สระผมเวียดนาม คลายเครียด ที่ร้าน Lamer Sleep Salon

Beauty & Health

สระผมเวียดนาม คลายเครียด ที่ร้าน Lamer Sleep Salon

16 ธ.ค. 2024



ใกล้สิ้นปีแล้ว แอดขอแนะนำร้านLamer Sleep Salon ที่จะทำให้ทุกคนคลายเครียด ด้วยการสระผมสไตล์เวียดนาม ที่กำลังได้รับความนิยมในประเทศไทย เป็นการผสมผสานระหว่างการสระผมแบบดั้งเดิมของเวียดนาม กับเทคนิคการนวดศีรษะ บำรุงผม และดูแลหนังศีรษะในครั้งเดียว



 

ร้าน Lamer Sleep Salon ตั้งอยู่ที่ โครงการ The Platinum Place 21 ถ. วัชรพล แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน โดยร้านจะอยู่ที่ชั้น 2 ของโครงการ ตกแต่งแบบเรียบง่าย สะอาดตา ภายในมีกลิ่นหอมของโรม่าทำให้ผ่อนคลาย 

สำหรับใครที่ต้องการนวดน้ำมัน ทางร้าน Lamer Sleep Salon จะมีกลิ่นน้ำมันให้เลือกทั้งหมด 4 กลิ่น ได้แก่ กลิ่นลาเวนเดอร์ กลิ่นรีแรกซ์ กลิ่นมะพร้าว และกลิ่นกลามมิ่ง

 

ขั้นตอนแรกทางร้าน Lamer Sleep Salon จะเริ่มจาก การใช้เสียงแบบ ASMR เพื่อทำให้ผ่อนคลายและสงบ ต่อด้วยการสัมผัส และนวดตามจุด เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต 

 

 

และสระผม 2 รอบ โดยรอบแรกจะเป็นการสระแบบล้างสารพิษ รอบที่สองเป็นการสระผมเพื่อผ่อนคลาย ลงทรีตเม้นท์พร้อมนวดศรีษะ และผ่อนคลายกับวงแหวนน้ำอุ่น หากใครที่ซื้อคอร์สเพิ่มเติม ก็จะมีการนวดกัวซาหน้า และศรีษะ นวดหน้าด้วยเครื่องนวดหน้า EMS เพื่อยกกระชับ ชะลอวัย และการอบไอน้ำแบ NANO

 

หากใครสนใจสระผมเวียดนาม ตอนนี้ทางร้านกำลังจัดโปรโมชันส่วนลด สำหรับลูกเพจ Atime ดังนี้

  • คอร์สสระผมเวียดนาม 1 ชัวโมง 15 นาที ปกติราคา 590 บาท เหลือ 550 บาท เพียงแลก 5,000 พ้อยท์ จำนวน 30 สิทธิ์
  • คอร์สคอร์สสระผมเวียดนาม 1 ชัวโมง 45 นาที ปกติราคา 990 เหลือ 890 บาท เพียงแลก 8,000 พ้อยท์ จำนวน 30 สิทธิ์

*กรณีต้องการใช้สิทธิ

  • กรุณาติดต่อ 096-723-3311 เพื่อทำการจองคิวกับทางร้าน
  • กรุณายื่นบัตรประชาชน พร้อมหน้า Redeem Points จากแอปพลิเคชัน Atime FungFin ที่หน้าร้าน LAMER SLEEP SALON

*เงื่อนไขต่างๆ เป็นไปตามที่บริษัทกำหนด ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเงินสดได้

 

สามารถแลกแต้งเพื่อรับส่วนลดกันได้ทางแอปพลิเคชัน Atime FungFin

ดาวน์โหลดได้ทาง IOS และ Android

  • พิกัดร้าน : โครงการ The Platinum Place ชั้น 2 21 ถ. วัชรพล แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ
  • เดินทาง : รถยนต์ส่วนตัว - มีที่จอด หรือ BTS สถานีมัยลาภ
  • ติดต่อ : 082 098 9168
  • ไลน์ : @lamersleepsalon

 

ผู้เขียน : เบญญาภา แนบเนียน

ภาพ : นินจา ซิมทิม

related Beauty & Health

ฝุ่น PM 2.5 กระตุ้นภูมิแพ้กำเริบ

14 ม.ค. 2025

ฝุ่น PM 2.5 กระตุ้นภูมิแพ้กำเริบ

ฝุ่น PM 2.5 เป็นสารพิษในชั้นบรรยากาศที่มีขนาดเล็กมาก เมื่อร่างกายของเราได้รับฝุ่นชนิดนี้เข้าไปจึงลงไปถึงหลอดลม ทำให้เกิดการอักเสบบริเวณหลอดลมและถุงลม ซึ่งเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ที่อาจมีอาการรุนแรงเพิ่มขึ้นกว่าเดิมฝุ่น PM 2.5 มีความสัมพันธ์กับโรคภูมิแพ้อย่างมาก เพราะกลไกการอักเสบที่ลงลึกไปที่ระบบทางเดินหายใจส่วนบนและระบบทางเดินหายใจส่วนล่างส่งผลต่อภูมิแพ้ทางเดินหายใจ และภูมิแพ้ผิวหนัง เวลาที่สูดเข้าไปจะเกิดการอักเสบทั้งทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ภูมิแพ้โพรงจมูก จาม น้ำมูก คัดจมูก ลามไปถึงโพรงไซนัสอักเสบ ส่วนการอักเสบทางเดินหายใจส่วนล่างคือ บริเวณหลอดลมกับถุงลม เมื่อร่างกายได้รับฝุ่น PM 2.5 เพิ่มขึ้นจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้เดิมได้ไวขึ้น และเกิดการแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้ชนิดใหม่เพิ่มขึ้นได้วิธีป้องกันมลพิษฝุ่น PM 2.5เช็กดัชนีคุณภาพอากาศ ก่อนออกจากบ้าน หากอยู่ในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพควรเลี่ยงการออกนอกบ้านและทำกิจกรรมกลางแจ้งสวมใส่หน้ากากอนามัย ที่ได้มาตรฐานช่วยป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้ดีที่สุดและควรสวมใส่ให้ถูกต้องล้างจมูกทุกวันอย่างถูกวิธี เพื่อให้โพรงจมูกสะอาด ลดโอกาสการติดเชื้อและการเกิดโรครณรงค์เรื่องลดการเผาไหม้ ทั้งในชีวิตประจำวันอย่างการใช้รถให้น้อยลง การทำอาหารแบบครัวปิด การลดหรืองดการจุดธูป ไปจนถึงการทำการเกษตรและอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ทำให้เกิดการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์อย่างไรก็ตามไม่ควรมองว่าโรคภูมิแพ้เป็นเรื่องปกติโดยเฉพาะอาการแพ้ที่เกิดจากฝุ่น PM 2.5 ควรต้องพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อตรวจเช็กอย่างละเอียดและปฏิบัติตามคำแนะนำ เพราะหากปล่อยไว้จนเรื้อรังนอกจากยากต่อการรักษา ยังอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อร่างกายมากกว่าที่คิดขอขอบคุณข้อมูลจาก Bangkok Hospital โรงพยาบาลกรุงเทพ

Ashram Scent ธุรกิจออกแบบน้ำหอม เสน่ห์ของอาศรมแห่งกลิ่น

25 ก.พ. 2025

Ashram Scent ธุรกิจออกแบบน้ำหอม เสน่ห์ของอาศรมแห่งกลิ่น

“ในโลกนี้ที่กลิ่นหอมไม่ใช่แค่เครื่องหอมธรรมดา แต่ล้วนเป็นภาษาของอารมณ์ ความทรงจำ และตัวตน”Ashram Scent เป็นร้านน้ำหอมแบรนด์ไทยและเป็นสถานที่ซึ่งศิลปะแห่งกลิ่นที่ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างวิจิตร อาศรมแห่งนี้ไม่ใช่แค่เพียงร้านน้ำหอมแต่เป็นสตูดิโอแห่งการสร้างสรรค์ ที่ซึ่งศาสตร์และศิลป์ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อสะท้อนตัวตนของแต่ละบุคคลจุดเริ่มต้นของอาศรมเซ้นท์แห่งนี้ เริ่มมาจากนักปรุงน้ำหอมอย่างคุณเฟิร์ส และ CEO อาศรมเซ้นท์ อย่างคุณแก้ว ที่จับมือกันสร้างธุรกิจที่เรียกว่า การรังสรรค์น้ำหอมเฉพาะบุคคลคณเฟิร์สสนใจด้านน้ำหอม และได้ค้นพบว่าตัวเองมีความหลงใหลในศาสตร์แห่งกลิ่นอย่างลึกซึ้ง ซึ่งกลิ่นมันไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของ ‘หอมหรือไม่หอม’ อีกต่อไป แต่มันคือศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความทรงจำ และจิตวิญญาณเมื่อความสนใจนี้เริ่มก่อตัวขึ้น คุณเฟิร์สจึงตัดสินใจศึกษาศาสตร์ของน้ำหอมอย่างจริงจัง ตั้งแต่โครงสร้างของกลิ่น วัตถุดิบที่ใช้ วิธีการสกัด จนไปถึงอิทธิพลของกลิ่นที่มีต่อความรู้สึกของมนุษย์ สิ่งที่เขาค้นพบคือกลิ่นไม่ได้เป็นแค่สิ่งที่รับรู้ผ่านจมูก แต่ยังสามารถกระตุ้นอารมณ์ และสร้างประสบการณ์ที่ทรงพลังให้กับผู้คนได้จากจุดนี้เองที่คุณเฟิร์สรู้ตัวว่า ‘กลิ่น’ ไม่ใช่แค่ความชอบธรรมดา แต่มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของเขา และเขาต้องการแบ่งปันความพิเศษนี้ให้กับคนอื่น ๆ ด้วยการสร้างน้ำหอมที่มีเอกลักษณ์และสะท้อนตัวตนของผู้ใช้เมื่อมีความชอบในเรื่องของกลิ่น คุณเฟิร์สจึงตัดสินใจเดินหน้าสร้างธุรกิจน้ำหอมของตัวเอง และได้ทุ่มเทเวลาไปกับการออกแบบและผลิตกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ แต่เมื่อธุรกิจเริ่มขยายตัว ก็พบว่าตัวเองไม่ถนัดเรื่องการบริหารเพราะชอบการสร้างสรรค์กลิ่นมากกว่าการดูแลระบบธุรกิจ เช่นนั้น คุณเฟิร์สจึงได้ชักชวน ‘คุณแก้ว’ และ ‘คุณเหวิน’ มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ คุณแก้วเป็นนักบริหารที่มีความสามารถในการจัดการระบบธุรกิจและยังมีความหลงใหลในศาสตร์ของกลิ่นเช่นเดียวกัน ขณะที่คุณเหวินก็มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารทำให้ธุรกิจการรังสรรค์น้ำหอมเติบโตขึ้นมาและภายใต้บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอม Ashram Scent เชิญให้ทุกคนเข้ามาสัมผัสกับประสบการณ์สุดพิเศษ ผ่านการออกแบบกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผ่านผู้ปรุงกลิ่นน้ำหอม ไม่ว่าจะเป็นความหอมละมุนอ่อนหวาน เย้ายวนชวนหลงใหล หรือกลิ่นที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน กลิ่นทุกกลิ่นล้วนมีเรื่องราว ที่ถูกถ่ายทอดผ่านสัมผัสแห่งการดมที่ Ashram Scent เชื่อว่า “กลิ่น” เป็นส่วนหนึ่งของตัวตน เป็นลายเซ็นที่ไม่เหมือนใคร และยังเป็นเครื่องประดับที่สำคัญและยังสามารถสร้างการจดจำของคนได้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นการออกแบบกลิ่นน้ำหอมเฉพาะตัวมักจะคำนึงถึงความเป็นธรรมชาติ เจาะลึกถึงอารมณ์ ความรู้สึก ไลฟ์สไตล์ และความทรงจำของแต่ละบุคคล เพื่อที่จะสามารถทำการเลือกสรรและผสมผสานวัตถุดิบอย่างประณีตและเกิดเป็นกลิ่นหอมที่สะท้อนตัวตนของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบซึ่งขั้นตอนการสร้างสรรค์กลิ่นหอมของที่นี่เริ่มต้นจากการวิเคราะห์บุคลิกภาพและอารมณ์ของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นความร่าเริงสดใส ความสุขุม หรือแม้แต่ความรู้สึกโหยหาอดีต นักออกแบบจะนำข้อมูลเหล่านี้มาประกอบกับองค์ประกอบของน้ำหอม ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นของดอกไม้ เครื่องเทศ สมุนไพร หรือแม้แต่กลิ่นของธรรมชาติที่ช่วยสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละบุคคล รวมไปถึงมีการสำรวจทางกายภาพที่เช็คไปถึงรูขุมขน ว่าลักษณะรูขุมขนเปิดหรือปิด ผิวแห้งหรือมันช่วงไหนบ้าง และลักษณะของเหงื่อว่าเป็นอย่างไรด้วยเช่นกันน้ำหอมจาก Ashram Scent ไม่ใช่เพียงผลิตภัณฑ์ แต่เป็นประสบการณ์ เป็นการเดินทางที่พาผู้ใช้ไปสำรวจอารมณ์ ความทรงจำ และตัวตน ผ่านมิติของกลิ่นหอม กลิ่นหนึ่งอาจพาผู้ใช้ย้อนกลับไปสู่วัยเด็ก หวนคิดถึงรักแรก หรือสะท้อนความสง่างามที่แฝงเร้นอยู่ภายในใจแต่ละกลิ่นที่ออกแบบขึ้นมาล้วนได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของลูกค้า บางคนอาจต้องการกลิ่นที่สื่อถึงการเดินทางในต่างแดน บางคนอาจต้องการกลิ่นที่แสดงถึงพลังของตนเอง หรือแม้แต่กลิ่นแปลก ๆ อย่างน้ำมันรถที่ลูกค้าอยากให้รังสรรค์ ไม่ว่าคุณจะต้องการให้กลิ่นสะท้อนความรู้สึกแบบใด Ashram Scent สามารถรังสรรค์ให้เป็นจริงได้หากคุณกำลังมองหาน้ำหอมที่ไม่เพียงแต่หอม แต่สามารถบอกเล่าเรื่องราวของคุณได้ Ashram Scent พร้อมเปิดประตูสู่อาณาจักรแห่งกลิ่นที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อคุณโดยเฉพาะ ที่นี่จะช่วยคุณค้นหากลิ่นที่เป็นตัวคุณ… กลิ่นที่ไม่มีใครเหมือน และไม่มีใครแทนที่ได้เพราะที่นี่ ทุกกลิ่นหอมล้วนเป็นเรื่องราว เป็นงานศิลปะที่ต้องการสื่อถึงอารมณ์และตัวตนของผู้ใช้ ทุกขวดที่ออกแบบขึ้นมาล้วนผ่านกระบวนการคิดและผสมผสานอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้มั่นใจว่ากลิ่นที่ได้จะเป็นตัวแทนของบุคลิกและอารมณ์ของแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง หากคุณพร้อมที่จะค้นพบกลิ่นที่เป็นตัวเองที่สุด Ashram Scent ยินดีต้อนรับคุณเข้าสู่โลกแห่งความหอมที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์และความหมายอันลึกซึ้งร้าน อาศรมเซ้นท์ Ashram Scentพิกัด จตุจักร พลาซ่า ล็อค B165โทรศัพท์ 064 224 4289 , 094 632 2616Facebook : Ashram Scentผู้เขียน วิภูษิตา ญาติจันทึก

“โรคงูสวัด” อันตรายกว่าที่คิด แพทย์ย้ำ อายุ 50+ และมีโรคร่วมเสี่ยงปัญหาสุขภาพร้ายแรง

18 มี.ค. 2025

“โรคงูสวัด” อันตรายกว่าที่คิด แพทย์ย้ำ อายุ 50+ และมีโรคร่วมเสี่ยงปัญหาสุขภาพร้ายแรง

แพทย์เตือนผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปและมีโรคร่วม เสี่ยงที่จะเป็นโรคงูสวัด ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เช่น ปวดเส้นประสาทอย่างรุนแรงและยาวนาน ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ทั้งการนอน การทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน หากเกิดที่ใบหน้าหรือดวงตา อาจทำให้สูญเสียการมองเห็น หรือเกิดปัญหาทางระบบประสาทได้ ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำการป้องกันโรคและภาวะแทรกซ้อนนพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ สถาบันบำราศนราดูร กล่าวว่า ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป และมีโรคอื่นร่วมด้วยมีความเสี่ยงเป็นโรคงูสวัด อาจส่งผลต่อปัญหาสุขภาพร้ายแรงตามมา โดยเฉพาะอาการปวดเส้นประสาทที่อาจจะรุนแรงและยาวนานหลายเดือนหรือเป็นปี ส่งผลกระทบต่อการนอน การทำงาน ตลอดจนการใช้ชีวิตประจำวัน บางรายอาจเป็นภาวะซึมเศร้า รู้สึกโดดเดี่ยวจากการเก็บตัวจากสังคม นอกจากนี้ โรคงูสวัดยังอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังเกิดเป็นแผลเป็นถาวร หากเกิดที่ใบหน้าหรือดวงตาอาจทำให้สูญเสียการมองเห็น หรือเกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทบนใบหน้าได้ ในบางกรณีอาจนำไปสู่การเป็นโรคเส้นเลือดในสมองหรือกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง“ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป มีโอกาสเป็นโรคงูสวัดมากกว่าผู้ที่มีอายุน้อย เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายจะลดลง อีกประเด็นหนึ่ง คือ ผู้ที่มีอายุมากส่วนใหญ่จะมีโรคร่วมต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน หรือโรคที่จะต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันลดลง เมื่อมี 2 ปัจจัยนี้เข้ามาจึงทำให้ผู้สูงอายุเสี่ยงเป็นโรคงูสวัดมากขึ้น” นพ. วีรวัฒน์ กล่าวโรคงูสวัดเป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกับอีสุกอีใส แม้ว่าจะหายจากอีสุกอีใสแล้ว แต่เชื้อไวรัสไม่ได้หายไปยังคงแฝงตัวอยู่ในปมประสาท และสามารถกลับมาแสดงอาการได้อีกครั้งเมื่ออายุมากขึ้น เชื้อไวรัสตัวนี้จะออกมาใหม่ในรูปแบบของโรคงูสวัด โดยอาการจะแบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะแรกจะมีอาการปวดแสบปวดร้อน ควบคู่กับมีตุ่มน้ำใสขึ้นตามร่างกาย ทำให้เกิดแผล และระยะหลังจากแผลหายจะมีอาการปวดตามปลายประสาท โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุเยอะ รวมถึงผู้ที่มีโรคร่วม อาการปวดจะยิ่งรุนแรง และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว“แนวทางป้องกันโรคงูสวัด สามารถทำได้โดยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ได้แก่ การออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รักษาสุขอนามัย และการรับวัคซีนป้องกัน ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด 2 ชนิด ได้แก่ วัคซีนชนิดไม่ใช่เชื้อเป็น สามารถใช้ได้ตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปที่มีความเสี่ยงต่อโรคงูสวัดมากกว่าปกติ และวัคซีนชนิดเชื้อเป็นสำหรับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป การรับวัคซีนจะช่วยลดโอกาสเกิดโรคงูสวัด และหากเป็นโรคงูสวัดก็จะช่วยลดความรุนแรงของอาการและภาวะแทรกซ้อนได้" นพ. วีรวัฒน์ กล่าวสรุปข้อมูลอ้างอิง1. Harpaz, R., et al. (2008). MMWR, 57(RR-5), 1–CE4.2. Marra, F., Parhar, K., Huang, B., Vadlamudi, N. (2020). Open forum infectious diseases, 7(1), ofaa005.3. Erskine, N., et al. (2017). PloS one, 12(7), e0181565.4. Forbes, H. J., et al (2016). Neurology, 87(1), 94–102.

กระแสชาเขียวฟีเวอร์จนขาดตลาด นอกจากอร่อยแล้วมีประโยชน์ยังไง

12 ก.ย. 2025

กระแสชาเขียวฟีเวอร์จนขาดตลาด นอกจากอร่อยแล้วมีประโยชน์ยังไง

ในช่วงปี 2025 ที่ผ่านมา หนึ่งในกระแสที่ได้รับความนิยมแบบถล่มทลายคงหนีไม่พ้นชาเขียว ที่กลับมาเป็นกระแสฟีเวอร์อีกครั้ง ด้วยความฮิตจากเมนูใหม่ ๆ ของร้านแฟรนไชส์เครื่องดื่มชื่อดัง การรีวิวบนโซเชียลมีเดีย และเทรนด์สุขภาพที่กลับมาครองใจคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานที่เริ่มใส่ใจสุขภาพมากขึ้น จากร้านกาแฟธรรมดาไปจนถึงคาเฟ่เฉพาะทาง หลายร้านถึงกับต้องขึ้นป้าย "ชาเขียวหมดชั่วคราว" เนื่องจากออร์เดอร์ที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุด ขณะเดียวกันชาเขียวก็ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องดื่มหอมอร่อยเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยคุณประโยชน์ที่หลายคนอาจยังไม่รู้ วันนี้ Chill On กินเที่ยวจะพาไปทำความรู้จักกับชาเขียวในมิติต่าง ๆ ทั้งรสชาติ เกรด ประโยชน์ เมนูน่าสนใจ รวมถึงคาเฟ่เด็ด ๆ ที่ต้องลองสักครั้งชาเขียว มีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกาย เราควรกินชาเขียวแบบไหนดี เพื่อให้ได้ประโยชน์มากที่สุด เป็นคำถามที่หลายคนสงสัย เพราะชาเขียวไม่ได้มีดีแค่กลิ่นหอมและรสชาติละมุน แต่ยังเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และคุณค่าทางโภชนาการที่ดีต่อร่างกาย โดยเฉพาะชาเขียวแบบไม่ใส่น้ำตาล หรือที่เรียกกันว่าชาเขียวแท้ ประโยชน์ของชาเขียวมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด - สารโพลีฟีนอลในชาเขียวช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL และป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดกระตุ้นระบบเผาผลาญ - คาเฟอีนและแคทิชินในชาเขียวช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนักลดความเสี่ยงมะเร็ง - สารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวอาจช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิดดีต่อสุขภาพฟันและลมหายใจ - สาร EGCG ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก ทำให้ลมหายใจสดชื่น และลดการเกิดฟันผุช่วยคลายเครียดและเพิ่มสมาธิ - ธีอะนีน (Theanine) ซึ่งพบได้ในชาเขียว มีคุณสมบัติช่วยให้สมองผ่อนคลายแต่ยังคงตื่นตัวประเภทรสชาติ(โทน)ของชาเขียว มีแบบไหนบ้างโทนสาหร่าย - เป็นชาเขียวมัทฉะ ที่มีความโดดเด่นในกลิ่นของสาหร่าย และกลิ่นหญ้าโทนถั่ว - เป็นชาเขียวมัทฉะ ที่ค่อนข้างได้รับความนิยม เนื่องจากมีกลิ่นหอมคล้ายถั่ว โดดเด่นในด้านความหอมละมุนชาเขียวมีกี่เกรด 1. Ceremonial Grade (เกรดพิธีการ) - ชาเขียวระดับสูงสุดที่ใช้ในพิธีชงชาของญี่ปุ่น เป็นมัทฉะที่ทำจากยอดอ่อนของใบชาเท่านั้น ผ่านกระบวนการบดด้วยหินแบบดั้งเดิม ทำให้ได้เนื้อผงที่ละเอียดพิเศษจนแทบละลายได้เองในน้ำร้อน รสชาติหอมละมุน ไม่ขม ไม่ฝาด 2. Premium Grade (เกรดพรีเมียม) - เกรดนี้จัดอยู่ในระดับสูงรองจากเกรดพิธีการ แต่ยังคงใช้ใบชาคุณภาพดี ผสมยอดใบอ่อน และมีกระบวนการผลิตที่รักษาคุณลักษณะของมัทฉะไว้ได้ดี มักนิยมใช้ในชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่นทั่วไป มีสีเขียวสดแต่น้อยกว่าเกรดพิธีการ มีกลิ่นหญ้าอ่อน ๆ แบบธรรมชาติ 3. Culinary Grade (เกรดทำอาหาร) - เกรดนี้ถือเป็นชาเขียวสำหรับการปรุงอาหาร นิยมใช้ทำขนม เบเกอรี่ หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมอื่น ๆ เพิ่มเติม เพราะมีรสเข้มที่ไม่โดนกลบง่าย ราคาไม่สูงมาก รสขมฝาด และอาจมีกลิ่นแรงแนะนำเมนูชาเขียวที่น่าสนใจ ทำเองได้ สำหรับผู้ที่อยากสนุกกับการดื่มชาเขียวแบบ DIY ที่บ้าน ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์บาริสต้าหรือวัตถุดิบหรูหราแต่อย่างใด เพราะมีเมนูชาเขียวหลากหลายแบบที่ทำง่าย ใช้วัตถุดิบไม่มาก และยังได้รสชาติอร่อยไม่แพ้ร้านคาเฟ่ดัง แถมยังสามารถปรับสูตรได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะหวานมาก หวานน้อย หรือเพิ่มความครีมมี่ด้วยนมชนิดต่าง ๆ สำหรับเมนูชาเขียวแบบทำเองที่คัดมาแล้วว่าอร่อย สดชื่น และสุขภาพดี มีดังนี้ 1. ชาเขียวเย็นสูตรน้ำผึ้งมะนาว - เมนูนี้เหมาะมากสำหรับหน้าร้อน หรือวันที่คุณต้องการความสดชื่นแบบไม่หวานจัด โดยใช้น้ำผึ้งแทนน้ำตาลให้ได้ความหวานจากธรรมชาติ วิธีทำ: ผสมผงชาเขียว 1 ช้อนชากับน้ำร้อนประมาณ 100 มล. คนให้ละลาย กรองเอาแต่น้ำเพื่อให้ได้รสชาติใสสะอาด จากนั้นเติมน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนชา และน้ำมะนาวเล็กน้อย คนให้เข้ากัน ใส่น้ำแข็ง ดื่มทันที หรือจะแช่เย็นไว้ก่อนก็ดี ดื่มแล้วสดชื่น คลายร้อนได้ดีเยี่ยม 2. มัทฉะลาเต้เย็น -เมนูยอดนิยมที่พบได้ในทุกคาเฟ่ แต่รู้ไหมว่าคุณสามารถทำเองที่บ้านได้แบบง่าย ๆ ด้วยวัตถุดิบเพียงไม่กี่อย่าง และยังเลือกปรับสูตรให้เป็นแนวสุขภาพมากขึ้นด้วย วิธีทำ: ผสมผงมัทฉะ 1 ช้อนชากับน้ำร้อนเล็กน้อย (ประมาณ 50 มล.) คนให้ละลาย จากนั้นเติมนมสดหรือนมอัลมอนด์ประมาณ 150-200 มล. ใส่น้ำแข็ง และเติมไซรัปหรือน้ำเชื่อมเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความหวานตามชอบ หากต้องการให้เข้มข้นกว่านี้ อาจใช้ครีมเทียมหรือวิปครีมเป็นท็อปปิ้งก็ได้ 3. สมูทตี้ชาเขียวกล้วยหอม - เมนูสายสุขภาพที่ได้ทั้งพลังงานดี ๆ และรสชาติหอมมันกลมกล่อมจากกล้วยหอมและชาเขียว เหมาะสำหรับเป็นมื้อเช้าหรือดื่มหลังออกกำลังกาย วิธีทำ: นำกล้วยหอมแช่แข็ง 1 ลูก ผงชาเขียว 1 ช้อนชา นมสดหรือโยเกิร์ต ½ ถ้วย และน้ำแข็งเล็กน้อย ใส่ลงในเครื่องปั่น ปั่นจนเนียนละเอียด เสิร์ฟใส่แก้ว สามารถเพิ่มเมล็ดเจียหรือข้าวโอ๊ตบดเพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหารได้อีกด้วย 4. พุดดิ้งชาเขียว - ของหวานที่ทำง่ายแต่ดูดี เหมาะทั้งทำกินเองในครอบครัวหรือเสิร์ฟในมื้อพิเศษ โดยใช้ผงเจลาตินช่วยให้เนื้อขนมจับตัวแต่ยังคงความนุ่มนวล วิธีทำ: ละลายผงเจลาตินประมาณ 1 ช้อนชาในน้ำอุ่น ผสมกับนมสด 1 ถ้วย ผงชาเขียว 1 ช้อนชา และน้ำตาลเล็กน้อย จากนั้นคนให้เข้ากัน ตั้งไฟอ่อนให้พอร้อนแต่ไม่เดือด เทใส่ถ้วยหรือพิมพ์ที่เตรียมไว้ พักให้เย็นแล้วแช่ตู้เย็นประมาณ 2 ชั่วโมงจนเซตตัว เสิร์ฟพร้อมวิปครีม หรือถั่วแดงกวนก็อร่อยไม่แพ้กันคาเฟ่ชาเขียวที่ได้รับความนิยมชาหน้าผา - คาเฟ่ชาเขียวที่กำลังเป็นกระแสจากเขาใหญ่ ซึ่งตอนนี้มาเปิดสาขาที่กรุงเทพ ฯ แล้ว มีเมนูชาเขียวและไอศกรีมให้เลือกหลากหลายแบบKyo Roll En - ร้านขนมหวานที่หลายคนคุ้นเคย เนื่องจากตั้งอยู่ภายในห้างสรรพสินค้า มีเมนูชาเขียวมากมาย โดยเฉพาะเค้กโรลชาเขียวFuku Matcha - ร้านชาที่ขึ้นชื่อเรื่องความเข้ม กินแล้วตาสว่างไปถึงเช้า แน่นอนว่าเมนูชาเขียวก็เข้มข้นถึงใจ ดื่มแล้วลืมไม่ลง จนอยากไปซ้ำPeace Oriental Teahouse - ร้านโปรดในดวงใจของใครหลายคน ด้วยเมนูชาเขียวมัทฉะเข้มข้นหลากหลายแบบMini Oriental speedbar - ร้านมัทฉะเครือเดียวกันกับ Peace Oriental speedbar ที่สำคัญคือ ทุกเมนูในร้านราคา 65 บาทเท่านั้นSeven Suns - ร้านชาเขียวมัทฉะที่แอดชอบมากที่สุด รสชาติเข้มข้น แต่ก็มีความกลมกล่อม หอมหวาน สาวกชาเขียวต้องได้ลองกันสักครั้งหนึ่งในชีวิตสรุป จากกระแสชาเขียวที่ฟีเวอร์จนขาดตลาด ทำให้เห็นได้ชัดว่าเครื่องดื่มชนิดนี้ไม่ได้เป็นเพียงแฟชั่นชั่วคราว แต่เป็นเทรนด์ที่ผสมผสานระหว่างความอร่อย ความสุข และสุขภาพได้อย่างลงตัว การตัดสินใจว่าจะกินชาเขียวแบบไหนดี จึงขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของแต่ละคน ไม่ว่าจะเพื่อสุขภาพ ความผ่อนคลาย หรือความเพลิดเพลิน การรู้จักประโยชน์ของชาเขียว ประเภท เกรด และวิธีการดื่มที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณได้รับคุณค่าจากเครื่องดื่มแก้วโปรดอย่างเต็มที่ และหากคุณยังไม่เคยลองทำเมนูชาเขียวเองที่บ้าน นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะเริ่มต้น เพราะชาเขียวไม่ใช่แค่เครื่องดื่มธรรมดา แต่คือไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่รักสุขภาพอย่างแท้จริง สามารถอ่านบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ ที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ Chill on กินเที่ยวจัดทำโดย : พิชชาภรณ์ ผาสุขดี และ บาลี บัญชานิตยกาล