งานเลี้ยงบริษัทอนุญาตให้พาลูกมาได้ รู้ตัวอีกที ลูกหัวหน้าอุ้มลูกเราแล้วปล่อย จนล้มที่พื้น เรารีบวิ่งไปพูดดีๆว่า "น้องหนัก อุ้มไม่ไหวหรอกค่ะ" คืนนั้นหัวหน้าเรียกไปคุยที่ห้อง "ดุลูกพี่ทำไม ถ้าลูกพี่เป็นอะไร พี่เอาตายเลยนะ"

พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

งานเลี้ยงบริษัทอนุญาตให้พาลูกมาได้ รู้ตัวอีกที ลูกหัวหน้าอุ้มลูกเราแล้วปล่อย จนล้มที่พื้น เรารีบวิ่งไปพูดดีๆว่า "น้องหนัก อุ้มไม่ไหวหรอกค่ะ" คืนนั้นหัวหน้าเรียกไปคุยที่ห้อง "ดุลูกพี่ทำไม ถ้าลูกพี่เป็นอะไร พี่เอาตายเลยนะ"

10 พ.ค. 2024

งานเลี้ยงบริษัทอนุญาตให้พาลูกมาได้ รู้ตัวอีกที ลูกหัวหน้าอุ้มลูกเราแล้วปล่อย

จนล้มที่พื้น เรารีบวิ่งไปพูดดีๆว่า "น้องหนัก อุ้มไม่ไหวหรอกค่ะ"

คืนนั้นหัวหน้าเรียกไปคุยที่ห้อง "ดุลูกพี่ทำไม ถ้าลูกพี่เป็นอะไร พี่เอาตายเลยนะ"

ได้ยินแบบนี้เสียใจมากเจอหน้าเขายังต้องไหว้ไหมคะ?

            “คุณเอ (นามสมมติ)” อายุ 32 ปี สายที่สามในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [8 พ.ค. 67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล - ดีเจต้นหอม’ เกี่ยวกับปัญหาที่เหตุเกิดจากลูกหัวหน้า

            โดย “คุณเอ (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘หนูทำงานอยู่สำนักราชการแห่งหนึ่ง พึ่งเข้ามาทำงานได้ประมาณ 8 เดือน แล้วที่นี้ทางสำนักเขาจะทริปให้พนักงานไปเที่ยว และทางสำนักก็อนุญาติให้พาครอบครัว หรือ พาลูกไปด้วยก็ได้ หนูก็เลยพาลูกที่อายุ 4 ขวบไปด้วย ทริปนี้ก็จะมีลูกๆพนักงานไปกันเยอะ จากนั้นลูกของหนูก็ไปเล่นกับลูกหัวหน้าใหญ่ อายุของลูกเขาคือ 10 ขวบ เด็กๆก็เล่นๆกันไป แล้วที่นี้ก็เกิดอุบัติเหตุ คือลูกหัวหน้าเขาอุ้มลูกหนู เหมือนจะอุ้มไม่ไหว และสะดุดล้มอีก ตัวของลูกหนูก็เลยฟาดไปกับขอบโซฟา คือไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น แต่ลูกของหนูตกใจ แล้วก็ร้องไห้หนักมากตามประสาเด็กเล็ก

            หนูก็เลยพูดกับลูกหัวหน้าใหญ่ว่า น้องตัวหนัก อุ้มไม่ไหวหรอก พูดด้วยน้ำเสียงปกติเลย พอตกดึกหัวหน้าใหญ่ก็เรียกหนูไปคุยเป็นการส่วนตัว แล้วเขาก็พูดออกมาว่า ได้ไปตะหวาดหรือไปดุอะไรลูกพี่มั้ย เพราะลูกพี่มาเล่าให้ว่าคุณอ่ะไปตะหวาดเขา หนูก็เลยตอบไปว่า หนูไม่ได้ตะหวาดค่ะ หนูพูดปกติ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็เห็นว่าหนูพูดกับน้องด้วยน้ำเสียงปกติ เขาก็พูดต่อว่า ถ้าลูกพี่เป็นอะไรไป พี่เอาเราตายเลยนะ หนูก็เลยตอบกลับไปว่า ค่ะ หนูทราบค่ะ หนูไม่ได้ตะหวาดจริงๆ หนูพูดกับน้องเขาดีๆค่ะ เขาไม่ถามหนูสักเลยคำว่า ลูกหนูเป็นยังไงบ้าง เรื่องก็จบไป

            คือหนูมีน้องชายที่ทำงานอยู่ด้วยกัน พอหนูโดนเรียกไปต่อว่าเสร็จ หนูก็เดินเข้าไปในห้อง Party Room แล้วน้องชายก็เห็นหนูเดินมาเขาก็ถามว่า หัวหน้าเรียกไปทำไม หนูก็ตอบน้องชายไปว่า เขาเรียกไปว่า เขาหาว่าพี่ไปตะหวาดลูกเขา แต่จริงๆคือทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตรงนั้นเขาก็ได้ยินว่าพี่พูดว่าอะไรและน้ำเสียงแบบไหน  พอหนูคุยกับน้องชายเสร็จหนูก็เลยขอพาลูกกลับห้อง

            แล้วทีนี้น้องชายก็มาเล่าให้ฟังหลังจากที่หนูพาลูกกลับห้องว่า เหมือนหัวหน้าจะเห็นว่า น้องชายของหนูแสดงอาการฉุนเฉียวฟึดฟัดอารมณ์ไม่ดี เขาก็เลยเรียกน้องชายหนูไปข้างหลังแล้วถามว่า มึงมีปัญหาอะไร!! แล้วก็พูดต่อด้วยว่า พี่มึงอ่ะชาวบ้าน!! น้องชายหนูก็ไม่พอใจที่ทำไมต้องพูดกับหนูว่าจะเอาตาย คือเขาไม่ถามสักคำว่าลูกพี่เป็นไงบ้าง แล้วมาด่าพี่ก็เหมือนด่าผม เหมือนโดนดูถูกกัน หนูกับน้องชายก็ร้องห่มร้องไห้ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็เดินมาปลอบ ประมาณว่า เอ่อไม่เป็นไรนะถ้าเขาจะเอามึงออกเพราะเรื่องแค่นี้ มันมีที่อื่นอีกเยอะแยะ แล้วก็มีหัวหน้าหนูที่เป็นรองหัวหน้าใหญ่คนนั้น เขาก็เข้ามาในห้องพักแล้วก็เดินมากอดหนู แล้วก็พูดว่า เข้าใจๆ พี่รู้ว่านิสัยเขาเป็นยังไง หนูก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะร้องไห้อย่างเดียว

            พอวันรุ่งขึ้นก็แยกย้ายกันกลับไม่ได้มีปัญหาอะไร ตอนนี้หัวหน้าใหญ่คนนั้นก็ไม่ได้มาทำงาน เพราะเขาลาพักผ่อน แล้วความรู้สึกของตัวหนูตอนนี้คือยังไม่โอเคมากๆ  และพรุ่งนี้เขาจะกลับมาทำงานตามปกติ หนูก็คิดในใจว่า จะไหว้ดีมั้ยวะ? เพราะก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์นี้คือ หนูมองเขาน่ารักมาตลอด เขาเฟรนลี่ ไม่ถือตัว แต่พอมาเป็นแบบนี้หนูก็มองเขาเปลี่ยนไปเลย ซึ่งหนูก็พึ่งเข้ามาทำงานได้ 8 เดือน และหนูก็รู้สึกว่าคือ กูต้องออกหรอวะ? คิดวนแบบนี้ตลอดตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง ทุกคนในที่ทำงานก็ช่วยกันหาทางออก แต่ทีนี้หัวหน้ารองหนูก็อยู่ด้วย เขาก็เสนอว่า หรือยังไงดี จะให้เอาพวงมาลัยไปไหว้มั้ย หนูก็เลยตอบกลับไปว่า หนูไม่ทำนะที่จะให้เอาพวงมาลัยไปไหว้ เพราะหนูไม่ผิด แล้วมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่หนูจะต้องเอาพวงมาลัยไปไหว้ หนูก็ไม่เคยพูดจาไม่ดีกับเขา พูดคะขาทุกคำ หนูก็งงว่าทำไมต้องเอาพวงมาลัยไปไหว้

            ตอนแรกหนูจะถามพี่ๆดีเจว่า หนูลาออกดีมั้ย? แต่คิดไปคิดมา กว่าหนูจะเข้ามาทำงานที่นี่ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายก็เลยตัดคำถามนี้ไป เพราะไหนจะสวัสดิการต่างๆของลูกอีก เอาเป็นว่าหนูอยากถามพี่ๆว่า ถ้าพรุ่งนี้หนูเจอเขา หนูจะไหว้เขาดีมั้ย ?’

            งานนี้พี่ๆดีเจทั้ง 3 คนก็ได้ให้คำปรึกษา “คุณเอ (นามสมมติ)” พร้อมกันว่า ‘ไหว้ครับ/ค่ะ’

            โดย “ดีเจเผือก” เป็นคนแรกที่ให้คำปรึกษาว่า ‘ไม่รู้นะสำหรับผมอ่ะ เคารพ ไม่เคารพไม่รู้ เราสามารถไหว้ได้นะ แต่สำหรับในใจผมอ่ะ คนต่อหน้าคนนี้เราเคารพแค่ไหน อันนี้คืออีกเรื่องหนึ่งนะ การไหว้สำหรับพี่มันเป็นเหมือนการ Say Hello อ่ะ มันเป็นแค่เครื่องมือ แล้วก็การสวัสดีครับ ของเรามันไม่ได้แปลว่า เราเคารพคนนั้นมาน้อยแค่ไหน สำหรับผมก็เลยไหว้ได้ ไหว้ตามมารยาท’

            ต่อด้วย “ดีเจเติ้ล” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘คือเข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำ มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกนะ แต่เราไม่รู้ว่าเขากลับมาทำงานแล้วมันจะยังไงต่อ เขาอาจจะไม่ได้สนใจอะไรแล้วก็ได้ สำหรับเขาเรื่องลูก คงจะเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะมันสามารถทำให้เขาขึ้นได้ขนาดนี้ ซึ่งมันก็มีแบบนี้จริงๆนะ เรื่องลูกคือใหญ่บึ้ม แต่เขาก็เป็นคนที่ไม่มีวุฒิภาวะจริงๆ พี่ไม่ได้เข้าข้างนะ แต่แค่รู้สึกว่า คุณเออย่าพึ่งคิดไปถึงขนาดนั้นว่า ต้องลาออก ต้องนั่นนู่นนี่ แต่การที่เราจะไม่ไหว้ เขาอาจจะหันมาเล็งเราเลยก็ได้ พี่ว่าต้องรอดูสถานการณ์ก่อน ตอนนี้อย่าพึ่งฟังธงว่าเขาจะยังไงกับเรา พี่ขออวยพรให้เขาไม่อะไรกับคุณเอต่อ แต่คุณเอไหว้ไปแล้ว แล้วเขาไม่รับไหว้ อันนี้ค่อยโทรมาใหม่’

            สุดท้าย “ดีเจต้นหอม” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ไหว้ ถ้าไม่ไหว้ฉิบหายแน่คนแบบนี้ การไหว้มันเป็นการเอาตัวรอดของเราอ่ะ  เขาอาจจะไม่ได้สนใจอะไรแล้ว เพราะได้โชว์พาวไปแล้ว ไหว้แล้วก็ต่างคนต่างทำงาน แต่การที่ไม่ไหว้อาจจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เขาอาจจะแสดงแสนยานุภาพอีกก็ได้ ไหว้ไปเลย ไหว้แบบปกติ ไหว้เพื่อเอาตัวรอด ส่วนเด็กก็ช่างมัน เด็กมันก็ไม่รู้เรื่องหรอก โทษเด็กก็ไม่ได้ อวยพรให้ลูกเขาโตมาดีๆเถอะ เพราะเขามีพ่อแม่แบบนี้’

เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทาง

ใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATION

รับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

related พุธทอล์ค พุธโทร RECAP

ผมอายุ 26 ตั้งใจทำงาน ลงทุนเก็บเงินไปเรื่อยๆ แพลนใช้เงินตอนอายุ 30 กว่าๆ แบบสบาย แต่เวลาไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ ตอนกลับคู่อื่นเขามีรถใช้กันหมดแล้ว คู่ผมนั่ง Taxi จนรู้สึกกดดันตัวเองที่ยังไม่มีอะไรแบบคนอื่นเลยนอกจากเงินในบัญชี 7 หลัก

29 เม.ย. 2024

ผมอายุ 26 ตั้งใจทำงาน ลงทุนเก็บเงินไปเรื่อยๆ แพลนใช้เงินตอนอายุ 30 กว่าๆ แบบสบาย แต่เวลาไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ ตอนกลับคู่อื่นเขามีรถใช้กันหมดแล้ว คู่ผมนั่ง Taxi จนรู้สึกกดดันตัวเองที่ยังไม่มีอะไรแบบคนอื่นเลยนอกจากเงินในบัญชี 7 หลัก

“คุณที (นามสมมติ)” อายุ 26 ปี สายที่สามในรายการ พุธทอล์ค พุธโทร เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา [24 เม.ย. 67] ได้โทรเข้ามาปรึกษา ‘ดีเจพี่อ้อย - ดีเจเผือก - ดีเจเติ้ล’ เกี่ยวกับปัญหาอยากจะมีเงินเก็บเยอะๆ แต่เห็นคนอื่นมีรถ เลยรู้สึกกดดันว่าต้องมีบ้าง... โดย ​“คุณที (นามสมมติ)” ได้เล่าว่า ‘ต้องขอท้าวความก่อนว่า ผมมาจากครอบครัวที่ฐานะทางการเงินไม่ดีเท่าไหร่ จะพูดว่าไม่ดีเลยก็ได้ พอได้เริ่มมีงานทำ ฐานะทางการเงินก็ค่อยๆดีขึ้น แต่ว่าผมก็ยังฝังใจกับความจนที่เจอมาอยู่ พอทำงานหาเงินได้ ก็ตั้งตาตั้งหน้าเก็บเงิน มีเอาไปลงทุนบ้าง เพราะหวังว่าสักวันนึงจะได้มีความมั่นคงทางการเงิน ทำยังไงก็ได้ให้ตัวผมออกห่างจากความจนให้ได้มากที่สุด ซึ่งผมคบกันแฟนคนนึง มาได้ประมาณ 2 - 3 ปี แฟนคนนี้เป็นแฟนที่ผมรู้สึกว่าดีที่สุดตั้งแต่ที่ผมเคยคบใครมาเลย แต่ก็จะมีบางเรื่องที่ทำให้เราสองคนเถียงกันได้ตลอด คือ เรื่องการใช้เงิน ผมกับแฟนมีรายได้จากการทำงานใกล้เคียงกัน เวลาใช้เงินผมจะเป็นคนที่ใช้เงินค่อนข้างตึงนิดนึง ส่วนแฟนก็จะใช้เงินแบบหย่อนกว่าผมหน่อย พูดง่ายๆเลยก็คือ เรายังหาตรงกลางที่ลงตัวไม่ค่อยเจอ แต่ผมกับแฟนก็พยายามปรับตัวเข้าหากันตลอด ผมจะเป็นคนที่วางแผนเรื่องการใช้เงินให้เขา เช่น เดือนนี้เก็บเท่านี้ดีมั้ย ช็อปปิ้งประมาณนี้นะ จะได้มีเงินเก็บบ้าง จนมีอยู่วันหนึ่ง ผมไปนัดสังสรรค์กับเพื่อนๆ โดยที่เพื่อนๆก็พาแฟนไป ตัวผมเองก็พาแฟนไปด้วยเหมือนกัน ทีนี้ตอนกลับบ้าน เพื่อนๆ ทุกคนก็แยกย้ายกันไปขึ้นรถของตัวเอง มีแค่ผมกับแฟนที่เดินออกไปปากซอยเพื่อเรียกรถแท็กซี่ ตอนนั้นผมก็รู้สึกเขินๆอยู่นิดนึง เพื่อนๆ 4 - 5 คู่ เขามีรถส่วนตัวกันหมด แต่ผมไม่มี แฟนผมก็พูดประมาณว่า ทำไมเราไม่มีเหมือนคนอื่นบ้าง คนอื่นเขามีรถกันหมดเลย ผมก็พยายามอธิบายให้เขาฟังว่า ช่วงนี้อยากสร้างเนื้อสร้างตัวก่อน ถ้ามีเงินแล้ว รถจะมีเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็เข้าใจความรู้สึกเขา เพราะตอนนั้นผมก็เขินเหมือนกัน เวลาที่เรามีเป้าหมายชีวิตแบบนี้ มันอาจจะไม่ได้เหมือนกับคนอื่น ผมอยากปรึกษาพี่ๆดีเจว่า ผมควรจะมีความคิดแบบไหนที่จะไม่ให้โดนสังคมภายนอกกดดันว่า ต้องมีแบบนู้น มีแบบนี้ในเวลาอายุเท่านี้ อาจจะแนะนำความคิดทั้งตัวผมเองแล้วก็แฟนผมด้วยก็ได้ ทำยังไงให้ไม่รู้สึกว่าโดนสังคมภายนอกกดดัน? โดย “ดีเจเผือก” ก็ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ส่วนใหญ่ความกดดันนั้น เราก็เป็นคนเอามาใส่ตัวเราเองทั้งนั้น เพื่อนก็ไม่ได้ถามคุณทีว่า ทำไมไม่มีรถล่ะ ซื้อรถสิ ก็ไม่มีใครบอกรึป่าว แต่คนที่มองรถที่ขับออกไป แล้วก็เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ก็เป็นตัวเราเอง ที่คุณทีรู้สึกเป็นส่วนน้อยเพราะว่า มันทำยากเพราะคนสมัยนี้ก็วัตถุนิยม มีนู่นมีนี่ แต่คนที่คิดได้อย่างคุณที มีวิธีการดำเนินชีวิตที่ชัดเจน คุณทีอาจจะรู้สึกว่าน้อย แต่มันไม่ได้แปลว่าดีหรือไม่ดี ถ้าเรามีวิธีคิดแล้วมันพิสูจน์ได้จริง ณ ตอนนี้เราไม่ได้มีรถแต่เราก็ใช้ชีวิตอยู่ได้ แล้วเงินเก็บเราก็เพิ่มพูนมากขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าจะทำยังไง มีวิธีคิดยังไง เพื่อให้ปัจจัยอื่นๆในสังคมไม่มากดดันเรา เราก็ต้องไม่ไปเอามันมากดดันตัวเอง ในเคสของคุณที คือ การเอาสิ่งนั้นๆ มากดดันตัวเอง โดยที่ปัจจัยภายนอกมันไม่ได้มากดดันคุณทีเท่าไหร่ คุณทีต้องคิดว่ารถคันหนึ่ง กับ เป้าหมายที่คุณวางไว้อันไหนสำคัญกว่า โลกยุคนี้ถูกดำเนินด้วยสื่อโซเชียล มันทำให้ชีวิตของคนอื่น มามีผลต่อชีวิตของเรามากมาย ซึ่งมันเป็นกันทั้งโลก แล้วถ้าคุณทีจะเป็นหนึ่งในคนที่ไม่เป็นแบบนั้น ผมว่ามันก็เป็นเรื่องที่ดีนะ แล้วก็ให้เวลามันเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสิ่งต่างๆที่เราตั้งใจอดออมเก็บเงิน สุดท้ายแล้วมันออกดอกออกผลในอนาคต’ ต่อด้วย “ดีเจเติ้ล” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘คุณทีพึ่งอายุ 26 เอง การที่ยังไม่มีรถในวัยนี้ พวกพี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ที่พี่เผือกพูดก็ถูก ตอนนี้โลกมันมีการแข่งขันกันมาก เปิดโซเชียลมาก็เจอคนโชว์ไลฟสไตล์ชีวิตที่มีความสุข ซึ่งบางทีเราก็เคยได้ยินที่เขาพูดกันว่า ไม่มีใครโชว์ความทุกข์ของตัวเองให้คนอื่นเห็นหรอก เขาเลือกด้านที่ดีให้คนอื่นเห็นอยู่แล้ว ซึ่งมันก็อาจจะมีผลที่ทำให้คนต้องแข่งขันกัน แต่ทุกวันนี้พี่ว่าคนเขาเคารพความเป็นแบบปัจเจกของคนมากกว่า มันไม่ได้มาตัดสินว่า คุณมีอายุเท่านี้ คุณจะต้องมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ ความคิดแบบนี้มันเคยมีในสมัยพวกพี่ ต้องทำงานมีเงิน มีบ้าน รับราชการ เหมือนโลกทุกวันนี้มันหลากหลายมาก แล้วคนก็เคารพกันมากขึ้นด้วย คุณจะทำอะไรมันคือสิทธิ์ของคุณ ถึงคุณจะไม่ได้ทำงานสำเร็จ และถึงคุณจะมีอาชีพเล็กๆ แต่คุณมีความสุข นั่นก็คือสิทธิ์ของคุณ หรือคุณจะเป็นนักธุรกิจยิ่งใหญ่ มันก็คือสิทธิ์ของคุณทั้งหมด เพียงแต่คุณมีความสุขรึป่าวกับสิ่งที่คุณเป็น แค่นั้นเอง และที่คุณทีบอกว่า ผมเขินที่จะต้องไปเรียกรถแท็กซี่ พี่จะให้ดูพี่เป็นตัวอย่าง พี่ต้องบอกยามให้เรียกรถแท็กซี่ให้ในทุกวันที่พี่มาจัดรายการ เพื่อนพี่ทุกคน ดีเจเผือก ดีเจต้นหอม มีรถกันหมด ส่วนพี่เดินข้ามถนนไปเรียกรถหน้าตึกแกรมมี่กลับบ้าน แต่พี่ก็รู้สึกว่าพี่ไม่ได้จะเขินอะไรนะ เพราะนั่นมันคือวิถีที่เราเลือกแล้ว พี่ก็มีความสุขกับสิ่งที่พี่เลือกแบบนี้ เพราะงั้นถ้าคุณทีเลือกที่จะเก็บเงิน ซึ่งมันก็เป็นวิธีที่ดีต่อชีวิตคุณทีด้วย คุณทีต้องไม่ทำให้อะไรเหล่านี้มาทำให้เราแบบไขว้เขว เพราะสิ่งที่คุณทีคิดและทำมาตลอด เรื่องที่เลือกจะเก็บเงิน ต้องภูมิใจในตัวเองมากๆเลยนะ ตอนที่พี่อายุเท่าคุณทีเงินในบัญชีพี่ติดลบ แต่คุณทีมีเงินเยอะขนาดนี้ แล้วทำไมปล่อยให้เรื่องแค่ว่า เราไม่มีรถ เราต้องไปเรียกรถแท็กซี่มากวนใจ พี่ว่าคุณทีต้องแข็งแกร่งกว่านี้ และพี่ไม่อยากให้คุณทีคิดแบบนั้น ให้เลือกว่าเรามีความสุขแบบไหนดีกว่า’ สุดท้าย “ดีเจอ้อย” ได้ให้คำปรึกษาว่า ‘ความสุขไม่ได้อยู่ที่ว่าเรามีอะไร มันอยู่ที่ว่าเรารู้สึกยังไงกับสิ่งที่เรามีมากกว่า ทุกคนมีสไตล์ และมีความสุขเป็นของตัวเอง คนอื่นถือแบรนด์เนม ถ้าคุณไม่ได้ถือแบรด์เนม ก็ไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจ คนมีเงินเยอะแยะมากมาย ที่ไม่ได้เอาเงินไปซื้อแบรนด์เนม แต่เขาอาจจะเอาเงินของเขาลงกับการท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นความสุขของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน พี่ว่ามันหมดยุคแห่งการที่บอกว่า มีรถ ถือว่าคือมีชีวิตที่ดี หรือแสดงให้เห็นว่าเพราะสถานะทางการเงินดีถึงมีรถได้ แต่พี่ไม่รู้สึกแบบนั้น เพราะฉะนั้นวันนี้ การที่คุณทีบอกว่า โดนสังคมกดดัน พี่ว่าไม่ใช่ คุณทีต่างหากที่กดดันตัวเองและเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับสังคม ทุกคนมีมาตรฐานเป็นของตัวเอง และบางทีชีวิตคนอื่นมองอยู่ไกลๆยังไงก็สวย พออยู่ด้วยอาจจะเป็นอีกแบบ พี่รู้สึกว่าสิ่งหนึ่งที่มันเกิดขึ้นคือ เราต่างหากที่กำลังด้อยค่าชีวิตของเราเองอยู่ สมมติว่าคุณทีไปไหนกับแฟน แล้วแฟนถามว่า เมื่อไหร่เราจะมีรถเหมือนกับคนอื่นเขาบ้างนะ บางคนเขามองชีวิตของคุณทีคือ ดูสิเขาได้เดินกลับบ้านกับแฟนอ่ะ เห็นมั้ยทุกคนมีมุมน่าอิจฉา และมุมที่น่าสงสารของตัวเองที่แตกต่างกันไป เรามัวแต่ไปมองมุมน่าอิจฉาของคนอื่นใหญ่โต แล้วเห็นน่าสงสารของตัวเองใหญ่กว่า ทั้งหมดอยู่ที่วิธีคิด และสังคมที่คุณทีบอกก็ไม่ใช่สังคมทั้งหมดด้วยนะ คุณทีไปเห็นในกลุ่มเพื่อนเท่านั้น แล้วก็คิดว่านี่คือสังคมในกลุ่มใหญ่ พี่คิดว่าชีวิตของคนเรามันง่ายแค่ว่า คุณมีสุขภาพที่แข็งแรงให้พอเถอะ คุณจะได้มีแรงในการหาเงิน แต่ถ้าวันนี้สุขภาพไม่แข็งแรง มีเงินแต่ต้องเอาเงินไปจ่ายค่ารักษาโรงพยาบาล ก็ไม่คุ้มกับชีวิตที่ต้องเหนื่อยมาก่อนหน้านี้ พี่ว่าความสุขของเรามันง่ายแค่นี้’เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามรับชมได้ทางใครมีปัญหาอยากโทรเข้ามาในรายการ Inbox ฝากเรื่องมาที่ Facebook Fanpage EFM STATIONรับชมรายการสดได้ทุกวันพุธ เวลา 21.00-23.00 น. ทางรายการวิทยุ EFM94 และ App Atime Fung Fin

album

0
0.8
1