันเองอะครับ”

เพลงนี้ MV กลับมาทำแบบที่มีสตอรีเหมือนเดิม ทำไมถึงเลือกกลับมาทำแบบนี้

“ใช่ ๆ อันนี้เหมือนย้อนกลับไปทำ MV ที่ไม่ได้ทำประเภทนี้มานาน แล้วก็อย่างใน MV นี้เอง ก็จะได้ภาพที่เราย้อนไปในความสัมพันธ์แบบ Puppy Love ก็คือช่วงมัธยมเนอะ เราว่าเป็นช่วงที่ยังติดอยู่ในใจของหลาย ๆ คน เพราะมันเป็นความรักที่เกิดขึ้นครั้งแรก ๆ ในชีวิต เพราะฉะนั้นมันก็จะฝังอยู่ในใจ อย่างตัวเอกใน MV เราก็เหมือนกัน ที่สุดท้ายแล้วยึดอาชีพเป็นโค้ช สอนชีวิต ก็คือทำตัวเป็นกูรู รู้ว่าจะต้องตัดใจยังไง รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะมูฟออนได้เวลาต้องเลิกกับแฟน สุดท้ายเราก็รู้ว่าตัวเขาเองก็ทำไม่ได้ ตั้งแต่ต้นแหละ ว่าไอ้ที่เขามาสอนก็คือสิ่งที่เขาพยายามทำ ซึ่งเขาเองก็ไม่เคยทำสำเร็จ”

ลุคในเพลงนี้ก็กลับมาในสไตล์มินิมอล ทิ้งความร้อนแรงแล้วเหรอ

“เราว่าโทนดาวน์ลงมาจากเพลงที่แล้ว เพราะเพลงที่แล้ว Medium Rare เนี่ย รู้สึกว่ามันก็แตะขอบแล้ว เราไม่ไปไกลกว่านั้นแน่นอน นั่นก็คืออะไรที่เราทดลองอะครับ จริง ๆ เราทำงานมาค่อนข้างนาน แล้วก็ได้ลองเปลี่ยนนู่นเปลี่ยนนี่มาสักพัก มันก็ยังอยู่ในกรอบเดิม สำหรับเพลงที่แล้วเราก็ลองไปสุดกราฟดูบ้างว่าจะได้ประมาณไหน แต่สุดท้ายแล้วมันก็อยู่ได้ไม่ตลอดนะถ้าถามเรา เราก็โทนดาวน์ลงมาบ้าง ให้มันเหมาะกับเพลงครับ เพลงนี้ก็ค่อนข้างแคชชวลด้วยตัวเพลงมันเองเนอะ แล้วก็เรื่องที่มันเล่า ก็เลยกลายเป็นลุคที่สบายขึ้น”

หลังจากปล่อยเพลงกับ MV มา แฟน ๆ มีฟีดแบคยังไงบ้าง

“ดีนะ จริง ๆ แล้วเพลงประเภทนี้น่าจะเป็นเพลงที่คนรอ ถ้าอย่างเพลงที่แล้ว มันจะเป็นเพลงที่เหมือนว่าโชว์ของค่อนข้างเยอะ ทั้งในเรื่องดนตรีแล้วก็เรื่องลุคเนอะ มันเหมือนเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่เราอยากให้คนรู้สึก แล้วก็อยากลองทำอะไรใหม่ ๆ สำหรับเพลงนี้ก็กลับมาเป็นเพลงที่เล่าเรื่อง แล้วก็เป็นหนึ่งในเพลงที่สุดท้ายแล้วมันก็ยังเป็นเพลงเศร้านะ มันก็ไม่ได้สมหวัง มันมีความเจ็บปวดอยู่ในนั้น ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่แฟน ๆ คิดถึง ที่เราไม่ได้ปล่อยมาสักพัก”

อยากให้เพลง “เก่งจัง” เป็นอะไรสำหรับคนฟัง

“ก็อยากให้ได้สะท้อนตัวเองแหละมั้ง เพราะว่าคนที่จะอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเพลงนี้ได้ มันก็คือด้วยความเต็มใจเลยอะครับ มันไม่ได้มีใครบังคับให้เราไปอยู่จุดนั้น สุดท้ายแล้วเราก็ต้องรักตัวเองให้ได้มากกว่ารักคนอื่น สุดท้ายถ้าเราอยู่แบบนี้ เป็นที่ปรึกษาที่อยู่ข้าง ๆ เขา แล้วไม่เคยได้สมหวังสักที ต้องเห็นเขาอยู่กับคนอื่นไปเรื่อย ๆ เนี่ย ถึงจุดนึงมันก็จะทำร้ายตัวเอง ก็จะถึงจุดที่ต้องดึงตัวเองออกมา”

สุดท้ายให้พูดฝากเพลงนี้หน่อย

“ก็ฝากทุกคนด้วยนะครับ เพลงเก่งจัง ตอนนี้ปล่อยมิวสิกวิดีโอแล้วใน YouTube ของ LOVEiS และสตรีมมิงแพลทฟอร์ม แล้วก็อย่าลืมขอเข้ามาที่นี่ด้วยครับ”

สปอยล์ซิงเกิลหน้าได้มั้ยว่าจะมาในสไตล์ไหน

“ซิงเกิลหน้าที่เตรียมไว้ก็คือเศร้าโหดเหมือนกัน อยากให้รอติดตามครับ”

พูดคุยกับสาว ๆ The Glass Girls ถึงเบื้องหลังโปรเจคพิเศษ The Journey (การเดินทาง)

น่ารักสดใสสุด ๆ สำหรับ The Glass Girls ที่เพิ่งปล่อยโปรเจคพิเศษ เป็นซิงเกิลน่ารัก ๆ ชื่อว่า The Journey (การเดินทาง) ออกมาให้แฟน ๆ ได้ฟังกัน นอกจากนั้น MV เพลงนี้ ยังบินลัดฟ้าไปถ่ายทำกันถึงที่ประเทศญี่ปุ่น เราจึงได้ชวนสาว ๆ The Glass Girls มาเล่าเรื่องราวการเดินทาง และเบื้องหลังสนุก ๆ ในการทำโปรเจคพิเศษนี้กันชื่อวง The Glass Girls มีที่มาจากอะไร“ชื่อวงมาจากคอนเสปของวง ที่เป็นแก้วเปล่าพร้อมเปิดรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามา เป็นแก้วเปล่าที่น้ำไม่เต็มแก้ว พร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ เสมอค่ะ”ตอนนี้ The Glass Girls มีสมาชิกทั้งหมดกี่คน“จริง ๆ มี 8 คน แล้วก็มีเทรนนีอีก 14 คนค่ะ”ซิงเกิลล่าสุด The Journey (การเดินทาง) เริ่มต้นมาจากอะไร“เป็นโปรเจคพิเศษของพวกเราค่ะ พวกเรามีโอกาสได้ไปที่ประเทศญี่ปุ่น ก็เลยเกิดเป็นเพลงนี้ขึ้นมาค่ะ”คอนเสปของซิงเกิลนี้คืออะไร“จะเกี่ยวกับการเดินทางค่ะ เพลงนี้ก็จะบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางที่ผ่านมาของพวกเรา ก็คือเป็นในเรื่องของทั้งประสบการณ์ และเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามามากมาย จนกลายมาเป็นวงเราในวันนี้”เมมเบอร์ในวงได้มีส่วนร่วมด้านไหนในการทำซิงเกิลนี้บ้าง“จริง ๆ ก็มีส่วนร่วมตั้งแต่เพลงเลยค่ะ ได้ร่วมอัดไกด์เพลงนี้ รู้สึกว่าทำความรู้จักกับเพลงนี้มาได้ระดับนึง ในส่วนอื่น ๆ ก็มีส่วนร่วมนิดหน่อย อย่างชุดนี่ก็ได้เข้าไปดูบ้างว่าทรงเข้ากับเรามั้ย ในส่วนของ MV อาจจะไม่ได้เข้าไปมากเท่าไหร่ เพราะเรารู้สึกว่าความน่ารักในแบบของพวกเรา ก็จะตอบโจทย์การทำ MV ในแต่ละครั้งอยู่แล้ว ก็เลยอยากจะฝากให้รอติดตามกันด้วยนะคะ”ความยากที่สุดของซิงเกิลนี้คืออะไร“ยากทั้งพาร์ทร้องและพาร์ทเต้นเลยค่ะ ส่วนใหญ่เพลงเราเสียงสูงอยู่แล้ว แล้วก็พาร์ทเต้น เพลงนี้ค่อนข้างที่จะใช้ร่างกายเยอะมาก ๆ ก็เลยยากพอสมควรกับการเก็บไลน์ค่ะ แล้วระยะเวลาในการทำเพลงนี้ มีแค่ประมาณ 1 เดือนครึ่ง เราต้องทำทุกอย่าง ทั้งเต้น ร้อง อัดเสียง ฟิตติ้งชุด แล้วก็เตรียมไปถ่าย MV ที่ญี่ปุ่นอีก มันก็เลยยากมาก”จะได้ชม MV The Journey (การเดินทาง) ช่วงไหน“เร็ว ๆ นี้ค่ะ คือหลายคนอาจจะงงว่าทำไมเพลงมาก่อน แล้ว MV ยังไม่ออกสักที จริง ๆ แล้วมันมีความจำเป็นที่เราต้องเลื่อนงานเปิดตัวเพลงขึ้นมาเร็วขึ้น ก็คือเมมเบอร์ของเราคนนึงมีปัญหาสุขภาพ ก็เลยต้องเลื่อนขึ้นมาให้เร็วขึ้น เพื่อที่จะได้โชว์ด้วยกันครบทั้ง 8 คนค่ะ”สปอยล์หน่อยว่าเราจะได้เห็นอะไรใน MV บ้าง“อย่างแรกเลย เราก็จะได้เห็นชุดที่ไม่ใช่ชุดเซม จะมีชุดอื่นซึ่งพวกเราเป็นคนเลือกกันเอง ก็จะเห็นคาแรคเตอร์ของแต่ละคน แต่ว่าที่แน่ ๆ คือก็จะเป็นสไตล์ญี่ปุ่นอยู่แล้ว ก็จะได้เห็นความน่ารักของพวกเรา รวมไปถึงฉาก เราก็ไปหลาย ๆ ที่แถวนั้น เช่น ชิบูยา อากิฮาบาระ โตเกียวทาวเวอร์ ฉากสวยมากค่ะ”บรรยากาศการถ่าย MV เป็นยังไงบ้าง“สนุกค่ะ เพราะพวกเราได้ไปเที่ยวด้วย ในแต่ละฉากจะเข้าฉากกันทีละ 2 คน ทำให้คนที่ไปแถวนั้นก็ได้ไปซื้อของ เดินเที่ยวแถวนั้นด้วย”มีอะไรพีค ๆ ระหว่างถ่ายทำบ้างมั้ย“มันจะมีฉากนึงค่ะ เราไปถ่ายกันแถว ๆ ตรงรถไฟ เราก็จะรอจังหวะที่รถไฟมา แล้วเราจะขึ้นบันไดเลื่อน แล้วตรงนั้นมันเป็นที่สาธารณะ มันก็จะมีคนเดินตลอดเวลา แล้วเราต้องการตอนที่ไม่มีคนและรถไฟมาพอดี ซึ่งมันก็จะมาประจำทุกนาทีสองนาทีไรงี้ใช่มั้ยคะ แล้วพอรถไฟมาปุ๊บ ดันมีคนเดินตาม ก็ทำให้เทคนั้นใช้ไม่ได้ (หัวเราะ) แล้วเราก็เดินขึ้นเดินลงอยู่แบบนั้น ประมาณเกือบ 10 รอบได้”“แล้วก็ขอเผา CEO นิดนึง มันเป็นบันไดเลื่อนใช่มั้ยคะ แล้วเขาจะเดินตามถ่ายเราค่ะ แล้วแบบว่าขาข้างนึงอยู่ล่างบันไดเลื่อน แล้วอีกขานึงอยู่บนบันไดเลื่อน แล้วเขาก็แบบเตะบันไดเลื่อนให้มันถอยขึ้นไป ส่วนตัวเขาก็ยังไม่ยอมออกมาจากบันไดเลื่อน อยู่แบบนั้นเพื่อตามถ่ายพวกเราค่ะ (หัวเราะ)”นอกจากถ่าย MV แล้ว ก็มีไปโชว์เคสที่ญี่ปุ่นด้วย เป็นยังไงบ้าง“ผิดคาดนะคะ ตอนแรกเราไปที่นั่น เราก็คิดว่าคนญี่ปุ่นอาจจะไม่รู้จักเราขนาดนั้น แต่ตอนที่เราไปขึ้นโชว์ที่งาน Thai Fest คือคนเยอะมาก เขาก็แบบ คาวาอิ เขาก็คอยส่งเสียงพวกเรา แฟนคลับญี่ปุ่นเขาน่ารักมาก เหมือนต่อให้เขาไม่รู้จัก แต่เขาก็จะมีการซัพพอร์ตที่ดีค่ะ ส่งเสียงเชียร์ ทำให้เรารู้สึกว่าการมาโชว์ของพวกเรา เราไม่ได้มาโชว์คนเดียวแบบไม่มีแฟนคลับเลย เขาจะคอยให้กำลังใจ เหมือนเขาเป็นแฟนคลับที่บินตามเรามาเลย มันก็เลยเป็นความน่ารักของแฟนคลับญี่ปุ่นมาก ๆ เลยค่ะ แล้วก็ต้องขอบคุณแฟนคลับไทยด้วย ที่บินตามพวกเราไป เพราะว่าตอนนั้นเป็นความพิเศษ พวกเราเอาชุดนี้ไปโชว์ แล้วก็มีถ่ายกิจกรรมครั้งแรกกับพวกเราที่ญี่ปุ่นด้วย”ฝากอะไรถึงแฟนคลับที่ติดตาม The Glass Girls อยู่หน่อย“ขอบคุณทุกคนที่ซัพพอร์ต The Glass Girls กันมาตลอด ตั้งแต่เราเป็นเทรนนีนะคะ จนมีรุ่น 1 รุ่น 2 รุ่น 3 จนตอนนี้จะมีรุ่น 4 แล้วหรือเปล่า เอ๊ย พูดอะไรออกมา (หัวเราะ)”“พวกเราพยายามอย่างหนักมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นน้อง ๆ เทรนนีหรือเมมเบอร์ อยากให้รู้ไว้ว่าทุกผลงาน พวกเราตั้งใจ แล้วก็ทุ่มเทกับงานมาก ๆ ก็อยากให้ทุกคนติดตาม และเป็นกำลังใจให้พวกเราแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วพวกเราก็จะเป็นกำลังใจให้กับทุกคนเหมือนกัน เพราะพวกเราเชื่อว่าทุกคนเจอทั้งเรื่องดีแล้วก็ไม่ดีในชีวิต แต่ก็อยากให้รู้ไว้ว่าพวกเราจะอยู่ตรงนี้ เป็นกำลังใจให้ทุกคนเสมอนะคะ”สุดท้าย ฝากซิงเกิลนี้ The Journey (การเดินทาง) หน่อย“ขอฝากซิงเกิลนี้นะคะ The Journey ค่ะ ก็เป็นโปรเจคพิเศษของพวกเรานะคะ อยากฝากให้ทุกคนรอติดตาม ตอนนี้เพลงปล่อยทุกสตรีมมิ่งแล้ว ก็ไปฟังกันได้เลย ส่วน MV ก็รอติดตามใน YouTube Channel The Glass Girls อยากให้รอติดตามกันเยอะ ๆ นะคะ”

“โมสต์ วิศรุต” เผยตัวตนอีกด้านในมาดศิลปิน ผ่านซิงเกิลแรก "ซะอย่างงี้ (SCNR)"

หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับ "โมสต์ - วิศรุต หิมรัตน์" ในบทบาทนักแสดงมากฝีมือ ที่ฝากผลงานเอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นบท “จ้อย” จาก “บุพเพสันนิวาส” หรือบท “ภูผา” จาก “น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์” วันนี้โมสต์กลับมาอีกครั้งในฐานะศิลปินอย่างเต็มตัว ภายใต้สังกัด "Yeezaa" พร้อมประเดิมซิงเกิลแรก "ซะอย่างงี้ (SCNR)" เราจึงได้ชวนโมสต์มาพูดคุยถึงตัวตนอีกด้าน ผ่านบทบาทใหม่ และเบื้องหลังการทำงานที่ใส่ความเป็นตัวเองลงไปอย่างเต็มที่เพลง ซะอย่างงี้ (SCNR) เริ่มต้นมาจากอะไร“มันมาจากการที่เราเขียนเพลงอกหักเยอะ เขียนคิดถึงคนนู้นคนนี้เยอะ แล้ววันนึงมันก็มีความรู้สึกที่แบบ เฮ้ย อะไรเนี่ย เราก็เลยถอยออกมา แล้วก็เขียนบ่นว่า เมื่อไหร่จะเลิกเขียนเลิกบ่นคิดถึงคนนี้สักที เป็นซะอย่างงี้ตลอดเลยนะ”เพลงนี้ใช้เวลาทำนานมั้ย“เพลงนี้ใช้เวลาทำประมาณ 2-3 เดือนครับ”เขียนเพลงนี้จากประสบการณ์ส่วนตัวหรือเปล่า“ใช่ครับ ก็คือเขียนเอาไว้นานมาก ๆ แล้ว ช่วง 2-3 เดือนก็คือเริ่มเข้ากระบวนการทำเพลง นั่งคุยดนตรี ว่าอยากได้แบบไหน อยากทำแบบไหน”ช่วยเล่าสตอรีของ MV ให้เราฟังหน่อย“ถ้าพูดรวม ๆ ก็คือเป็นเรื่องราวของผู้ชายคนนึงที่ทำตัวเหมือนเป็นสตอล์กเกอร์ ส่วนผู้หญิงก็เป็นคนรักของเขา แล้วเขาก็ติดตาม แอบเก็บของของผู้หญิงคนนั้นเอาไว้”แล้วสรุปเสียงเคาะประตูตอนจบ MV คือใคร“ตำรวจลง (หัวเราะ) มีคนถามเยอะเหมือนกัน จริง ๆ แล้วตอนคุยสตอรีบอร์ดกัน มันก็คือผู้หญิงคนนั้นแหละ เขามาหาที่ห้อง แต่ว่าที่ตัดสินใจทำออกมาเป็นแบบนี้ ที่เห็นกันใน MV ก็คืออยากให้เป็นปริศนาธรรม ตีความกันเอง”ยากมั้ยกับการที่โมสต์ต้องเขยิบบทบาทมาเป็นศิลปินเต็มตัว“ก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่เคยทำ ก็ยังมีอะไรที่แปลกหูแปลกตาเยอะมากเลยที่ผ่านมา”คนมักจะติดภาพโมสต์ในบท จ้อย จากบุพเพสันนิวาส ยากมั้ยกับการลบภาพนั้นให้คนจำที่โมสต์เป็นโมสต์“อันนี้เป็นสิ่งแรกที่คิดเลย ก่อนที่จะเข้าค่ายเพลงด้วยซ้ำ แต่รู้สึกว่าสุดท้ายแล้วมันเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น ก็เลยใช้วิธีจริงใจกับงาน เต็มที่กับงาน ให้คนดูเห็นเอง พยายามทำให้มันเป็นตัวเราที่สุด ดึงความเป็นตัวเราออกมาให้เยอะที่สุด ก็หวังว่าคนจะรู้สึกได้”ถ้าให้นิยามความเป็นโมสต์ คิดว่าตัวเองเป็นคนยังไง“สบาย ๆ อยู่ได้ทุกที่ คุยได้กับทุกคน ทุกเรื่อง”รู้ตัวตอนไหนว่าตัวเองอยากเป็นศิลปิน“จริง ๆ ก็รู้สึกว่าตอนอายุ 30 ควรจะเริ่มเข้ามามีบทบาทในด้านการเป็นศิลปินได้แล้ว ก่อนที่มันจะสายเกินไป แต่ถ้าถามว่ารู้สึกเมื่อไหร่ ก็คงนานแล้วแหละ แต่ว่าไม่ได้แอคทีฟเฉย ๆ”ตอนเป็นหน้ากากกระติ๊บมีส่วนทำให้โมสต์ตัดสินใจมาเป็นศิลปินเต็มตัวมั้ย“ตอนหน้ากากกระติ๊บก็ยังนะครับ คือก็ยังมองว่าการร้องเพลงเป็นงานอดิเรกอยู่ แต่ก็ไม่ได้ปิดโอกาสอะไร เพียงแต่ว่ายังไม่ได้เข็นตัวเองมาขนาดนั้น ไม่ได้แบบว่าฉันจะเป็นนักร้องแล้วนะอะไรแบบเนี้ย”กระแสตอบรับจากแฟน ๆ เป็นยังไงบ้างกับบทบาทศิลปินของโมสต์“ก็ดีนะครับ มันเป็นกำลังใจที่ทุกคนแบบว่า เฮ้ย สักที คือคนที่ไม่ได้รอคอยสิ่งนี้เนี่ย เขาก็จะรู้สึกเซอร์ไพรส์ ว่าเราทำชิ้นงานนี้ออกมาด้วยตัวเองเลยนะ แต่ว่าถ้าเป็นแฟนคลับที่ติดตามกันมา เขาก็ดีใจ เพราะเขาเฝ้ารออยู่แล้ว เราก็รู้สึกโล่งที่ทำให้เขาได้สักที”โมสต์ทำงานมาเยอะมาก ไม่ว่าจะละคร ซีรีส์ ภาพยนตร์ ละครเวที เพลง มีอะไรที่อยากทำในอนาคตอีกมั้ย“ก็คงเป็นสิ่งเดิมพวกนี้แหละครับ คือมันอาจจะดูธรรมดา แต่มันก็มีสเต็ปต่าง ๆ ที่เราอยากไป อยากให้มันเติบโตขึ้น”มีอะไรอยากพูดถึงแฟนคลับที่ติดตามกันมาตลอดมั้ย“สำหรับแฟนคลับที่ติดตามกันมาตลอด ก็เดี๋ยวจะมีอะไรอีกเยอะ มีผลงานให้ดูให้ฟังกันอีกเรื่อย ๆ ก็คอยติดตามกันนะครับ”ฝากอะไรถึงคนที่ยังมูฟออนไม่ได้แล้วเป็น ซะอย่างงี้ แบบในเพลงหน่อย“ก็ถ้ายังมูฟออนไม่ได้ ก็เปิดเพลงนี้ใน YouTube ลองเปิดฟังสักวันละ 50 รอบ แล้วคุณจะมูฟออนได้ครับ”สุดท้ายแล้ว ฝากผลงานเพลง ซะอย่างงี้ (SCNR) หน่อย“ก็ฝากเพลงนี้ด้วยนะครับ เป็นงานแรกในฐานะศิลปินแบบออฟฟิเชียลของผม ได้เอาตัวเองใส่เข้าไปจริง ๆ ทั้งเรื่องราวของตัวเอง เสียงร้องของตัวเอง แล้วก็รอดูกันนะว่าจะมีอะไรต่อไป”

พูดคุยกับ ‘ส้ม มารี’ และ 'บิวกิ้น’ ถึงเพลงใหม่ 'กันและกัน' Ost. เธอกับฉันกับฉัน

พูดคุยแบบชิล ๆ สไตล์ Chill Online กับ 'ส้ม มารี' (Zom Marie) และ 'บิวกิ้น พุฒิพงศ์' (Billkin) ผู้ถ่ายทอดเพลง 'กันและกัน' เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง เธอกับฉันกับฉัน You Me Me เวอร์ชัน Cover จากเพลงต้นฉบับของ Triumphs Kingdom ดูโอ้สาวสุดฮอตในยุค Y2Kรู้สึกยังไงที่ได้มีโอกาสมาร่วมร้องเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ส้ม มารี: “รู้สึกดีใจมากค่ะ เพราะว่าอยากทำงานกับ GDH มานานแล้ว แล้วก็อยากร่วมงานกับบิวกิ้นด้วย โดยรวมแล้วดีใจมาก แล้วก็ยิ่งรู้สึกดีใจตอนเห็นผลงานออกมา”ครั้งนี้เป็นการร่วมงานกันครั้งแรกหรือเปล่า ความประทับใจแรกตอนเจอกันเป็นยังไงบิวกิ้น: "จริง ๆ อันนี้เป็นการร่วมงานกันครั้งที่สาม เพราะครั้งแรกคืออัดเสียง แล้วครั้งที่สองก็ถ่ายเอ็มวี”ส้ม มารี: “ไม่สิ (ขำ) เราเจอกันครั้งแรกตอนฟิตติ้ง แล้วก็เพิ่งได้รู้ว่าบิวกิ้นเด็กมาก หมายถึงว่าอายุห่างจากเราเยอะอยู่ ตกใจมาก เพราะเหมือนตอนนั้นผู้กำกับกำลังเล่าให้ฟังว่าหนังเรื่องนี้เป็นช่วงปี 1999 แล้วบิวกิ้นก็พูดขึ้นมาว่า อุ๊ย ปีเกิดผมเลย"บิวกิ้น: "ใช่ครับ ผมเกิด 1999"ส้ม มารี: "แล้วตอนแรกก็คิดว่าบิวกิ้นน่าจะเป็นคนนิ่ง ๆ สุขุม ดูจากรูปลักษณ์ภายนอก"บิวกิ้น: "แล้วจริง ๆ ใช่มั้ย"ส้ม มารี: "ไม่ใช่เลย จริง ๆ แล้วบิวกิ้นเป็นคนกวน ๆ หัวไว ตลก บางทีแค่นั่งอยู่ในห้องเดียวกันก็ขำได้ เขาก็จะแหย่คนนั้นคนนี้ไปเรื่อย เราเป็นผู้ชม บางครั้งก็มีคำถามว่า เขาเป็นคนยังไงนะ (ขำ)"แล้วบิวกิ้นเจอพี่ส้มครั้งแรกรู้สึกยังไงบ้างบิวกิ้น: "อาจจะเพราะเราเคยดูรายการ YouTube พี่ส้มด้วย ก็เลยได้เห็นไลฟ์สไตล์พี่เขาประมาณนึง พี่ส้มก็คือเหมือนที่เราเห็นเลย มีความซื่อ ๆ เป็นคนไนซ์ เจอแล้วรู้สึกว่าเป็นคนน่ารักมาก รู้สึกดีใจแล้วก็ตื่นเต้นนิดนึงตอนเจอครั้งแรก"ส้ม มารี: "จริงเหรอ ดูไม่ออกเลย ฉันอะตื่นเต้น"บิวกิ้น: "ใช่ ผมตื่นเต้นนะ แต่ผมเก็บทรงไง"อยากให้พูดถึงความหมายของเพลงกันและกันในมุมมองของทั้งคู่หน่อยส้ม มารี: "ครั้งแรกที่เราฟัง เรารู้สึกว่ามันเหมือนเพลงปัจฉิม เป็นการที่เราใช้ชีวิตกับใครนาน ๆ หรือคนกลุ่มใดกลุ่มนึงนาน ๆ แล้ววันนึงเราต้องแยกย้าย มันเป็นฟีลนั้นสำหรับเรา แล้วมันเป็นการแยกย้ายที่เราไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเจอกันมั้ยนะ แต่ว่าเราก็จะเก็บเธอไว้ในใจ เราจะยังมีความทรงจำดี ๆ ที่จะเก็บเอาไว้ตลอดไป"บิวกิ้น: "ผมรู้สึกเหมือนเป็นเพลงปัจฉิมเหมือนกัน มันไม่ได้เศร้า แต่มันคือช่วงเวลานึงที่กำลังจะผ่านไป ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่ดี มันอาจจะเศร้าในแง่การจากลา แต่มันไม่ได้เป็นความเศร้าในความหมายที่ไม่ดี มันมีความสุขอยู่ในนั้น"ส้ม มารี: "แต่ว่าการปัจฉิมในยุคเรากับยุคกิ้น มันก็จะไม่เหมือนกันนะ"บิวกิ้น: "ครับ ของพี่เป็นไง"ส้ม มารี: "เพราะของเราอะ ช่วงนั้นสมาร์ทโฟนยังไม่ได้แพร่หลาย คือเหมือนถ้าจากกันไปแล้ว เราไม่มีทางรู้เลยว่าอีกคนไปไหน เฟซบุ๊กก็ยังไม่ได้บูมมาก เราไม่รู้เลยว่าคนอื่นไปใช้ชีวิตยังไง ทำงานอะไรอยู่ แต่ถ้าเป็นเด็กยุคนี้ เราว่าอย่างน้อยมันก็จะยังติดต่อกันได้เหมือนเดิม คุยไลน์กันได้เหมือนเดิม"ทั้งคู่เคยมีประสบการณ์ความรักในช่วงวัยเด็กยังไงบ้าง มีตรงกับเพลงนี้บ้างมั้ยส้ม มารี: "ก็มีชอบรุ่นพี่"บิวกิ้น: "ไม่มีนะ ผมรักครอบครัวอย่างเดียวเลย ตั้งใจเรียน รักการเรียน แล้วก็รักครอบครัวครับ"ส้ม มารี: "จ้า (ขำ) ของเราบางคนก็ยังเป็นเพื่อนกันได้อยู่ แบบเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊ค คอยดูกันห่าง ๆ ไม่ค่อยได้คุยกัน นาน ๆ จะทักไปคุยกันสักที"ถ้าให้พูดถึงมุมมองความรักในยุค Y2K คิดว่าเป็นยังไง ต่างจากยุคนี้มั้ยส้ม มารี: "ยังเด็กอยู่เลย ยุค Y2K นี่ยังเด็กมากเลย"บิวกิ้น: "ผมไม่รู้จัก Y2K ผมไม่ทัน ผมเพิ่งเกิด (ขำ)"ส้ม มารี: "ถ้าเป็นของเรา สมัยเราเด็กน้อย กำลังจะเริ่มเป็นวัยรุ่น เราต้องเล่น MSN ดังนั้นการจะได้คุยกับคนที่ชอบ เราจะต้องมีอีเมลเขาก่อน เอาไว้คุย MSN กัน ประมาณนั้น"สุดท้ายให้ทั้งคู่ฝากผลงานหน่อยส้ม มารี: "ก็ฝากเพลงนี้ด้วยนะคะ กันและกัน เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง เธอกับฉันกับฉัน You Me Me เป็นอีกเวอร์ชันนึงที่อยากให้ทุกคนลองฟังกันดู เผื่อใครที่เคยฟังเวอร์ชันเก่าแล้ว พอมาลองฟังเวอร์ชันนี้ ก็อาจจะหวนคิดถึงความหลังได้ แล้วก็ฝากหนังด้วยค่ะ"บิวกิ้น: "ขอฝากภาพยนตร์เรื่อง เธอกับฉันกับฉัน You Me Me ด้วยครับ สามารถไปดูได้แล้วที่โรงภาพยนตร์ใกล้บ้านทุกสาขา อยากให้ทุกคนไปดูที่โรงภาพยนตร์จริง ๆ เพราะมันจะเต็มอิ่มไปด้วยเรื่องราว และอรรถรสของการดูหนัง ถ้าใครว่างก็อยากให้ไปดูกันนะครับ"

คุยกับ “Pam Anshisa” ถึงเบื้องหลังซิงเกิลใหม่ “รักฉันหรือการมีฉัน (Love Ends)”

หลังจากห่างหายกันไปพักใหญ่ ล่าสุด Pam Anshisa ศิลปินสาวสังกัด D.U.M.B. Recordings กลับมาพร้อมซิงเกิลใหม่ "รักฉันหรือการมีฉัน (Love Ends)" เพลง Pop RB ที่มีกลิ่นอาย 90’s-2000’s ที่จะชวนให้ทุกคนได้ทบทวนความสัมพันธ์ ว่าสิ่งที่เหลืออยู่คือ ความรัก หรือแค่ความผูกพันธ์ วันนี้เราเลยได้ชวนแปม มาพูดคุยถึงเรื่องราวเบื้องหลังเพลงนี้กันห่างหายจากการปล่อยเพลงไปประมาณ 1 ปี ระหว่างนี้หายไปไหนมา“ก็มีร้องโคฟเวอร์บ้าง แต่ว่าจริง ๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราพยายามทำงานเพลงตลอดค่ะ อาจจะมีทั้งแต่งเองด้วย แล้วก็มีที่ลองทำงานกับคนอื่น แต่ว่าสุดท้ายแล้ว ด้วยไทม์มิ่งที่ผ่านมาเรายังไม่เจอเพลงที่เราอยากปล่อยแหละ เราก็เลยใช้เวลานาน แล้วก็มาได้เพลงนี้ ที่เรารู้สึกว่า โอเค เราจะปล่อยด้วยเพลงนี้”"รักฉันหรือการมีฉัน" เพลงนี้มีที่มาจากอะไร“เริ่มมาจากไอเดียของพี่แม็ค ศรัณย์ ที่แต่งให้ พี่แม็คแชร์ไอเดียนี้มาเลย เนื่องจากเรามีโจทย์ที่ชัดเจนว่า เราอยากได้เพลงที่พูดถึงความสัมพันธ์ที่จริงจังมากขึ้น แล้วก็เป็นเพลงเศร้า อยากลองมีเพลงเศร้าบ้าง เพราะเมื่อก่อนมีแต่เพลงที่เพ้อ ๆ หน่อย หรือว่าแอบรัก เลยอยากมีเพลงเศร้าไปเลย ซึ่งพี่แม็คก็กลับมาพร้อมไอเดียนี้ เรารักกันหรือการมีกัน”เพลงนี้ใช้เวลาทำนานมั้ย“นานเหมือนกันค่ะ เพราะว่าพี่แม็คยุ่งมาก (หัวเราะ) ประมาณ 3-4 เดือน รวม ๆ ทั้งหมดแล้ว”คิดว่าอะไรเป็นสิ่งที่ใหม่ที่สุด เมื่อเทียบระหว่างซิงเกิลนี้กับซิงเกิลก่อน ๆ“สิ่งที่ใหม่ที่สุด จริง ๆ มีหลายอย่างนะ แปมว่าเป็นเรื่องของเนื้อหาเป็นหลักแล้วกันค่ะ กับสไตล์การเล่า เพราะว่าพอมันไม่ได้เป็นวิธีการเล่าของเรา หรือว่าเรื่องส่วนตัวของเรามาก ๆ มันก็จะมีลายเส้นบางอย่างที่เป็นพี่แม็คเข้ามา ซึ่งแปมรู้สึกว่ามันเป็นการคอแลปกัน ที่ทำให้เกิดอารมณ์ใหม่ ๆ ของแปมดี หมายถึงว่าถ้าสมมุติว่าแปมเขียนเพลงเศร้าเอง แปมอาจจะตีความเรื่องนี้ออกมาไม่เหมือนที่พี่แม็คเขียน ซึ่งพอเราได้ร้องเพลงนี้ ยิ่งเวลาร้องสด เราจะรู้สึกว่าเราได้ไปแตะอารมณ์ที่เราไม่เคยเจอมาก่อนในเพลงอื่น ๆ ของเรา”เพราะเพลงก่อน ๆ ปกติเราจะมีส่วนร่วมในการเขียนด้วยใช่มั้ย“ใช่ ๆ ปกติมันก็จะเป็นแบบ เราแต่งทำนองไปก่อน กับเนื้อบางส่วน ส่วนใหญ่จะเริ่มทำนองไปก่อน ซึ่งเพลงนี้เราไม่ได้เข้าไปแตะในเรื่องนั้นเลย เป็นผู้สื่อสารอย่างเดียว”ชอบท่อนไหนมากที่สุดในเพลง เพราะอะไร“จริง ๆ ชอบครึ่งหลังของฮุคอะค่ะ ‘ถ้าเธอไม่เหลือใจ ฝืนกันไปก็เท่านั้น ไม่อยากจะรักกัน จะทนคบไปวันวันเพื่ออะไร’ รู้สึกว่ามันเป็นการที่ คนคนนี้ที่กำลังพูดเรื่องนี้ เขาย่อยทุกอย่างออกมาเองแล้วว่า ก็ในเมื่อไม่ได้รักกันแล้ว เราจะยังอยู่ด้วยกันทำไม ก็ตัดสินใจว่างั้นก็ไม่ต้องอยู่ด้วยกัน งั้นก็เลิกกันดีกว่า รู้สึกว่าเป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดดีของคนคนนึงที่กล้าเดินออกมา”เรื่องราวของ MV นี้เป็นยังไง เห็นมีเป็นภาพขาวดำและภาพสี“เป็นการเล่าเรื่องของความสัมพันธ์ตอนที่ยังรักกันอยู่ กับตอนที่แค่อยู่ด้วยกันเฉย ๆ ให้มันมีความแตกต่างกันมากขึ้น โดยการที่เราใช้ภาพปัจจุบัน ที่มันเป็นบรรยากาศของการอยู่ด้วยกัน แต่ไม่ได้รักกันแล้ว ภาพตรงนี้มันเป็นปัจจุบันที่เป็นขาวดำ แปมว่ามันเป็นการแทนว่ามันไม่มีความรักเหลืออยู่แล้ว สีสันมันหายไป ตัดสลับกับตอนที่ทุกอย่างยังสวยงามอยู่ ยังมีความรักอยู่ เป็นภาพสี”MV นี้ แปมไม่ได้แสดงเอง มีแค่เป็นซีนลิปซิงค์ ทำไมถึงเลือกทำออกมาในรูปแบบนี้“พอฟังเพลงแล้ว แปมรู้สึกว่ามีต้องมีเรื่องราว ต้องเป็นการแสดง ต้องมีการแอคติ้ง ซึ่งเราไม่ใช่นักแสดงเนอะ แล้วเราก็ไม่ค่อยมั่นใจในการแสดงของตัวเอง ถ้าสมมุติเป็นเพลงที่พูดถึงเรื่องอื่น ๆ โมเมนต์อื่น การเลิกกันแบบอื่น อาจจะรู้สึกว่าอยากลองเล่นเอง แต่พอเห็นเรื่องเห็นพลอตมา เรารู้สึกอยากให้เป็นนักแสดงมาเล่นมากกว่า เพราะถ้าไปดูเอ็มวี มันจะไม่ได้มีบทพูด หรือว่าสถานการณ์ที่ชัดเจนอะไรขนาดนั้น แต่มันเป็นสิ่งที่เหมือนความรู้สึกที่อยู่ข้างใน มันก็เลยต้องเป็นนักแสดงที่เขาแสดงออกได้ดีทางสายตา เล่นน้อยแต่มากได้ ก็เลยเลือกเป็นคุณแยมมา ที่เป็นนักแสดงอยู่แล้ว แล้วเราก็ชื่นชอบการแสดงของเขา สายตาเขามันแสดงออกมาได้ดีมาก”ใน MV ตัวละครเลือกที่จะเดินออกมา ถ้าเป็นตัวเองจะเลือกแบบเดียวกับตัวละครมั้ย“ถ้าเกิดว่ามันชัดเจนอยู่แล้ว ว่าเขาไม่ได้รักเราแล้ว เราก็ตัดสินใจแบบเดียวกับตัวละคร แปมคิดว่าถ้าเราเห็นคุณค่าของตัวเองพอ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะตัดสินใจอะไรแบบนี้”แล้วเคยมีประสบการณ์แบบนี้มั้ย“เคยนะ แต่ตอนนั้นเป็นตอนที่เราเด็กมาก เราตัดสินใจ แต่มันไม่ได้เด็ดขาด หมายถึงว่า เรารู้ว่ามันไม่เหมือนเดิมจริง ๆ เราเห็นทุกอย่างเลย แต่ว่าเราใช้เวลานานมากกว่าที่เราจะเดินออกมา เป็นเวย์นั้นมากกว่า แล้วพอเดินออกมา เขาก็ไม่ได้แคร์ ไปก็ไปสิ เราก็แบบ ทำใจไม่ได้ ไม่มีการง้อซะหน่อยเหรอ มันเป็นช่วงเด็กที่เรายังไม่เข้มแข็งพอ ยังไม่ค่อยโต”ภายในปีนี้จะมีซิงเกิลใหม่ให้เราฟังอีกมั้ย“คิดว่ามีค่ะ เขียนว่า มีแหละ (หัวเราะ) อยากมีค่ะ คิดว่าน่าจะได้ปล่อยภายในปีนี้ ถ้าทุกอย่างมันทันนะ”สปอยล์ซิงเกิลหน้าได้มั้ย จะมาแนวไหน“จะมาในแนวที่ทุกอยากเห็นแล้วกันค่ะ คิดว่าหลาย ๆ คนน่าจะอยากเห็นมุมนี้”ในอนาคตอยากร่วมงานกับใครมั้ย ไม่ว่าจะเป็นโปรดิวเซอร์ หรือ feat. กับศิลปินท่านอื่น“มีหลายคนเลยค่ะ”แล้วจะมี feat. กับใครมั้ยในซิงเกิลหน้า“ยังไม่ได้คิดนะ ยังไม่ได้วางไว้ว่าจะเป็นเพลงไหนยังไง แต่ว่าเราก่อนหน้านี้เคยไป feat. เพลงคนอื่นที่เขาชวนไป เราเลยอยากดึงเขากลับมา feat. เพลงเราบ้าง เช่น Tilly Birds, TIMETHAI รู้สึกว่าเรามีความ RB บางอย่าง ที่ใกล้เคียงกันอยู่บ้าง รู้สึกว่าน่าจะสนุก”'สุดท้ายให้พูดฝากซิงเกิลนี้ รวมถึงผลงานอื่น ๆ ในอนาคตหน่อย“ฝาก รักฉันหรือการมีฉัน นะคะ เป็นเพลง Pop RB ที่เราอยากให้ทุกคนได้ลองฟังค่ะ เป็นแนวใหม่ ๆ จากแปม ที่หวังว่าจะทำให้หลาย ๆ คนได้ทบทวนความสัมพันธ์ปัจจุบันละกัน ว่ามันเฮลตี้อยู่มั้ย มันยังมีความรักอยู่หรือเปล่า แล้วก็ฟังกันได้ทุกช่องทางสตรีมมิ่งนะคะ แล้วก็ฝากติดตามเพลงอื่น ๆ ที่กำลังจะตามมาด้วยในปีนี้หรือปีหน้า”

0.8