ไปตั้งแคมป์กับเพื่อน งานนี้โดนหลอกตลอดทั้งคืน!

อังคารคลุมโปง RECAP

ไปตั้งแคมป์กับเพื่อน งานนี้โดนหลอกตลอดทั้งคืน!

28 เม.ย. 2023

     สายตั้งแคมป์รับรองมีขนหัวลุก เพราะสายจาก ‘คุณชิ’ ที่โทรเข้ามาในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (28 มีนาคม 2566) ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองให้กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเคเบิ้ล’ ฟัง ถึงการพบเจอเจ้าถิ่น.. ถ้าเป็นคนคงจะดีกว่านี้ แต่นี่กลับเป็นสิ่งลี้ลับที่เกินจะคาดเดา! 

     คุณชิเล่าว่า ตัวเองเป็นสายแคมป์ปิ้งและวางแพลนกับเพื่อน ๆ ว่าจะไปเที่ยวจังหวัดทางภาคเหนือกัน ซึ่งตนเองนั้นชอบไปแคมป์ปิ้งในป่าลึกหรือพื้นที่ที่ยังไม่เปิดให้เที่ยว และจะให้คนในพื้นที่เป็นคนนำทาง การไปแคมป์ปิ้งในครั้งนี้ คุณชิและผู้ร่วมเดินทางอีกประมาณ 10 คน ได้ไปยังดอยแห่งหนึ่ง ที่นี่เป็นภูเขาที่มีความสวยงามและยังเป็นจุดชมวิวซากุระของเมืองไทยอีกด้วย แต่จุดที่คุณชิจะตั้งแคมป์เป็นยอดดอยอีกด้านหนึ่งของภูเขา ซึ่งต้องเดินเท้าขึ้นไปอีกประมาณ 3 - 4 ชั่วโมง ซึ่งวันที่คุณชิติดต่อกับคนในพื้นที่ให้มาช่วยนำทาง เขาดันติดธุระ จึงให้ลูกชายของเขาที่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ขึ้นมาช่วยนำทางให้แทน

     เมื่อคณะเดินทางของคุณชิมาถึงจุดตั้งแคมป์จุดแรกซึ่งเป็นยอดดอยที่มองเห็นความสวยงามของทัศนียภาพได้ 360 องศา มีเจดีย์สองยอดซึ่งเป็นจุดชมวิวชื่อดังของภาคเหนือตั้งอยู่บนยอดดอยฝั่งตรงข้าม ด้านซ้ายเป็นทางเดินที่ชิดริมขอบหน้าผาซึ่งเป็นไหล่เขาลงไป ส่วนด้านขวามือเป็นเหมือนดงป่าไม้ทึบ ทั้งหมดจึงตกลงกันว่าจะตั้งแคมป์กันที่ตรงนี้ ถึงแม้ว่าจะมีพื้นที่ไม่ได้กว้างขวางมากมายเท่าไหร่นัก คณะเดินทางเริ่มผูกเต็นท์จับจองที่นอนของตัวเอง โดยเต็นท์สามหลังแรกผูกเรียงกันตรงทางเดินและหันหัวที่นอนไปทางด้านหน้าผา ส่วนที่เหลืออีกสี่เต็นท์จะผูกติดกันตรงกลางเป็นระนาบไปตามแนวของดงป่าทึบ ซึ่งในทริปนี้ มีน้องคนหนึ่งขอผูกเปลนอนกับต้นไม้ใหญ่ ซึ่ง ณ ตอนนั้นน้องที่เป็นคนนำทางก็ขอตัวกลับลงไปยังหมู่บ้านทันทีโดยไม่ได้อยู่ค้างคืนด้วย

     ในช่วงเย็นหลังจากที่ทุกคนจัดของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว จู่ ๆ น้องผู้หญิงคนหนึ่งในคณะมีอาการแปลก ๆ ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายกับพื้นพร้อมกับร้องไห้ คุณชิเห็นดังนั้นจึงคิดว่าสถานการณ์ไม่ดีแน่ และด้วยความที่เป็นสายมูเตลูจึงนำสร้อยพระเวสสุวรรณของตัวเองนำไปคล้องคอให้กับน้องคนนั้น หลังจากนั้นน้องคนนั้นก็หายจากอาการดิ้นแต่ก็ยังคงร้องไห้อยู่ คุณชิจึงนึกถึงน้ำมนต์ แต่ในตอนนั้นไม่มีใครมีน้ำมนต์ติดตัวมาเลย จึงนำน้ำขวดเทใส่แก้วพร้มอกับสวดคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า แล้วให้น้องคนนั้นจิบน้ำ เมื่อจิบน้ำไปสักพัก น้องก็กลับมาเป็นตัวของตัวเองและได้เล่าว่าระหว่างที่กำลังผูกเต็นท์ที่หันหน้าไปทางด้านหน้าผา เขาได้ยินเสียงเด็กเรียกชื่อเขา และเผลอขานรับ หลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย 

     คุณชิเล่าต่ออีกว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ตนเองจึงนึกย้อนไปว่าก่อนที่จะขึ้นมาบนยอดดอยนี้ คุณชิได้รับข้อมูลมาว่ามีศาลแห่งหนึ่ง ลักษณะเป็นพระธาตุ ที่ชาวบ้านสักการะอยู่บนยอดดอยนี้ด้วย จึงคิดว่าต้องไปไหว้สักการะขอเจ้าที่เจ้าทางก่อน ซึ่งระยะทางระหว่างแคมป์และศาลนั้นอยู่ที่ 300 เมตร แต่คณะเดินทางกลับใช้เวลาเกือบถึงครึ่งชั่วโมงในการไปศาล ราวกับว่ายิ่งเดินเท่าไหร่ยิ่งไปไม่ถึงสักที คุณชิจึงตั้งจิตอธิษฐานว่าลูกช้างกับคณะเดินทางนี้ เราเข้ามาในพื้นที่เพื่อมาพักผ่อนไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้ามาทำลายธรรมชาติ ดังนั้นด้วยเจตนานี้จึงขอให้ลูกช้างและคณะได้เดินทางไปสักการะด้วยเถิด ต่อมาหลังจากนั้นทั้ง 10 คนเดินไปได้อีกสักระยะหนึ่ง ใช้เวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้นก็เจอกับศาลที่ว่า เมื่อสักการะบอกเจ้าที่เจ้าทางเรียบร้อยแล้วมีลมวูบหนึ่งพัดมาเป็นลมเย็น ๆ คุณชิจึงคิดว่านี่ถือเป็นการตอบรับในทางที่ดี   

     เมื่อทั้งคณะกลับมายังจุดตั้งแคมป์ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้ม จึงได้ตระเตรียมทำอาหารเย็นกัน โดยคุณชิเชื่อว่าทุกคนที่เดินป่าย่อมมีความเชื่อ ว่าอาหารที่เป็นคำแรก หรืออาหารที่พึ่งปรุงใหม่ จะต้องแบ่งมาส่วนหนึ่งเพื่อบวงสรวงหรือเซ่นไหว้ให้กับเจ้าที่เจ้าทาง ในขณะที่ทุกคนกำลังกินชาบูและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน คุณชิจึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาและได้ทักท้วงทุกคนไป ซึ่งปรากฏว่าทุกคนต่างพากันลืมหมด คุณชิจึงได้นำอาหารที่ปรุงใหม่ตักใส่ถ้วยเพื่อเตรียมนำไปเซ่นไหว้ แต่ดันพลาดนำน้ำชาบูที่อยู่ในหม้อกลางที่ทุกคนกินไปแล้ว ตักราดลงไปในถ้วยด้วย แล้วนำไปตั้งอยู่บนทางเดินที่เป็นทางสามแพร่ง ซึ่งเจตนาของคุณชิในตอนนั้นคือไม่ได้ต้องการลบหลู่แต่อย่างใด และในวันนั้นก็เป็นคืนเดือนหงาย แต่ปรากฏว่าหลังจากที่เซ่นไหว้อาหารเรียบร้อยแล้วทั้งป่ากลับเงียบสนิทไม่มีแม้แต่เสียงลมหรือแมลงเลย คืนนั้นจึงไม่มีใครกล้าดื่มสิ่งของมึนเมาหรือสังสรรค์ใด ๆ ต่อ ทุกคนตัดสินใจเข้านอนประมาณ 3 - 4 ทุ่มท่ามกลางอากาศบนยอดดอยที่เย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ

     คุณชิไม่รู้ตัวว่าเผลอหลับไปนานแค่ไหน รู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียง “ฮืออ…ชิ นอนด้วย..หนาวว~ ขอเข้าไปด้วย” ซึ่งเสียงเย็น ๆ น่าขนลุกนั้นดังมาจากปลายเท้าของคุณชิที่หันประตูเต็นท์ไปทางดงไม้ทึบ ซึ่งปกติแล้วเวลาไปตั้งแคมป์ ทุกคนจะไม่ให้ไฟตรงกลางมอด แต่คืนนั้นไฟกลับมอดลงเร็วมาก และจังหวะที่เสียงนั้นใกล้เข้ามา คุณชิจึงเปิดไฟภายในเต็นท์โดยมีน้องที่นอนข้าง ๆ กำมือคุณชิแน่นอย่างหวาดระแวง และเมื่อคุณชิได้ส่องไฟไปยังปลายเต็นท์ ปรากฏว่าตรงผ้าใบที่ประตูเต็นท์เหมือนมีคนแนบหน้าเข้ามา! ด้วยความที่ลักษณะเต็นท์มันถูกกางให้ตึง จึงเห็นว่าเป็นลักษณะหน้าคน! ทั้งสองคนเห็นดังนั้นถึงกับนอนตัวแข็งกันเลยทีเดียว แต่ยิ่งไปกว่านั้นซิปที่ประตูเต็นท์มันกลับถูกรูดขึ้นมาด้วย!! ซี้บบบบบ…เสียงซิปที่ถูกรูดดังก้องในโสตประสาทของคนที่อยู่ในเต็นท์ และภาพที่เห็นตรงหน้าคือคนที่โผล่เข้ามา.. กลับกลายเป็นน้องคนที่ผูกเปลนอน!! คุณชิถึงกับโล่งใจเพราะกลัวจนแทบจิตหลุด สุดท้ายแล้วจึงได้ข้อสรุปว่าด้วยความที่ตอนนั้นอากาศข้างนอกค่อนข้างที่จะหนาวมาก จนทำให้น้องคนนั้นปากสั่นจนพูดไม่เป็นคำ ทำให้คุณชิได้ยินเสียงอันน่าสะพรึงแบบนั้น 

     หลังจากนั้นทั้งสามคนจึงนอนเบียดกันเพื่อแบ่งปันไออุ่นภายในเต็นท์ แต่แล้ว.. ก็เหมือนมีลมแรงพัดขึ้นมากระทบกับผ้าใบของเต็นท์จนสั่นกระพือเสียงดังพรึ่บๆๆ คุณชิกลัวว่ากระทบเสียงดังขนาดนี้ผ้าใบเต็นท์จะขาด แต่พอเปิดเต็นท์ออกมาดู ปรากฏว่าไม่มีลมเลย ข้างนอกอากาศนิ่งมาก แล้วเสียงที่คุณชิได้ยินเมื่อสักครู่มันคืออะไร? จากนั้น จังหวะที่คุณชิหันมายังจุดตรงกลางแคมป์ ก็ได้เห็นน้องร่วมทริปคนหนึ่งนั่งกอดตัวเองพร้อมกับคลุมผ้าห่มอยู่เงียบ ๆ ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาตี4 แล้วจึงถามน้องคนนั้นว่าทำไมยังไม่เข้าไปนอน แต่น้องกลับตอบมาเพียงคำเดียวว่า “ผมนอนไม่ได้พี่” คุณชิกับน้องร่วมเต็นท์อีกสองคนจึงมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อาจจะเกี่ยวข้องกับเต็นท์ของน้องที่นอนหันหัวไปทางหน้าผาหรือเปล่า จึงมารวมตัวกันผิงไฟ เพราะไหนๆก็จะเช้าแล้ว ต่อมาอีกสักพักกลุ่มน้องผู้หญิงจากอีกเต็นท์หนึ่งก็พากันเดินออกมา คุณชิเห็นว่าท่าทีแปลกๆ จึงเปิดประเด็นด้วยคำถามที่ว่า “มีใครอยากจะเล่าอะไรไหม” 

     น้องผู้ชายคนแรกที่ออกมานั่งตรงกลางแคมป์ได้เล่าว่า “ได้ยินเสียงคนเดินไปมาอยู่บนหัวเต็นท์” แต่หัวเต็นท์ตรงนั้นอีกประมาณ 2 เมตรเป็นหน้าผา จึงคิดว่าคนในคณะไม่น่าจะไปเดินตรงนั้นได้ แถมยังมีการเขย่าเต็นท์ด้วย

     ส่วนน้องผู้หญิงอีกกลุ่มหนึ่งก็เล่าว่าได้ยินเสียงของน้องคนที่ผูกเปลมาเรียกให้ไปส่งเข้าห้องน้ำ ซึ่งในขนะนั้นน้องคนที่ผูกเปลได้เข้ามานอนในเต็นท์คุณชิเรียบร้อยแล้ว แถมน้องคนที่ผูกเปลก็เป็นผู้ชายด้วย จะมาเรียกน้องผู้หญิงให้ไปส่งเข้าห้องน้ำได้อย่างไร

     นอกเหนือจากนั้นแล้ว น้องผู้หญิงอีกคนก็ได้ยินเสียงคนผิวปากเบา ๆ เป็นเพลงแว่วมาจากข้างหลังดงไม้ทึบ ทุกคนสัมผัสได้ถึงสิ่งลี้ลับรอบตัวและทนไม่ไหว จึงพากันออกจากเต็นท์ คุณชิที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจึงตัดสินใจเดินไปยังจุดที่เอาอาหารไปเซ่นไหว้ ปรากฏว่ามันถูกคว่ำอยู่และมีอาหารกระจัดกระจาย เหมือนมีใครมารุมทึ้งรุมกินกันอย่างตะกละตะกลาม

     เมื่อแสงแดดรำไรในเวลา 6 โมงเช้า ทุกคนจึงรีบเก็บเต็นท์กันเร็วกว่าปกติเพื่อจะเดินทางกลับลงไปยังตีนภูเขา ระหว่างเก็บเต็นท์คุณชิก็ได้เจอกับคำตอบของเหตุการณ์ทั้งหมดว่า “หลังดงไม้ทึบที่ไปตั้งเต็นท์รายล้อมไปด้วยหลุมศพ” ที่มีป้ายเขียนด้วยภาษาอะไรสักอย่างไว้ รวมไปถึงเข้าใจแล้วว่าทำไมเด็กวัยรุ่นคนที่นำทางถึงรีบส่งพวกเขาแล้วรีบกลับลงไปทันที

     หลังจากนั้น ทุกคนก็เดินกลับลงมาอย่างปลอดภัย และพากันไปยังจุดจอดรถซึ่งเป็นวัดที่อยู่ตีนเขา พร้อมกับได้พบหลวงพ่อที่ประจำอยู่ ณ วัดแห่งนี้ ท่านทักขึ้นมาทันทีว่า “เมื่อคืนไปทำอะไรกันมา ขึ้นไปตั้งแคมป์ข้างบนแล้วลืมให้อาหารเซ่นไหว้เขาใช่ไหม” ทั้งคณะได้ยินดังนั้นถึงกับสะดุ้งตกใจ คุณชิจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระท่านฟัง หลวงพ่อจึงบอกว่า “การที่เราได้ยินเสียงต่าง ๆ แสดงว่าเขาอยากให้รู้ว่าที่พื้นที่ตรงนั้นเป็นที่ของเขา” และน้องคนที่โดนเขย่าเต็นท์ก็สารภาพว่าตัวเองได้ปัสสาวะข้าง ๆ เต็นท์ ซึ่งน่าจะเป็นบริเวณหลุมศพของเขาพอดี เขาเลยไม่พอใจ

     หลังจากนั้นทุกคนก็ได้ทำบุญและถวายสังฆทานให้ แต่โดยทั่วไปเท่าที่คุณชิจำได้ เวลาที่พระท่านให้พรท่านจะเอาตาลปัตรบังหน้าเสมอ แต่ครั้งนี้จังหวะที่พระท่านสวดในครั้งสุดท้าย ท่านกลับยกตาลปัตรออกมาแล้วทำท่าพัดออกไปด้านหน้าหนึ่งทีแรง ๆ และพูดกับทางคณะว่า “กลับกรุงเทพได้แล้วนะไม่มีอะไรตามแล้ว” ทุกคนได้ยินดังนั้นต่างขนลุกไปตาม ๆ กัน

     เรื่องนี้ทำให้คุณชิระแวงเป็นอย่างมาก จึงต้องตรวจเช็คด้านสายมูเตลู หรือทุกความเชื่อว่าจะไม่มีสิ่งไหนตามมาให้แน่ชัด และยังต้องเช็คความเป็นมาของสถานที่ ที่จะไปให้ถี่ถ้วนทุกครั้งจะได้ไม่พบเจอกับเหตุการณ์หลอนทั้งแคมป์แบบนี้อีก

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

ไปพักโรงแรมต่างจังหวัดแล้วเจอเด็กมาเขย่าที่ขาแถมยังหัวเราะคิกคัก! พอบอกให้ไป พ่อเด็กกลับบอกว่า “นี่ก็ห้องผมเหมือนกัน” กลับถึงบ้านก็เจอตามมาอีก! พยายามสวดมนต์ให้ แต่เด็กกลับบอกว่า “พี่พูดอะไร หนูไม่เข้าใจ พี่จะให้หนูไปจากพ่อหรอ หนูไม่ยอมหรอกนะ”

26 มิ.ย. 2023

ไปพักโรงแรมต่างจังหวัดแล้วเจอเด็กมาเขย่าที่ขาแถมยังหัวเราะคิกคัก! พอบอกให้ไป พ่อเด็กกลับบอกว่า “นี่ก็ห้องผมเหมือนกัน” กลับถึงบ้านก็เจอตามมาอีก! พยายามสวดมนต์ให้ แต่เด็กกลับบอกว่า “พี่พูดอะไร หนูไม่เข้าใจ พี่จะให้หนูไปจากพ่อหรอ หนูไม่ยอมหรอกนะ”

บลู ขวัญ และ โดนัท จากวง ‘INDIGO’ กลับมาเยือน ‘อังคารคลุมโปง X’ (20 มิถุนายน 2566) อีกครั้ง พร้อมกับเรื่องหลอนสุนัขพร้อมหอนเช่นเคย จน ‘ดีเจเคเบิ้ล’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ นั่งไม่ติดเก้าอี้ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘สองพ่อลูก’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านพร้อมกันเลย! คุณขวัญเล่าว่าเรื่องนี้เริ่มจากการที่วง INDIGO ได้ไปทัวร์คอนเสิร์ตที่ต่างหวัดในภาคอีสาน เวลาประมาณ 4 โมงเย็นก็ถึงโรงแรม แต่โรงแรมยังจัดเตรียมห้องพักไม่เสร็จดี มีเพียงบลู โดนัท และนักดนตรีแบคอัพอีก 1 คน ที่จะได้เข้าห้องพักก่อน ‘เหียะ’ ผู้จัดการวงจึงชวนคุณขวัญไปไหว้พระรอ เมื่อไปถึงที่วัด ก็เข้าไปไหว้พระตามปกติ ขณะที่จุดธูปอยู่นั้น เมฆครึ้มฝนห่าใหญ่ก็ตั้งเค้ามา ทั้งสองคนจึงรีบไหว้เพราะกลัวจะเปียกฝน เนื่องจากที่ตรงนั้นเป็นลานกว้าง เมื่อไหว้เสร็จ ในใจคุณขวัญตอนนั้นอยากจะเดินเข้าไปดูว่าวัดกำลังจะสร้างอะไร ระหว่างทางเดินเข้าไป ก็มีคนงานก่อสร้าง และคุณขวัญก็สังเกตเห็นหลุม แต่ไม่ได้คิดอะไร จึงเดินผ่านไป พอเดินกลับออกมา ก็เห็นคุณป้าท่านหนึ่งยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ คุณขวัญจึงเล่าเพิ่มเติมว่า แม่ของเหียะบวชเป็นแม่ชีอยู่ ท่านก็จะสอนให้หยาดน้ำ ซึ่งจะคล้าย ๆ กับการกรวดน้ำที่ต้องนั่งกรวด แต่หยาดน้ำสามารถทำได้ตลอดเวลา เช่น ใช้น้ำอะไรก็ได้ หรือหากเห็นใครฉีดน้ำ หรือแม้กระทั่งฝนตก ก็สามารถแผ่เมตตาไปให้สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวได้ ซึ่งปกติแล้ว คุณขวัญจะไม่หยาดน้ำที่วัดเลย เพราะบางทีไม่มีน้ำหยาด จะกลับไปหยาดที่ห้องแทน เมื่อเห็นคุณป้าท่านนั้นรดน้ำต้นไม้ คุณขวัญก็คิดว่างั้นหยาดน้ำเลยดีกว่า ไม่นานฝนก็ตกลงมา คุณขวัญที่ยังท่องบทแผ่เมตตายังไม่จบ จึงคิดว่าจะกลับไปสวดที่ห้องต่อ เวลาประมาณ 6 โมงเย็น ก็มาถึงโรงแรม คุณขวัญรู้สึกเหนื่อยมาก จึงนอนพักผ่อน จากนั้นก็ฝันว่า ที่ปลายเตียงมีเด็กมาเล่นที่ขา แถมยังส่งเสียงหัวเราะคิกคักอีกด้วย คุณขวัญตื่นขึ้นมา ก็เห็นเป็นเด็กใส่แพมเพิร์ส หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ข้าง ๆ ก็มีผู้ชายคนนึงใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว เล่นกับลูกอยู่โดยที่ไม่ได้สนใจคุณขวัญเลย ตอนนั้นคุณขวัญรู้สึกสับสนว่านี่คือความฝันหรือความจริง จากนั้นเด็กคนนั้นก็กระโดดมานั่งทับที่เข่าคุณขวัญ! ทำให้คุณขวัญสะดุ้งตื่นขึ้นมาจริง ๆ ไม่นานก็ได้ยินเสียงคุณเหียะเคาะประตู คุณขวัญก็เล่าความฝันที่เจอให้ฟัง แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ พอคุณเหียะเดินออกจากห้องไป คุณขวัญก็ตั้งใจจะนอนต่อ แล้วก็ฝันเห็นเหมือนเดิมทุกอย่าง คุณขวัญก็ถามไปว่า “มาทำอะไร นี่ห้องขวัญนะ” ผู้ชายเสื้อเชิ้ตขาวคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า “นี่ก็ห้องผมเหมือนกัน” จากนั้นก็กลับไปเล่นกับลูกต่อเหมือนเดิม คุณขวัญเล่าว่าหลังจากนั้นก็เดินไปเข้าห้องน้ำ พอกลับออกมา ก็ยังเห็นสองพ่อลูกอยู่ที่เดิม จึงพูดขึ้นอีกว่า “ออกไป จะนอนแล้ว นี่ห้องขวัญ” เขาก็ตอบกลับมาว่า “ก็บอกแล้วไง นี่ก็ห้องผมเหมือนกัน” ทั้งคู่ก็มองหน้ากันสักครู่ ไม่นานคุณขวัญก็สะดุ้งตื่นอีกครั้ง หลังจากตื่นขึ้นมา คุณขวัญก็รีบเปลี่ยนชุดลงไปวิ่งออกกำลังกายข้างนอก เพื่อให้ตัวเองเลิกคิดฟุ้งซ่าน ระหว่างเดินลงมาก็ส่งข้อความหาคุณเหียะว่า “โดนแล้วว่ะ ไม่รู้ว่าฝัน หรือของที่โรงแรม หรือตามมาจากวัด” จากนั้นก็ออกวิ่งไปตามสถานที่ต่าง ๆ รอบ ๆ โรงแรม หลังจากวิ่งเสร็จก็ทำใจอยู่นานกว่าคุณขวัญจะกล้าขึ้นห้อง พอเปิดประตูห้องเข้าไป ก็พยายามบอกตัวเองว่านั่นคือความฝัน จากนั้นก็ข่มตาให้หลับไป ทุกอย่างดูเป็นปกติ กระทั่งกลับมาถึงบ้านที่กรุงเทพฯ ในวันหนึ่ง ขณะที่ขับรถกลับมาที่บ้าน ก็เห็นผู้ชายคนนึงยืนจับมือเด็กอยู่ที่หน้าบ้าน โดยหันมองไปที่บ้านของคุณขวัญ คุณขวัญอึ้งไปสักพัก แล้วก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่อนุญาตให้ใครเข้าบ้าน!” จากนั้นก็ถอยรถเข้าบ้าน จังหวะที่ถอยรถเข้ามานั้น คุณขวัญก็มองเห็นสองพ่อลูกนั้นอย่างชัดเจน! นั่นยิ่งทำให้คุณขวัญทำตัวไม่ถูกและไม่กล้าที่จะลงจากรถ จึงเสิร์ชหาวิธีจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งก็แนะนำให้สวดมนต์ คุณขวัญสวดบทอิติปิโส แต่เขาก็ไม่ไป คุณขวัญจึงตั้งชื่อให้สองพ่อลูกนั้นว่า ‘พี่ศักดิ์’ กับ ‘น้องน้ำหวาน’ และบอกไปว่า “ถ้าอยากได้อะไร ให้มาบอกขวัญ ขวัญไม่รู้ว่าพี่เป็นใครมาจากไหน พรุ่งนี้จะไปทำบุญให้” พูดจบก็เปิดประตูลงจากรถเข้าบ้านไป คุณขวัญบอกว่าตอนนั้น รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างตามตัวอยู่ตลอดเวลา จนบางครั้งก็แทบจะเป็นบ้า และด้วยความที่อยากรู้ที่มาที่ไป จึงโทรกลับไปถามโรงแรมว่าเคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ แต่ทางโรงแรมก็ปฏิเสธ อ้างว่าเป็นโรงแรมใหม่ และบอกว่า “ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ พอดีเป็น Reception” เมื่อเห็นว่าไม่ได้อะไรจึงวางสายไป จากนั้นก็เข้าห้องพระเพื่อสวดมนต์ขอขมาเจ้ากรรมนายเวร แต่ก็ยังไม่หายไป วันรุ่งขึ้นจึงไปทำบุญใส่บาตรที่วัด พอกลับมาที่บ้านก็เข้าห้องพระแล้วสวดมนต์อีกครั้ง “ขวัญจะสวดบทนี้ให้พี่ศักดิ์และน้องน้ำหวานนะ ถ้าอยู่แถวนี้ มาฟังด้วย” เมื่อเริ่มสวดไปได้เพียงนิดเดียว ก็มีมือเล็ก ๆ มาเขย่าที่ต้นขาและได้ยินเสียงเล็กแหลมดังขึ้นมาว่า “พูดอะไรหนูไม่เข้าใจ พูดให้หนูเข้าใจด้วย พี่จะให้หนูไปจากพ่อหนูหรอ หนูไม่ไปหรอกนะ” คุณขวัญตกใจสุดขีด เริ่มร้องไห้ จะลุกไปไหนก็ไม่มีแรง จึงรีบโทรหาพระอาจารย์ ท่านก็แนะนำว่าให้ทำบุญบ้าน ช่วงนี้ก็สวดมนต์ให้ได้ทุกวัน ทำบุญใส่บาตรตอนเช้าไปก่อน เมื่อพระอาจารย์มาที่บ้าน ท่านก็ให้หุ่นพยนต์มาปกป้องตัว ซึ่งทุกวันนี้คุณขวัญยังคงพกสิ่งนี้ติดตัวไว้ตลอด และสิ่งที่น่าตกใจคือทุกที่ที่พระอาจารย์เดินไปพรมน้ำมนต์ คือที่ที่คุณขวัญสัมผัสน้องน้ำหวานได้! นอกจากนี้ ท่านยังให้คุณขวัญนำปากกามา จากนั้นก็เขียนยันต์ไว้ให้ หลังจากนั้น คุณขวัญก็ไม่เห็นพี่ศักดิ์อีกเลย แต่ยังคงเห็นน้องน้ำหวานบ้างในบางครั้ง แต่ไกลตัวมากขึ้น(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

หลอนหลังจอสู่หน้าจอ! เบื้องหลังพี่นาค 4 หลอนจริงจากใจผู้กำกับ!

16 ก.พ. 2024

หลอนหลังจอสู่หน้าจอ! เบื้องหลังพี่นาค 4 หลอนจริงจากใจผู้กำกับ!

เรื่องนี้ ‘แปลน รัฐวิทย์’ และ ‘ไมค์ ภณธฤต’ นักแสดงและผู้กำกับจากภาพยนตร์เรื่อง ‘พี่นาค 4’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (13 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นขณะกำลังถ่ายทำภาพยนตร์ที่ต้องบอกเลยว่ามาพร้อมกับความหลอน เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘แปลน รัฐวิทย์’ นักแสดงจากภาพยนตร์เรื่องพี่นาค 4 คุณแปลนเล่าว่า วันนั้นเป็นวันที่ต้องถ่ายภาพยนตร์คนเดียว ซึ่งถ่ายทำที่วัดบางลี่ จังหวัดลพบุรี สถานที่แห่งนี้มีโบสถ์เก่าแก่อายุร้อยกว่าปี คุณแปลนถ่ายทำตั้งแต่เช้าและทุกอย่างก็ราบรื่นปกติ จนถึงซีนหนึ่ง เวลาประมาณตี 2.22 น. เป็นซีนที่ต้องใช้สลิง หลังจากถ่ายเสร็จสิ้น พี่ไมค์ (ผู้กำกับ) ก็อยากจะถ่ายอีกเพื่อให้ได้ภาพที่สวยงามเพิ่ม จากนั้นคุณแปลนก็ไปรอบนนั่งร้าน หลังจากนั้นเมื่อนับ 3 2 1 แอคชัน! คุณแปลนก็วูบหมดสติไปและจำอะไรไม่ได้ นาทีนั้นคุณแปลนยังอยู่บนสลิงแต่ไม่มีใครรู้ว่าคุณแปลนวูบอยู่ ด้วยความที่ทรงตัวไม่ได้ก็ทำให้รัดแน่นจนหายใจไม่ออกและเกิดอาการชัก จากนั้นผู้กำกับจึงสั่งคัท ทีมงานก็เข้ามาช่วยเหลือ เมื่อคุณแปลนรู้สึกตัวสิ่งแรกที่พูดคือ “พี่ครับ ผมขอโทษครับ ผมเผลอหลับหรอ?” เพราะคุณแปลนรู้สึกว่าตัวเองฝันเห็นอะไรเต็มไปหมดและฝันนานมาก แต่เมื่อพอมาดูฟุตเทจปรากฎว่าที่วูบไปนั้นเป็นเวลาเพียงครู่เดียว หลังจากนั้นทีมงานก็ให้ดื่มน้ำแดง และดมยาดมเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลาย ซึ่งหลังจากจบวันนั้นไปคุณแปลนก็ไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น เมื่อกลับมาจากสถานที่ถ่ายทำ คุณแปลนก็เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด ภายในห้องจะเป็นเตียงเดี่ยว 2 เตียง ซึ่งคุณแปลนพักคนเดียว จึงนำของไปวางให้เต็มแล้วจึงซื้อที่โดยการนำเงินไปวาง แล้วคุณแปลนก็พูดว่า “ผมขอซื้อนะตรงนี้” ซึ่งเตียงที่คุณแปลนซื้อนั้นปลายเตียงจะมีกระจกเงา จึงนอนอีกเตียง คืนนั้นคุณแปลนนอนไม่ค่อยหลับเพราะได้ยินเสียงคนเดินไปมาอยู่หน้าห้องตลอด แต่คุณแปลนก็ไม่ได้ลุกขึ้นไปดูว่ามีคนหรือไม่ เพราะคิดว่าตราบใดที่เสียงยังอยู่หน้าห้อง คุณแปลนจะไม่ไปยุ่ง จากนั้นคุณแปลนก็นอนคลุมโปง พยายามสวดมนต์แล้วเผลอหลับไป เช้าวันต่อมา คิวถ่ายวันนี้ยังคงเป็นโบสถ์เดิม และมีอุปสรรคในการถ่ายทำคือฝนตกทั้งวันจนถ่ายทำไม่ได้ จนเวลาผ่านไปถึงวันสุดท้ายที่จะต้องถ่ายทำ คืนนั้นคุณแปลนเดินออกมาจากโบสถ์คนเดียว ด้วยความน่ากลัวจึงดู TikTok เพลิน ๆ สักพักก็ได้ยินเสียงผู้ชายมากระซิบว่า “มึงอยากตายหรอ?” หลังจากนั้นก็วูบไปอีกรอบ แล้วทีมงานก็มาบอกว่า “แปลนไปขอทีมงานถอดเสื้อ ไปนั่งเหม่อแล้วก็ร้องไห้ มองโบสถ์ฝั่งตรงข้าม” ซึ่งตอนนั้นคุณแปลนไม่รู้ตัว พี่ทีมงานก็ถามว่า “แปลนไหวไหม แปลนเป็นลมไหม” คุณแปลนก็ยังไม่กล้าเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่เจอ จนหลังจากนั้นก็ตัดสินใจเล่าให้พี่ทีมงานฟัง พี่ทีมงานบอกว่า “แปลนคิดในแง่ดี เขาอาจจะมาเตือนว่าการที่เราไปถ่ายทำคราวที่แล้ว อยากตายหรอ อย่าไปทำอะไรที่มันพิเรนทร์” หลังถ่ายทำเสร็จคุณแปลนบอกกล่าวว่า “ทุกอย่างที่พูดออกไป มันเป็นเรื่องตัวบทไม่ใช่ตัวผม เป็นตัวละคร แปลน รัฐวิทย์ ไม่เกี่ยวข้อง” หลังจากนั้นคุณไมค์ก็ได้เล่าเรื่องลี้ลับในกองถ่าย โดยคุณไมค์เล่าว่า สถานที่ถ่ายทำที่ยากที่สุดในภาพยนตร์เรื่องพี่นาค ภาค 4 คือ ‘โบสถ์’ เพราะต้องหาโบสถ์ที่มีการตายเกิดขึ้น มีการเผาโบสถ์ มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโบสถ์ แต่ไม่รู้ว่าจะหาโบสถ์จากที่ไหนที่จะให้ทำได้ขนาดนี้ จึงใช้เวลาหาประมาณ 3-4 เดือนในการหาโบสถ์ที่จะอนุญาตให้ถ่ายทำ เพราะทุกที่มีโจทย์ว่า ถ้าไปขอแล้ว อย่าให้มีผลกระทบกลับมา จนกระทั่งมาเจอโบสถ์ที่วัดนางลี่ วันที่เดินทางไปถึงวัดแห่งนั้น ก็เห็นว่าสถานที่ตรงตามที่ต้องการ มีป่าล้อมรอบ เดินเข้าไปเป็นโบสถ์เก่า ซึ่งเป็นโบสถ์ร้างที่นำพระประธานออกไปแล้ว คุณไมค์รู้สึกว่าตรงนี้ต้องแรงแน่ ๆ แต่คิดว่าต้องถ่ายที่นี่ เมื่อเดินเข้าไปจะเจอเจดีย์ใส่กระดูกของเจ้าอาวาสรูปเก่า ถัดเข้าไปจะเป็นโกฏิกระดูก 2 โกฏิ ซึ่งเป็นของคนที่บริจาคเงิน แล้วจึงจะถึงตัวโบสถ์ คุณไมค์เชื่อว่าหนังของตนสอนคนดูและคิดว่าตนคิดดีแล้ว แต่สุดท้ายทุกคนก็ได้รับบาดเจ็บจากที่นี่จริง ๆ จึงทำให้รู้สึกว่าตนเลือกโลเคชันที่แรงชนิดที่ไม่เคยเจอขนาดนี้มาก่อน นักแสดงในกองอย่าง ‘คุณเจมส์ ภูรพรรธน์’ เข้าฉากพายุลมฝน ทำให้ขาพลิกจนต้องส่งโรงพยาบาล ‘คุณเอม วิทวัส’ เดิน ๆ อยู่โดนบุ้งต่อยแพ้ทั้งตัว ส่วน ‘คุณแปลน รัฐวิทย์’ สลบไปกลางอากาศ และ ‘คุณมีน พีรวิชญ์’ แมงป่องไต่ขึ้นขาแต่โชคดีที่มีทีมงานเห็นจึงไม่เป็นอะไร ไม่อย่างนั้นอาจจะเข้าโรงพยาบาลอีกคน นี่คือเหตุผลที่ต้องต่อธูปตลอด ซึ่งจะมีฝ่ายสวัสดิการมาดูธูปไว้ ถ้าไม่ต่อธูปฝนจะตก จนกระทั่งคุณเจมส์ไปเจอพระรูปหนึ่ง และพระก็ทักว่า “ไปถ่ายหนังอะไรมา ไปสถานที่ที่แรงใช่ไหม รู้ไหมเขาไม่โอเคต้องไปขอขมา” ซึ่งตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พระท่านพูดเป็นฉาก ๆ มีโบสถ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านเห็น คุณเจมส์จึงบอกว่า “พี่ไมค์ เราต้องไปขอขมา” หลังจากนั้นอันดับแรกคุณไมค์ก็รดน้ำมนต์ นำนักแสดงทุกคนไปรดน้ำมนต์ด้วย และถือพานบายศรีขอขมา สุดท้ายคุณไมค์พูดว่า “ต่อให้เราจุดธูปให้เราทำอะไรก็ตามแต่ ตราบใดที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บางทีเขาไม่รู้หรอกว่าเรามาทำงานหรือเรามาทำอะไร แต่บางครั้งถ้าเกิดเราทำอะไรที่มันเกินขอบเขตในความรู้สึกเขา มันก็อาจจะมีการลงโทษกันบ้าง ก็เลยไปขอขมาเป็นวันที่เราขอโทษจากใจจริง บางทีเราอาจจะต้องเตรียมเครื่องขอขมาตั้งแต่วินาทีแรกที่ไป เพราะถ้าเรารู้ว่าเราจะทำอะไรไม่ดีต้องไปขอเลย ไม่ใช่ไปทำแล้วค่อยไปขอ อันนี้ก็เป็นการสอนให้เรารู้จากการที่เราถ่ายที่จริงมาเยอะมาก แต่ที่นี่ภาคนี้กับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่โดนหนักสุดแล้ว”(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

พี่แจ็คเจอหลอนระหว่างไปปฏิบัติธรรม ต้องนอนข้างล่างห้องเก็บกุมารทอง ตกดึกได้ยินเสียงเคาะดังลั่นห้องจนนอนแทบไม่ได้!

03 มี.ค. 2024

พี่แจ็คเจอหลอนระหว่างไปปฏิบัติธรรม ต้องนอนข้างล่างห้องเก็บกุมารทอง ตกดึกได้ยินเสียงเคาะดังลั่นห้องจนนอนแทบไม่ได้!

จากคนที่รับฟังเรื่องหลอนอย่าง ‘พี่เเจ็ค The Ghost Radio’ ต้องมาเจอกับตัวเอง เมื่อไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่ง โดยมีรุ่นพี่ไปเป็นเพื่อน แต่แล้วก็เจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด พี่แจ็คบอกถึงจะไม่เจอตัวเป็น ๆ แต่คิดว่าใช่แน่นอน! เรื่องนี้ ‘พี่เเจ็ค The Ghost Radio’ ได้นำมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (27 กุมภาพันธ์ 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘คืนปฏิบัติธรรม’ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันได้เลย! โดยพี่แจ็คเล่าว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พี่แจ็คได้ไปปฏิบัติธรรมถือศีล 8 ที่วัดพระพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งไปอยู่กับหลวงปู่ที่ท่านเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส พี่แจ็คอาศัยอยู่ที่กุฏิของท่านและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี การปฏิบัติธรรมในครั้งนี้วางแผนไปทั้งหมด 3 วัน กิจกรรมจะเริ่มตั้งแต่การเปิดประตูวิหารแต่เช้า นั่งสมาธิ สวดมนต์ ไหว้พระตามปกติ สองวันแรกทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติ แต่วันที่ 3 วันสุดท้ายของการปฏิบัติธรรมนั้น หลวงปู่มีกิจนิมนต์จะต้องเดินทางไปที่พัทยา ซึ่งมีลูกศิษย์ 2 คนไปด้วย จึงเหลือเพียงเณรหนึ่งรูปอยู่กับพี่แจ็ค หลวงปู่บอกว่า “ถือว่าเป็นบ้านของตัวเองนะ อยู่เลย อยู่สบายไม่มีอะไรหรอก” พี่แจ็คเล่าให้ฟังว่า กุฏิของหลวงปู่เป็นกุฏิ 2 ชั้น สิ่งที่พี่แจ็คเข้าไปแล้วตกใจที่สุดคือบริเวณชั้นบน มีพระพุทธรูป รูปปั้น หัวเศียรต่าง ๆ แต่จะมีมุมหนึ่งที่เป็นกุมารทอง พี่แจ็คนั่งนับมีถึง 51 ตน ก่อนหน้าที่พี่แจ็คไปนั้นมีอยู่ประมาณร้อยตนได้ แต่แล้วก็มีคนมาขอไป กุมารทองเหล่านี้ หลวงปู่หรือพระที่วัดไม่ได้เลี้ยง แต่คนที่เลี้ยงนั้นเลี้ยงไม่ไหว จึงนำมาปล่อยไว้ให้หลวงปู่ หลวงปู่ก็ไม่ปฏิเสธ เพราะเป็นพระปฏิเสธไม่ได้ จึงนำมาเก็บไว้ตรงนั้น และมีคนมากราบไหว้ขอพร ก่อนจะมาปฏิบัติธรรมมีคนบอกพี่แจ็คไว้ว่า “พี่แจ็คน้องซนนะ เขาจะชอบเล่น แต่เขาชอบกินขนม มีอะไรก็ซื้อขนมไปให้เขา หรือพี่แจ็คอยากมีเรื่องเล่าเป็นของตัวเองก็บอกน้องเขา” พี่แจ็คจึงคุยกับกุมารทองว่า “ไม่ได้อยากมี พี่เป็นนักฟังที่ดี ไม่ต้องมาหาพี่นะ พี่มาปฏิบัติธรรม พี่กลัว ถ้ามาเดี๋ยวพี่ตกใจ เอาเป็นว่าต่างคนต่างอยู่ดีกว่า” หลังจากนั้นเช้าวันที่ 3 หลวงปู่ก็ไปกิจนิมนต์ตามแผนที่วางไว้ ส่วนพี่แจ็คก็ไปสวดมนต์ปกติจนถึงตอนกลางคืน เณรนอนอยู่ชั้นบน ซึ่งชั้นบนจะมี 2 ห้อง เป็นห้องข้างในที่เก็บกุมารทอง เก็บของต่าง ๆ ที่เป็นห้องศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ และมีกระชานอยู่ข้างนอก เณรก็จะนอนกระชานข้างนอกแล้วจะปิดประตูล็อคข้างใน ส่วนพี่แจ็คจะนอนกับ ‘พี่เด่น’ ที่ไปเป็นเพื่อน ซึ่งทั้งคู่นอนอยู่ชั้นล่าง และห้องที่นอนนั้นอยู่ใต้กุมารทองพอดีปกติแล้วห้องที่นอนนั้นจะไม่ปิดไฟ เพราะพี่แจ็ครู้สึกไม่ไหวเนื่องจากห้องมืดมากจำต้องเปิดไฟนอน คืนสุดท้ายพี่แจ็คสวดมนต์เสร็จแล้วเตรียมตัวจะนอน พี่เด่นที่ยืนอยู่หน้าห้องก็พูดขึ้นมาว่า “อ้าว วันนี้วันสุดท้ายแล้ว ใครมีอะไรอยากมาบอกพี่แจ็ค มาเลยนะ” พี่แจ็คบอกว่า “เฮ้ยพี่เด่น อย่าพูดย่างงั้น ไม่เอาดิ!” จากนั้นพี่เด่นก็หัวเราะ พี่แจ็คจึงสวดมนต์เพราะที่พี่เด่นพูดทำให้รู้สึกไม่ดี จากนั้นทั้งคู่ก็นอนหลับไป ปรากฏว่าพี่แจ็คสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงเสียงพี่เด่นพูดว่า “หึ หึ” พอหันไปมองพี่เด่นก็เอาผ้าห่มคลุม และเหมือนขยับตัวไม่ได้ พี่แจ็คก็รู้ทันทีเลยว่าไม่ พี่เด่นโดนพี่อำ เมื่อพี่แจ็คหันไปมองเสร็จก็หันกลับเอาผ้าคลุมนอนต่อ พี่แจ็คก็ไม่คิดจะปลุกพี่เด่นเพราะคิดว่าสมควรโดน ผ่านไปสักพัก พี่แจ็คก็ได้ยินเสียงพี่เด่นเป็นเหมือนเดิมจึงหันไปดูอีกครั้ง ตอนนั้นพี่แจ็คเกิดอาการหนังตากระตุกจึงหันกลับมานอน เวลาผ่านไปเหมือนพี่เด่นดิ้นหลุดออกมาได้ก็ลุกขึ้นมานั่งตาแดงก่ำ และถามว่า “พี่แจ็ค เมื่อกี้ผมเรียกพี่ป่ะ?” พี่แจ็คตอบว่า “ใช่” พี่เด่นถามต่อว่า “แล้วทำไมพี่ไม่ปลุกผม?” พี่แจ็คก็บอกกลับไปว่า “ไม่ปลุก พี่สมควรโดน ผมรู้ว่าพี่โดนผีอำ อันนี้พี่อะสมควรโดนเพราะพี่พูดไปเรื่อย” จากนั้นพี่เด่นจึงนั่งสวดมนต์อยู่ครึ่งชั่วโมง พี่แจ็คก็หลับและคิดว่าดีแล้วเขาจะได้สงบเวลาก็ผ่านไปสักพัก พี่แจ็คก็สะดุ้งตื่นและหันไปมองหน้าพี่เด่น ทั้งคู่มองตากันเพราะมีเสียงมาจากเพดาน เป็นเสียงเคาะดังสนั่นทั่วทุกมุมห้อง ระหว่างที่มองตากันอยู่ พี่แจ็คก็มองด้วยสายตาดุเหมือนส่งสัญญาณให้พี่เด่นว่าห้ามทัก พี่แจ็คพยายามหันหน้าไปอีกฝั่งแล้วนอนฟัง เสียงเคาะก็ดังอยู่เรื่อย ๆ พี่แจ็คมั่นใจว่าเณรไม่ได้แกล้ง เพราะเณรรูปนี้ที่อยู่ด้วยกันมา 3 วัน เป็นเณรที่เรียบร้อยและสำรวมมาก พี่แจ็คนอนฟังจนเสียงเคาะเบาลง พี่แจ็คก็ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงหันไปหาพี่เด่น แล้วก็เอาผ้าคลุม พี่แจ็คจึงหลับไปทั้งแบบนั้น ตื่นเช้ามา พี่แจ็คก็เจอเณรเป็นคนแรก จึงถามเณรว่า “เณร เมื่อคืนเณรได้ยินเสียงเคาะไหมครับ?” เณรตอบกลับมาว่า “เณรไม่ได้ยินครับ เณรหลับ” เพราะตอนกลางวันเณรไปเรียนที่วิทยาลัยสงฆ์ พี่แจ็คก็บอกว่า “ผมได้ยินเสียงเคาะทั้งคืนเลย” เณรตอบว่า “อ๋อ เขาคงจะมาลาโยมพี่แหละ เพราะเห็นโยมพี่มา 3 วันแล้ว” และนี่เป็นสิ่งที่พี่แจ็คเจอ ถึงจะไม่เห็นเป็นตัวเป็นตนแต่จากที่ได้ยินเสียงเคาะก็ชัดเชนแล้วว่าใช่…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณเคน 'ออฟฟิศโซนหลอน' I อังคารคลุมโปง X เต๋อ ฉันทวิชช์ - เสือ พิชย [ 3 ธ.ค. 2567 ]

15 ธ.ค. 2024

เรื่องเล่าจากคุณเคน 'ออฟฟิศโซนหลอน' I อังคารคลุมโปง X เต๋อ ฉันทวิชช์ - เสือ พิชย [ 3 ธ.ค. 2567 ]

รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (3 ธันวาคม 2567) ที่ผ่านมา มีเรื่องเล่าจาก ‘คุณเคน’ ที่ทำเอา 3 ดีเจ ‘ดีเจมดดำ’ ‘ดีเจแนน’ ‘ดีเจโซเซฟ’ จะเป็นอย่างไรไปอ่านกันเลย!!! ‘คุณเคน’ เล่าว่าย้อนกลับไปเมื่อ 11 ปีก่อน เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ออฟฟิศกลางใจเมืองย่านราชประสงค์ คุณเคนเข้าไปทำงานโดยที่ไม่เคยรู้ว่ามีเหตุการณ์พื้นถล่มที่ตึกนี้มาก่อน เนื่องจากตอนที่เกิดเรื่อง คุณเคนไม่ได้อยู่ประเทศไทยจึงไม่ทราบเรื่อง เมื่อกลับประเทศไทยก็ได้เข้าทำงานที่ตึกแห่งนี้ ออฟฟิศของคุณเคนอยู่ชั้นที่ 16 ส่วนชั้น 17-20 จะเป็นร้านอาหาร (ปัจจุบันร้านอาหารไม่มีแล้ว เหลือเพียงร้านอาหารที่มีไว้เฉพาะงานอีเว้นท์เท่านั้น) คุณเคนมีตำแหน่งเป็นเซลล์ที่จะคอยดูแลทุกอย่างของการจัดงานเลี้ยงของบริษัทนี้ ในช่วงแรก ๆ ที่เข้ามาทำงานนั้น คุณเคนจะนั่งทำงานอยู่ห้องใน ห้องในคือห้องที่มีหลายคนนั่งอยู่รวมกัน รอบข้างจะแบ่งเป็นห้องส่วนตัว ส่วนตรงกลางจะมีฉากกั้นเพื่อให้เป็นสัดส่วน ลักษณะงานนั้นจำเป็นต้องอยู่ออฟฟิศดึก ๆ เป็นประจำ ส่วนใหญ่ก็ต้องอยู่คนเดียว ช่วงแรกคุณเคนไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใด ๆ แต่พอเริ่มมืด เวลา 2 ทุ่มกว่า ทุกคนในออฟฟิศกลับบ้านกันหมดแล้ว ในชั้นนี้ทั้งเงียบและมืด คุณเคนก็มักจะได้ยินเสียง ก๊อกแก๊ก ก๊อกแก๊ก ก๊อกแก๊ก และเสียงกระดาษหล่น คุณเคนสงสัยอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงติดสินใจเดินเข้าไปดู สิ่งที่เห็นก็คือกระดาษหล่นจริง ๆ แต่ดูจากรูปการณ์แล้วน่าจะเป็นไปได้ยาก เพราะกระดาษที่วางอยู่มันจะหล่นลงจากโต๊ะได้อย่างไร คุณเคนทำเพียงแค่สงสัยแต่ก็ไม่ได้กลัวอะไรจึงกลับไปนั่งทำงานต่อ เป็นแบบนี้อยู่หลายคืน บางคืนเขาก็มักจะได้เสียงโทรทัศน์เปิด แต่เมื่อเดินออกไปดูก็เห็นว่าโทรทัศน์ปิดอยู่เสียอย่างนั้น เมื่อทำงานไปได้ระยะหนึ่ง คุณเคนได้ย้ายที่นั่งไปอยู่โซนนอกห้อง แต่ก็ยังคงต้องนั่งทำงานอยู่คนเดียวดึก ๆ ดื่น ๆ เช่นเคย ขออธิบายเพิ่มเติมว่าโต๊ะของแผนกบัญชีจะมีเครื่องคิดเลขที่เอาไว้ให้แผนกคิดคำนวณเป็นเครื่องคิดเลขแบบเสียบปลั๊ก ในวันหนึ่ง น่าจะมีคนในออฟฟิศเสียบปลั๊กทิ้งไว้ เพราะอยู่ ๆ เครื่องคิดเลขก็พิมพ์จนกระดาษออกมาจากเครื่องคิดเลขคล้าย ๆ มีคนกำลังใช้งานอยู่! คุณเคนนั่งมองเครื่องคิดเลขที่กำลังทำงานและคิดว่า ‘เครื่องจะหยุดทำงานตอนไหน’ ผ่านไปสักพักก็ยังไม่หยุด เขาจึงพูดออกมาว่า “มึงหยุดนะ คนจะทำงาน” เครื่องคิดเลขก็ยังไม่หยุด เขาจึงตัดสินใจเดินไปถอดปลั๊กออก หลังจากนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แต่ที่น่าตกใจก็คือ อยู่ ๆ ก็มีเสียงคุยกันผ่านช่องเพดาน! ซึ่งคุณเคนอยู่ที่ออฟฟิศคนเดียว ในตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 5 ทุ่ม เขาก็คิดว่ามันคงไม่มีใครมาคุยกันเวลานี้แน่นอน เมื่อเดินไปดูทั่วออฟฟิศก็ไม่เจออะไรแต่สิ่งที่ได้ยินเป็นเสียงพูดคุยที่ไม่ใช่ภาษาไทย ไม่ใช่ภาษาที่เข้าใจได้ จากนั้นก็พยายามหาต้นเสียงแต่ก็หาไม่เจอความหลอนยิ่งทวีคูณมากขึ้น เมื่อคืนหนึ่ง คุณเคนอยู่ชั้น 16 ข้างบนเป็นชั้น 17 ที่เอาไว้จัดงานบ่อย ๆ อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงมีคนขนของอยู่ข้างบนชั้น 17 ดัง ตึ้งตั้ง ๆ !!! คุณเคนไม่ได้กลัวแต่ตอนนั้นเขารู้สึกว่ามันรบกวนสมาธิการทำงานมาก เพราะเขาอยากรีบทำงานให้เสร็จ เมื่อข้างบนเสียงดังไม่หยุดก็เกิดความโมโห จึงกดลิฟต์ขึ้นไปที่ชั้น 17 เพื่อจะต่อว่า แต่แล้วก็ไม่มีใครอยู่บนชั้น 17 เลย! คุณเคนคิดว่าตนคงโดนหลอกแล้วเป็นแน่ จึงรีบกลับลงมาทำงานต่อให้เสร็จ หลังจากนั้นผ่านไป เป็นช่วงที่คุณเคนกำลังจะลาออก ตอนนั้นเขากำลังเดินไปเข้าห้องน้ำ ห้องน้ำที่ออฟฟิศจะแบ่งแยกห้องน้ำชายหญิง ห้องน้ำผู้ชายจะอยู่ข้างในสุด ส่วนห้องน้ำหญิงจะอยู่ก่อนถึงห้องน้ำผู้ชาย ตอนนั้นดึกมากแล้ว เขาจึงเข้าห้องน้ำผู้หญิง เพราะมีห้องหนึ่งที่มีสายชำระ จึงเลือกที่จะเข้าห้องนั้น และคิดว่าคงไม่มีใครมาเข้าห้องน้ำแล้ว แต่เขากลับได้ยินเสียงคนเดินอยู่บริเวณหน้าห้องน้ำ ซึ่งโดยปกติแล้วบริเวณหน้าห้องน้ำจะมียามคอยเฝ้าตรวจตรา และจะมีห้องแคนทีนอยู่ใกล้ ๆ ห้องน้ำ ซึ่งห้องแคนทีนนี้บางทียามก็มักจะมากินข้าว ทำให้คุณเคนไม่แน่ใจว่าใช่ยามหรือเปล่า จึงนั่งเงียบเพื่อฟังเสียงว. ตอนแรกเขาได้ยินเสียงว. สักพักเสียงว.และเสียงเดินก็ค่อย ๆ ไกลออกไป แต่ก็ยังได้ยินเสียงเดินอยู่บริเวณข้างหน้าแต่ไม่มีเสียงว. พอเสียงเดินหายไปสักพัก น้ำในตรงอ่างล้างมือก็เปิดเอง ซึ่งเป็นระบบเซนเซอร์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้คุณเคนหลอนสุด ๆ จนเขาคิดในใจว่าถ้ามาจริงขออีกรอบหนึ่ง มันก็มาจริง ๆ ตามที่ใจเขาคิดแต่มันแรงขึ้น! เหมือนกับว่ากำลังโกรธที่คุณเคนไปท้าทาย คุณเคนบอกว่าตอนนั้นเขาขนลุกไปทั้งตัว บรรยากาศตรงนั้นเปลี่ยนไป รู้สึกเย็นยะเยือก คุณเคนรู้สึกอึดอัดจนทนไม่ไหวและอยู่ไม่ได้ จึงเก็บของแล้วรีบออกจากออฟฟิศทันที อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่ยามเล่าให้คุณเคนฟัง ยามเล่าว่า เขาต้องมานอนเฝ้าของที่ชั้น 17 ขณะที่กำลังนอนอยู่ ก็มีผู้หญิงใส่ชุดไทย มารำไทยอยู่ตรงหน้า! อีกเรื่องเล่าหนึ่งเป็นเรื่องเล่าของลูกค้า คุณเคนบอกว่ามีลูกค้าที่เคยมาที่ชั้น 18 ซึ่งชั้นนี้จะมีห้อง Private อยู่ แต่ต้องเดินผ่านโซน Outdoor และต้องเดินขึ้นบันไดเพื่อที่จะไปถึงห้อง Private คุณเคนเล่าว่า ลูกค้าเคยเห็นคนยืนอยู่ข้างในห้องมืด ๆ ยืนจ้องมาที่ลูกค้าที่กำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ ลูกค้าก็สงสัยว่าคนนั้นคือใคร จึงบอกกับพนักงานให้ขึ้นไปดู แต่พอพนักงานมองไปที่ห้องนั้น พนังงานกลับไม่เห็นใครยืนอยู่! คุณเคยทิ้งท้ายว่าใครมาที่นี่ก็จะโดนกันเกือบทุกคน อย่างเช่นคนที่ดูแลตึกที่ต้องมาทำงานในช่วงเช้า ประมาณ 7 โมงครึ่ง ก็มักจะไม่เปิดไฟเวลาเดินดูตึก พอจะเข้าห้องน้ำ ก็ไปเปิดไฟแล้วเข้าห้องน้ำเลย เขาจะทำแบบนี้เป็นประจำ และมักจะรู้สึกว่ามีคนเดินตาม มีคนเปิดไฟตามทางเดินให้ อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครรู้คือ คนที่อยู่มานานก่อนที่จะสร้างชั้น 17 – 18 ขึ้นมา ชั้น 19 จะมีการสร้างเพดานที่เอาไว้เก็บชนวน คนที่อยู่มาแรก ๆ บอกว่า เขาเคยรู้มาว่าคนที่มาทำงานที่นี่เป็นช่างไฟ มากัน 3 คน เพราะตอนเข้ามาก็มีการเซ็นชื่อเพื่อเข้ามาในตึก แต่ตอนออกเขากลับเจอแค่ 2 คน เขาพยายามเดินตามหาอีกคนที่หายไป แต่พยายามหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้ จึงคิดว่าน่าจะกลับบ้านหรือมีเหตุจำเป็นที่จะต้องกลับ ส่วนช่างไฟอีก 2 คนก็เก็บของกลับ ปรากฏว่าช่างไฟอีก 2 คนก็หายไปด้วย จนเขาได้กลิ่นแปลก ๆ ที่ชั้น 19 ปรากฏว่ากลายเป็นศพเสียชีวิตอยู่ตรงนั้น สันนิษฐานว่าอาจโดนไฟดูดตาย(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1