หลอนขณะเข้าเวรกะดึก เจอตามหลอกตั้งแต่ห้องทำงานไปจนเวลาอาบน้ำ ตามไปถึงเวลานอน!

อังคารคลุมโปง RECAP

หลอนขณะเข้าเวรกะดึก เจอตามหลอกตั้งแต่ห้องทำงานไปจนเวลาอาบน้ำ ตามไปถึงเวลานอน!

14 ก.ย. 2023

            เมื่อความหลอนมาเยือนตอนเข้าเวรไม่พอ แต่ยังตามติดไปถึงห้องน้ำยันห้องนอน สุดท้ายมารู้ความจริงทีหลังถึงขั้นหลอนซ้ำหลอนซ้อน! เรื่องราวนี้จะทำให้ประสบการณ์การทำงานตอนกลางคืนระแวงมากขึ้นขนาดไหน ‘คุณคิงส์’ ได้โทรเข้ามาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (5 กันยายน 2566) พบกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ บอกเลยว่างานนี้คนทำงานกะดึกมีระแวงตามกันเป็นแถว ๆ แน่ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘วันที่เข้าเวร’

            ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับประสบการณ์ตรงที่คุณคิงส์สัมผัสด้วยตัวเอง สมัยที่เพิ่งเข้าทำงานในช่วงแรกที่หน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง ซึ่งลักษณะที่ทำงานคือเป็นตึกสี่ชั้น พอเข้าไป พี่ ๆ ในที่ทำงานก็แจ้งว่าเวลาเข้ามาทำงานต้องมีการเข้าเวรเพื่อรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง

            ด้วยความเป็นเด็กใหม่ คุณคิงส์ตื่นเต้นกับการเข้าเวรครั้งแรก คิดในใจว่าแค่เข้าเวรเฉย ๆ ก็ตื่นเต้นขนาดนี้ คงไม่มีอะไรตื่นเต้นมากกว่านี้หรอก เพราะว่าที่ทำงานก็อยู่ในกรุงเทพกลางใจเมืองพอสมควร เมื่อถึงวันเข้าเวรจริง ก็ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย แต่ด้วยความเป็นตึกสี่ชั้น คุณคิงส์จึงต้องเดินตรวจทุกชั้น สองรอบ ในครั้งแรกเริ่มตรวจตอน 1 ทุ่ม ทุกอย่างผ่านไปเรียบร้อยดี และในรอบที่สอง เริ่มตรวจตอน 4 ทุ่ม ก็นัดกับรุ่นพี่ว่าจะเริ่มเดินตรวจจากชั้นสี่ไล่ลงมา แล้วจะมาเจอกันที่ชั้นหนึ่ง

            การตรวจเป็นไปอย่างปกติ เริ่มที่ชั้นสี่ คุณคิงส์ก็ไล่ปิดไฟในแต่ละชั้นลงมา เมื่อเดินลงมาถึงชั้นสาม ที่เป็นห้องประชุมและห้องทำงาน จู่ ๆ ก็มีความรู้สึกว่าได้ยินเสียงตัวเครื่องกันไฟกระชากจากคอมพิวเตอร์ดังขึ้น ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด คุณคิงส์จึงเดินเข้าไปหาว่าห้องไหนลืมปิดคอมพิวเตอร์หรือไม่ ซึ่งที่ตึกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกระจก ส่วนประตูจะเป็นบานสวิง ขณะที่กำลังเดินเข้าไป ก็ก้มหน้าหยิบกุญแจขึ้นมา แล้วค่อย ๆ เสียบเข้าไปในช่องกุญแจ ปรากฏว่า ยังไม่ทันได้ออกแรง แต่ประตูกลับมีแรงดึงกระชากอย่างแรงเข้าไปข้างใน! ด้วยความตกใจจึงส่งเสียง “เห้ย!!!” ออกมาแล้วหันหน้ามองซ้ายมองขวา แต่ก็ไม่มีใคร และตะโกนออกไปว่า “มีใครทำงานอยู่ไหมครับ ผมเข้ามาตรวจเวรครับ” แต่ทุกอย่างกลับเงียบ.. ไม่มีเสียงตอบกลับมา!

            จากนั้นก็ค่อย ๆ เอาหน้าแนบไปกับกระจก ชำเลืองมองเข้าไปข้างใน เห็นเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ มีการกั้นห้องของระดับหัวหน้าแผนกสองห้องอยู่ข้างใน สักพักสายตามองเห็นเหมือนเป็นคนเดินผ่านวูบนึงไป! จึงตะโกนขึ้นอีกครั้งว่า “ใครครับ ใครอยู่ในห้องครับ” แต่ก็ยังเงียบไม่มีใคร คุณคิงส์ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องมืด มีเพียงแสงไฟจากข้างนอกสะท้อนเข้ามา เมื่อเดินดูรอบ ๆ ห้องปรากฎว่าไม่มีใครจริง ๆ แต่สายตาหันไปเห็นคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งเปิดอยู่ จึงปิดให้เรียบร้อย เหมือนจะไม่มีอะไรแล้วก็กำลังจะเดินออกมา แต่หางตาก็เห็นเป็นคนเดินอีกรอบ แต่รอบนี้เดินอยู่ในห้องเล็ก คุณคิงส์ยังรู้สึกไม่มั่นใจจึงตะโกนอีกครั้งว่า “มีใครทำงานอยู่ไหมครับ ถ้าไม่มีผมจะล็อคห้องแล้วนะครับ” แต่ก็ไม่มีเสียงใครตอบกลับมา

            ด้วยความสงสัย คุณคิงส์จึงเดินไปที่ห้องเล็กด้านซ้าย ปรากฏว่าห้องที่เห็นว่ามีคนเดินเข้าไป ไม่มีใครสักคน ในวินาทีนั้นสิ่งเดียวที่คิดได้คือ ควรเอาตัวเองออกจากจุดนี้! จึงรีบเดินออกมาแล้วล็อคห้องให้เรียบร้อย จากนั้นก็รีบเดินลงไปที่ชั้นสอง แต่ตอนนั้นคุณคิงส์เดินออกมาได้แค่ 3 ก้าว เสียงเขย่าประตูก็ดังขึ้น กึ้ก กึ้ก กึ้ก  กึ้ก! จากข้างในห้องที่ล็อคแล้ว คุณคิงส์หันไปอีกรอบ แว็บเดียวที่เห็นคือ คนยืนตะคุ่มอยู่! จากนั้นคุณคิงส์ก็ไม่สนอะไรแล้วรีบเดินลงมาที่ชั้นหนึ่งทันที!

            เมื่อเจอรุ่นพี่ที่รออยู่เขาก็ถามว่า “เป็นอะไรทำไมหน้าตาตื่น ๆ” คุณคิงส์กำลังจะเล่าแต่รุ่นพี่ก็ทำท่าให้หยุดแล้วพูดขึ้นว่า “กลางคืนเขาไม่ให้เล่า” จากนั้นรุ่นพี่ก็ให้แยกย้าย คุณคิงส์จึงขึ้นไปทำธุระที่ชั้นสอง ในขณะที่กำลังอาบน้ำอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงคนกำลังเดินเข้ามาในห้องน้ำ จึงตะโกนไปว่า “พี่จะมาตรวจเวรหรอครับ” แต่ก็เงียบไม่มีเสียงตอบกลับ คุณคิงส์คิดขึ้นได้ว่าการที่จะเข้ามาในห้องน้ำได้ ต้องมีเสียงประตูก่อน แต่ตอนนั้นไม่ได้ยินเสียอะไร จึงตัดสินใจยืนนิ่งอยู่สักพัก แล้วก็ถามอีกรอบ “ใครครับ” ไม่มีเสียงตอบกลับแต่มีเสียงคนกำลังทำอะไรอยู่บางอย่างที่อ่างล้างมือ คุณคิงส์คิดว่าคงไม่มีอะไรมาก จึงรีบอานน้ำต่อให้เสร็จ

            พออาบน้ำเสร็จ คุณคิงส์กำลังจะคว้าผ้าเช็ดตัว ปรากฏว่าเห็นเป็นมือสองข้างกำลังเกาะอยู่ที่ขอบประตูด้านบน ลักษณะเป็นมือเล็ก ๆ เหี่ยว ๆ ตอนนั้นคุณคิงส์ชะงักไปไม่เป็น คิดว่ารุ่นพี่รับน้องแกล้ง จึงกลั้นใจเปิดน้ำเบา ๆ แล้วค่อย ๆ เร่งระดับขึ้น จากนั้นก็สาดขึ้นไปด้านบน แล้วมือนั้นก็หายไป! คุณคิงส์รีบคว้าผ้าเช็ดตัวเปิดประตู แต่สิ่งที่เจอคือความว่างเปล่า ไม่มีคน ไม่มีเสียงเปิดประตู คุณคิงส์รู้สึกอาการไม่ค่อยดีจึงรีบกลับไปที่ห้องพักอย่างรวดเร็ว

            ระหว่างนั้นคุณคิงส์พยายามสวดมนต์ไหว้พระก่อนที่จะเดินไปส่องหน้าต่างดู มองรอบ ๆ ก็ไม่มีอะไร จึงตัดสินใจปิดไฟ แต่ไม่ทันได้หลับตาก็ได้ยินเสียงเขย่าประตูดังขึ้นอีก ทั้ง ๆ ที่ล็อคประตูเรียบร้อยแล้ว! ที่นี่ไม่มีใครสามารถเข้าได้ นอกจากคนด้านในจะเปิดออกไป คุณคิงส์จึงส่งข้อความไปถามรุ่นพี่ว่าได้เดินขึ้นมาชั้นสองหรือไม่ แต่รุ่นพี่ก็ปฏิเสธ คุณคิงส์คิดว่าคืนนี้จะสวนมนต์ชุดใหญ่ จากนั้นก็นอนหลับไป แต่ในตอนที่นอนอยู่ก็รู้สึกว่าผ้าห่มมันค่อย ๆ ไหลลงไป จากหน้าอก ไหลลงไปที่เอว จนเริ่มรู้สึกตัวชัดขึ้นแต่ไม่กล้าลืมตา คิดว่าโดนรับน้องอีกแน่นอน แต่ก็จำได้ว่าห้องมันล็อค ไม่มีใครเข้ามาได้แน่ ๆ จึงตัดสินใจรวบรวมความกล้าแล้วกระตุกผ้าห่ม แต่มันกลับมีแรงรั้งไว้! จุดนั้นคุณคิงส์ลืมตาขึ้นมาทันที ภาพที่เห็นคือ ผ้าห่มถูกยกขึ้น แล้วก็ปล่อยลงมาที่เท้า! คุณคิงส์ทิ้งทุกอย่างแล้วรีบลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว เพื่อไปขอนอนกับรุ่นพี่

            เช้าวันถัดมา คุณคิงส์ก็เล่าเหตุการณ์ให้พี่ในแผนกฟังว่าเจออะไรบ้าง พี่ ๆ ในแผนกก็มองหน้ากันด้วยความเลิ่กลั่ก แล้วถามย้ำว่า “เจอจริง ๆ หรอ” จากนั้นก็พาเดินไปดูในห้องเล็ก แล้วชี้ให้มองตรงมุมห้องเล็ก หลังตู้เอกสาร เห็นเป็นน้ำแดง น้ำเปล่า และพวงมาลัยวางอยู่ หลังจากนั้นพี่ในแผนกก็เล่าให้ฟังว่า “ก่อนหน้านี้ประมาณ 5 ปี มีคุณป้าคนนึงนั่งทำงานฝ่ายบัญชี จู่ ๆก็บ่นว่าปวดหัวมาก แล้วก็เกิดอาการวูบระหว่างทำงาน แล้วเสียชีวิตลงที่โรงพยาบาล” หลังจากเหตุการณ์นั้นพี่ ๆ ในแผนกก็มักจะเจอว่า ถ้าทำงานดึก จะเห็นคุณป้าคนนี้เดินอยู่ เหมือนยังวนเวียน ยังห่วงงานบัญชีที่ทำค้างไว้อยู่ (ค้างไว้แค่ 2 บรรทัด) คุณคิงส์ตัดสินใจพูดขึ้นว่า “พี่ ผมว่าป้าแกห่วงเรื่องงาน เรามาช่วยงานของป้าให้เสร็จดีไหมครับ” จากนั้นก็ช่วยกันรวมยอดให้เสร็จ แล้วลงปากกาสีแดงว่า ‘ปิดบัญชี’ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากทำบัญชีนั้นเสร็จคือ ขวดน้ำที่ตั้งอยู่หลังตู้เอกสารล้มลง แล้วน้ำกระเด็นมาโดนสมุดบัญชี ทำให้คิดว่าป้ารับรู้แล้ว!

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ก่อนบวช 7 วันต้องไปอยู่วัด ตกดึกนอนไม่หลับเลยไปนั่งใต้ต้นฉำฉา เมื่อกดวิดีโอคอลกับเพื่อน 3 คน ทุกคนทักเหมือนกันหมดว่ามีใครอยู่ด้วย! อยากพิสูจน์จึงเปิดแฟลชสาดขึ้นด้านบนต้นไม้ แทบช็อกกับภาพที่เห็น มีผีที่นั่งห้อยขาอยู่เต็มไปหมด!

25 พ.ค. 2023

ก่อนบวช 7 วันต้องไปอยู่วัด ตกดึกนอนไม่หลับเลยไปนั่งใต้ต้นฉำฉา เมื่อกดวิดีโอคอลกับเพื่อน 3 คน ทุกคนทักเหมือนกันหมดว่ามีใครอยู่ด้วย! อยากพิสูจน์จึงเปิดแฟลชสาดขึ้นด้านบนต้นไม้ แทบช็อกกับภาพที่เห็น มีผีที่นั่งห้อยขาอยู่เต็มไปหมด!

‘คุณอาร์ท’ สายจากทางบ้าน ได้โทรเข้ามาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (16 พฤษภาคม 2566) ว่าได้เจอเรื่องหลอนขณะที่กำลังจะบวช ให้กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ฟัง เรื่องราวของคุณอาร์ทจะเป็นอย่างไร.. ไปติดตามอ่านกันได้เลย! คุณอาร์ทเล่าว่า ตนเองนั้นกำลังจะเตรียมตัวบวชพระ สถานที่คือวัดเดิมที่เคยมาบวชเณรมาก่อน โดยต่างจังหวัดนั้นมีธรรมเนียมว่า ใครจะบวชต้องเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ออกไปไหนเพราะเป็นบุญใหญ่ คุณอาร์ทจึงต้องไปเป็นฆราวาสที่วัด 7 วัน 2 วันก่อนที่จะถึงวันบวช คุณอาร์ทก็ทำกิจวัตรประจำวันตามปกติในช่วงกลางวัน พอ 5 โมงเย็น คุณอาร์ทก็เห็นว่าหน้าเมรุมันเลอะเทอะ เพราะไม่มีใครไปทำความสะอาดเลย คุณอาร์ทจึงตัดสินใจว่าเดี๋ยวจะไปกวาดทำความสะอาดสักหน่อย และด้วยความที่คุณอาร์ทเวลาจะทำอะไรชอบฟังเพลงไปด้วย ขณะที่กวาดเลยนำหูฟังขึ้นมาฟังเพลงในยูทูป เมื่อวิดีโอจบลงมันก็จะหยุดอัตโนมัติเอง คุณอาร์ทก็เห็นว่าใกล้จะกวาดเสร็จแล้ว จึงเสียบหูฟังคาหูอย่างนั้นโดยที่ไม่ได้กดเล่นเพลง.. สักพักหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงคนกลุ่มใหญ่พูดคุยเสียงดัง แต่จับใจความไม่ได้ คุณอาร์ทจึงถอดหูฟังออก พอมองซ้ายขวาก็ไม่เห็นใคร จึงคิดว่าน่าจะเป็นคนที่บ้านอยู่ติดกับวัดแล้วมานั่งล้อมวงคุยกัน คุณอาร์ทกดเล่นเพลงอีกครั้งหนึ่งจนมันหยุดอัตโนมัติอีกครั้ง เป็นเวลาที่กวาดเสร็จพอดีจึงถอดหูฟังออก จังหวะที่ถอดหูฟังนั้นก็ได้ยินเสียงแว่วเข้ามาในหูชัดเจนว่า “เค้ามาบวชใหม่หรอ” คุณอาร์ทนึกในใจว่า “ใครมาพูดวะ” และมองไปที่กุฎิหลวงตา ก็คิดว่าหลวงตาน่าจะคุยกับคนที่มาเยี่ยม แล้วก็น่าจะถามว่ามีเด็กมาบวชใหม่หรอ เพราะปกติแล้วไม่ค่อยมีวัยรุ่นเข้ามาในวัดสักเท่าไหร่ คุณอาร์ทก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ แต่พอสังเกตดี ๆ ก็พบว่าในตอนนั้นมีแค่คุณอาร์ทและหลวงตาเท่านั้นที่อยู่ในบริเวณวัด คุณอาจก็พยายามคิดในแง่ดีตามหลักวิทยาศาสตร์ว่าน่าจะเป็นเสียงแว่วที่ลอยมาจากที่อื่น เพราะบริเวณวัดตรงนั้นก็ค่อนข้างที่จะเป็นพื้นที่โล่ง เมื่อกวาดเสร็จเรียบร้อยแล้วคุณอาร์ทจึงไปนั่งคุยกับหลวงตาที่นอนอยู่ในกุฎิ และถามว่าพรุ่งนี้มีบิณฑบาตหรือไม่ หลวงตาก็บอกว่า “มี ให้ตื่นมาตอนตีสี่นะ” คุณอาร์ทรับทราบดังนั้นแล้วจึงขอตัวไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน จนกระทั่งเวลา 2 ทุ่มครึ่ง คุณอาร์ทก็อธิบายเพิ่มว่า กุฎิข้างล่างมีลักษณะเป็นปูน ส่วนข้างบนยังสร้างไม่เสร็จ ระหว่างที่กำลังนอนอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงคนเดินไปมาอยู่รอบกุฎิ จึงคิดว่าเป็นสุนัขเพราะสุนัขที่วัดชอบขึ้นมานอนข้างบน พอจะนอนต่อ คุณอาร์ทก็นอนไม่หลับ เวลาล่วงเลยมาจนถึงตี 2 จึงลุกมากินน้ำและคิดว่าไหน ๆ ก็นอนไม่หลับแล้ว งั้นไม่นอนเลยก็แล้วกัน เพราะอีก 2 ชั่วโมงก็ต้องตื่นแล้ว เมื่อมองออกไปข้างนอก ก็เห็นว่าอากาศดีมากเพราะช่วงค่ำมีฝนตก จึงเดินออกไปนั่งสูดอากาศอยู่ที่กลางวัด โดยไปนั่งที่โต๊ะไม้หินอ่อนใต้ต้นฉำฉาต้นใหญ่ และไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี จึงกดโทรวิดีโอคอลหาเพื่อน ๆ เมื่อคุยกันไปได้สักพักหนึ่งเพื่อนก็ทักขึ้นมาว่า “อาร์ท มึงเอาใครมานอนที่วัดด้วยรึเปล่าวะ” คุณอาร์ทจึงตอบไปว่า “เฮ้ย กูมานอนคนเดียว ที่วัดเค้าไม่ให้เอาใครเข้ามาด้วย” เพื่อนก็เลยถามต่อว่า “มึงอย่ามาหลอกกู แล้วใครยืนอยู่ข้างหลังมึงอ่ะ” คุณอาร์ทก็บอกไปว่า “มึงอย่ามาตลก กูไม่เล่นนะนี่ในวัดในวา” เพื่อนก็พูดอีกว่า “เอ้า อาร์ทคนเดิมหายไปไหนละวะ คนที่ชอบท้าทายอ่ะ แหมจะบวชซะหน่อยทำเป็นคนดีหรอ” และเพื่อนก็ยังพูดไม่หยุดว่า “น่ะมาอีกคนแล้วน่ะ เอาเพื่อนแถวบ้านเข้ามานอนในวัดด้วยหรอ” จากนั้นก็กดตัดสายไปเลย คุณอาร์ทนึกว่าเพื่อนแกล้ง จึงโทรไปอีกหลาย ๆ รอบ แต่เพื่อนคนนี้ก็กดตัดสายตลอด และส่งเป็นข้อความว่า “เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้า เข้าไปที่บ้านมึงเดี๋ยวเล่าให้ฟัง” คุณอาร์ทจึงตัดสินใจโทรไปหาเพื่อนคนที่สอง ซึ่งเพื่อนคนนี้ก็ทักเหมือนเพื่อนคนแรกเลยว่า “มึงเอาใครมานอนด้วยเนี่ย มึงไปให้เค้ายืนอยู่ข้างหลังทำไมน่ะ เดี๋ยวก็โดนยุงกัดตายหรอก” คนอาร์ทจึงพูดไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “มึงอย่ามาพูดบ้า ๆ อย่างนี้นะ ในวัดในวากลางค่ำกลางคืน กูกลัวจริง ๆ นะ” จากนั้นเพื่อนคนนั้นก็กดวางสายไป ด้วยความที่เริ่มกลัว คุณอาร์ทจึงโทรหาเพื่อนอีกคนให้อยู่เป็นเพื่อน แต่เพื่อนคนที่สามก็พูดทำนองเดียวกันเหมือนกับเพื่อนสองคนแรก คุณอาร์ทได้ยินอย่างนั้น ก็กดตัดสายไป เมื่อหันไปมองรอบ ๆ ก็ไม่เห็นมีใคร แต่จู่ ๆ ก็มีความคิดหนึ่งแว๊บเข้ามาในหัวว่า “กูนั่งอยู่ใต้ต้นไม้นี่หว่า” จากนั้นก็เปิดแฟลชโทรศัพท์แล้วฉายขึ้นไปบนต้นไม้ทันที ปรากฏว่าสิ่งที่คุณอาร์ทเห็นคือ คนนั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งไม้อยู่ประมาณสี่ห้าคนแกว่งขาเล่นไปมา! มองลงมายังคุณอาร์ทตาแข็งแทบไม่กระพริบ และมีเสียงคนแก่พูดว่า “มาบวชใหม่หรอ ขอบุญมั่งดิ” คุณอาร์ทถึงกับช็อคไปชั่วครู่ แล้วก็มีเสียงอีกเสียงหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องกลัวไม่ได้มาทำอะไร” สิ้นเสียงนั้นคุณอาร์ทถึงกับต้องวิ่งหน้าตั้งไปยังกุฏิหลวงตา ตะโกนเรียกหลวงตาว่า “ผีหลอก! ผีหลอก!” อยู่อย่างนั้น แต่หลวงตาก็ไม่ยอมตื่น ทำให้คุณอาร์ทต้องนั่งหน้ากุฏิหลวงตาจนเช้า และเมื่อได้เล่าเรื่องราวทุกอย่างให้กับหลวงตาฟัง หลวงตาก็บอกว่าเป็นปกติอยู่แล้วที่พระใหม่จะมีคนมาขอส่วนบุญ แล้ววันวันบวชก็มาถึง เมื่อใกล้เสร็จพิธี คุณอาร์ทกำลังจะก้มลงกราบที่หน้าพระพุทธรูป ซึ่งหน้าต่างของอุโบสถก็ตรงกับกิ่งของต้นฉำฉาพอดี คุณอาร์ทจึงหันไปมองแล้วก็เห็นเป็นวิญญาณกลุ่มเดิมมาในรูปร่างที่ดูเป็นคนปกติ ใส่ชุดทำบุญ แต่ไม่ใส่รองเท้า และนั่งพนมมืออยู่บนกิ่งต้นไม้นั้น พร้อมกับหันมาทางคุณอาร์ทด้วยสีหน้าที่ดูอิ่มอกอิ่มใจ จังหวะนั้นคุณอาร์ทถึงกับขนลุกขึ้นมาทันที แต่ด้วยความที่เป็นพระเต็มตัวแล้วคุณอาร์ทจึงไม่ได้กลัวมากเท่าไหร่ และได้อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล แผ่เมตตาไปให้กับวิญญาณเหล่านั้น เมื่อก้มกราบจนครบ 3 ครั้งแล้ว เงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็ไม่เห็นวิญญาณเหล่านั้นแล้ว! ต่อมาคุณอาร์ทก็ได้ออกไปหาเพื่อน ๆ ที่นอกวัดและสอบถามถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า “มึงเจอกับอะไร ให้เล่ามาตรง ๆ ได้เลย” เพื่อนคนแรกก็เล่าว่า “เห็นคนมาจับไหล่มึง และชะโงกหน้ามายิ้มข้าง ๆ แก้มมึงแล้วก็เดินออกไป และคนที่สองก็เดินเข้ามายิ้มให้กล้อง แล้วก็เดินออกไปอีก” เพื่อนคนที่สองก็เล่าเสริมว่าเขาเห็นเป็นเด็กวิ่งเล่นกันอยู่ด้านหลัง แล้วก็มีผู้ใหญ่คนหนึ่งมีผ้าขาวม้าพาดเอวเดินเข้ามามองที่กล้อง แล้วก็ลุกออกไป และสุดท้ายเพื่อนคนที่สามก็เล่าว่าเห็นเป็นผู้ชายสองคน เดินกันมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ เดินผ่านกล้องไปสักพัก ก็เดินย้อนกลับมาและชะโงกหน้าเข้ามาในกล้องจนหน้าแทบจะติดกับคุณอาร์ท! และพอถึงวันสึก คุณอาร์ทยังฝันอีกด้วยว่าตัวเองนั้นได้ไปกวาดใบไม้ตรงเมรุ แล้วมีคนเดินมาพูดด้วยว่า “จะสึกแล้วหรอ ทำไมรีบสึกไวจัง น่าจะอยู่ให้นาน ๆ กว่านี้ เนี่ยตัวจะจับสีผ้าเหลืองอยู่แล้วน่ะ” (ความหมายคือถ้าบวชนาน สีตัวก็จะเข้ากับผ้าเหลืองอยู่แล้ว ทำไมถึงรีบสึก) ซึ่งในฝันคุณอาร์ทก็ได้แต่ยืนยิ้มให้ ไม่ได้พูดอะไรต่อแล้วก็ได้สะดุ้งตื่นขึ้นมา หลังจากผ่านเรื่องราวทั้งหมดมาได้ก็ทำให้คุณอาร์ทที่เมื่อก่อนเคยเป็นคนที่เกเร ชอบท้าทาย ก็กลายเป็นคนที่เรียบร้อย อยู่ในร่องในรอยมากยิ่งขึ้น(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากแจ็ค The Ghost Radio 'ภพ สื่อ คดีดัง' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [21 ม.ค. 2568]

26 ม.ค. 2025

เรื่องเล่าจากแจ็ค The Ghost Radio 'ภพ สื่อ คดีดัง' I อังคารคลุมโปง X แจ็ค The Ghost Radio [21 ม.ค. 2568]

เมื่อความหึงหวงนำมาซึ่งคดีฆาตกรรมอำพรางสุดหลอน! ‘แจ็ค The Ghost Radio’ ได้นำเรื่อง ‘ภพ สื่อ คดีดัง’ เรื่องเล่าของ ‘คุณต้นอ้อ’ จากรายการ ‘The Ghost Radio’ มาเล่าในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’(21 มกราคม 2568) ร่วมฟังเรื่องราวลึกลับของการตามหาร่างไร้วิญญาณที่ไม่ว่าหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ ถ้าพร้อมแล้ว ไปอ่านกันเลย! ย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว คุณต้นอ้อได้รับการติดต่อจากครอบครัวหนึ่ง โดยได้รับแจ้งว่าลูกสาวหายตัวไปและลูกเขยได้ผูกคอตายไปแล้ว ซึ่งลูกสาวนั้นได้หายตัวไปและไม่สามารถติดต่อได้ตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม วันถัดมา ทางครอบครัวก็ได้พยายามติดต่อลูกสาวอีกครั้ง และในวันที่ 13 มีนาคม ได้มีข้อความจากลูกเขยส่งมาว่า “ผมแค้น เขาทำผมเจ็บมาก ขอโทษนะแม่” หลังจากเห็นข้อความ คุณพ่อและคุณแม่ก็ตกใจมาก จึงรีบเดินทางไปที่บ้านของลูกเขย เมื่อมาถึงก็เจอกับหลานสาวอายุ 2 ขวบ ที่นั่งเล่นอยู่บริเวณบ้าน จากนั้นคุณแม่ก็เดินไปดูรอบ ๆ บ้าน แล้วก็ต้องตกใจกรี๊ดออกมา เมื่อเห็นศพของลูกเขยที่ผูกคอตายอยู่ในห้องน้ำ แต่กลับไม่พบตัวลูกสาว คุณแม่จึงคิดว่าลูกสาวของตนนั้นไม่ปลอดภัย เพราะลูกสาวเคยทะเลาะกับลูกเขยอย่างรุนแรงหลายครั้งจนหนีไปแล้วตกบ่อน้ำ คุณพ่อกับคุณแม่จึงไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและกู้ภัยในบริเวณนั้น เพื่อตามหาลูกสาวและเข้ามาตรวจสอบศพของลูกเขย เมื่อเจ้าหน้าที่และกู้ภัยมาถึงก็ได้ทำการปูพรมหาตัวลูกสาวทันที กระทั่งวันที่ 15 มีนาคม ก็ยังไม่ทราบข่าว คุณพ่อและคุณแม่จึงร้องเรื่องไปยังทีมกู้ภัยของจังหวัดที่มีเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์พร้อมกว่า รวมทั้งมีนักประดาน้ำมาช่วยทำการค้นหา ซึ่งบริเวณนั้น ทางด้านหน้าจะเป็นบ้านของลูกเขยและลูกสาว ด้านหลังเป็นบ้านของพ่อแม่ลูกเขย ส่วนข้าง ๆ จะเป็นไร่ข้าวโพดและไร่อ้อยขนาดใหญ่ มีบ่อน้ำ 4 บ่อ เป็นบ่อน้ำปิดที่มีขนาดใหญ่ มีทั้งจอกแหน และกิ่งไม้อยู่เต็มบ่อ เจ้าหน้าที่ทำการค้นหาตลอดทั้งวันแต่ก็ยังไม่พบอะไร จนถึงวันที่ 16 มีนาคม คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจติดต่อไปที่คุณต้นอ้อเพื่อขอให้รับเคสนี้และช่วยตามหาลูกสาวของตน เมื่อคุณต้นอ้อได้รับข้อมูลทั้งหมดจากครอบครัวก็ดำเนินการวางแผนกับทีมงานเผื่อช่วยเหลือทันที เนื่องจากสถานที่มีขนาดใหญ่จึงไม่สามารถใช้กำลังคนในการค้นหาอย่างเดียวได้ จำเป็นต้องพึ่งเทคโนโลยี คุณต้นอ้อจึงได้ติดต่อไปที่สำนักข่าวที่มีโดรนจับความร้อนเพื่อนำมาช่วยค้นหา ทางด้านสำนักข่าวตอบตกลงและยินดีให้ความช่วยเหลือ ในช่วงเย็นของวันนั้นนักข่าวที่สนิทกับคุณต้นอ้อ (ซึ่งเรียกคุณต้นอ้อว่า แม่) ได้บอกกับคุณต้นอ้อว่า “แม่ หนูรู้สึกยังไงไม่รู้ มันเคว้ง ๆ หวิว ๆ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเคสนี้มันยังไง เดี๋ยวหนูจะเอาพระ เอาท้าวเวสสุวรรณไปด้วย” คุณต้นอ้อจึงตอบว่า “เอาไป มีอะไรเอาไปให้หมดเลย เพื่อความสบายใจ คืนนี้ก็นอนให้เต็มที่ พรุ่งนี้เจอกัน” และทุกครั้งก่อนที่คุณต้นอ้อจะรับเคส จะมีการปรึกษากับอาจารย์ที่นับถือและรู้จักกัน คุณต้นอ้อจึงส่งรูปของผู้หญิงคนนี้ให้กับอาจารย์ และถามอาจารย์ว่า “คนนี้ยังมีชีวิตอยู่มั้ยคะ หายตัวไปค่ะ” อาจารย์ตอบกลับมาว่า “ทำไมผมเห็นเป็นศพ” คุณต้นอ้อจึงถามต่อ “ศพอยู่บริเวณไหนคะ ในป่าหรือในน้ำคะ” อาจารย์ตอบว่า “เดี๋ยวนะ เดี๋ยวขอชื่อวันเดือนปีเกิดมาให้หน่อย ให้เวลาผมเข้าห้องพระแปปนึง” แต่ยังไม่ทันที่อาจารย์จะเข้าห้องพระก็ตอบกลับมาก่อนว่า “ทำไมผมเห็นเป็นผู้ชายพาตัวเข้าไปในป่า” จากนั้นคุณต้นอ้อก็ส่งชื่อและนามสกุลไป ระหว่างที่คุณต้นอ้อจะส่งวันเดือนปีเดินไปให้นั้น อาจารย์ก็ส่งข้อความกลับมาว่า “คุณต้นอ้อ ส่งใครมาให้ผม ทำไมมีผีผู้ชายตายโหงทับร่างผู้หญิงอยู่ เป็นผีผู้ชายลิ้นจุกปาก” แต่ ณ ตอนนั้นเรื่องนี้ยังไม่เป็นข่าวที่ไหน และไม่มีใครรู้ข้อมูลของเคสนี้นอกจากคนที่อยู่ในบริเวณนั้น นอกจากนี้อาจารย์ยังบอกอีกว่า “ก่อนไป พกเท้าเวสสุวรรณติดตัวไปด้วยนะ เพราะพลังอาฆาตแรงมาก” คุณต้นอ้อตอบรับ และอาจารย์ยังบอกต่อว่า “กรณีนี้อาฆาตแรงมาก หัวกับตัวอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ยังไม่เห็นว่าอยู่บริเวณไหน ผู้ชายเป็นคนจังหวัดนี้หรือเปล่า เพราะผีผู้ชายเฮี้ยนมาก” และผู้ชายคนนี้ยังพยายามสื่อกับอาจารย์อีกว่า “ถ้ามึงอยากตาย มึงก็ลองดู” วันที่ 17 มีนาคม คุณต้นอ้อเดินทางไปที่จุดเกิดเหตุเพื่อพบกับคุณพ่อคุณแม่ที่ได้แจ้งเรื่องมา เมื่อถึง คุณต้นอ้อก็พาคุณพ่อคุณแม่ไปที่บ้านที่เกิดเหตุ ตรงไปที่หน้าห้องน้ำเพื่อจุดธูปขอขมา ว่าไม่ได้มีเจตนาทำร้ายใครแต่มาเพื่อช่วยปลดทุกข์ และขอให้เจอลูกสาวที่หายไป ระหว่างนั้นคุณต้นอ้อได้เดินสำรวจเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม ในเวลา 5 โมงเย็น นักข่าวก็ส่งโดรนจับความร้อนมา หลังจากเตรียมอุปกรณ์เสร็จ โดรนก็ขึ้นในช่วงที่ฟ้ามืดพอดี เพราะยิ่งมืดเท่าไหร่โดรนก็สามารถตรวจจับความร้อนได้ดีขึ้น เมื่อส่งโดรนขึ้นไปผ่านไร่ข้าวโพดและไร่อ้อย ตั้งแต่ช่วงค่ำจนถึงประมาณ 4 ทุ่ม ก็ตรวจจับได้เพียงแค่ความร้อนจากซากสัตว์เท่านั้น เจ้าหน้าที่จึงยุติการค้นหา ในคืนนั้น คุณต้นอ้อเลือกนอนโรงแรมในอำเภอกับน้องนักข่าวอีก 2 คน ซึ่งเป็นโรงแรมไม้ 1 ห้องนอนมี 2 ชั้น คุณต้นอ้อเลือกนอนชั้น 2 และด้านล่างไม่มีใครอยู่ พื้นห้องเป็นไม้ที่สามารถมองผ่านช่องระหว่างไม้ไปเห็นข้างล่างได้ คุณต้นอ้อพยายามสะกดจิตตัวเองว่าจะไม่มองไปที่ช่องนั้น และนำของศักดิ์สิทธิที่พกมาด้วยออกมาว่างเรียงไว้ คุณต้นอ้อทำแบบนี้เพราะรู้สึกกลัวผู้ชาย หลังจากนั้นก็สลับกันไปอาบน้ำ เมื่อคุณต้นอ้ออาบน้ำเสร็จ ตาก็เหลือบไปมองช่องไม้ และเห็นคนเดินผ่านไปข้างล่าง ซึ่งข้างล่างไม่มีคนอยู่ แต่คุณต้นอ้อก็ไม่ได้พูดอะไรและเข้านอนทันที ในตอนที่คุณต้นอ้อหลับไปนั้น คุณต้นอ้อได้ฝันว่า ตนนั้นอยู่ในบ้านที่เกิดเหตุและกำลังเดินหาน้องผู้หญิง ในตอนที่กำลังหาอยู่นั้น น้องผู้หญิงก็กำลังยืนมองคุณต้นอ้อหาตัวเองอยู่ เมื่อตื่นขึ้นคุณต้นอ้อก็เล่าเรื่องที่ฝันให้กับน้องนักข่าวฟัง วันที่ 18 มีนาคม คุณต้นอ้อและทีมพร้อมตำรวจได้ทำการตรวจสอบหลักฐานที่รวบรวมได้ พบรอยคราบเลือด และ GPS ของรถยนต์พบว่าขับอยู่รอบ ๆ บริเวณนั้น ซึ่งยังไม่ได้ข้อมูลที่สำคัญมากนัก คุณต้นอ้อจึงกลับมาสถานที่เกิดเหตุอีกครั้ง ระหว่างนั้นมีข้อความจากอาจารย์ว่า “ให้คุณพ่อของฝ่ายหญิงไปจุดธูปไหว้อีกครั้ง แต่อยากให้อโหสิกรรมให้ฝ่ายชาย ให้อโหสิกรรมแบบจริงใจ” ตอนนั้นคุณต้นอ้อจึงนึกได้ว่า ในวันแรกที่มีการขอขมาคุณพ่อนั้นยังมีความรู้สึกโกรธที่ลูกสาวของตนหายไป และคิดว่าลูกเขยนั้นเป็นคนทำร้ายลูกของตน คุณต้นอ้อจึงบอกผ่านทางคุณแม่ คุณพ่อก็รับฟังและทำตาม ระหว่างที่จุดธูปอยู่นั้นคุณต้นอ้อได้สังเกตเห็นว่าคุณพ่อร้องไห้และกล่าวอโหสิกรรมขอให้เจอลูกสาว หลังจากคุณพ่อปักธูปเสร็จคุณต้นอ้อก็เดินไปรอบ ๆ บริเวณบ้านพร้อมกับไลฟ์สดไปด้วย และเมื่อเดินไปก็สังเกตเห็นว่ามีการจุดกองไฟที่เยอะมากผิดปกติ จึงเรียกทีมงานมาตรวจสอบ กองแรกอยู่บริเวณใกล้น้ำ ทีมงานตรวจสอบดูและพบกับเสื้อผ้าชุดชั้นในที่โดนเผา และเจอเข้ากับกระดูกชิ้นเล็ก ๆ แต่ยังไม่ทราบว่าเป็นกระดูกคนหรือสัตว์ จึงให้ทีมงานเก็บหลักฐานไว้ กองที่สองพบเครื่องประดับและโทรศัพท์มือถือที่โดนเผา พร้อมกับเศษกระดูกแต่ยังไม่ทราบว่าเป็นกระดูกอะไรหรือส่วนไหน และถัดไปอีกไม่ไกล พบกองไฟอีกหนึ่งกอง เป็นกองที่ใหญ่ที่สุด เมื่อได้ตรวจสอบ ก็พบกระดูกชิ้นใหญ่ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นกระดูกข้อมือ หรือข้อขา แต่ยังไม่ทราบแน่ชัด จำเป็นต้องรอนิติเวชมายืนยัน คุณต้นอ้อยังคงเดินตรวจสอบบริเวณนั้นจนถึงเย็นสุดท้ายก็ไม่ได้หลักฐานอะไรเพิ่มเติม จึงแยกย้ายกันกลับ คุณต้นอ้อเดินทางกลับมาที่โรงแรม ด้วยความเหนื่อยล้าจึงหลับไป และในคืนนั้นคุณต้นอ้อก็ได้ฝันถึงเรื่องเดิมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ต่างออกไป ในฝันคุณต้นอ้อได้พูดว่า “พี่มาช่วย ถ้าอยากให้พี่เจอ ส่งสัญญาณให้พี่หน่อย บอกหน่อยว่าหนูอยู่ไหน” หลังจากนั้นอาจารย์ก็ได้ส่งข้อความมาบอกว่า มองไม่เห็นผู้ชายแล้ว เช้าวันที่ 19 มีนาคม คุณต้นอ้อกลับไปที่เกิดอีกครั้งและได้เดินไปตามกองไฟอื่น ๆ ก็พบกระดูกมากขึ้น ทุก ๆ กองนั้นมีกระดูกที่โดนเผา ระหว่างนั้นคุณต้นอ้อก็เดินไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง เพราะเห็นว่าต้นไม้ต้นนี้ด้านบนเหี่ยวเฉา และกองไฟด้านล่างตรงกับรอยบนต้นไม้พอดี ซึ่งการที่ไฟสามารถลุกไปถึงข้างบนต้นไม้ได้นั้นต้องมีเชื้อเพลิงมาจากยางรถยนต์ และนอกจากนี้ก็ยังพบเศษยางรถยนต์ตกอยู่บริเวณบริเวณนั้นด้วย คุณต้นอ้อจึงเรียกเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ และสันนิษฐานได้ว่าเป็นการเผานั่งยาง ซึ่งอาจจะมีการแยกชิ้นส่วนตามจำนวนกองไฟที่พบ เพราะกระดูกที่พบมีลักษณะไหม้เกรียมที่เกิดจากการเผาด้วยยาง คุณต้นอ้อได้เดินไปดูบริเวณรอบๆ อีกครั้งเพื่อตามหายางรถยนต์ และมีหนึ่งสิ่งที่จะต้องหลงเหลือแน่นอน คือ ลวดหรือใยเหล็ก ที่โดนเผาไฟแล้วไม่ไหม้ ในขณะที่กำลังเดินหา คุณต้นอ้อคิดในใจว่า “หนู ตอนนี้พี่เหนื่อย พ่อแม่เหนื่อย เจ้าหน้าที่ทุกคนเหนื่อย ถ้าอยากให้พี่เจอ ช่วยบอกหรือส่งสัญญาณมาหน่อยว่า หนูอยู่ตรงไหน” ระหว่างนั้นคุณต้นอ้อที่กำลังไลฟ์สดอยู่ก็เดินมาถึงขอบบ่อและแพนกล้องไปที่พื้น ได้พบกับขดลวดใยเหล็กกองอยู่ด้านข้างบ่อ ติดกับต้นกล้วยแห้งๆ สันนิษฐานได้ว่า หลังจากผู้ชายเผาร่างเสร็จ ก็พยายามเอาใยเหล็กที่ไม่โดนเผาโยนลงน้ำ แต่ไม่ได้สังเกตว่าใยเหล็กนั้นลงไปในน้ำหรือเปล่า เพราะได้สืบทราบมาจากทางแม่ของฝ่ายชายว่า ฝ่ายชายได้ไปซื้อยางรถยนต์ แต่ไม่รู้ว่าซื้อไปทำอะไร และขดลวดที่คุณต้นอ้อพบวางอยู่บนใบตองของต้นกล้วยที่ล้มลงไปในน้ำ คุณต้นอ้อเห็นดังนั้นก็รีบตะโกนบอกทีมงานว่าเจอใยเหล็กแล้ว เจ้าหน้าที่ได้นำใยเหล็กไปตรวจสอบหลังจากนั้นทุกคนจึงลงความเห็นกันว่าร่างของน้องผู้หญิงอยู่ในบ่อนี้ ซึ่งเป็นบ่อเดียวกับที่เจ้าหน้าที่เคยดำน้ำลงไปหาแต่หาเท่าไหร่ก็ไม่พบอะไร เจ้าหน้าที่ลงความเห็นว่าต้องลงไปในบ่ออีกครั้งจึงติดต่อนักประดาน้ำของจังหวัดเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่นักประดาน้ำก็มาถึงและลงไปในบ่อ แต่ก็ยังไม่พบอะไรอยู่ดี ทางด้านคุณต้นอ้อนั้นได้สังเกตเห็นต้นกล้วยที่ล้มลงมีลักษณะคล้ายถูกตัดตรงปลายกล้วยนั้นลงไปในบ่อน้ำ ซึ่งผิดธรรมชาติและขดลวดอยู่ตรงบริเวณนั้นพอดี คุณต้นอ้อจึงให้เอาต้นกล้วยออกไปและให้นักประดาน้ำค้นหาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นนักประดาน้ำได้ดำลงไปและขึ้นมาพร้อมกับส่วนบนของลำตัวที่ไม่มีหัว สาเหตุที่นักประดาน้ำหาไม่เจอเพราะโดนต้นกล้วยกด เมื่อนำขึ้นมา กลิ่นไหม้ก็ตลบอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ ส่วนคุณพ่อ คุณแม่และญาติเมื่อทราบว่าเจอร่างแล้ว ก็อยากให้หาส่วนหัวให้เจอ แต่เจ้าหน้าที่พยายามเท่าไหร่ก็หาไม่เจอจึงสิ้นสุดการค้นหาในวันนั้น ผ่านไป 1-2 วัน ได้มีการนำเครื่องดูดน้ำมาเพื่อดูดน้ำออกจากบ่อซึ่งใช้เวลาอยู่หลายวัน จนเจอส่วนหัวในที่สุดและเป็นบ่อเดียวกันกับที่เจอส่วนของลำตัวและส่วนต่างๆ เมื่อย้อนกลับไปก็ตรงตามที่อาจารย์บอกว่า ถ้าเจอศพหัวกับตัวอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน พี่แจ็คทิ้งท้ายว่า เคสนี้เกิดจากความหึงหวงอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นโศกนาฏกรรมที่น่าเศร้า(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณนุ๊ก ‘กรรมอดีตชาติ’ l อังคารคลุมโปง X เจน The Ghost [ 29 ก.ค.2568 ]

07 ส.ค. 2025

เรื่องเล่าจากคุณนุ๊ก ‘กรรมอดีตชาติ’ l อังคารคลุมโปง X เจน The Ghost [ 29 ก.ค.2568 ]

เรื่องนี้ถูกถ่ายทอดโดย ‘คุณนุ๊ก’ สายแรกที่โทรเข้ามาเล่าเรื่องราวความผูกพันธ์ของคนในตระกูลมั่งมีมากล้นไปด้วยสมบัติ แต่กลับต้องสร้างสงครามประสาทเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งกันเอง ก่อเกิดเป็นบ่วงกรรมที่โยงทั้งอดีตและปัจจุบันเข้าไว้ด้วยกันอย่างไม่น่าเชื่อ! เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X’ (29 กรกฎาคม 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘กรรมอดีตชาติ’ โดย ‘คุณนุ๊ก’ ได้เล่าไว้ว่า นี่เป็นประสบการณ์ที่ดูให้ลูกดวงชื่อ ‘ปลา (นามสมมติ)’ วันหนึ่งคุณปลาติดต่อมาดูดวงครั้งแรก เขาได้ให้ ชื่อ-นามสกุลและเบอร์โทรเรียบร้อย เมื่อเริ่มการเปิดไพ่ดูดวงก็เห็นว่ามีกรรมในอดีตเกี่ยวกับเรื่องการเงินและการงานที่ติดขัด ดูไปเรื่อย ๆ ก็ได้รู้ว่ากรรมในครั้งนั้น เขาไม่ได้ทำกรรมเองโดยตรงแต่เป็นเพราะคนรักหรือสามี เรื่องราวของคุณปลาในอดีตมาอยู่ว่า เดิมทีเขาเป็นผู้หญิง เป็นลูกของคนที่ทำอาชีพค้าขาย และได้ไปแต่งงานกับสามีซึ่งเป็นขุนนางในตระกูลหนึ่ง เนื่องจากสามีเกิดในตระกูลใหญ่ทำให้มีเรื่องทรัพย์สมบัติให้ปวดหัว สามีนั้นอยากได้มรดกสัดส่วนมากกว่าคนอื่น จึงวางแผนแย่งชิงสมบัติมา โดยให้คุณปลาเป็นหมากในเกม ขณะนั้นเองคุณปลาก็รักสามีมาก รวมถึงค่านิยมในสมัยนั้นด้วย คุณปลาจึงยอมทำทุกอย่าง สิ่งที่คุณปลาต้องทำคือการทำให้น้องสะใภ้แท้งบุตรเพื่อลดส่วนแบ่งในสมบัติ สุดท้ายน้องสะใภ้ก็เสียลูกไปจริง ๆ เหตุการณ์นี้ทำให้น้องเขยกลายเป็นคนบ้าเสียสติ นอกจากนี้คุณปลายังทำอีกสารพัดวิธีจนไปถึงการก่อสงครามประสาทในความสัมพันธ์พี่น้องกันเอง กรรมในอดีตประมาณนี้ส่งผลให้ในปัจจุบัน คุณปลาต้องระมัดระวังเรื่องทรัพย์สิน เช่น ระวังโดนโกง เป็นต้น นอกจากนี้คุณปลายังถามต่อว่า “สามีในอดีตชาติ มาเกิดหรือยังคะ ?” เมื่อเปิดไพ่ออกมาก็บอกว่า ‘เกิดแล้ว’ สามีในอดีตชาติก็คือสามีคนปัจจุบัน เมื่อคุณปลาได้รู้ก็ตกใจและเงียบไปสักพัก และเล่าเรื่องในปัจจุบันว่า สามีเป็นลูกพ่อค้า-แม่ค้า ปัญหาที่เจอในทุกวันนี้คือสามีโดนโกงสมบัติ เนื่องจากพ่อของสามีไปมีภรรยาใหม่ แม่เลี้ยงจึงทำทุกอย่างเพื่อที่จะเอาสมบัติของสามีไป รวมทั้งยังสร้างสงครามประสาทปั่นหัวคนในครอบครัวอีกด้วย นั่นทำให้ทั้งคุณปลาและสามีก็มีประปัญหากระทบกระทั่งกับแม่เลี้ยงตลอด คุณนุ๊กได้บอกวิธีบรรเทากรรมให้โดยการไปทำบุญ-ขอขมาที่วัด ซึ่งเป็นวัดประจำตระกูลของสามีในอดีต พอเอ่ยชื่อตระกูลออกไป สิ่งที่น่าตกใจคือตระกูลดังกล่าวเป็นตระกูลของแม่สามีในปัจจุบัน ที่ทิ้งไปตั้งแต่ยังเด็ก แถมมีกรรมที่เหมือนกันอย่างไม่น่าเชื่อ วิธีการบรรเทากรรมลงต้องเริ่มจากการสำนึกผิด อาจจะคำนึงถึงความผิดพลาดในปัจจุบันที่ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรให้สำนึกไว้ว่าเราเคยทำในอดีตมาก่อน และไปวัดประจำตระกูลที่แนะนำเพื่อขอขมาด้วยความรู้สึกผิดต่อหน้าพระใหญ่ ทำบุญ ทำทาน และที่สำคัญต้องมีสติตั้งรับกับสิ่งที่เจอและต้องเข้าใจกฎแห่งกรรม สุดท้ายแล้ว ทั้งคุณปลาและสามีในปัจจุบัน ก็เป็นคู่ชีวิตที่สร้างกรรมด้วยกันในอดีต แม่เลี้ยงก็คือน้องสะใภ้ที่ตกลูกไป ส่วนวิญญาณของน้องเขยยังคงวนเวียนอยู่ไม่ไปไหน ลัยังรอขออโหสิกรรมจากคุณปลาและสามีอยู่..เขียน: กัญญาพร จันทร์ลอยเรียบเรียง: วันทนีย์ ไชยชาติภาพ: กิตติพงษ์ นาคทอง(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณอ้อยใจ ’คืนก่อนวันเเสดง‘ I อังคารคลุมโปง X ใหม่ รอเรน [ 18 มิ.ย. 2567]

23 มิ.ย. 2024

เรื่องเล่าจากคุณอ้อยใจ ’คืนก่อนวันเเสดง‘ I อังคารคลุมโปง X ใหม่ รอเรน [ 18 มิ.ย. 2567]

เมื่อต้องขอยืมสถานที่จากทางมหาลัยเพื่อซ้อมทำกิจกรรม แต่อาจจะไม่ได้จุดธูปขอเจ้าของที่จริงๆ จนทำให้เจ้าของที่ต้องมาแสดงตัวให้เห็น! เรื่องราวนี้ ’อ้อยใจ’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (18 มิถุนายน 2567) ขนหัวลุกไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเคเบิ้ล’ กับเรื่องราวทีมีชื่อว่า ‘คืนก่อนวันแสดง’ จะหลอนขนาดไหนนั้น ไปอ่านกันเลย! อ้อยใจเล่าว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงปี 2 ที่มีกิจกรรมรับน้องมหาลัย ซึ่งจะให้แต่ละคณะมาแข่งกัน โดยให้เหล่าตัวแม่แต่ละคณะคิดโชว์เพื่อมาแข่งกัน แต่คณะของอ้อยใจมีเวลาซ้อมกัน 2 วัน จึงตกลงกันว่าจะไปซ้อมที่ตึกคณะ ซึ่งตึกคณะเป็นตึกแฝดคู่กัน ตรงกลางจะเป็นที่โล่ง และที่สำคัญ ตึกนี้จะมีข้อห้ามว่าห้ามอยู่ถึงตอนกลางคืน.. ย้อนกลับมาวันที่ซ้อม ทุกคนนัดกันตอน 6 โมงเย็น ซ้อมจนถึง 2 ทุ่ม ตอนนั้นสายตาของอ้อยใจเหลือบขึ้นไปทางฝั่งขวาของตึกคณะ ซึ่งชั้น 2 ตึกนั้นจะเป็นห้องเก็บหุ่นและห้องเก็บโครงกระดูกเป็นงานประติมากรรมของรุ่นพี่ และสิ่งที่อ้อยใจเห็นคือ เหมือนมีคนยืมมองซ้อมเต้นอยู่.. ในใจก็คิดว่าอาจจะเป็นหุ่น แต่คนที่มองอยู่เขาเดินไปและก็เดินกลับ อ้อยใจพยายามไม่คิดอะไร และกลับไปตั้งใจซ้อมการแสดงต่อ หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็พักกินข้าว ตอนนั้นอ้อยใจก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเพื่อน และระหว่างที่พัก ก็มีเพื่อนพูดขึ้นมาว่า “เดี๋ยวเราจะย้ายตึกซ้อมกันนะ เพราะยุงเยอะ” จากนั้น ทุกคนก็ย้ายตึกซ้อมไปที่ตึกเรียนอีกตึก พอถึงตรงนั้นสิ่งเเรกที่อ้อยใจรู้สึกคือ มีลมพัดปึ้งเข้ามาที่หน้า! อ้อยใจจึงหันไปมองเพื่อนอีกคนที่มีเซนส์ ชื่อว่า ‘ยัยเมาท์’ (นามสมมติ) หลังจากหันไปมองหน้า ยัยเมาท์ก็หันมาพยักหน้าให้อ้อยใจเหมือนจะรู้กันว่ามีอะไรบางอย่าง แต่ทั้งสองก็ยังไม่ได้บอกเพื่อน ซึ่งในเหตุการณ์นั้นมีเหล่าตัวแม่ทั้งหมด 30 กว่าชีวิต ทุกคนโดนลมปะทะหน้ากันหมด แต่ก็คิดว่าเป็นลมธรรมชาติ เย็นสบาย จากนั้นก็ซ้อมกันต่อ ระหว่างนั้นอ้อยใจและยัยเมาท์ก็ถือกระเป๋ามาวางไว้ที่โต๊ะใต้ตึก อยู่ ๆ ยัยเมาท์ก็หันมาทางอ้อยใจแล้วก็นิ่ง พอถามก็ไม่ตอบ จากนั้นก็หันไปทางข้างหลังตึกแล้วก็นิ่งอีก และหันมาทางอ้อยใจอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้มองที่อ้อนใจแล้ว แต่มองผ่านอ้อยใจไป ซึ่งข้างหลังไม่มีอะไรนอกจากร้านถ่ายเอกสาร ตอนนั้นอ้อยใจจึงเอะใจว่าทำไมยัยเมาท์นิ่ง และน้ำตาคลอ แต่เพื่อนก็ไม่เล่าอะไร และบอกว่า “มันไม่มีอะไรหรอก” แล้วก็ซ้อมกันปกติ จนเวลาประมาณตี 3 ระหว่างที่ซ้อมถึงเพลงท่อนที่อ้อยใจต้องเต้น อยู่ ๆ เพลงก็ดับ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะบางทีแบตเตอรี่ของลำโพงอาจจะหมด มารอบสอง เปิดเพลงเดิม ท่อนเดิม เพลงก็ดับอีก ครั้งนี้ก็เอะใจ แต่ก็ซ้อมกันต่อจนมารอบที่ 3 รอบสุดท้าย เพลงก็ยังดับท่อนเดิมที่อ้อยใจต้องเต้น คราวนี้ รุ่นพี่ปี 3 ก็เรียกน้องทุกคน 30 ชีวิตมารวมตัว แล้วยัยเมาท์ก็เฉลยว่า.. ตอนที่หันไปที่ตึกแล้วหยุดนิ่ง คือเห็นผีหลายตน ยืนล้อมเรียงกัน ไม่ใช่แค่สิบ แต่เป็นร้อยตน ส่วนตอนที่หันมาหาอ้อยใจแล้วนิ่งก็เห็นอีกประมาณ 30-40 ตน ตรงร้านถ่ายเอกสารและยืนดูพวกเราอยู่ เท่านั้นยังไม่พอ ยัยเมาท์ยังเล่าต่อว่า ทุกคครั้งที่หันไปมองและหันกลับมา พวกผีทุกตนจะเดินเข้ามาทีละก้าวเสมอ จนสุดท้ายก็ไม่หันอีก เพราะอยู่ขอบตึกแล้ว ถ้าหันไปคงจะมาถึงแน่ ๆ หลังจากได้ยินที่ยัยเมาท์เล่า รุ่นพี่ปี3 ก็เริ่มนำสวด โดยเอาบทสวดจากทางอินเตอร์เน็ต ทุกคนก็สวดแล้วหลับตา ปกติแล้วถ้าหลับตาเราจะยังเห็นแสงวูบวาบของหน้าจอมือถือได้ สิ่งที่อ้อยใจสัมผัสได้คือ เหมือนมีคนเดินผ่านไปผ่านมาตลอดเวลา จึงรีบสวดมนต์ ขอขมา จนสุดท้ายก็หายไปหมด จึงคิดว่าทุกอย่างจบแล้ว และซ้อมกันต่อจนถึง 6 โมงเช้า และไปเรียนตามปกติ มาถึงวันที่ต้องแสดงในโรงยิม วันนี้ดูเหมือนคนดูเยอะมากกว่าปกติ และเสียงก็ดังกระหึ่มมากกว่าที่ควรจะเป็น อยู่ ๆ อ้อยใจที่กำลังเต้นอยู่ พอลืมตาขึ้นไปก็เห็นเป็นเงาคนเยอะมากจนนับไม่ได้ เป็นเงานับ ร้อยกว่าตนลุกขึ้นยืนและส่งเสียงดังมากล้อมรอบพวกเราอยู่ และสุดท้ายก็เต้นจนจบ พอย้อนคิดกลับไปก็คิดออกว่าสิ่งที่ทำผิดพลาดไปในตอนนั้น คือ ที่มหาวิทยาลัยของคุณอ้อยใจมีความเชื่อว่า ไม่ว่าจะทำกิจกรรมใหญ่หรือเล็ก ก็ควรที่จะจุดธูปไหว้ทุกครั้ง แล้ววันนั้นทุกคนไม่มีใครจุดธูปไหว้กันเลย..(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1