
13 มี.ค. 2023
ทำความรู้จักคู่จิ้นสุดน่ารัก ที่ตกหัวใจแฟนคลับด้วยความธรรมชาติของพวกเธอ “ฟรีน-เบคกี้” พร้อมฉายาที่ใครหลายคนยังไม่รู้
นับเป็นโอกาสดีๆ ที่ทาง EFM Fandom Live ได้มีแขกรับเชิญสุดพิเศษที่เรียกได้ว่าเป็นคู่จิ้น หญิง-หญิง อันดับต้นๆ ของประเทศไทย จากซีรีส์ “ทฤษฎีสีชมพู” ฟรีน สโรชา จันทร์กิมฮะ และ เบคกี้ รีเบคก้า แพทรีเซีย อาร์มสตรองมาเยือนถึงในรายการเมื่อวันพฤหัสบดี 2 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา ความสดใสของทั้งสองคนฟุ้งกระจายเต็มห้องจัดกันไปเลย ซึ่งแน่นอนว่าความสดใสนี้ไม่ได้มีแค่ในห้องจัดเท่านั้น แต่ยังกระจายไปกระทบตากระทบใจแฟนคลับอีกหลายๆ คนที่ติดตามพวกเธออยู่ หรือแม้แต่คนที่ยังไม่ได้ติดตามพอเจอความน่ารักของพวกเธอเข้าไปรับรองได้เลยว่าโดนตกเข้าด้อมแน่นอน และนี่จึงเป็นที่มาของบ้านแฟนคลับของพวกเธอ ไม่ว่าจะเป็น บ้านฟรีน, บ้านเบค, และบ้านคู่ เริ่มกันที่แฟนคลับบ้านฟรีน ที่มาแชร์ที่มาของฉายาต่างๆ ที่เหล่าแฟนคลับเอาไว้เรียกฟรีน ไม่ว่าจะเป็น “ฟรีนจังจอมแก่น” เกิดจาก แฟนคลับถ่ายรูปให้ฟรีนเป็นตอนหันหลัง และฟรีนเอาไปลงสตอรี่ในอินสตาแกรม แล้วรูปนั้นดันเห็นแก้มของฟรีนเป็นก้อนก้อนเหมือนชินจังจอมแก่น หลังจากนั้นฟรีนก็เลยเอารูปที่เป็นชินจังจอมแก่นมาตั้งเป็นรูปโปรไฟล์ในทวิตเตอร์ และเปลี่ยนชื่อทวิตเตอร์เป็นฟรีนจังจอมแก่น ต่อด้วยอีกฉายาที่เรียกฟรีนว่า “มุแดง” ก็เกิดจากพี่ช่างแต่งหน้าที่อยู่ในกองถ่าย เวลาตบรองพื้นให้ฟรีน แก้มของน้องจะเด้ง เหมือนมุแดง ซึ่งจริงๆ แล้ว คำว่ามุแดงก็คือเพี้ยนมาจาก “หมูแดง” นั่นเอง และฉายาสุดท้ายนั่นก็คือ “ปิโย๊ะ” เกิดจากที่แฟนคลับมีไลน์โอเพ่นแชทแล้วมีฟรีนอยู่ในกลุ่มโอเพ่นแชทนี้ด้วย และฟรีนตั้งชื่อไลน์ตัวเองว่าปิโย๊ะ ซึ่งมันคือตัวการ์ตูนลูกเจี๊ยบจากเรื่อง “กุเดทามะ” นั่นเอง แต่ตอนนี้บ้านฟรีนยังไม่มีชื่อด้อม แต่จะมีชื่อเรียกกันหลายหลายแถว เช่น แฟนพี่ฟรีน, พี่ฟรีนตัวจริง, หม่าม๊า(มาจากที่ตัวการ์ตูนปิโย๊ะตามหาหม่าม๊าอยู่) นอกจากนี้ความประทับใจของแฟนคลับที่มีต่อฟรีนนั้นก็คือเรื่องของทัศนคติ โดยเวลาที่ไลฟ์ผ่านโซเชียลมีเดีย ฟรีนมักจะมีข้อคิดดีๆ มาบอกให้กับแฟนคลับอยู่เสมอ และมากันที่แฟนคลับบ้านเบคกี้ ฉายาแรกที่จะพาไปรู้จักนั่นก็คือ “น้องพุง” มาจากแฟนคลับตัดต่อหน้าน้องเบคกี้ไปใส่ในรูปเด็กน้อยที่มีพุงย้วยก้อนกลมๆ น่ารักๆ เบคกี้เลยเอาไปตั้งเป็นรูปโปรไฟล์และเปลี่ยนชื่อเป็นน้องพุง จนอัลกอริทึมของเฟสบุ๊คได้มอบเครื่องหมายสีฟ้า(เป็นการยืนยันว่านี่คือบัญชีผู้ใช้จริงสำหรับบุคคลสาธารณะ)ให้เพราะคิดว่าเป็นบัญชีของแฟนคลับ ไม่ใช่บัญชีของน้องเบคกี้ ตามมาด้วยฉายา “คิวศูนย์” มาจากการที่ใครจะเป็นแฟนฟรีนจะต้องต่อคิว ซึ่งแฟนคลับเปรียบเปรยว่าตอนนี้คิวยาวไปถึงดาวอังคารแล้ว แต่ถึงแม้จะต่อคิวยาวไปถึงดาวอังคาร คิวก็ไม่ขยับเพราะมีเบคกี้ยืนคุมที่คิวศูนย์ไม่ไปไหนเลย และฉายาสุดท้ายคือ “น้องขิง” ด้วยที่ตัวเบ็คกี้เองชอบลงรูป “ขิง” แฟนตัวจริงของฟรีนว่าพี่ฟรีนของฉันบ่อยๆ แฟนคลับจึงแซวและนำมาเรียกจนเป็นฉายา ทำให้ความประทับใจที่มีต่อตัวเบคกี้นั้นมีอย่างล้นหลาม “น้องมีสายตาที่แน่วแน่, ซื่อตรงต่อความรู้สึก ทั้งๆ ที่น้องเป็นเด็กขี้อาย แต่ด้วยสายตานั้นสามารถทำให้แฟนคลับที่หมดไฟไปแล้วกลับมาลุกขึ้นสู้ได้” แฟนคลับกล่าว และมาถึงคิวบ้านคู่ของฟรีนกับเบคกี้กันบ้าง โดยในรายการได้พูดถึงที่มาที่ไปว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แฟนคลับเล่าว่า “เกิดมาก่อนที่ซีรีส์จะออนแอร์” โดยแฟนคลับโดนน้องตกจากการที่น้องไปแคส แอบหลงรักเดอะซีรีส์ ก่อน และได้เห็นน้องสองคนเวิร์คช็อปและมีโมเมนต์น่ารักๆ ซึ่งกันและกันเลยเกิดเป็นแท็กเล็กๆ ขึ้นมาว่า “ฟรีน-เบค”ซึ่งความประทับใจที่แฟนคลับมีต่อน้องทั้งสองคนคงหนีไม่พ้นความเป็นธรรมชาติ เป็นตัวของตัวเอง และน้องทั้งสองเป็นกันเองกับแฟนคลับ เจอแบบไหนตั้งแต่ต้นปัจจุบันก็ยังคงเป็นแบบนั้นและนอกจากนี้ทางรายการเองก็ได้พูดคุยกับฟรีนและเบคกี้ ถึงเรื่องราวที่เจาะลึกลงไปถึงประเด็นต่างๆรวมถึงเปิดโมเม้นสุดคิวท์ พร้อมบทสัมภาษณ์ที่ชาวแฟนด้อมอย่างเราไม่เคยรู้มาก่อน! บอกเลยงานนี้มีฟินนนน~ช่วงสัมภาษณ์ “ฟรีน-เบค”มาที่คำถามแรกเมื่อดีเจพี่แนนเกิดสงสัย ว่าจริงๆ แล้วชื่อเล่นว่า ‘ฟรีน’ มีที่มาจากอะไร เพราะถือว่าเป็นชื่อที่แปลกใหม่มาก ฟรีนเลยให้สัมภาษณ์ว่า ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยรู้ความหมายชื่อตัวเองมาก่อน จนไปถาม Master ที่เรียนด้วย เขาจึงบอกว่าจริงๆ แล้ว ฟรีน มาจากภาษากรีก ที่ผันมาจาก Friendly จนกลายมาเป็น Freen นั่นเองค่ะ เพราะก่อนหน้านี้ตัวเองก็ชื่อว่า ฟิล์ม แต่ดันไปเหมือนพี่ข้างบ้านซะงั้น แม่ก็เลยเปลี่ยนเป็น ฟรีน แทนค่ะ ดีเจพี่ดาว ก็เลยเอ่ยปากชมว่า ดันกลายเป็นความหมายที่ดีไปด้วยเลยนะคะเนี่ย‘ First Impression ‘ จากมักเน่ขี้อายกลายเป็นสนิทสุดในกองเมื่อถามว่าทั้งคู่ตอนเจอกันครั้งแรกเป็นอย่างไรบ้าง ด้านฟรีนตอบว่า เจอกันครั้งแรกน้องไม่คุยด้วยเลยค่ะ (หัวเราะ) อาจจะเพราะน้องเป็นมักเน่ด้วยแต่สวยค่ะ แล้วเราก็เลยงงว่า อืมม แล้วเราต้องพูดภาษาอะไรด้วย ซึ่งตอนนั้นน้องก็ยังพูดไทยไม่ค่อยชัดด้วยค่ะ แต่ช่วงนั้นก็เลยทำให้เราได้กลายมาสอนภาษาไทยให้น้องไปด้วยเลยส่วนเบคกี้ ก็ตอบกลับมา ตอนเจอพี่ฟรีนครั้งแรกเลย ก็สวยค่ะ คือเราไม่รู้จะเข้าหายังไง เพราะพี่เขาหน้านิ่งแล้วดูเหมือนดุด้วย ก็เลยยังไม่กล้าเข้าหาเท่าไหร่ค่ะ แต่จุดเปลี่ยนที่ทำให้เราสนิทกัน ฟรีนและเบคกี้ก็ต่างบอกว่า จริงๆ มันเริ่มช่วงซีรีส์เรื่องแรกเลยค่ะ ที่เราแสดงเป็นเพื่อนกัน ฝน-ของขวัญ ซึ่งในเรื่องเป็นสองสาวที่ต้องอยู่ในแก๊งวิศวะ เราก็เลยมีกันอยู่สองคนค่ะ ช่วงนั้นเราเลยเริ่มสนิทกัน มีซีนน้อยก็เลย ชอบพากันไปหาอะไรกินค่ะ ซึ่งเบคกี้ก็เสริมมาว่า นั่นแหละค่ะ จุดเริ่มต้นที่ทำให้หนูติดชานมค่ะ (หัวเราะ)‘FreenBecky’ ความแตกต่างที่ลงตัวพอพูดถึงเรื่องชานม ดีเจพี่แนนก็ถามขึ้นมาว่า แล้วปกติทั้งคู่ทานหวานประมาณไหน เบคกี้ก็ตอบเลยว่า เมื่อก่อนหนูติดชานมมาก แต่ตอนนี้ก็ลดมาบ้างแล้วค่ะ วันละหนึ่งแก้วแบบนี้ ปกติหนูกินหวาน100%เลยค่ะ ส่วนพี่ฟรีนเขาก็จะกินหวาน 30% ไม่ก็ 50% ค่ะ ดีเจพี่แนนจึงเอ่ยแซวว่า หรือเพราะพี่ฟรีนจะเหลือท้องไว้เผื่อ น้ำปลาร้า น้ำยำ ด้วยรึเปล่า ฟรีนถึงกับหลุดขำ ก็อาจจะใช่ค่ะเคยลองชวนน้องแล้วแต่น้องกินเผ็ดไม่ได้ ซึ่งเวลาไปทานข้าวด้วยกัน ก็เลยต้องแยกเป็นสองรูปแบบเลยค่ะ ถ้าไปร้านซูชิก็จะรู้เลยว่าฝั่งไหนของหนูฝั่งไหนของน้องค่ะ อย่างหนูก็จะต้องยำแซลม่อน แซ่บๆ เลยค่ะ ซึ่งฟรีนและเบคกี้ก็เสริมมาว่าเดี๋ยวนี้ก็ชอบชวนกันไปร้านนวดแล้วค่ะ พี่ฟรีนเป็นคนเปิดโลกเลย (หัวเราะ)“ เปิดมุมมองความฝันในวัยเด็ก “ทั้งสองคนมีความฝันอะไรกันบ้าง ถ้าเกิดตอนนี้ยังไม่ได้ทำงานตรงนี้มาก่อน ด้านฟรีนตอบว่า จริงๆ เมื่อก่อนอยากเป็นนักเขียนค่ะ เป็นฟีลเขียนฮีลใจผู้คนอะไรแบบนี้ เพราะด้วยเป็นคนนอนหลับยากด้วย ตอนกลางคืนในหัวเลยมีคำมากมายเลยค่ะและต้องจดใส่โทรศัพท์ทุกวันเลย ไม่งั้นจะนอนไม่หลับ นี่เลยทำให้ตัวเองค้นพบด้วยว่าการเขียนก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ชอบและอยากจะทำค่ะ ตอนเด็กๆ ไม่เคยรู้เลย เพราะเราก็เรียนวิทย์-คณิตมาด้วยและก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะได้ทำอะไรหรืออยากเป็นอะไรด้วยค่ะ ณ ช่วงนั้นส่วนของเบคกี้ ความฝันในวันเด็กก็คือการได้เป็น นักร้องค่ะ เพราะชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ตอนนี้ก็ได้มีโอกาสเป็นนักแสดง และเรียนกฎหมายไปพร้อมๆ กัน ก็ค่อนข้างหนักนิดนึงค่ะ เพราะเราเรียนที่อังกฤษ และตอนนี้ก็เลยต้องเรียนแบบออนไลน์ไปด้วย แต่สนุกค่ะเพราะเราชอบด้วยทฤษฎีสีชมพู “คุณสาม - น้องม่อน” คาแรคเตอร์ที่ ‘ไกลตัว’ แต่ ‘ใกล้หัวใจ’เมื่อพูดถึงกระแสของซีรีส์ ทฤษฎีสีชมพู ที่ผลตอบรับดีเกินคาดและดังไปหลายประเทศ ด้านฟรีนและเบคกี้ ก็ต่างตอบว่า ไม่เคยคิดถึงจุดจุดนี้มาก่อน เพราะเราไม่เคยเป็นนักแสดงหลักมาก่อนด้วยคิดแค่ว่าเราจะทำได้มั้ย เพราะคาแรคเตอร์ที่ดูเป็นผู้ใหญ่ เป็นวัยทำงาน การทำการบ้านกับตัวละครก็เลยหนักมาก ทั้งแบคกราวนด์ตัวละคร และเหตุผลของตัวละครทั้งสองด้วย อย่างตัวคุณสามก็ต้องมีความโตและนิ่ง แต่จริงๆ ความรู้สึกข้างในก็อ่อนไหวมากเช่นกัน ส่วนน้องม่อนก็จะมีความขี้อ้อน แต่มีความรู้สึกที่หลากหลาย ซึ่งการเรียนรู้ของเราก็มาจากตัวแฟนคลับฟีดแบคมาด้วย เราก็จะนำมาปรับปรุงเสมอเลย ทำให้เหมือนตัวซีรีส์ก็เติบโตไปพร้อมคนดูเลยค่ะ“มุมมองความรักของ ฟรีน และ เบคกี้”- ถ้าหากชีวิตจริงของทั้งฟรีนและเบคกี้ ต้องเจออุปสรรคทางความรักเหมือนใน ทฤษฎีสีชมพู ที่ถูกกีดกันจากคนในครอบครัว ทั้งสองจะทำอย่างไรบ้างด้านฟรีนก็ตอบอย่างมั่นใจว่า ตนจะทำให้เราหาตรงกลางให้ได้และเชื่อว่าถ้าเราเชื่อในความรักและคนคนนั้น ทุกอย่างมันก็จะสามารถผ่านไปได้ส่วนเบคกี้กลับมีอีกมุมมองที่คิดว่า ถ้ามองในความเป็นจริง เรารู้สึกว่ามันจะท็อคซิกกับตัวเองจนเกินไป เราอาจจะอยู่กับอะไรแบบนี้ไม่ได้นาน เราควรที่จะออกไปหาอะไรที่ทำให้เห็นถึงคุณค่าของตน และคิดว่าถ้าส่วนตัวเรา เราคงไม่อยากไปอยู่ในความสัมพันธ์ที่ท็อคซิกแบบนั้น- แล้วเวลามีความรัก ฟรีน และ เบคกี้ เป็นอย่างไรฟรีน : หนูว่าหนูคลั่งรักอยู่น้า เพราะเราเชื่อในความรักด้วย แล้วความรักก็ทำให้เรามีพลังบวกด้วยค่ะ ถ้าคิดเปอร์เซ็นต์ก็ 90 % เลยค่ะ (หัวเราะ)เพราะความรักมันมีหลายรูปแบบด้วยค่ะ ครอบครัว แฟน เพื่อน ถ้าเรามีความรักที่ดี ก็จะส่งผลให้ชีวิตขับเคลื่อนได้ดีด้วย ก็…ความรักก็น่ารักดีค่ะเบคกี้ : คลั่งรักเหมือนกันค่ะ (หัวเราะ) เพราะความรักของเราไม่ว่าใครที่เข้ามาในชีวิตเราให้ 100%เลยค่ะ ด้วยความที่เป็น Introvert ด้วย ก็เลยจะใส่ใจกับคนที่เข้ามาในชีวิตเรามากๆ เลยค่ะ- การมอบความรักซึ่งกันและกันทุกวันนี้เราทั้งสองดูแลกันยังไง ด้านฟรีนก็ตอบมาว่า ทุกวันนี้หนูเป่าผม ม้วนผม ทำผม ให้ด้วยเลยค่ะ (หัวเราะ) แต่เบคกี้เขาจะมาดูแลเราหนักๆ เลยช่วงเราป่วยค่ะ แต่ส่วนใหญ่ชีวิตประจำวันหนูชอบเทคแคร์คนอื่นซะมากกว่าค่ะในเรื่องการให้คำปรึกษาเบคกี้ก็ตอบมาว่า ส่วนใหญ่มีอะไรก็จะปรึกษาพี่ฟรีนเลยค่ะ ด้วยความส่วนใหญ่เพื่อนเราอยู่ที่อังกฤษด้วย พี่ฟรีนก็ถือว่าเป็นพี่ที่สำคัญในชีวิตคนหนึ่งเลยค่ะและนี่นับเป็นการสัมภาษณ์ที่เปิดให้แฟนคลับได้รู้จักและรักพวกเธอทั้งสองคนมากยิ่งขึ้นไปอีก จะไม่ให้รักและผูกพันธ์ได้อย่างไร เพราะ “ทฤษฎีสีชมพู” ที่ทั้งสองคนถ่ายทอดความสัมพันธ์ที่มีต่อกันและกันออกมานั้นไม่เพียงแต่มีในจอเท่านั้น แต่ยังส่งไปถึงแฟนคลับที่อยู่นอกจอด้วย“การได้ดูซีรีส์ของทั้งคู่เหมือนได้ย้อนกลับมาดูความรักของตัวเองว่าเราผ่านอะไรกันมาบ้าง” แฟนคลับที่ได้โทรเข้ามาพูดกับทั้งสองคนกล่าวทำให้ฟรีนและเบคกี้ต่างปลื้มปริ่มใจที่ตัวเองสามารถเป็นซอฟพาวเวอร์ให้กับใครหลายๆคนได้ และสุดท้ายนี้ฟรีนและเบคกี้ก็อยากฝากไว้กับแฟนคลับทุกคนที่คอยสนับสนุนพวกเธอเสมอมาว่า… “อยากให้ทุกคนอยู่ด้วยกันในทุกวัน ไม่ว่าจะเจออะไรก็อยากผ่านไปด้วยกัน และอยากขอบคุณทุกกำลังใจและแรงซับพอร์ตที่ทำให้ฟ้าของหนูสดใสขึ้นมาก แม้ในบางวันที่มันไม่ได้ดีทุกวัน” -ฟรีน- “thank you guys,thank you for your support. I know I probably say this every single day. I hope you have bought yet but we love each so much. We appreciate you so much. we understand the language barrier and understand everything you guys put so much afford. Example like trying to communicate with us or see us or even Supposed watching line group. Anything really to really heart warming, thanks you for been such a lovely family and hope we will be together forever.” -เบคกี้-ชมไลฟ์สดย้อนหลัง







