Exclusive Talk กับผู้กำกับ โอ๋–ภาคภูมิ พร้อมนักแสดงนำ ไอซ์ซึ และณัฏฐ์ จากซีรีส์ DELETE

Chill Talk

Exclusive Talk กับผู้กำกับ โอ๋–ภาคภูมิ พร้อมนักแสดงนำ ไอซ์ซึ และณัฏฐ์ จากซีรีส์ DELETE

เรียกได้ว่าเข้มข้น และลุ้นระทึกทุกตอน สำหรับ DELETE ออริจินอลซีรีส์ไทยเรื่องล่าสุดจาก Netflix ผลงานการกำกับของ โอ๋-ภาคภูมิ เสริมทัพด้วยนักแสดงมากความสามารถ ณัฏฐ์-กิจจริต, ฟ้า-ษริกา, ไอซ์ซึ-ณัฐรัตน์, ออกแบบ-ชุติมณฑน์, เจ้านาย-จินเจษฎ์, ชาร์เลท-วาศิตา และปีเตอร์-นพชัย วันนี้ Chill Online จึงได้ชวนผู้กำกับ โอ๋–ภาคภูมิ พร้อมนักแสดงนำอย่าง ไอซ์ซึ และณัฏฐ์ มาพูดคุยถึงซีรีส์เรื่องนี้กัน

 

ซีรีส์เรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากอะไร

โอ๋ – “เริ่มต้นมาจากทีม ISM กับ GDH พัฒนาบทซีรีส์ร่วมกัน แล้วเขาก็มาชักชวนผมให้มาทำซีรีส์ร่วมกัน เป็นคอนเสปแบบที่เห็นในทีเซอร์ คือโทรศัพท์มือถือที่ลบคนได้ ก็อยากตั้งคำถามว่า ถ้าเรามีมือถือเครื่องนึงที่สามารถลบใครก็ได้ให้หายไปจากโลกเลย เราจะทำมั้ย มันเหมือนเป็นเครื่องทดสอบจิตใจนิดนึงอะครับ ว่าถ้าเราเกลียดใครมาก ๆ เนี่ย เราจะลงมือทำมั้ย ถ้าเรามีเครื่องมือนี้อยู่ในมือ ก็อยากตั้งคำถามกับเรื่องนี้ จึงเป็นซีรีส์เรื่องนี้ขึ้นมา”

ปกติเราถ่ายภาพเพื่อเก็บความทรงจำ ทำไมถึงเลือกให้การถ่ายภาพเป็นการลบให้คนหายไป

โอ๋ – “จริง ๆ การลบคนให้หายไป มันเหมือนเป็นอำนาจอย่างนึงเหมือนกัน อำนาจที่เราสามารถทำให้ใครก็ได้หายไปเลย เราเลือกได้ว่าใครควรอยู่ ใครควรหายไป มันเหมือนกับเครื่องมือฆ่าคนที่ไม่ทิ้งหลักฐานอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นเครื่องมือฆ่าคนที่แนบเนียนมาก ๆ ไม่มีใครจับได้ ไม่เหมือนปืนอะครับ มันเหมือนเป็นเครื่องมือทดสอบด้านมืดของจิตใจ ว่าถ้าเราทำให้คนนั้นหายไปเลย แล้วเราก็ไม่โดนความผิดอะไร เราจะทำมันไปเรื่อย ๆ เหรอ หรือเราจะตัดสินใจยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันเหมือนกับเราสร้างตัวละครขึ้นมา เพื่อตั้งคำถามเหล่านี้กับคนดู”

DELETE เป็นซีรีส์เรื่องแรกที่ โอ๋–ภาคภูมิ กำกับ สิ่งที่ท้าทายที่สุดคืออะไร

โอ๋ – “มันเป็นการกำกับซีรีส์เรื่องแรกของผมเลย เพราะปกติผมจะทำหนังแนว Horror ก็เลยรู้สึกว่าถ้าเราทำซีรีส์แนว Thriller ที่มีการเล่าแบบภาพยนตร์ตั้งแต่อีพี 1-8 มันคงจะท้าทาย แล้วทีมที่ทำก็เป็นทีมที่ทำภาพยนตร์ทั้งหมดเลย อย่างตากล้องผมเองก็ไม่เคยทำซีรีส์มาก่อน เราก็อยากทำซีรีส์ที่ให้ความรู้สึกฟีลภาพยนตร์ขึ้นมาครั้งแรก เป็นการทำซีรีส์ครั้งแรกของ GDH กับ Netflix ด้วย ตรงนี้เป็นความยากและความท้าทาย แล้วก็รู้สึกว่า ถ้าเราทำซีรีส์แล้ว เราอยากให้เขาติดตาม อยากให้เขาดูแบบไม่หยุดเลย กดดูไปเรื่อย ๆ 8 อีพีรวด อันนี้คือความตั้งใจที่อยากให้เกิดขึ้นในซีรีส์เรื่องนี้ อีกความท้าทายคืออยากให้ซีรีส์ขึ้นไปติดอันดับในชาร์ตของ Netflix ให้ได้ ซึ่งมันไม่มีซีรีส์เรื่องไหนที่ขึ้นอับดับไปสูง ๆ เลยอะครับ แล้วพอเรื่องนี้สามารถขึ้นไปอยู่อันดับ 7 ได้ ผมรู้สึกว่าอันนี้มันเป็นหมุดหมายอันนึงของคอนเทนต์ไทย ที่เราสามารถไปปักธงตรงนั้นได้ ซึ่งมันคงไม่ใช่ครั้งเดียว มันคงจะมีคนอื่น ๆ ช่วยกันตามขึ้นมา ผลักดันให้คอนเทนต์ไทยไปสู่สากล และจะไม่มีใครพูดได้อีกว่า เฮ้ย คอนเทนต์ไทยแม่งไม่ดีว่ะ มันดีเพราะเราทุกคนช่วยกัน เราก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราไปปักเอาไว้แล้ว แล้วก็รอคนอื่นให้ขึ้นไปอีก”

สำหรับนักแสดงนำอย่าง ไอซ์ซึ และณัฏฐ์ รู้สึกยังไงที่ได้มาเล่นซีรีส์เรื่องนี้

ณัฏฐ์ – “ผมรู้สึกยินดีเสมอที่ได้เข้าไปอยู่ในโปรเจคใหม่ ๆ ก็จะตื่นเต้น แต่ว่าอันนี้มันรู้สึกดีมาก ๆ เพราะว่ามันเพิ่งเป็นโปรเจคล่าสุดด้วย แล้วก็ผมรู้สึกโชคดีที่คนรอบ ๆ ตัว ทั้งนักแสดงร่วม ทีมงาน รวมไปถึงฝั่งครีเอเตอร์ ทุกคนดูจะถือธงเดียวกัน ว่าเราจะทำสิ่งนี้ให้ดี ซึ่งอันนี้สำคัญ มันสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจทีละเล็กทีละน้อย มันมีโมเมนต์เล็ก ๆ ระหว่างนักแสดง ที่แบบเดินมาตบหลังให้กำลังใจกัน หรือตอนเวิร์คชอป เรามีครูร่ม เรามีพี่โอ๋ ที่เวลาเราตั้งคำถาม เราก็มีคนช่วยตอบ ละข้างหลังพี่โอ๋เราก็มีทีมครีเอเตอร์มากมาย รวมถึงตอนเราพีอาร์ด้วย เราก็มีทีมที่น่าสนใจ ความรู้สึกรวม ๆ ของผม มันคือความโชคดีที่ได้มาอยู่ในโปรเจคนี้ แล้วก็เรียนรู้เยอะมาก รู้สึกว่าโตขึ้นจากคิวแรกเยอะเลยครับ”

ไอซ์ซึ – “ในแง่ของอาชีพการงาน ผมมองว่าเราเชื่อในสิ่งนี้ด้วยกันทั้งหมดทั้งทีม เราเชื่อในสิ่งที่เราทำ เรารักในสิ่งที่เราทำ แล้วก็ทำๆๆ มันจะมีช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่า ท้อว่ะ เราเจ๋งจริงปะวะ เราตั้งคำถามกับตัวเอง self-doubt มาก เราดีพอหรือเราไม่ดีพอ แล้วพอวันนึงงานที่เราทำมาทั้งหมด มันออกไปอยู่ในอันดับโลก แล้วคนให้การตอบรับกับงานของเรา ความ self-doubt ของเรามันหายไปเลย กลับเป็นความมั่นใจมากขึ้น ในการที่จะเดินหน้าต่อไปในวงการภาพยนตร์แล้วก็ซีรีส์ไทย อันนี้ชัดที่สุดในแง่ของอาชีพการงาน แต่ในแง่ของตัวเอง เหมือนที่พี่ณัฏฐ์ตอบเลย รู้สึกว่าเราโตขึ้น ยิ่งผมเจอกับพี่โอ๋ คือพี่โอ๋เป็นผู้กำกับที่ชัดเจนกับภาพที่เห็น แต่ก็ยังเปิดโอกาสให้นักแสดงทุกคนเสนอไอเดีย แล้วก็รับฟังไอเดียที่บอกด้วย แล้วผมดูการทำงานของพี่โอ๋ ในการที่พี่โอ๋ดีลงานกับแผนกอื่น ๆ เป็นหัวเรือของเรา แล้วก็เป็นหัวเรือที่ทำให้เรารู้สึกเชื่อ ผมรู้สึกว่าเราได้เรียนรู้ในสิ่งนี้ แล้วก็จะเอามาปรับใช้กับชีวิตตัวเอง กับการทำงานกับคนอื่น ๆ ต่อไป ว่าการที่เราต้องคุยกับคนอื่น เราคุยกันยังไง มีความเป็นมืออาชีพ ทำงานแบบคนที่โตขึ้น”

มีซีนไหนที่รู้สึกว่าชอบมากที่สุดมั้ย

ณัฏฐ์ – “จริง ๆ ผมชอบซีนสุดท้ายของตัวละคร ชอบอารมณ์ ชอบความรู้สึกของตัวเอง ณ ตอนนั้น ผมรู้สึกว่ามันเป็นซีนที่ เริ่มรู้สึกจริง ๆ ว่าเอมคงมีทางออกในชีวิตแล้ว เลยชอบความรู้สึกรวม ๆ ของก้อนนั้น”

โอ๋ – “ถ้าให้พูดขยายก็คือเหมือนตัวละครนั้นทำสิ่งที่เลวร้ายไว้เยอะมาก แล้วตัวละครได้ผ่านอะไรที่หนักหนา แล้วก็สำนึกผิดจริง ๆ ที่สิ่งที่ตัวเองทำ แล้วเขาก็แสดงความรู้สึกออกมาได้ดีมาก ทำให้เราเข้าใจว่าความรู้สึกของการลบคนอื่นไปมันเป็นยังไง ลบแล้วความรู้สึก guilty มันไม่ได้จางหายไป มันเหมือนกับยิ่งลบแล้วความรู้สึกข้างในเขามันยิ่งมากขึ้น”

ณัฏฐ์ – “จริง ๆ ย้อนกลับไปคำถามที่ถามตอนแรก ๆ ที่พี่ถามเรื่องลบ ผมคิดว่าอันนี้ก็เจ๋งดี หมายถึงว่าจริง ๆ แล้ว ลบคืออะไร บางทีเรานึกถึงคนนึงที่ไม่อยู่แล้ว แต่เขาก็ยังมีความทรงจำร่วมในใจเรา ก็อาจจะมองต่างกันออกไปว่าอันนี้ลบหรือเปล่า ผมรู้สึกว่าคำว่าลบมนุษย์อีกคนนึง มันค่อนข้างกว้าง แล้วก็เฉพาะตัวมาก ๆ อันนี้คือหนึ่งในประเด็นที่เราพาไปสำรวจเลย คือคำว่าลบเนี่ยแหละ ว่ามันคืออะไร”

ไอซ์ซึ – “ในซีรีส์ผมจะชอบซีนของตัวละครที่ชื่อจูน จริง ๆ มันเป็นทั้งก้อนด้วยซ้ำ หมายถึงอีพีที่เล่าเรื่องตัวละครจูน แต่ถ้าซีนที่ผมชอบจริง ๆ ซีนที่ผมดูแล้วลุกขึ้นมาเลย คือซีนที่ตัวละครจูนเขาโดนแกล้ง โดนขังไว้ แล้วพอวันต่อมาเขาเดินออกมาจากที่ขังด้วยความแค้น ผมเผ้ารุงรัง แล้วก็เฟรมที่จงใจถ่ายในซีรีส์ มันเหมือนเราดูหนังฟอร์มยักษ์ของฮอลิวูด พอเห็นแบบนั้นแล้วผมรู้สึกว่า เฮ้ย มันถ่ายที่เมืองไทย ด้วยทีมงานไทย ด้วยกล้องของคนไทย โลเคชั่นของคนไทย แล้วมันดูยิ่งใหญ่เท่านั้นได้ ผมขนลุกกับซีนนั้นในฐานะคนดูคนไทยด้วยครับ”

ในมุมของผู้กำกับ อยากให้คนดูได้อะไรกลับออกไปหลังจากดูซีรีส์เรื่องนี้

โอ๋ – “อย่างแรกเลยครับ ก็เป็นความบันเทิง ผมรู้สึกว่าซีรีส์แนวทริลเลอร์มันไม่ค่อยมี ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องรัก แล้วก็เป็นซีรีส์ที่มีความ high concept ผมรู้สึกว่าอันนี้ไม่ค่อยเห็น ถ้ามันมีออกมาก็อยากให้คนดูไปติดตามชม นอกจากประเด็นมือถือลบคนได้ มันยังมีอะไรมากกว่านั้น มันไม่ใช่แค่ความวิเศษหรือเมจิคเรื่องมือถือ มันมีเรื่องคนที่อยู่ในนั้น เขาลบคนอื่นไปเพราะต้องการอะไรบางอย่าง ให้ตั้งคำถามเกี่ยวกับการลบ เกี่ยวกับอำนาจของมือถือที่มันอยู่ในมือเรา ว่าเราจะตัดสินใจยังไง ถ้าเราลบให้เขาหายไป แล้วเขาจะหายไปจริง ๆ หรือเปล่า ถ้าเป็นคนดูเจอปัญหาแบบนี้ คนดูจะทำแบบนั้นมั้ย มันก็เป็นการทดสอบจิตใจของทุกคนว่าจะดำดิ่งไปได้เยอะขนาดไหน อันนี้เป็นสิ่งที่ผมอยากตั้งคำถามกับคนดู แล้วก็อยากให้คนดูรู้สึก นอกเหนือจากนั้นก็เป็นความบันเทิง ที่เราพยายามอยากยกระดับการทำซีรีส์ขึ้นไป ถ้าเราทำอย่างตั้งใจ อย่างเต็มที่ มันก็อยู่ที่คนดูที่ต้องไปพิสูจน์แล้วว่าความตั้งใจทั้งหมดที่เราทำไปเนี่ย มันเป็นยังไง กับทั้ง 8 ตอนใน Netflix ครับ”

ถ้ามีมือถือเครื่องนั้นอยู่ในมือ จะเลือกเก็บไว้ ทำลายทิ้ง หรือจะจัดการกับมันยังไง

ณัฏฐ์ – “เก็บไว้ก่อน เผื่อต้องใช้ (ขำ) ก็คงเก็บไว้ ถ้าตอบแบบไว ๆ แต่ถ้ามีเวลาคิดอีกหน่อยก็แบบ จะกลายเป็นคนเลวมั้ยวะ คือผมว่าคำถามมันน่ากลัว หมายถึงว่าการตั้งคำถามกับเครื่องมือนี้ ที่กำลังเปรียบเปรยว่ามันอาจจะเป็นอำนาจก็ได้นะ มันอาจจะเป็นคำสบถที่เราสบถในทวิตเตอร์ทุกวันก็ได้นะ ถ้ามันเกิดขึ้นจริง เราจะรับผิดชอบมันไหวจริง ๆ มั้ย”

โอ๋ – “เราเคยได้ยินเรื่องที่ว่า บางบ้านมีปืนอยู่ในบ้าน แล้วเรากลัวว่าวันนึงเราจะใช้มัน เพราะเรามีทางเลือก ถ้าวันนึงเรารู้สึกว่า เราเครียด เรามีปัญหาชีวิต เราอาจจะเอาปืนมาใช้ทำอะไรก็ได้ บางคนเลยรู้สึกว่าจะไม่อยากเก็บไว้ในบ้าน แต่มือถือเนี่ย มันลบคนให้หายไปได้ โดยไม่มีหลักฐาน ไม่มีรอยเลือด ไม่มีอะไรเลย มันง่ายในการที่เราจะตัดสินใจใช้มันด้วยซ้ำ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมันเลวร้ายกว่าความตายด้วย ความตายเรายังรู้ว่าตายไปอะครับ แต่คนที่หายไป มันทรมานกับคนที่ยังอยู่ เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่หายไป ความรู้สึกเหมือนแม่ที่ลูกหายไป เราไม่รู้เลยว่าเขาหายไปไหน ตายหรือเปล่าก็ไม่รู้ เกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ มันเป็นความทุกข์ทรมานในจิตใจมาก ๆ เลยครับ ก็เลยรู้สึกว่ามือถือเนี่ย มันอันตรายและน่ากลัวมาก แล้วพอมันอยู่กับผม มันจะยั่วผม เพราะมันเป็นอำนาจที่ทำให้เรารู้สึกว่า ถ้าวันนึงเราเจออะไรขึ้นมา เราต้องใช้มันแน่เลย แต่ผมก็คงไม่ทิ้งแน่ ๆ ผมก็คงเก็บเอาไว้ เผื่อว่าวันนึงผมอาจจะได้ใช้มัน”

ไอซ์ซึ – “เก็บไว้แน่นอน เก็บไว้ก่อน เพราะถ้าอยู่กับเรา ถ้าเราไม่ใช้มัน มันก็ปลอดภัย แต่ถ้าไปอยู่ในมือคนอื่น เขาอาจจะใช้ทันทีเลยก็ได้ ใช้ในทางใดก็ไม่รู้ แต่เก็บไว้กับเรา เราควบคุมได้”

เชิญชวนให้ทุกคนมาดูซีรีส์ DELETE หน่อย

ณัฏฐ์ – “ก็เชิญชวนครับ จริง ๆ ตอนที่เรามาพูดคุยกันเนี่ย ซีรีส์เราได้ออนแอร์ไปแล้วแหละ แล้วก็มีฟีดแบคที่เป็นมาตรวัดตามมาตราฐานสากลไปบ้างแล้ว ผมเชื่อว่าอย่างน้อย ๆ เราช่วยกันสนับสนุน ผมพยายามแยกประเด็น คือช่วยกันสนับสนุนอะ เป็นเจตนาอยู่แล้ว ตามภาพรวมของอุตสาหกรรม แต่ว่า DELETE เอง มันสนุก แล้วมันก็เต็มไปด้วยความตั้งใจ ผมอยากให้มาดู จะดู 8 ตอนรวดเลยก็ได้ พอเราสนุกกัน ผมว่าภาพรวมเราจะได้ประโยชน์กันทุกคน”

DELETE จะมีซีซั่น 2 มั้ย

โอ๋ – “ถ้าผลตอบรับจากคนดูซีซั่นแรกมีมาก ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นกำลังใจให้คนทำอยากทำซีซั่นสองต่อไปอะครับ ก็ต้องรอฟีดแบคทั้งหมดอีกทีว่ามันเป็นยังไง ซึ่งจากที่ได้ยินมาก็ดูเป็นแนวโน้มที่ดีนะครับ”

you may also like

album

0
0.8
1