
พระอาทิตย์ที่สดใสของเอแคลร์ l CLUB PRIDE DAY inside EP.4 เอแคลร์ จือปาก
ในวันที่ความฝันดูไกล และต้นทุนชีวิตดูน้อยนิด เอแคลร์กลับเติบโตมาด้วยพลังศรัทธาอันแรงกล้า พร้อมยืนหยัดในตัวตนของตัวเอง ตั้งแต่เด็กที่โตมาในชุมชนคลองเตย สู่การเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่หลายคนรู้จัก เรื่องราวที่ไม่ต้องมีปาฏิหาริย์ แต่ขับเคลื่อนด้วย “ความเชื่อว่าเราทำได้”โตมาในคลองเตย ไม่ได้แปลว่าจะไปไม่ไกล“การอยู่ในสลัมทำให้เราเห็นโลกกว้างขึ้น แทนที่จะกลัว เรากลับเรียนรู้ที่จะอยู่รอด”เอแคลร์เติบโตในพื้นที่ที่หลายคนอาจมองว่าเป็น “ข้อจำกัด” ทั้งเรื่องคุณภาพชีวิตและสังคมรอบข้าง แต่เธอกลับมองว่านี่แหละคือห้องเรียนชีวิต ที่สอนให้เธออดทน แข็งแรง และเข้าใจคนอื่นมากขึ้น“บางคนบ่นว่าขึ้นรถเมล์ลำบาก แต่สำหรับหนู แค่ไม่ต้องเดินก็คือสบายแล้ว” เพราะความยากลำบากของแต่ละคนไม่เท่ากันเกิดในสลัม…ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีวันได้ดีหลายคนอาจมองว่าสลัมคือแหล่งรวมปัญหา แต่เอแคลร์เชื่อว่า มันไม่ได้อยู่ที่สถานที่ แต่อยู่ที่คนแม้จะอยู่ในสลัม แต่เอแคลร์ก็ได้รับการศึกษาเหมือนเด็กคนอื่น แล้วทำไมเอแคลร์ไม่กลายเป็นคนติดยาแบบที่หลายคนเหมารวม?ตอน ม.2 เอแคลร์เคยเฝ้าดูตัวเอง ว่าจะ "เสียคน" ตามที่ใครๆว่าหรือเปล่า สุดท้ายก็ไม่เป็นแบบนั้น เพราะเอแคลร์มีสติ ยึดมั่นว่าอยากมีชีวิตแบบไหนเอแคลร์เชื่อว่า แม้จะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมเดียวกัน ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องเหมือนกัน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเราเองLGBTQ+ กับการเติบโตอย่างเปิดเผยเอแคลร์รู้สึกว่าโชคดีมากที่ไม่เคยถูกล้อเรื่องความเป็น LGBTQ+ ความน่ารักของการอยู่ในสลัมคือ ถ้าเราเรียนดี คนในชุมชนจะสนับสนุนและมองว่าเราจะมีอนาคตที่ดี โดยไม่ตัดสินว่าเราเป็นใครที่โรงเรียนก็เหมือนกัน เอแคลร์ไม่เคยต้องปิดบังตัวตน และสามารถเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างในครอบครัว คนที่หลายคนอาจมองว่าเป็นอุปสรรค เช่น "พ่อ" แต่พ่อของเอแคลร์กลับเป็นคนที่ซัพพอร์ตเอแคลร์ที่สุด ไม่ว่าอยากทำอะไร พ่อก็พร้อมผลักดันเสมอ พ่อจึงเป็น Role Model ที่ทำให้เอแคลร์มี Self-Esteem สูง จนเป็นเอแครล์ในทุกวันนี้เอแคลร์เชื่อว่า "คำพูด" มีพลังมาก คำพูดเล็ก ๆ อย่าง “ทำไม่ได้หรอก” สามารถบั่นทอนความมั่นใจของเด็กได้ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น “ลองดูสิ หนูทำได้” ก็อาจเปลี่ยนอนาคตของเขาได้เลย เราไม่ควรรีบตัดสินเด็กด้วยคำพูดของเราความรักของเอแคลร์ความรักของเอแคลร์เปรียบเหมือนพระอาทิตย์ เพราะพระอาทิตย์คือสิ่งที่ทรงพลัง เป็นศูนย์กลางของจักรวาล และเป็นจุดเริ่มต้นของหลาย ๆ อย่างในชีวิต เอแคลร์จึงเชื่อว่า ถ้าจะมีความรัก คนคนนั้นต้องเข้ามาเติมเต็มชีวิตให้มีความสุข และสดใสในทุก ๆ วันความรักในแบบของเอแคลร์ต้องทำให้ชีวิตสว่างไสว ไม่มีมุมมืด เป็นเหมือนพระอาทิตย์ที่ขึ้นเสมอ ไม่เคยตกดิน เป็นพลังบวกที่ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตเรามีค่า และได้รับการสนับสนุนจากใครสักคนอย่างเต็มที่ ถ้าเป็นแบบนี้ เรากับเขาก็จะสามารถแบ่งปันความรักให้กันได้เสมอความรักครั้งแรกของเอแคลร์มันคือความรักเดียวที่มี เพราะตั้งแต่เด็ก เอแคลร์โฟกัสเรื่องเรียน ไม่ได้ใส่ใจเรื่องความรักเลย เอแคลร์มองว่าการมีแฟนต้องมี "ต้นทุน" และไม่อยากพาใครมาลำบากด้วย ถ้ายังไม่พร้อมก็ยังไม่ควรมีเราเริ่มจากการที่เขาเป็นแฟนคลับเอแคลร์ เขาทักแชทมาก่อน เราก็คุยกันจนเกิดเป็นความเคยชิน มันดีไปหมดจนเอแคลร์เริ่มรู้สึกเบื่อ แต่มันเริ่มกลับมาดีขึ้นตอนที่เขาไปเป็นทหาร เราเลยคุยกันน้อยลง กลับทำให้เขาดูน่าสนใจ พอเขาปลดประจำการ เอแคลร์ก็เลยชวนเขามาอยู่ด้วย เขากลายเป็นคนที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตให้เรา จนวันหนึ่งความรู้สึกเบื่อก็กลับมา เพราะทุกอย่างมันเหมือนกราฟเส้นตรง มันดูเรียบไปหมด จนพวกเราลองแยกกันอยู่ แล้วพบว่า "มันดีกว่า"ตั้งแต่แรก ความสัมพันธ์ของเราไม่มีสถานะชัดเจน เราอยู่กันแบบไม่มีพันธะ ไม่ผูกมัด แค่รู้ว่าเรายังมีกันอยู่ แค่นั้นก็พอแล้วจุดเริ่มต้นของเอแคลร์ทุกอย่างเริ่มจาก "ความเชื่อว่าเราทำได้" เอแคลร์เริ่มทำคอนเทนต์จากสิ่งที่ไม่ถนัด เช่น แต่งหน้า ทั้งที่ตอนแรกแต่งหน้าไม่เป็นเลย แต่เอแคลร์เชื่อว่าถ้าอยากทำ เราก็ทำได้แม้ไม่มีเงิน เอแคลร์เลือกเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนที่ค่าเทอมแพง เพราะเชื่อว่าเราจะหาเงินมาจ่ายมันได้เอแคลร์ใช้ "ความเชื่อ" เป็นแรงผลัก ไม่รอโชค ไม่โทษโชคชะตา เชื่อว่าชีวิตเราลิขิตเองได้ และถ้าคิดแบบนี้ เราจะมีความสุขกับชีวิตได้ง่ายขึ้นจริง ๆสามารถรับชมตัวเต็มได้ใน Youtube Atime Do Deeจัดทำโดย พิชชาภรณ์ ผาสุขดี











