อาการสมองเมา หลังเกิดแผ่นดินไหว

Beauty & Health

อาการสมองเมา หลังเกิดแผ่นดินไหว

01 เม.ย. 2025

โรคสมองเมาหลังแผ่นดินไหว หรืออาการสมองเมาที่เกิดหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว อาจเกิดจากผลกระทบทางจิตใจและร่างกายจากสถานการณ์ที่ตึงเครียดและท้าทายแบบฉับพลัน เช่น แผ่นดินไหวที่ทำให้เกิดความวิตกกังวล ความกลัว และความเครียดสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมอง ทำให้เกิดอาการสมองเมา

  • ความเครียดและความวิตกกังวล หลังจากแผ่นดินไหว คนจำนวนมากอาจรู้สึกเครียดและวิตกกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของตัวเองและครอบครัว สถานการณ์เช่นนี้อาจทำให้สมองรู้สึกเหมือนถูกคลุมเครือ หรือไม่สามารถคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การนอนหลับไม่เพียงพอ ความเครียดและความวิตกกังวลอาจทำให้คนนอนไม่หลับ หรือมีการนอนหลับที่ไม่ลึก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสมองและทำให้เกิดอาการสมองเมา
  • ผลกระทบทางจิตใจ จากเหตุการณ์ที่กระทบใหญ่ การเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น แผ่นดินไหว สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการทางจิตใจที่คล้ายกับอาการ PTSD (โรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ) ซึ่งอาจรวมถึงอาการสมองเมา, ความจำแย่ลง, และรู้สึกเหนื่อยล้า
  • การขาดสารอาหาร หรือการดูแลตัวเอง หลังจากแผ่นดินไหว อาจมีการขาดแคลนอาหาร น้ำ และการดูแลสุขภาพที่เพียงพอ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพทั่วไปและการทำงานของสมอง

ขอบคุณข้อมูลจาก www.bangkokinternationalhospital.com

related Beauty & Health

เก้าอี้สุขภาพ (Ergonomic) อุปกรณ์เสริม สร้างการนั่งที่ดี

15 ก.ย. 2025

เก้าอี้สุขภาพ (Ergonomic) อุปกรณ์เสริม สร้างการนั่งที่ดี

Chill on กินเที่ยว วันนี้จะมาพูดถึงการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ที่ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของใครหลายคน แต่รู้หรือไม่ว่า พฤติกรรมดังกล่าวอาจเป็นต้นเหตุของ “อาการปวดหลัง” ที่สร้างความไม่สบาย และส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อใช้อุปกรณ์ที่ไม่รองรับสรีระ เช่น เก้าอี้ทั่วไปที่ไม่ถูกออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ปัญหาสุขภาพจากการนั่งทำงานที่ไม่ถูกต้อง ในยุคที่การทำงานส่วนใหญ่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ การนั่งทำงานต่อเนื่องหลายชั่วโมงกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของชาวออฟฟิศจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในสายไอที งานบัญชี งานเขียน หรืองานบริการลูกค้าทางโทรศัพท์ ถึงแม้ว่าการนั่งจะดูเหมือนไม่ใช่พฤติกรรมที่ส่งผลร้ายต่อร่างกาย แต่ในความเป็นจริง การนั่งที่ผิดท่าติดต่อกันเป็นระยะเวลานานสามารถก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพเรื้อรังโดยเฉพาะ อาการปวดหลัง ปวดคอ และปวดไหล่ จนนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า ออฟฟิศซินโดรม หากเราไม่ใส่ใจในท่านั่งหรือไม่ใช้เก้าอี้สุขภาพ ที่ออกแบบมาอย่างเหมาะสมกับสรีระร่างกาย อาการเหล่านี้อาจพัฒนาไปสู่โรคร้ายแรง เช่น หมอนรองกระดูกเสื่อม เส้นประสาทถูกกดทับ หรือกล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรังได้ ดังนั้นการเลือกใช้อุปกรณ์สำนักงานที่ส่งเสริมการนั่งอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะเก้าอี้ Ergonomic หรือ เก้าอี้ทำงานสุขภาพ จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นมากกว่าทางเลือกออฟฟิศซินโดรม โรคยอดฮิต Office Syndrome หรือออฟฟิศซินโดรม คือกลุ่มอาการที่เกิดจากพฤติกรรมซ้ำ ๆ ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยไม่มีการขยับเปลี่ยนอิริยาบถ ซึ่งสาเหตุหลักมักเกิดจากการนั่งในท่าที่ไม่ถูกต้อง หรือใช้อุปกรณ์สำนักงานที่ไม่รองรับสรีระของผู้ใช้งาน อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ปวดเมื่อยคอ บ่า ไหล่ และหลังปวดศีรษะจากความเครียดของกล้ามเนื้อชาปลายมือหรือแขนจากการกดทับเส้นประสาทการหายใจตื้นเนื่องจากกล้ามเนื้อทรวงอกเกร็ง การใช้เก้าอี้ทำงานเพื่อสุขภาพ จึงเป็นหนึ่งในทางเลือกที่สามารถลดความเสี่ยงจากออฟฟิศซินโดรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะถูกออกแบบมาให้รองรับการนั่งที่ถูกต้องตามหลักสรีระศาสตร์ ช่วยกระจายน้ำหนัก ลดแรงกดทับ และปรับท่าทางให้นั่งได้ในระยะเวลานานอย่างปลอดภัยแนะนำเก้าอี้สุขภาพหรือ เก้าอี้ ergonomic สำหรับการนั่งทำงาน เก้าอี้สุขภาพหรือที่เรียกกันว่า เก้าอี้ Ergonomic เป็นเฟอร์นิเจอร์สำนักงานที่ถูกออกแบบมาด้วยหลักการทางสรีรศาสตร์ (Ergonomics) มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนท่าทางการนั่งที่เหมาะสม ช่วยลดภาระของกระดูกสันหลัง และป้องกันการบาดเจ็บจากการนั่งนาน ๆ คุณสมบัติสำคัญของเก้าอี้ Ergonomic ที่ควรมองหาพนักพิงหลังที่รองรับกระดูกสันหลัง - ควรมีพนักพิงที่โค้งเว้าตามแนวกระดูกสันหลัง โดยเฉพาะช่วงเอว เพื่อช่วยพยุงหลังส่วนล่าง ลดอาการปวดหลังเบาะนั่งปรับระดับได้ - สามารถปรับความสูงของเบาะให้เหมาะสมกับโต๊ะทำงาน และความสูงของผู้ใช้งาน เพื่อให้เท้าสัมผัสพื้นได้อย่างเต็มที่พนักพิงศีรษะและที่รองแขน - ช่วยลดแรงตึงของกล้ามเนื้อบริเวณคอ ไหล่ และต้นแขน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องนั่งประชุมหรือพิมพ์งานต่อเนื่องวัสดุระบายอากาศ - เบาะและพนักพิงควรผลิตจากวัสดุที่มีความยืดหยุ่น และระบายอากาศได้ดี เพื่อลดการสะสมความร้อนล้อเลื่อนและระบบหมุนรอบตัว - เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนไหว ลดแรงบิดของร่างกายขณะเอื้อมของหรือหันซ้ายขวาข้อดีของเก้าอี้ทำงานเพื่อสุขภาพ การลงทุนในเก้าอี้ทำงานสุขภาพ ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของความสบาย แต่ยังเป็นการดูแลสุขภาพระยะยาวอย่างแท้จริง ซึ่งข้อดีหลักของเก้าอี้สุขภาพ มีดังนี้ลดอาการปวดเมื่อยและป้องกันออฟฟิศซินโดรม - เก้าอี้ Ergonomic ถูกออกแบบให้รองรับโครงสร้างร่างกายของมนุษย์อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะช่วงคอ บ่า ไหล่ และกระดูกสันหลัง ช่วยลดแรงกดทับจากการนั่งในท่าเดิมนาน ๆ ทำให้กล้ามเนื้อไม่เกร็งหรือเมื่อยล้าเกินไป จึงลดความเสี่ยงในการเกิดออฟฟิศซินโดรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นอาการยอดฮิตของคนที่ต้องนั่งทำงานตลอดวันเพิ่มสมาธิและประสิทธิภาพในการทำงาน - เมื่อร่างกายรู้สึกสบายและไม่ต้องเผชิญกับความปวดเมื่อย สมองก็สามารถจดจ่อกับงานตรงหน้าได้ดีขึ้น ความเหนื่อยล้าที่สะสมจากท่านั่งที่ไม่เหมาะสมจะถูกลดทอนลง ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการทำงาน ผู้ใช้งานจะมีสมาธินานขึ้น ทำงานได้ต่อเนื่อง และมีพลังงานเหลือเฟือในช่วงท้ายของวันปรับท่าทางการนั่งให้ถูกต้อง - หลายคนไม่รู้ว่าท่านั่งที่ผิดเพียงเล็กน้อย เช่น การนั่งหลังงอ การห่อตัว หรือการนั่งเอียงตัวซ้ำ ๆ เป็นระยะเวลานาน จะสะสมจนกลายเป็นพฤติกรรมที่ส่งผลเสียในระยะยาว เก้าอี้สุขภาพจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการบังคับทางอ้อมให้ผู้ใช้งานนั่งในท่าที่ถูกต้อง ลดการโค้งงอผิดธรรมชาติของหลัง และส่งเสริมโครงสร้างร่างกายที่สมดุลมากยิ่งขึ้นปรับระดับให้เหมาะสมกับผู้ใช้แต่ละคน - ไม่ว่าคุณจะเป็นคนรูปร่างเล็กหรือใหญ่เก้าอี้ทำงานสุขภาพก็สามารถปรับระดับความสูง ความลึกของเบาะ ที่วางแขน พนักพิงหลัง หรือแม้แต่พนักพิงศีรษะให้เหมาะสมกับสรีระเฉพาะบุคคลได้อย่างลงตัว ความยืดหยุ่นในการปรับใช้นี้ ทำให้เก้าอี้สามารถรองรับผู้ใช้งานทุกประเภท และช่วยให้การนั่งทำงานในแต่ละวันรู้สึกพอดีอย่างแท้จริงช้งานได้นาน คุ้มค่าการลงทุน - แม้ว่าเก้าอี้สุขภาพจะมีราคาสูงกว่าเก้าอี้สำนักงานทั่วไป แต่ด้วยวัสดุคุณภาพสูง ระบบการปรับที่ซับซ้อน และดีไซน์ที่ผ่านการวิจัยด้านสรีรศาสตร์มาอย่างดี ทำให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเก้าอี้ทั่วไปหลายเท่า อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาอาการปวดหลัง ค่ากายภาพบำบัด หรือค่าเวชภัณฑ์อื่น ๆ เมื่อนำมาคำนวณในระยะยาวแล้ว ถือว่าเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่เห็นผลจริงและคุ้มค่าที่สุดสรุป การดูแลสุขภาพจากการทำงาน ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การออกกำลังกายหรือพักผ่อนให้เพียงพอเท่านั้น แต่ “การนั่งให้ถูกวิธี” ก็เป็นพื้นฐานสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การเลือกเก้าอี้สุขภาพ หรือ เก้าอี้ทำงานสุขภาพ ที่ดีสามารถช่วยป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรมและบรรเทาอาการปวดเมื่อยต่าง ๆ ได้อย่างเห็นผล อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ยั่งยืน โดยสามารถเลือกซื้อเก้าอี้สุขภาพได้ตามโชว์รูม หรือร้านขายเฟอร์นิเจอร์ชั้นนำที่สนใจ ด้วยราคาของเก้าอี้เพื่อสุขภาพในยุคนี้ที่เข้าถึงได้ง่ายมากกว่าเดิม ทำให้ทุกคนสามารถดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างง่ายดาย สำหรับใครที่อยากอ่านบทความไลฟ์สไตล์เพิ่มเติมเกี่ยวกับการตกแต่งบ้าน การกินเที่ยว หรือรีวิวอุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถเข้ามาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ Chill on กินเที่ยว บนแพลตฟอร์มเว็บไซต์ Atime มีบทความหลากหลายให้คุณได้ติดตาม รับรองว่าได้ทั้งความรู้และความบันเทิงในเวลาเดียวกันจัดทำโดย : พิชชาภรณ์ ผาสุขดี

ดนตรีบำบัดความเครียด มหัศจรรย์ของเสียงเพลงสู่ร่างกาย

26 ก.พ. 2025

ดนตรีบำบัดความเครียด มหัศจรรย์ของเสียงเพลงสู่ร่างกาย

ดนตรีบำบัด คือ ศาสตร์การบำบัดที่มีประโยชน์ทั้งในด้านความเพลิดเพลิน การศึกษา และการบำบัด สำหรับผู้ป่วยที่มีความไม่สมดุลทางด้านอารมณ์ จนเกิดอุปสรรคในการใช้ชีวิตดนตรีบำบัดความเครียด, ดนตรีบำบัดจิตใจ คืออะไรดนตรีไม่ใช่แค่สิ่งที่ฟังเพื่อความบันเทิงเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ ดนตรีบำบัดเป็นศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับกันมากมายและมีการนำไปใช้ในทางการแพทย์อย่างแพร่หลาย ทั้งในด้านจิตเวช กายภาพบำบัด และสุขภาพจิตทั่วไป เนื่องจากมีความเชื่อกันว่าเสียงเพลงมีอิทธิพลต่ออารมณ์ ช่วยลดความเครียด กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ และสร้างความสมดุลให้กับร่างกาย หากคุณเคยรู้สึกสงบเมื่อได้ยินเสียงเพลงที่ไพเราะ หรือสามารถหลับได้ง่ายขึ้นจากเสียงดนตรีเบา ๆ เช่น ทำนองกล่อมนอน หรือเสียงธรรมชาติ นี่คือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงพลังของดนตรีบำบัดจิตใจที่ส่งผลต่อร่างกายโดยตรง ซึ่งบทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า ดนตรีบำบัด คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร และใครบ้างที่ควรเข้ารับการทำดนตรีบำบัด รวมถึงแนะนำวิธีการฟังเพลงเพื่อการผ่อนคลายอารมณ์และจิตใจที่คุณสามารถทำได้เองในชีวิตประจำวันดนตรีบำบัด (Music Therapy) เป็นศาสตร์ที่ใช้ดนตรีในการช่วยฟื้นฟูร่างกายและจิตใจให้กลับมาสู่สมดุล โดยมีนักดนตรีบำบัดที่ผ่านการฝึกอบรมเป็นผู้ให้คำแนะนำและออกแบบการบำบัดให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล การใช้เสียงเพลงและจังหวะสามารถกระตุ้นอารมณ์ ความคิด ความจำ และพฤติกรรมของผู้รับการบำบัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหลักการทำงานของดนตรีบำบัด มีดังนี้ส่งผลต่อสมอง - เสียงเพลงสามารถกระตุ้นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความจำ เช่น ระบบลิมบิก (Limbic System) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์ ทำให้สามารถช่วยลดความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าได้กระตุ้นการทำงานของระบบประสาท - ดนตรีสามารถช่วยกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อเสียงเพลงโดยอัตโนมัติ เช่น ลดอัตราการเต้นของหัวใจหรือช่วยให้การหายใจเป็นจังหวะที่สม่ำเสมอมากขึ้นปรับอารมณ์และช่วยให้ผ่อนคลาย - เสียงเพลงที่มีทำนองช้าและนุ่มนวลสามารถลดระดับฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) และเพิ่มสารเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้รู้สึกมีความสุขผู้ที่ควรเข้ารับดนตรีบำบัด มีใครบ้าง?ดนตรีบำบัดไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตหรือร่างกายเท่านั้น แต่ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นอีกด้วย การบำบัดด้วยดนตรีสามารถช่วยให้บุคคลในกลุ่มต่าง ๆ มีอารมณ์ที่ดีขึ้น ลดภาวะเครียด และเพิ่มสมดุลให้กับจิตใจและร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผู้ที่ควรเข้ารับดนตรีบำบัดมีดังนี้ผู้ที่มีความเครียดและภาวะวิตกกังวลในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความกดดันจากการทำงาน ภาระครอบครัว และปัญหาส่วนตัว ความเครียดกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ดนตรีบำบัดความเครียด สามารถช่วยให้จิตใจสงบลง ลดความวิตกกังวล และทำให้ร่างกายผ่อนคลายมากขึ้น การฟังดนตรีที่มีจังหวะช้าและนุ่มนวล เช่น เพลงบรรเลงแนวคลาสสิกหรือเสียงธรรมชาติ สามารถลดระดับฮอร์โมนความเครียด (Cortisol)ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าและปัญหาสุขภาพจิตผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าหรือความผิดปกติทางอารมณ์มักมีระดับสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับความสุข เช่น โดพามีน (Dopamine) และเซโรโทนิน (Serotonin) ต่ำกว่าปกติ การบำบัดด้วยดนตรีสามารถช่วยเพิ่มระดับของสารเคมีเหล่านี้ ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้น นอกจากนี้การฟังเพลงที่มีเนื้อหาสร้างแรงบันดาลใจ หรือเพลงที่ให้พลังบวก ยังช่วยปรับสภาพจิตใจให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม หรือโรคอัลไซเมอร์ดนตรีเป็นสิ่งที่สามารถกระตุ้นความทรงจำของมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์มักมีปัญหาเรื่องความจำและการรับรู้ การฟังเพลงที่คุ้นเคยจากอดีตสามารถช่วยกระตุ้นสมองให้จดจำเรื่องราวในอดีตได้ดีขึ้น ทำให้พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ง่ายขึ้น ลดอาการสับสน และช่วยให้มีอารมณ์ที่ดีขึ้นผู้ที่มีปัญหาด้านพัฒนาการ เช่น เด็กออทิสติก และเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้เด็กที่มีภาวะออทิสติก (Autism Spectrum Disorder) มักมีปัญหาด้านการสื่อสารและการแสดงออกทางอารมณ์ ดนตรีบำบัดสามารถช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสารของเด็กเหล่านี้ได้ โดยการใช้จังหวะและเสียงเพลงเป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงระหว่างอารมณ์และพฤติกรรมผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ หรือโรคทางระบบประสาทผู้ป่วยที่เผชิญกับโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ หรือโรคพาร์กินสัน มักมีภาวะเจ็บปวดเรื้อรังและความเครียดสูง ดนตรีบำบัดสามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวดทางร่างกายและช่วยให้จิตใจของผู้ป่วยสงบขึ้นได้ การศึกษาพบว่า การฟังเพลงสามารถช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดตามธรรมชาติผู้ที่ต้องการพัฒนาสมาธิ และความคิดสร้างสรรค์ดนตรีบำบัดไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยเสริมสร้างสมาธิและความคิดสร้างสรรค์ให้กับผู้ที่ต้องใช้ความคิดในงาน เช่น นักเรียน นักศึกษา นักเขียน ศิลปิน หรือผู้ที่ต้องทำงานที่ต้องใช้จินตนาการการฟังดนตรีคลาสสิกหรือดนตรีที่มีจังหวะสม่ำเสมอ สามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง ทำให้สามารถคิดวิเคราะห์และสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ ได้ดีขึ้นผู้ที่มีปัญหาด้านการนอนหลับดนตรีสามารถช่วยให้ผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับ (Insomnia) รู้สึกผ่อนคลายและหลับได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการฟังเพลงที่มีจังหวะช้า เช่น เสียงบรรเลงเปียโน หรือเสียงธรรมชาติ เช่น เสียงฝนตก หรือเสียงคลื่นทะเล งานวิจัยพบว่า ดนตรีสามารถช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต ทำให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะผ่อนคลายและหลับได้สนิทขึ้น นอกจากนี้ ดนตรีบำบัดยังสามารถช่วยลดอาการฝันร้ายและภาวะตื่นกลางดึกได้อีกด้วยประโยชน์ของดนตรีบำบัดลดความเครียดและช่วยให้ผ่อนคลายในยุคที่เต็มไปด้วยความกดดันจากการทำงานและปัญหาส่วนตัว ดนตรีบำบัดความเครียด กลายเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เสียงเพลงสามารถช่วยลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด ทำให้ร่างกายและจิตใจเข้าสู่ภาวะผ่อนคลาย เพลงที่มีจังหวะช้า ทำนองนุ่มนวล เช่น ดนตรีบรรเลง เสียงธรรมชาติ หรือเพลงแนวอะคูสติก สามารถช่วยให้สมองปล่อยสารเซโรโทนิน (Serotonin) และเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) ที่ช่วยสร้างความสุขและความสงบทางอารมณ์ นอกจากนี้ การฟังเพลงยังสามารถลดอัตราการเต้นของหัวใจและทำให้ระบบหายใจเป็นจังหวะที่สม่ำเสมอ ซึ่งส่งผลให้ร่างกายลดอาการตื่นตัวและความกังวลปรับปรุงคุณภาพการนอนปัญหานอนไม่หลับ (Insomnia) เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเครียดสะสม ดนตรีบำบัดสามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้โดยการทำให้สมองเข้าสู่สภาวะที่สงบลงและพร้อมสำหรับการพักผ่อน เสียงเพลงที่มีจังหวะช้า เช่น เพลงคลาสสิก เสียงบรรเลงเปียโน หรือเสียงธรรมชาติ อย่างเสียงฝนตกหรือเสียงลมพัด สามารถช่วยลดคลื่นสมองที่เกี่ยวข้องกับความตื่นตัว และกระตุ้นคลื่นสมองที่ส่งผลต่อการนอนหลับลึก ทำให้คุณสามารถหลับได้ง่ายขึ้นและตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกสดชื่นมากขึ้นเพิ่มสมาธิและความจำสมองของเราสามารถได้รับการกระตุ้นจากดนตรีได้อย่างมีประสิทธิภาพ การฟังดนตรีที่มีโครงสร้างซับซ้อน เช่น ดนตรีคลาสสิก หรือดนตรีที่มีจังหวะสม่ำเสมอ สามารถช่วยให้สมองจดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่ได้ดีขึ้น งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) ระบุว่า ดนตรีสามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้และความจำ ส่งผลให้ผู้ที่ฟังดนตรีสามารถจดจำข้อมูลได้ดีขึ้นกระตุ้นอารมณ์และเสริมสร้างสุขภาพจิตดนตรีมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของมนุษย์อย่างมาก เสียงเพลงที่มีจังหวะเร็วและมีเนื้อหาสดใสสามารถช่วยเพิ่มพลังงานและทำให้รู้สึกกระฉับกระเฉง ในขณะที่ดนตรีที่มีจังหวะช้าและทำนองอ่อนโยนสามารถช่วยให้จิตใจสงบลง สำหรับผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าหรือความเครียดสะสมการฟังเพลงเพื่อการผ่อนคลายทั่วไปถึงแม้ว่าบทความนี้จะกล่าวถึงการใช้ดนตรีเพื่อเป็นการบำบัดร่างกายและจิตใจ แต่ในขณะเดียวกันการฟังเพลงทั่วไปนั้นก็สามารถช่วยในการผ่อนคลายจิตใจในวันที่เหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี เพราะเพลงเป็นดนตรีที่มีความหลากหลายทั้งในส่วนของรูปแบบและแนวเพลง แน่นอนว่าแต่ละคนมีความชื่นชอบที่แตกต่างกัน อีกทั้งการฟังเพลงหลายครั้งก็มักจะเลือกแนวเพลงให้เข้ากับสถานการณ์หรือกิจกรรมที่ทำ เช่น เปิดเพลงสบาย ๆ ในตอนทำงาน, เปิดเพลงมันส์ ปลุกใจ เร้าอารมณ์ สำหรับการออกกำลังกาย, เปิดเพลงที่มีทำนองช้า ๆ หรือซาวน์ธรรมชาติเพื่อกล่อมนอน สำหรับผู้ที่ไม่ได้มีปัญหาทางด้านอารมณ์หรือจิตใจ การฟังฟังเพลงผ่านวิทยุออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ Atimeดนตรีบำบัด เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการช่วยฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการลดความเครียด กระตุ้นความจำ หรือช่วยบรรเทาความเจ็บปวด ซึ่งการฟังเพลงไม่จำเป็นต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อการทำดนตรีบำบัดเพียงอย่างเดียว เพราะคุณยังสามารถฟังเพลงเพื่อเป็นการผ่อนคลายแบบง่าย ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ในชีวิตประจำวัน เพื่อความเพลิดเพลินระหว่างทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างสบายใจมากขึ้น หากคุณกำลังมองหาสถานีวิทยุที่มีเพลงไพเราะให้ฟังตลอดทั้งวัน ที่เว็บไซต์ Atime ของเรา เป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการฟังวิทยุออนไลน์ทั้งสดและย้อนหลังจากคลื่นวิทยุชื่อดัง เช่น EFM, Green Wave และ Chill Online ให้คุณเพลิดเพลินกับเสียงเพลงที่ช่วยบำบัดจิตใจได้ทุกที่ทุกเวลา ที่สำคัญนอกจากจะมีดีเจเปิดเพลงให้ฟังแล้ว ภายในเว็บไซต์ยังมีคอนเทนต์น่าสนใจอื่น ๆ เช่น Club Friday, บทความรีวิวภาพยนตร์, พุธทอร์ค พุธโทร, รายการคุยข่าว, บทความเพื่อสุขภาพ และอีกมากมายให้เลิกรับชมตามความชอบ ไม่ว่าคุณจะต้องการผ่อนคลายหลังเลิกงาน หรือฟังเพลงก่อนนอนเพื่อให้จิตใจสงบ ดนตรีบำบัดความเครียด เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถช่วยให้คุณมีความสุขและใช้ชีวิตได้อย่างสมดุลมากขึ้น

กิจกรรมเสี่ยงข้อเข่าเสื่อมก่อนวัย

14 ก.พ. 2025

กิจกรรมเสี่ยงข้อเข่าเสื่อมก่อนวัย

ในปัจจุบันหนุ่มสาวผู้มีใจรักสุขภาพหันมาให้ความสนใจเรื่องน้ำหนักตัวและออกกำลังกายกันมากขึ้น โดยเฉพาะการวิ่งและการขี่จักรยานที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่ก็มีปัญหาว่า บางคนออกกำลังกายแล้วรู้สึกปวดเข่าเพราะกล้ามเนื้อหัวเข่ายังแข็งแรง เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง มาดูกันดีกว่าว่า มีพฤติกรรมหรือกิจกรรมใดบ้างที่ทำให้เสี่ยงเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมสาเหตุความเสื่อมของข้อเข่าความเสื่อมแบบปฐมภูมิหรือไม่ทราบสาเหตุเป็นภาวะที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของผิวกระดูกอ่อนตามวัยปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความเสื่อมของข้อเข่าได้แก่อายุ พบว่า อายุ 40 ปี เริ่มมีข้อเสื่อม อายุ 60 ปี เป็นข้อเข่าเสื่อมได้ถึงร้อยละ 40เพศ ผู้หญิงพบมากกว่าผู้ชาย 2 – 3 เท่า ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อของร่างกายน้ำหนักตัวที่เกิน น้ำหนักตัวมีความสัมพันธ์อย่างมากกับเข่าเสื่อม พบว่าน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น 0.5 กิโลกรัม จะเพิ่มแรงที่กระทำต่อข้อเข่า 1 – 1.5 กิโลกรัม ขณะเดียวกันเซลล์ไขมันที่มากเกินไปจะมีผลต่อเซลล์กระดูกอ่อนและเซลล์กระดูกส่งผลให้ข้อเสื่อมเร็วขึ้นการใช้งาน ท่าทาง กิจกรรมที่มีแรงกดต่อข้อเข่ามาก เช่น การนั่งคุกเข่า พับเพียบ ขัดสมาธิ ขึ้นลงบันไดบ่อย ๆ เป็นต้นความบกพร่องของส่วนประกอบของข้อ เช่น ข้อเข่าหลวม กล้ามเนื้อต้นขาอ่อนแรงกรรมพันธุ์ โรคข้อเข่าเสื่อมมีหลักฐานการถ่ายทอดทางพันธุกรรมน้อยกว่าที่ข้อนิ้วมือเสื่อมความเสื่อมแบบทุติยภูมิ เป็นความเสื่อมที่ทราบสาเหตุ เช่น เคยประสบอุบัติเหตุมีการบาดเจ็บที่ข้อ เส้นเอ็น การบาดเจ็บเรื้อรังที่บริเวณข้อเข่าจากการทำงานหรือการเล่นกีฬา โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เกาต์ ข้ออักเสบติดเชื้อ โรคของต่อมไร้ท่อ เช่น อ้วน เป็นต้นอาการโรคข้อเข่าเสื่อมอาการระยะแรก เริ่มปวดเข่าเวลามีการเคลื่อนไหว เช่น เดิน ขึ้นลงบันได หรือนั่งพับเข่า อาการจะดีขึ้นเมื่อหยุดพักการใช้ข้อ ร่วมกับมีอาการข้อฝืดขัด โดยเฉพาะเมื่อหยุดการเคลื่อนไหวเป็นเวลานาน เมื่อขยับข้อจะรู้สึกถึงการเสียดสีของกระดูกหรือมีเสียงดังในข้ออาการเมื่อมีภาวะข้อเสื่อมรุนแรง อาการปวดจะรุนแรงมากขึ้น บางครั้งปวดเวลากลางคืน อาจคลำส่วนกระดูกงอกได้บริเวณด้านข้างข้อ เมื่อเกร็งกล้ามเนื้อต้นขาเต็มที่จะมีอาการปวดหรือเสียวบริเวณกระดูกสะบ้า หากมีการอักเสบจะมีข้อบวม ร้อน และตรวจพบน้ำในช่องข้อ ถ้ามีข้อเสื่อมมานานจะพบว่า เหยียดหรืองอข้อเข่าได้ไม่ค่อยสุด กล้ามเนื้อต้นขาลีบ ข้อเข่าโก่ง หลวม หรือบิดเบี้ยวผิดรูป ทำให้เดินและใช้ชีวิตประจำวันลำบาก และมีอาการปวดเวลาเดินหรือขยับเกณฑ์วินิจฉัยโรคข้อเข่าเสื่อมมีอาการปวดเข่าภาพรังสีแสดงกระดูกงอกมีข้อสนับสนุน 1 ข้อ ดังต่อไปนี้– อายุเกิน 50 ปี– มีอาการฝืดแข็งในตอนเช้านานน้อยกว่า 30 นาที– มีเสียงกรอบแกรบขณะเคลื่อนไหวเข่าจากการเสียดสีของเยื่อบุภายในข้อการป้องกันไม่ให้เกิดข้อเข่าเสื่อมลดน้ำหนัก : การควบคุมน้ำหนักของตัวเองให้อยู่ในระดับมาตรฐาน ช่วยลดการแบกรับน้ำหนักที่หัวเข่า และข้อต่อต่างๆ ในร่างกายได้บริหารกล้ามเนื้อหัวเข่า : การบริหารกล้ามเนื้อรอบๆ หัวเข่าให้แข็งแรง จะช่วยในการแบกรับน้ำหนัก ทำให้กระดูกข้อเข่าไม่ต้องรับน้ำหนักมากเกินไปควบคุมรักษาโรคที่เกี่ยวกับกระดูก : และขอคำแนะนำจากแพทย์ที่เชี่ยวชาญในเรื่องของกระดูกขอบคุณข้อมูลจาก www.bangkokinternationalhospital.com

ความแตกต่างของการดื่มชาเขียวแต่ละแบบ

04 มี.ค. 2025

ความแตกต่างของการดื่มชาเขียวแต่ละแบบ

ความแตกต่างของการดื่มชาเขียวแต่ละแบบ ชาเขียวมีหลายประเภท และแต่ละแบบก็มีความแตกต่างทั้งในเรื่องของรสชาติ วิธีการผลิต และประโยชน์ต่อสุขภาพขอบคุณภาพจาก matchazuki1. ชาเขียวญี่ปุ่น vs. ชาเขียวจีน ชาเขียวจีนและชาเขียวญี่ปุ่นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องของ กระบวนการผลิต, สี, รสชาติ และวิธีการชง ซึ่งส่งผลต่อประสบการณ์การดื่มชาอย่างมาก1. กระบวนการผลิตชาเขียวญี่ปุ่น ใช้วิธี นึ่งด้วยไอน้ำ ทันทีหลังเก็บเกี่ยว เพื่อหยุดกระบวนการออกซิเดชัน ทำให้ใบชาคงความสดและมีสีเขียวเข้มชาเขียวจีน ใช้วิธี คั่วในกระทะหรืออบแห้ง ทำให้เกิดกลิ่นหอมของการคั่ว และสีของใบชาเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง2. สีของน้ำชาชาเขียวญี่ปุ่น มักให้สีน้ำชา เขียวสดใส เนื่องจากกระบวนการนึ่งช่วยรักษาสารคลอโรฟิลล์ชาเขียวจีน มักให้สีน้ำชา เขียวอมเหลืองหรือทองอ่อนๆ จากกระบวนการคั่ว3. รสชาติและกลิ่นชาเขียวญี่ปุ่น มีรสชาติ สดชื่น อ่อนนุ่ม หวานนิดๆ และมีกลิ่นหญ้าอ่อนๆชาเขียวจีน มีรสชาติ หอมคั่ว กลมกล่อม ฝาดเล็กน้อย และซับซ้อนกว่าชาเขียวญี่ปุ่น4. วิธีการชงชาเขียวญี่ปุ่น มักใช้ น้ำอุณหภูมิต่ำกว่า (ประมาณ 60-80°C) เพื่อไม่ให้รสขมเกินไปชาเขียวจีน สามารถชงด้วย น้ำร้อนกว่า (ประมาณ 80-90°C) โดยนิยมใช้ถ้วยชาแบบจีน (Gaiwan) หรือกาน้ำชา5. ตัวอย่างชาแต่ละประเภทชาเขียวญี่ปุ่น: เซนฉะ (Sencha), มัทฉะ (Matcha), เกียวคุโระ (Gyokuro), โฮจิฉะ (Hojicha)ชาเขียวจีน: หลงจิ่ง (Longjing), ปิหลัวชุน (Biluochun), จู๋เย่ฉิง (Zhuyeqing)2. ชาเขียวมัทฉะ vs. ชาเขียวทั่วไป ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่มีหลายประเภท โดยหนึ่งในความแตกต่างที่สำคัญคือ มัทฉะ (Matcha) และชาเขียวทั่วไป (Loose Leaf Green Tea) ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งใน กระบวนการผลิต, วิธีดื่ม, ปริมาณสารอาหาร และรสชาติ1. กระบวนการผลิตมัทฉะ ทำจากใบชาอ่อนที่ถูกบดเป็นผงละเอียด โดยก่อนเก็บเกี่ยว ต้นชาจะถูกคลุมไว้ประมาณ 3-4 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มปริมาณคลอโรฟิลล์และกรดอะมิโน ทำให้ชาได้รสชาติหวานกลมกล่อมและสีเขียวสดใสชาเขียวทั่วไป มักใช้ใบชาทั้งใบและผ่านกระบวนการอบแห้ง ไม่ได้นำมาบด ทำให้สารอาหารบางส่วนละลายออกมาในน้ำเมื่อชง แต่ไม่ได้รับประทานใบชาโดยตรง2. วิธีการดื่มมัทฉะ ถูกนำมาผสมกับน้ำและตีให้เข้ากัน ทำให้ได้เนื้อสัมผัสที่เข้มข้นและได้รับสารอาหารจากใบชาเต็มที่ชาเขียวทั่วไป ชงโดยแช่ใบชาลงในน้ำร้อน จากนั้นกรองใบชาออก ทำให้ได้รับสารอาหารเพียงบางส่วนที่ละลายในน้ำ3. ปริมาณสารอาหารและคาเฟอีนมัทฉะ มีคาเฟอีนสูงกว่าชาเขียวทั่วไป เนื่องจากบริโภคทั้งใบชา จึงให้พลังงานและสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าชาเขียวทั่วไป มีคาเฟอีนต่ำกว่า เพราะเพียงแช่ใบชาในน้ำ ไม่ได้รับใบชาโดยตรง4. รสชาติและกลิ่นมัทฉะ มีรสชาติ เข้มข้น ขมนิดๆ แต่กลมกล่อม พร้อมกลิ่นหอมของชาชาเขียวทั่วไป มีรสชาติ เบากว่า สดชื่นกว่า และอาจมีความหวานอ่อนๆ ขึ้นอยู่กับชนิดของชา3. ชาเขียวร้อน vs. ชาเขียวเย็น (ใส่น้ำแข็ง/ขวดพร้อมดื่ม) ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่สามารถดื่มได้ทั้งแบบ ร้อน และ เย็น แต่หลายคนอาจสงสัยว่าทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร ทั้งในแง่ของ รสชาติ, คุณค่าทางสารอาหาร และผลต่อสุขภาพ1. วิธีการชงและอุณหภูมิชาเขียวร้อน ชงโดยใช้ น้ำร้อน (60-80°C) และดื่มในขณะที่ยังอุ่นอยู่ ทำให้รสชาติของชาเข้มข้นและกลิ่นหอมชัดเจนชาเขียวเย็น อาจมาจากการ ชงร้อนแล้วปล่อยให้เย็น หรือ ชงเย็นโดยใช้น้ำเย็นแช่ใบชา (Cold Brew) ซึ่งให้รสชาติที่นุ่มและสดชื่น2. คุณค่าทางสารอาหารชาเขียวร้อน มี สารต้านอนุมูลอิสระ (เช่น EGCG) สูงกว่า เพราะสารเหล่านี้ละลายในน้ำร้อนง่ายกว่าชาเขียวเย็น โดยเฉพาะชาเขียวขวดหรือชาเย็นที่ขายทั่วไป มักมีน้ำตาลสูง หรืออาจผ่านการแปรรูป ทำให้คุณค่าทางสารอาหารลดลง3. รสชาติและกลิ่นชาเขียวร้อน มีรสชาติที่ เข้มข้น, หอมชัด และอาจมีความขมนิดๆชาเขียวเย็น มีรสชาติที่ อ่อนกว่า, สดชื่น และดื่มง่ายกว่า โดยเฉพาะชาเขียวขวดที่มักมีรสหวานจากการเติมน้ำตาล4. ผลต่อสุขภาพชาเขียวร้อน ช่วย กระตุ้นระบบเผาผลาญ, ลดไขมัน และให้ประโยชน์สูงสุดจากชาชาเขียวเย็น โดยเฉพาะชาเขียวขวดหรือใส่น้ำแข็ง อาจมีน้ำตาลสูง ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เช่น น้ำหนักขึ้น หรือระดับน้ำตาลในเลือดสูงสรุป หากคุณต้องการดื่มชาเขียวเพื่อสุขภาพ ชาเขียวร้อนที่ไม่เติมน้ำตาล คือทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะจะคงคุณค่าสารต้านอนุมูลอิสระได้สูงสุด สำหรับผู้ที่ต้องการพลังงานและสารอาหารที่เข้มข้นขึ้น มัทฉะ คือตัวเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากเป็นการบริโภคทั้งใบชา ทำให้ได้รับสารอาหารมากกว่า หากคุณชื่นชอบรสชาติที่หอมคั่วแบบดั้งเดิม ชาเขียวจีน เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ ด้วยกระบวนการคั่วที่ทำให้ได้กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ในขณะที่ ชาเขียวเย็น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสดชื่นและรสชาติที่อ่อนโยนกว่าผู้เขียน : พิชชาภรณ์ ผาสุขดี