
ในวันที่ดอกไม้แห้งเหี่ยว แต่ความรู้สึกยังคงอยู่ตลอดไป l CLUB PRIDE DAY inside EP.10 น้ําปิง นภัสกร
" ในวันที่ดอกไม้แห้งเหี่ยว แต่ความรู้สึกยังคงอยู่ตลอดไป"ได้นำเสนอแง่คิดและประสบการณ์ชีวิตของ น้ำปิง นภัสกร นักแสดงดาวรุ่งวัย 24 ปีผ่านบทสัมภาษณ์ที่เต็มไปด้วยความลึกซึ้ง โดยน้ำปิงได้เริ่มต้นด้วยการเปรียบเทียบความรักเสมือน "ช่อดอกไม้" ซึ่งเป็นมุมมองที่ยอมรับความเป็นอนิจจังของความสัมพันธ์ เขามองว่าแม้ดอกไม้จะเหี่ยวเฉาและไม่สามารถอยู่กับเราได้ตลอดไป แต่แก่นแท้และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ "ความรู้สึก" ของผู้ให้และผู้รับที่ถูกเติมเต็มและยังคงอยู่ในความทรงจำตลอดไป เป็นการตอกย้ำว่าคุณค่าของความรักไม่ได้อยู่ที่ความยั่งยืนทางกายภาพ แต่อยู่ที่ความรู้สึกที่มอบให้กันและกัน ในส่วนของ ชีวิตส่วนตัวและครอบครัว น้ำปิงได้เผยให้เห็นถึงรากฐานทางความคิดที่แข็งแกร่งซึ่งได้รับมาจาก คุณแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นของการเผชิญหน้ากับความกลัว น้ำปิงได้เล่าถึงสิ่งที่น้ำปิงกลัวที่สุดในวัยเด็กคือ การร้องเพลง เนื่องจากเคยมีบาดแผลจากการถูกเพื่อนล้อเลียน ซึ่งคำสอนของคุณแม่ที่เปรียบเสมือนแสงนำทางคือประโยคที่ว่า "จงทำในสิ่งที่ท่านกลัว แล้วความกลัวจะหายไป" คำสอนนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้น้ำปิงก้าวข้ามความหวาดกลัวเรื่องการร้องเพลงได้เท่านั้น แต่ยังกลายเป็น ทัศนคติ สำคัญที่ถูกนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตและรับมือกับความท้าทายทุกรูปแบบ ทำให้น้ำปิงกลายเป็นคนที่มีวิธีคิดแบบมีมิติ (Layered) ที่มีความลึกซึ้งแต่ไม่ซับซ้อน และพร้อมที่จะเรียนรู้จากทุกประสบการณ์ที่เข้ามาในชีวิตอย่างเปิดกว้าง นอกจากคุณแม่แล้ว อีกหนึ่งบุคคลสำคัญที่เป็นหัวใจของน้ำปิงคือคุณยาย ผู้ที่เลี้ยงดูน้ำปิงมาตั้งแต่เด็กและเป็นดั่ง "เซฟโซน" ที่มอบความรักและความอบอุ่นให้เสมอมา แม้ว่าวันนี้ท่านจะจากไปแล้ว แต่น้ำปิงยังคงระลึกถึงท่านเสมอและมีความปรารถนาอย่างสุดซึ้งที่อยากให้ท่านได้เห็นความสำเร็จของน้ำปิงในวันนี้ โดยน้ำปิงเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด คุณยายยังคงเฝ้ามองและภูมิใจในตัวน้ำปิงอยู่เสมอและจากพื้นฐานครอบครัวนี้เอง น้ำปิงรู้สึกว่าตนเองโชคดีเป็นอย่างยิ่งที่ ทางบ้านไม่เคยกดดันหรือตั้งคำถามในสิ่งที่น้ำปิงเป็นหรือน้ำปิงเลือกจะทำ แต่กลับเป็นกำลังใจและพร้อม ซัพพอร์ต อย่างเต็มที่ ทำให้น้ำปิงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและเติบโตในแบบที่ตนเองต้องการ สำหรับการ เข้ามาในวงการบันเทิง และการก้าวเข้าสู่เมืองกรุงเพื่อ ศึกษาต่อที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย น้ำปิงเปิดเผยว่าเขาต้องเผชิญกับช่วงเวลาของการ ปรับตัว ที่ยากลำบากอย่างมาก เนื่องจากความแตกต่างระหว่างสังคมในต่างจังหวัดกับสังคมในเมือง ทำให้เขาต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจกับสิ่งใหม่ ๆ มากมาย นอกจากเรื่องส่วนตัวแล้ว การได้รับบทบาทใน ซีรีส์ เขมจิราต้องรอด ซึ่งเป็นนิยายชื่อดังที่หลายคนชื่นชอบ ก็มาพร้อมกับความกดดันอย่างหนัก ทั้งจากคำถามว่าตนเองเหมาะสมที่จะถ่ายทอดบทบาทหรือไม่ และความกดดันจากกระแสสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสจากผู้ชมบางส่วนที่ต้องการให้ซีรีส์เรื่องนี้เป็นซีรีส์ชาย-หญิง แทนที่จะเป็นซีรีส์ BL (Boys' Love) ตามที่ถูกสร้างขึ้น ซึ่งจากเหตุการณ์นี้เอง ทำให้น้ำปิงเกิดการตั้งคำถามต่อมุมมองของสังคมไทย ต่อซีรีส์ BL ว่า แท้จริงแล้วสังคมไทยเปิดใจและยอมรับซีรีส์ประเภทนี้อย่างแท้จริงแล้วหรือยัง หรือเป็นเพียงการกล่าวอ้างว่ายอมรับกันไปเอง สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ศิลปินต้องเผชิญในการนำเสนอผลงานที่แตกต่าง เมื่อมีปัญหาหรือเรื่องราวที่เข้าใจผิดทำให้เกิดดราม่าต่างๆ น้ำปิงมักเลือกที่จะ ออกมาอธิบายและเคลียร์ทุกอย่างอย่างเปิดเผย ทันที เพราะน้ำปิงเชื่อว่าการเงียบไม่ใช่ทางแก้ปัญหา แต่การออกมาปกป้องตนเองหรือคนที่เรารัก การอธิบายให้เกิดความเข้าใจจะช่วยให้ทุกฝ่ายสบายใจ ในส่วนของ ประสบการณ์เรื่องความรัก น้ำปิงมองว่าตนเองเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความรักบ่อยครั้ง แต่เมื่อรักแล้วจะ ทุ่มเท ให้กับความสัมพันธ์นั้นอย่างมาก โดยธรรมชาติแล้วน้ำปิงเป็นคนที่ชอบเป็นผู้ให้ และเชื่อในความสัมพันธ์แบบ Give and Take แต่พอเราเป็นฝ่ายให้มากกว่าได้รับอย่างต่อเนื่อง น้ำปิงเลยเริ่มรู้สึกเหนื่อย จนกระทั่งนำไปสู่การ ตกตะกอนทางความคิด ว่าตนเองต้องการอะไร และความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่มันโอเคแล้วหรือไม่ เมื่อได้คำตอบที่ชัดเจนแล้ว การแยกย้ายจึงเกิดขึ้น แม้จะเจอการอกหักครั้งแรกที่ทำให้เสียใจอย่างหนัก แต่เหตุการณ์นี้กลับเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้น้ำปิงค้นพบว่า แม้ในวันที่รู้สึกว่าไม่เหลือใคร แต่เขาก็ยังมีเพื่อนและครอบครัวที่ยังรักและคอยอยู่เคียงข้างเสมอ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านั้นจึงเปรียบเสมือน "สารเร่งโต" ที่ทำให้น้ำปิงเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วดูคลิปเต็มได้ที่ Atime Do Deeจัดทำโดย : พิชชาภรณ์ ผาสุขดี และ ชานนท์ ไชยศรี










