ออกกำลังกาย vs ปรับการกิน แบบน้ำหนักลดไวกว่ากัน ?

HEALTHY LIFESTYLE

ออกกำลังกาย vs ปรับการกิน แบบน้ำหนักลดไวกว่ากัน ?

06 ธ.ค. 2023

ตั้งใจจะลดน้ำหนักมาทั้งปี แต่ทำไมน้ำหนักขึ้นอย่างเดียวเลย เป็นกันบ้างไหม พอจะลดน้ำหนักที ไหนจะต้องออกกำลังกาย ไหนจะต้องปรับการกิน คนผลัดวันประกันพรุ่งอย่างเรา ๆ ก็ไม่ได้เริ่มสักที เอาหละ ๆ รอบนี้ต้องจริงจัง ฉันจะต้องมีเอว S ให้ได้! ว่าแต่มันควรจะเริ่มจากการออกกำลังกาย หรือการกินก่อนดีหละ ติ๊กต่อก ๆ  ยังคิดไม่ออกใช่มะว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี ไม่เป็นไรวันนี้กรีนเวฟไปหาคำตอบมาให้ทุกคนแล้ว ไปดูกัน!

การที่เราจะตั้งใจลดน้ำหนัก ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายหรือการปรับการกิน จริง ๆ แล้วนั้น เราจะต้องทำทั้ง 2 อย่างไปพร้อมกัน แต่สำหรับใครที่ยังไม่มีเวลาออกกำลังกาย แต่อยากน้ำหนักลดได้เร็ว แค่เริ่มต้นด้วยปรับการกิน น้ำหนักก็จะสามารถลงได้เร็ว ประมาณ 10 % ของน้ำหนักตัว เช่น สมมุติหนัก 50 กิโลกรัม 5-10 % ก็จะลดได้ประมาณ 2-5 กิโลกรัมซึ่งจะเป็นวิธีการลดน้ำหนักที่ง่ายกว่าและเหมาะสมกับคนที่ไม่อยากออกกำลังกาย

เริ่มปรับการกินจากตรงไหนดี ?

หลาย ๆ คนอาจจะคุ้นชิ้นกับคำว่าการนับแคลใช่ไหม แต่เทรนด์ตอนนี้เราเชื่อว่า คุณภาพอาหารสำคัญกว่าแคลอรี่ เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการที่จะลดน้ำหนักด้วยการปรับการกินจริง ๆ  เราต้องมองที่คุณภาพของอาหารเป็นสิ่งสำคัญ แต่นอกเหนือจากนั้นเรื่องของอาหารก็ต้องมีปรับด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงเย็นเราจะต้องรับคาร์โบไฮเดรตเข้าสู่ร่างกายให้น้อยลง ถ้าจะลดการกินก็ควรลดช่วงเย็นนี่แหละ เพราะช่วงเย็นนั้นการเผาผลาญเราจะต่ำเป็นเท่าตัว  และถ้าเราจะดูว่าอาหารในแต่ละมื้อเราจะต้องกิน หรือปรับยังบ้าง ที่สำคัญเลยที่จะต้องดูก็คือ 

  1. โปรตีนต้องถึง เพราะ โปรตีนจะเป็นตัวที่ช่วยจูนให้ร่างกายเราเกิดการเผาผลาญได้มากขึ้น
  2. คาร์โบไฮเดรตที่กินอยู่อาจจะน้อยลง
  3. ไฟเบอร์หรือพวกผัก จะเป็นกากใยอาหารที่จะทำให้เราอิ่มได้นาน
  4. ไขมันดี อย่างเช่นพวก อะโวคาโด น้ำมันมะกอก ถ้าใส่เข้าไปได้จะทำให้เรา Burn Fat ได้ดีมากขึ้น

ทำไมโปรตีนถึงสำคัญกับการลดน้ำหนัก ?

สาเหตุที่โปรตีนมีความสำคัญต่อการลดน้ำหนักก็เพราะ อัตราการเผาผลาญจะมากขึ้นถ้ามีโปรตีนที่ถึงพอ การควบคุมความหิวอิ่ม เช่น ฮอร์โมนที่ชื่อ Leptin

ถ้าสมมุติช่วงเช้ากับเที่ยง เราทานอาหารที่มีโปรตีนถึงพอ ตอนบ่ายจะไม่ค่อยหิว เพราะ Leptin ออกมา แต่ถ้าเรากินโปรตีนไม่ถึง ช่วงบ่ายอาจจะรู้สึกหิวได้  เพราะ Leptin ไม่ออกมา นอกจากจะให้รู้สึกอิ่มท้องได้นานแล้วนั้น โปรตีนยังทำให้ภาวะดื้ออินซูลินลดลง

ดื้ออินซูลิน หมายความว่า การที่ร่างกายได้รับน้ำตาลเข้าไปจากการกิน ได้ถูกเอาไปใช้ ไม่ถูกสะสม

ไม่ดื้ออินซูลิน = ความเสี่ยงในเรื่องเบาหวานลดลง การเผาผลาญไขมันในช่องท้องเกิดได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้โปรตีนยังเป็นตัวที่ทำให้เกิดการสร้างกล้ามเนื้อ เวลาที่เราออกกำลังเราก็ต้องการที่จะสร้างกล้ามเนื้อ สมมุติเวลาที่เราเวทเทรนนิ่ง ในแต่ละเซ็ตที่เราเวทเทรนนิ่งนั้น ใยกล้ามเนื้อมันจะฉีกขาดไปทีละเล็ก ๆ แล้วมันก็จะต้องสร้างใหม่ ซึ่งในขั้นตอนที่มันจะสร้างใยกล้ามเนื้อขึ้นมาใหม่นั้น มันจะต้องการโปรตีนในการโหลดเป็นเส้นใยของกล้ามเนื้อ เพราะฉะนั้นโปรตีนเลยเข้าไปช่วยในการซ่อมแซม และทำให้กล้ามเนื้อเยอะขึ้น

 

การคำนวนโปรตีน

โปรตีนใน 1 วัน เราสามารถกินตามน้ำหนักตัวได้เลย แต่ถ้าต้องการเพิ่มเวทเทรนนิ่ง หรือต้องการเพิ่มกล้าม ให้เอา 1.2 x น้ำหนักตัว พอได้จำนวนโปรตีนที่ต้องการใน 1 วันแล้ว ก็มาหารจำนวนมื้อเอา ซึ่งโปรตีนที่กำลังบอกอยู่นี้ ไม่ใช่การเอาเนื้อสัตว์ไปชั่ง แล้วนับออกมาเป็นจำนวนกรัม แต่โปรตีนมันคือสิ่งที่อยู่ในเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู 1 ขีดมี 100 กรัม ใน100 กรัมไม่ได้เป็นโปรตีนไปซะหมด แต่อาจจะมีโปรตีนแต่ 30 กรัม ที่เหลือก็อาจจะเป็นเนื้อหรือสารอาหารอื่น ๆ เพราะฉะนั้นถ้าจะเปรียบง่าย ๆ เนื้อไก่หรือเนื้อหมู 1 ชิ้น ที่มีขนาดเท่ากับกำมือ จะมีโปรตีนอยู่ประมาณ 20-30 กรัม

ปรับการกินมาสักพัก น้ำหนักเริ่มทรงตัว ไม่ลดลง หมายความว่ายังไง

โดยปกติพอเราลดไปแล้วประมาณ 1-2 เดือน น้ำหนักจะเริ่มนิ่ง เราเรียกว่า Plateau Phase คือลดยังไงก็ไปต่อไม่ได้ จุดนี้แหละเป็นช่วงเวลาที่เราต้องเพิ่มการออกกำลังกาย ต้องจูน Metabolism ให้มันเผาผลาญมากขึ้น โดยปกติน้ำหนักเราจะลดลง 1 สัปดาห์ประมาณ 5 ขีด  1 เดือนลง 1-2 กิโล แต่คนที่ลดได้เร็วหน่อย ส่วนใหญ่จะเป็นที่มีน้ำหนักตัวเยอะ อาจจะลดได้ 6 โลภายใน 1 เดือน

ร่างกายเราจะมีอัตราการเผาผลาญขั้นต่ำที่เราต้องใช้พลังงาน ซึ่งมันจะมากขึ้นตามน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเพราะฉะนั้นคนที่มีน้ำเยอะมาก ๆ ก็จะมีอัตราการเผาผลาญพื้นฐานเยอะ เพียงแต่ว่าในแต่ละมื้อ กินเยอะเกินอัตราการเผาผลาญ แต่ถ้าเริ่มกินน้อยลง อัตราการเผาผลาญที่มีมากอยู่แล้ว ก็เลยทำให้เค้าเบิร์นได้ดีขึ้น น้ำหนักก็เลยลดลงได้ไวนั่นเอง

 

เอาหละเป็นยังไงอ่านจนมาถึงตอนนี้ ก็รู้แล้วสินะว่าการลดน้ำหนักไม่ใช่เรื่องยาก ต่อให้ไม่มีเวลาออกกำลังกายแต่ถ้าเริ่มการจากการปรับพฤติกรรมการกิน เอว S ที่ใฝ่ฝันก็อยู่แค่เอื้อมเท่านั้น ขอแค่มีวินัย ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง และมีเป้าหมายแค่นี้ ลดน้ำหนักก็กลายเป็นเรื่องจิ๊บ ๆ แล้ว

 

 

 

related HEALTHY LIFESTYLE

อยากเผาผลาญดี วิตามินอะไรช่วยได้

14 ก.ค. 2023

อยากเผาผลาญดี วิตามินอะไรช่วยได้

วางแผนมาตั้งแต่ต้นปี ว่าปีนี้จะลดน้ำหนัก ปาเข้าไปกลางปีน้ำหนักไม่ลด แถมยังเพิ่มอีกต่างหาก จะทำยังไง ทำเท่าไหร่ น้ำหนักก็ไม่ลดซักที พูดแล้วก็ท้อใจจจจจ TT แต่ไม่เป็นไรทุกคน วันนี้มีตัวช่วยมาให้ทุกคน เป็นทริคลดน้ำหนักจากคุณหมอเพื่อน ซึ่งคุณหมอได้พูดในราบการเพื่อนเป็นหมอ ถึงเรื่องวิตามินที่ช่วยในเรื่องของการ Burn Fat ช่วยในการเผาผลาญเอาไว้ วันนี้กรีนเวฟเลยสรุปมาให้ทุกคน ใครอยากรู้จะมีวิตามินอะไรบ้างตามไปดูกัน ^^ทำไมหนักลงเป็นขีด ขึ้นทีเป็นโล มันเพราะอะไร !เป็นคำถามที่หลาย ๆ คนก็คงสงสัยกันใช่ไหมหละ นั่นก็เพราะว่าสาเหตุของการที่น้ำหนัดลดยากของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับการเผาผลาญ Metabolism ด้วย ถ้าใครที่ เหงื่อออกง่าย ท้องไม่ค่อยผูก ทานอาหารแล้วย่อยได้ดี คนเหล่านี้มักจะมี Metabolism ดี นอกจากนี้เรายังจะต้องดูอีกว่า เรากินถูกรึเปล่า ออกกำลังกายไหม หรือนอนดีรึเปล่าการ Fasting ที่ดีที่สุด คือการงดอาหารมื้อเย็นบางคนลดน้ำหนัก จะเลือกไม่ทานอาหารเลย หรืออาจจะทานน้อยมาก แต่น้ำหนักก็ยังขึ้น แปลว่าสารอาหารที่ได้รับเข้าไปไม่เพียงพอ เลยกลายเป็นการลดน้ำหนักแบบผิดวิธี เพราะฉะนั้นถ้าจะลดน้ำหนักจริง ๆ 4 อาหารที่ไม่ควรงดเลยก็คือไขมันดี ถ้าเราขาดไขมันดีการ Burn Fat จะลดลง ซึ่งไขมันดีสามารถหาได้จาก ถั่ว อะโวคาโด น้ำมันมะกอกโปรตีน โปรตีนจะเป็นตัวทำให้เรารู้ว่าอิ่มท้องและอยู่ได้นานขึ้น ถ้าสมุติว่าเราทานอาหารตอน และทานอาหารตอนเที่ยง ช่วงเย็นจะรู้สึกหิวน้อยลง เพราะโปรตีนจะทำให้เราไม่ดื้ออินซูลินในช่วงบ่าย และจะโหยน้อยลงคาร์โบไฮเดรตที่ดี ตอนช่วงเช้าถ้าเราไม่ทานคาร์โบไฮเดรตที่ดี กล้ามเนื้อไม่สร้าง ตัวที่เผาผลาญและเก็บกล้ามเนื้อไม่มีเลยจะทำให้ Burn Fat ได้น้อยลงไฟเบอร์ การที่มีไฟเบอร์ถ่วงที่ท้องให้หนักขึ้น เขาจะเป็นตัวนำพาเอาน้ำตาลที่ไม่ดี ไขมันที่ไม่ดี ออกไปทางอุจจาระเวลาขับถ่าย4 หลักการก่อนที่จะ Burn Fatเซลล์เราต้องการใช้พลังงานให้มากขึ้น เพราะฉะนั้น วิตามินหรือสิ่งที่เสริมเค้าต้องทำให้เซลล์เหมือนถูกกระตุ้นแล้วใช้พลังงานมากขึ้น เช่นกลุ่มคาเฟอีนต้องถ่วงในกระเพาะเราอิ่มตัว ซึ่งสิ่งที่ช่วยถ่วงให้อิ่มก็คือพวกไฟเบอร์ เพราะฉะนั้นจะต้องทานผักเพิ่มขึ้นวันประมาณ 40 กรัม (ในจานข้าวต้องมีผักครึ่งหนึ่ง)ต้องมีตัวนำพาไขมันเข้าไปในเซลล์ที่ชื่อว่า Mitochondrion ซึ่งตัวที่นำพามาก็คือ L-carnitine ถ้าเราไม่ออกกำลังกาย การที่จะพาไขมันเข้าไปในเซลล์มันจะไม่ถูกพาเข้าไป เพราะฉะนั้น หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินคุณหมอพูดว่า ถ้าทาน L-carnitine ให้ออกกำลังกายเพิ่มขึ้นด้วย เพราะเมื่อ L-carnitine เข้ามาในเซลล์แล้ว เขาจะมีการช่วยให้ตัวพันธะของไขมันเหมือนกรรไกร ย่อยให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ก็จะเป็นการสลาย FAT ที่ดีการต้องการทำให้น้ำตาลเผาผลาญดียิ่งขึ้น แร่ธาตุที่สำคัญคือโครเมียม ซึ่งจะได้จากธัญพืช ข้าวกล้องไม่ขัดสี ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวโอ๊ต อีกหนึ่งอย่างก็คืออบเชย อบเชยจะเป็นตัวที่ทำให้เราสามารถลดภาวะการณ์ดื้ออินซูลิน หรือสามารถทำให้น้ำตาลที่เราทานเข้าไปสลายออกไปใช้มากยิ่งขึ้น ไม่ทำให้สะสมเป็น FAT หรือ ไขมันวิตามินอะไรช่วงในเรื่องของการเผาผลาญวิตามิน D เป็นวิตามินที่ดีสมชื่อ ถ้าใครมีวิตามิน D ต่ำจะทำให้การ Burn Fat แย่ลง เพราะวิตามิน D จะทำให้กลไกล 4 อย่างด้านบนที่กล่าวมานั้น ทำงานได้เป็นอย่างดีวิตามิน B เป็นวิตามินที่หลายคนทานแล้วสดชื่นขึ้น ทานตอนเช้าแล้วอาจจะทำให้รู้สึกมีพลัง หนึ่งในข้อดีของวิตามิน B คือ ช่วยในเรื่องของการ Burn Fat ร่วมด้วยปริมาณในการกินวิตามินL-carnitine โดสโดยปกติจะเม็ดละ 500 มิลลิกรัม การกินจะอยู่ที่ 500 – 2,000 มิลกรัมแล้วแต่คน ถ้าคนที่ Burn ยากหน่อยก็อาจจะเพิ่มเป็น 2,000 มิลลิกรัมได้ โดยควรรับประทาน ครึ่งชั่วโมงก่อนออกกำลัง เพื่อให้ L-carnitine เข้าเซลล์แล้วไปตัดไขมันวิตามิน B ส่วนมากจะกระจายโดสอยู่ที่ 5-10 มิลลิกรัม สามารถทานเป็นวิตามิน B รวมก็ ได้ แต่ต้องระวังถ้ามีวิตามิน B6 เยอะอาจจะทำให้หิวมากยิ่งขึ้นวิตามิน D โดสจะอยู่ที่ 3,000 วิตามิน D3 โดสจะอยู่ที่ 3,000 – 5,000 IU ถ้าคนอยากรู้สึกเผาผลาญเร็ว หรือถ้าอยาก Boost ก่อนในช่วงแรก อาจจะ Overdose ได้ แต่ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์อบเชย 1 ช้อนชาต่อวันโครเมียม 200-600 ไมโครกรัมได้วิตามินกันไปแล้วก็อย่าลืมที่จะออกกำลังกายและดูแลเรื่องอาหารควบคู่กันไปด้วยน้า ฝากไว้นิดดดนึงการออกกำลังกายควรออก 30 นาที ขึ้นไป ถึงจะเกิดการ Burn Fatแต่ถ้าออกแค่ 15 นาที คุณจะน่องโต แทนที่จะ Burn Fat ออกได้ถ้าเดินต้องเดิน 7,499 ก้าว ถึงจะกลายเป็นการ Burn Fat ประมาณ 20 นาที

album

0
0.8
1