ไปตั้งแคมป์กับเพื่อน งานนี้โดนหลอกตลอดทั้งคืน!

อังคารคลุมโปง RECAP

ไปตั้งแคมป์กับเพื่อน งานนี้โดนหลอกตลอดทั้งคืน!

28 เม.ย. 2023

     สายตั้งแคมป์รับรองมีขนหัวลุก เพราะสายจาก ‘คุณชิ’ ที่โทรเข้ามาในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ ที่ผ่านมา (28 มีนาคม 2566) ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองให้กับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเคเบิ้ล’ ฟัง ถึงการพบเจอเจ้าถิ่น.. ถ้าเป็นคนคงจะดีกว่านี้ แต่นี่กลับเป็นสิ่งลี้ลับที่เกินจะคาดเดา! 

     คุณชิเล่าว่า ตัวเองเป็นสายแคมป์ปิ้งและวางแพลนกับเพื่อน ๆ ว่าจะไปเที่ยวจังหวัดทางภาคเหนือกัน ซึ่งตนเองนั้นชอบไปแคมป์ปิ้งในป่าลึกหรือพื้นที่ที่ยังไม่เปิดให้เที่ยว และจะให้คนในพื้นที่เป็นคนนำทาง การไปแคมป์ปิ้งในครั้งนี้ คุณชิและผู้ร่วมเดินทางอีกประมาณ 10 คน ได้ไปยังดอยแห่งหนึ่ง ที่นี่เป็นภูเขาที่มีความสวยงามและยังเป็นจุดชมวิวซากุระของเมืองไทยอีกด้วย แต่จุดที่คุณชิจะตั้งแคมป์เป็นยอดดอยอีกด้านหนึ่งของภูเขา ซึ่งต้องเดินเท้าขึ้นไปอีกประมาณ 3 - 4 ชั่วโมง ซึ่งวันที่คุณชิติดต่อกับคนในพื้นที่ให้มาช่วยนำทาง เขาดันติดธุระ จึงให้ลูกชายของเขาที่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ขึ้นมาช่วยนำทางให้แทน

     เมื่อคณะเดินทางของคุณชิมาถึงจุดตั้งแคมป์จุดแรกซึ่งเป็นยอดดอยที่มองเห็นความสวยงามของทัศนียภาพได้ 360 องศา มีเจดีย์สองยอดซึ่งเป็นจุดชมวิวชื่อดังของภาคเหนือตั้งอยู่บนยอดดอยฝั่งตรงข้าม ด้านซ้ายเป็นทางเดินที่ชิดริมขอบหน้าผาซึ่งเป็นไหล่เขาลงไป ส่วนด้านขวามือเป็นเหมือนดงป่าไม้ทึบ ทั้งหมดจึงตกลงกันว่าจะตั้งแคมป์กันที่ตรงนี้ ถึงแม้ว่าจะมีพื้นที่ไม่ได้กว้างขวางมากมายเท่าไหร่นัก คณะเดินทางเริ่มผูกเต็นท์จับจองที่นอนของตัวเอง โดยเต็นท์สามหลังแรกผูกเรียงกันตรงทางเดินและหันหัวที่นอนไปทางด้านหน้าผา ส่วนที่เหลืออีกสี่เต็นท์จะผูกติดกันตรงกลางเป็นระนาบไปตามแนวของดงป่าทึบ ซึ่งในทริปนี้ มีน้องคนหนึ่งขอผูกเปลนอนกับต้นไม้ใหญ่ ซึ่ง ณ ตอนนั้นน้องที่เป็นคนนำทางก็ขอตัวกลับลงไปยังหมู่บ้านทันทีโดยไม่ได้อยู่ค้างคืนด้วย

     ในช่วงเย็นหลังจากที่ทุกคนจัดของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว จู่ ๆ น้องผู้หญิงคนหนึ่งในคณะมีอาการแปลก ๆ ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายกับพื้นพร้อมกับร้องไห้ คุณชิเห็นดังนั้นจึงคิดว่าสถานการณ์ไม่ดีแน่ และด้วยความที่เป็นสายมูเตลูจึงนำสร้อยพระเวสสุวรรณของตัวเองนำไปคล้องคอให้กับน้องคนนั้น หลังจากนั้นน้องคนนั้นก็หายจากอาการดิ้นแต่ก็ยังคงร้องไห้อยู่ คุณชิจึงนึกถึงน้ำมนต์ แต่ในตอนนั้นไม่มีใครมีน้ำมนต์ติดตัวมาเลย จึงนำน้ำขวดเทใส่แก้วพร้มอกับสวดคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า แล้วให้น้องคนนั้นจิบน้ำ เมื่อจิบน้ำไปสักพัก น้องก็กลับมาเป็นตัวของตัวเองและได้เล่าว่าระหว่างที่กำลังผูกเต็นท์ที่หันหน้าไปทางด้านหน้าผา เขาได้ยินเสียงเด็กเรียกชื่อเขา และเผลอขานรับ หลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย 

     คุณชิเล่าต่ออีกว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ตนเองจึงนึกย้อนไปว่าก่อนที่จะขึ้นมาบนยอดดอยนี้ คุณชิได้รับข้อมูลมาว่ามีศาลแห่งหนึ่ง ลักษณะเป็นพระธาตุ ที่ชาวบ้านสักการะอยู่บนยอดดอยนี้ด้วย จึงคิดว่าต้องไปไหว้สักการะขอเจ้าที่เจ้าทางก่อน ซึ่งระยะทางระหว่างแคมป์และศาลนั้นอยู่ที่ 300 เมตร แต่คณะเดินทางกลับใช้เวลาเกือบถึงครึ่งชั่วโมงในการไปศาล ราวกับว่ายิ่งเดินเท่าไหร่ยิ่งไปไม่ถึงสักที คุณชิจึงตั้งจิตอธิษฐานว่าลูกช้างกับคณะเดินทางนี้ เราเข้ามาในพื้นที่เพื่อมาพักผ่อนไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้ามาทำลายธรรมชาติ ดังนั้นด้วยเจตนานี้จึงขอให้ลูกช้างและคณะได้เดินทางไปสักการะด้วยเถิด ต่อมาหลังจากนั้นทั้ง 10 คนเดินไปได้อีกสักระยะหนึ่ง ใช้เวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้นก็เจอกับศาลที่ว่า เมื่อสักการะบอกเจ้าที่เจ้าทางเรียบร้อยแล้วมีลมวูบหนึ่งพัดมาเป็นลมเย็น ๆ คุณชิจึงคิดว่านี่ถือเป็นการตอบรับในทางที่ดี   

     เมื่อทั้งคณะกลับมายังจุดตั้งแคมป์ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้ม จึงได้ตระเตรียมทำอาหารเย็นกัน โดยคุณชิเชื่อว่าทุกคนที่เดินป่าย่อมมีความเชื่อ ว่าอาหารที่เป็นคำแรก หรืออาหารที่พึ่งปรุงใหม่ จะต้องแบ่งมาส่วนหนึ่งเพื่อบวงสรวงหรือเซ่นไหว้ให้กับเจ้าที่เจ้าทาง ในขณะที่ทุกคนกำลังกินชาบูและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน คุณชิจึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาและได้ทักท้วงทุกคนไป ซึ่งปรากฏว่าทุกคนต่างพากันลืมหมด คุณชิจึงได้นำอาหารที่ปรุงใหม่ตักใส่ถ้วยเพื่อเตรียมนำไปเซ่นไหว้ แต่ดันพลาดนำน้ำชาบูที่อยู่ในหม้อกลางที่ทุกคนกินไปแล้ว ตักราดลงไปในถ้วยด้วย แล้วนำไปตั้งอยู่บนทางเดินที่เป็นทางสามแพร่ง ซึ่งเจตนาของคุณชิในตอนนั้นคือไม่ได้ต้องการลบหลู่แต่อย่างใด และในวันนั้นก็เป็นคืนเดือนหงาย แต่ปรากฏว่าหลังจากที่เซ่นไหว้อาหารเรียบร้อยแล้วทั้งป่ากลับเงียบสนิทไม่มีแม้แต่เสียงลมหรือแมลงเลย คืนนั้นจึงไม่มีใครกล้าดื่มสิ่งของมึนเมาหรือสังสรรค์ใด ๆ ต่อ ทุกคนตัดสินใจเข้านอนประมาณ 3 - 4 ทุ่มท่ามกลางอากาศบนยอดดอยที่เย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ

     คุณชิไม่รู้ตัวว่าเผลอหลับไปนานแค่ไหน รู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียง “ฮืออ…ชิ นอนด้วย..หนาวว~ ขอเข้าไปด้วย” ซึ่งเสียงเย็น ๆ น่าขนลุกนั้นดังมาจากปลายเท้าของคุณชิที่หันประตูเต็นท์ไปทางดงไม้ทึบ ซึ่งปกติแล้วเวลาไปตั้งแคมป์ ทุกคนจะไม่ให้ไฟตรงกลางมอด แต่คืนนั้นไฟกลับมอดลงเร็วมาก และจังหวะที่เสียงนั้นใกล้เข้ามา คุณชิจึงเปิดไฟภายในเต็นท์โดยมีน้องที่นอนข้าง ๆ กำมือคุณชิแน่นอย่างหวาดระแวง และเมื่อคุณชิได้ส่องไฟไปยังปลายเต็นท์ ปรากฏว่าตรงผ้าใบที่ประตูเต็นท์เหมือนมีคนแนบหน้าเข้ามา! ด้วยความที่ลักษณะเต็นท์มันถูกกางให้ตึง จึงเห็นว่าเป็นลักษณะหน้าคน! ทั้งสองคนเห็นดังนั้นถึงกับนอนตัวแข็งกันเลยทีเดียว แต่ยิ่งไปกว่านั้นซิปที่ประตูเต็นท์มันกลับถูกรูดขึ้นมาด้วย!! ซี้บบบบบ…เสียงซิปที่ถูกรูดดังก้องในโสตประสาทของคนที่อยู่ในเต็นท์ และภาพที่เห็นตรงหน้าคือคนที่โผล่เข้ามา.. กลับกลายเป็นน้องคนที่ผูกเปลนอน!! คุณชิถึงกับโล่งใจเพราะกลัวจนแทบจิตหลุด สุดท้ายแล้วจึงได้ข้อสรุปว่าด้วยความที่ตอนนั้นอากาศข้างนอกค่อนข้างที่จะหนาวมาก จนทำให้น้องคนนั้นปากสั่นจนพูดไม่เป็นคำ ทำให้คุณชิได้ยินเสียงอันน่าสะพรึงแบบนั้น 

     หลังจากนั้นทั้งสามคนจึงนอนเบียดกันเพื่อแบ่งปันไออุ่นภายในเต็นท์ แต่แล้ว.. ก็เหมือนมีลมแรงพัดขึ้นมากระทบกับผ้าใบของเต็นท์จนสั่นกระพือเสียงดังพรึ่บๆๆ คุณชิกลัวว่ากระทบเสียงดังขนาดนี้ผ้าใบเต็นท์จะขาด แต่พอเปิดเต็นท์ออกมาดู ปรากฏว่าไม่มีลมเลย ข้างนอกอากาศนิ่งมาก แล้วเสียงที่คุณชิได้ยินเมื่อสักครู่มันคืออะไร? จากนั้น จังหวะที่คุณชิหันมายังจุดตรงกลางแคมป์ ก็ได้เห็นน้องร่วมทริปคนหนึ่งนั่งกอดตัวเองพร้อมกับคลุมผ้าห่มอยู่เงียบ ๆ ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาตี4 แล้วจึงถามน้องคนนั้นว่าทำไมยังไม่เข้าไปนอน แต่น้องกลับตอบมาเพียงคำเดียวว่า “ผมนอนไม่ได้พี่” คุณชิกับน้องร่วมเต็นท์อีกสองคนจึงมองหน้ากันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อาจจะเกี่ยวข้องกับเต็นท์ของน้องที่นอนหันหัวไปทางหน้าผาหรือเปล่า จึงมารวมตัวกันผิงไฟ เพราะไหนๆก็จะเช้าแล้ว ต่อมาอีกสักพักกลุ่มน้องผู้หญิงจากอีกเต็นท์หนึ่งก็พากันเดินออกมา คุณชิเห็นว่าท่าทีแปลกๆ จึงเปิดประเด็นด้วยคำถามที่ว่า “มีใครอยากจะเล่าอะไรไหม” 

     น้องผู้ชายคนแรกที่ออกมานั่งตรงกลางแคมป์ได้เล่าว่า “ได้ยินเสียงคนเดินไปมาอยู่บนหัวเต็นท์” แต่หัวเต็นท์ตรงนั้นอีกประมาณ 2 เมตรเป็นหน้าผา จึงคิดว่าคนในคณะไม่น่าจะไปเดินตรงนั้นได้ แถมยังมีการเขย่าเต็นท์ด้วย

     ส่วนน้องผู้หญิงอีกกลุ่มหนึ่งก็เล่าว่าได้ยินเสียงของน้องคนที่ผูกเปลมาเรียกให้ไปส่งเข้าห้องน้ำ ซึ่งในขนะนั้นน้องคนที่ผูกเปลได้เข้ามานอนในเต็นท์คุณชิเรียบร้อยแล้ว แถมน้องคนที่ผูกเปลก็เป็นผู้ชายด้วย จะมาเรียกน้องผู้หญิงให้ไปส่งเข้าห้องน้ำได้อย่างไร

     นอกเหนือจากนั้นแล้ว น้องผู้หญิงอีกคนก็ได้ยินเสียงคนผิวปากเบา ๆ เป็นเพลงแว่วมาจากข้างหลังดงไม้ทึบ ทุกคนสัมผัสได้ถึงสิ่งลี้ลับรอบตัวและทนไม่ไหว จึงพากันออกจากเต็นท์ คุณชิที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจึงตัดสินใจเดินไปยังจุดที่เอาอาหารไปเซ่นไหว้ ปรากฏว่ามันถูกคว่ำอยู่และมีอาหารกระจัดกระจาย เหมือนมีใครมารุมทึ้งรุมกินกันอย่างตะกละตะกลาม

     เมื่อแสงแดดรำไรในเวลา 6 โมงเช้า ทุกคนจึงรีบเก็บเต็นท์กันเร็วกว่าปกติเพื่อจะเดินทางกลับลงไปยังตีนภูเขา ระหว่างเก็บเต็นท์คุณชิก็ได้เจอกับคำตอบของเหตุการณ์ทั้งหมดว่า “หลังดงไม้ทึบที่ไปตั้งเต็นท์รายล้อมไปด้วยหลุมศพ” ที่มีป้ายเขียนด้วยภาษาอะไรสักอย่างไว้ รวมไปถึงเข้าใจแล้วว่าทำไมเด็กวัยรุ่นคนที่นำทางถึงรีบส่งพวกเขาแล้วรีบกลับลงไปทันที

     หลังจากนั้น ทุกคนก็เดินกลับลงมาอย่างปลอดภัย และพากันไปยังจุดจอดรถซึ่งเป็นวัดที่อยู่ตีนเขา พร้อมกับได้พบหลวงพ่อที่ประจำอยู่ ณ วัดแห่งนี้ ท่านทักขึ้นมาทันทีว่า “เมื่อคืนไปทำอะไรกันมา ขึ้นไปตั้งแคมป์ข้างบนแล้วลืมให้อาหารเซ่นไหว้เขาใช่ไหม” ทั้งคณะได้ยินดังนั้นถึงกับสะดุ้งตกใจ คุณชิจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พระท่านฟัง หลวงพ่อจึงบอกว่า “การที่เราได้ยินเสียงต่าง ๆ แสดงว่าเขาอยากให้รู้ว่าที่พื้นที่ตรงนั้นเป็นที่ของเขา” และน้องคนที่โดนเขย่าเต็นท์ก็สารภาพว่าตัวเองได้ปัสสาวะข้าง ๆ เต็นท์ ซึ่งน่าจะเป็นบริเวณหลุมศพของเขาพอดี เขาเลยไม่พอใจ

     หลังจากนั้นทุกคนก็ได้ทำบุญและถวายสังฆทานให้ แต่โดยทั่วไปเท่าที่คุณชิจำได้ เวลาที่พระท่านให้พรท่านจะเอาตาลปัตรบังหน้าเสมอ แต่ครั้งนี้จังหวะที่พระท่านสวดในครั้งสุดท้าย ท่านกลับยกตาลปัตรออกมาแล้วทำท่าพัดออกไปด้านหน้าหนึ่งทีแรง ๆ และพูดกับทางคณะว่า “กลับกรุงเทพได้แล้วนะไม่มีอะไรตามแล้ว” ทุกคนได้ยินดังนั้นต่างขนลุกไปตาม ๆ กัน

     เรื่องนี้ทำให้คุณชิระแวงเป็นอย่างมาก จึงต้องตรวจเช็คด้านสายมูเตลู หรือทุกความเชื่อว่าจะไม่มีสิ่งไหนตามมาให้แน่ชัด และยังต้องเช็คความเป็นมาของสถานที่ ที่จะไปให้ถี่ถ้วนทุกครั้งจะได้ไม่พบเจอกับเหตุการณ์หลอนทั้งแคมป์แบบนี้อีก

(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)

ฟังเรื่องหลอนแบบเต็ม ๆ ได้ที่

related อังคารคลุมโปง RECAP

บ้านเช่าใจกลางเมืองราคาเดือนละ 1,000 บาท มีข้อแม้คือห้ามเปิดประตูห้องในสุดที่ล็อคกุญแจไว้ และก่อนย้ายเข้า ยายเจ้าของบ้านยังบอกอีกว่า “ถ้าอยู่ไม่ครบ กูไม่คืนเงินประกันนะโว้ย!” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องหลอนในครั้งนี้!

29 ก.ย. 2023

บ้านเช่าใจกลางเมืองราคาเดือนละ 1,000 บาท มีข้อแม้คือห้ามเปิดประตูห้องในสุดที่ล็อคกุญแจไว้ และก่อนย้ายเข้า ยายเจ้าของบ้านยังบอกอีกว่า “ถ้าอยู่ไม่ครบ กูไม่คืนเงินประกันนะโว้ย!” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องหลอนในครั้งนี้!

เมื่อตัดสินใจเช่าบ้านใจกลางเมืองในราคาถูก แถมยังได้รับคำเตือนชวนหลอนจากยายเจ้าของบ้านอีก งานนี้จะเจออะไรในบ้านหลังนี้บ้าง รายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (26 ก.ย. 2566) จะพาทุกคนหลอนไปกับ ‘คุณอ๊อฟ คนเห็นผี’, ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ เรื่องราวที่คุณอ๊อฟไปประสบพบเจอเป็นมาจะเป็นอย่างไรนั้น ไปอ่านกันเลย! เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ของญาติคุณอ๊อฟ เริ่มจากเขาอยู่กับครอบครัวใหญ่ มีพี่สาว3 คน พี่สาวต่างก็มีแฟนกันหมด จึงคิดว่าจะแยกตัวออกมาเช่าบ้านด้วยกัน และก็มีคนแนะนำบ้านมาให้ลองไปติดต่อดู เหล่าพี่น้องจึงไปดูบ้านตามคำแนะนำ บ้านที่ไปดูคือบ้านไม้ใหญ่สองชั้น มองไปก็เห็นว่ามีคุณยายกวาดพื้นอยู่ข้างล่าง หนึ่งในพี่สาวของคุณอ๊อฟจึงเดินไปถามว่า “ขอโทษนะคะ จะมาเช่าบ้าน” จากนั้นก็ได้รายละเอียดค่าเช่าบ้านจากคุณยาย เช่าเพียงเดือนละ 1,000 บาท มัดจำอีก 3,000 บาท ได้ยินดังนั้นก็ตัดสินใจตกลงเช่าบ้านตอนนั้นทันที จากนั้นคุณยายก็พูดกลับมาว่า “ถ้าอยู่ไม่ครบ กูไม่คืนเงินประกันนะโว้ย” แต่ทุกคนก็ไม่คิดอะไร จนกระทั่งวันที่ต้องย้ายเข้าไป คุณยายก็ให้กุญแจมาพร้อมกับบอกว่า “ห้องในสุด ที่ล็อคกุญแจไว้ เป็นห้องของเจ้าของบ้าน ห้ามไปเปิด ห้ามไปยุ่งกับมัน” ซึ่งทุกคนก็คิดว่าในเมื่อเช่าทั้งหลังแล้วมันก็ต้องเป็นของเราทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ และคิดต่อว่าคงเป็นที่เก็บของ บ้านหลังนี้อาจจะมีเจ้าของที่ไปอยู่ต่างประเทศ หลังจากนั้นทุกคนก็ย้ายเข้ามาในบ้านหลังนี้ ซึ่งจะแบ่งห้องเป็นพี่สาวทั้งสามและแฟนอยู่ชั้นบน ญาติคนอื่นและคุณอ๊อฟจะนอนชั้นล่าง หลังจากที่ย้ายเข้ามาอยู่ได้สักพัก คุณอ๊อฟเริ่มรู้สึกว่า มีเงาสีขาว ๆ เหมือนกลุ่มควัน แอบมองคุณอ๊อฟอยู่ตลอด แต่พอหันไปก็ไม่มีอะไร แต่พออยู่ไปนาน ๆ คุณอ๊อฟก็รู้สึกว่า ‘บ้านหลังนี้ต้องมีอะไรแน่นอน’ จึงไปบอกพี่คนโต แต่พี่คนโตก็บอกว่าคิดมากไปเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง ทุกคนไปต่างจังหวัดกันหมด เหลือแค่แฟนของพี่คนโตอยู่คนเดียว ซึ่งห้องของเขาจะอยู่ตรงข้ามกับห้องที่ล็อคกุญแจ พอตกดึกเขาก็ได้ยินเสียงเหมือนเป็นเสียงเคาะฝาบ้านรอบ ๆ ข้างนอก แต่ก็คิดว่าคงเป็นกิ่งไม้ พอนอนไปสักพัก ก็รู้สึกร้อนจนเหงื่อออกมาก พอมองไปที่พัดลมปลายเท้าก็รู้สึกว่ามีหมอกกลุ่มควันดำ ๆ เขาคิดว่าพัดลมไหม้ จึงลุกขึ้นมาดู ปรากฏว่าทุกอย่างยังปกติเหมือนเดิม และกลุ่มควันนั้นได้หายไปแล้ว จึงตัดสินใจหลับต่อ แต่รอบนี้เสียงมันดังขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งเสียงรอบนอกและตัวพัดลมก็มีเสียง แป๊ก! เหมือนเป็นเสียงกดพัดลม ตอนนั้นก็คิดว่าเขาอยู่คนเดียว ถ้าเขาไม่กดแล้วใครจะกด จึงคิดว่าเป็นขโมย เขาจึงลุกขึ้นมา แล้วสิ่งที่เห็นก็ทำให้เขาช็อกมาก! เพราะมันคือเงาสีขาว ๆ เป็นกลุ่มควัน นั่งเอามือจิ้มปุ่มพัดลมอยู่ ดัง แป๊ก แป๊ก แป๊ก เหตุการณ์นั้นทำให้เขาตัดสินใจวิ่งออกจากบ้านไปหน้าปากซอยเพราะเป็นจุดที่สว่างที่สุด จนถึงเวลาตี 4 จึงกลับไปที่บ้าน หลังจากวันนั้นผ่านไปประมาณ 2 อาทิตย์ อยู่ดี ๆ ก็เกิดลมพัดแบบแปลก ๆ และมีเสียงแปลก ๆ เกิดขึ้นเหมือนเสียงของเล็บขูดผนังไม้ ทุกคนก็คิดว่าเป็นกิ่งไม้ แต่น้องของคุณอ๊อฟพูดขึ้นมาว่า “กิ่งไม้บ้าอะไรล่ะ ต้นไม้บ้านเรายังไม่มีเลยซักต้น” เมื่อทุกคนคิดได้ดังนั้น ก็คิดกันว่าจะทำอย่างไรกันต่อดี จึงตัดสินใจแยกกันไปนอนชั้นบนกับพี่ ๆ ตัวคุณอ๊อฟได้ไปนอนกับพี่คนโต ซึ่งก่อนที่คุณอ๊อฟจะเข้าห้องไป ได้เห็นห้องตรงข้ามที่ล็อคกุญแจอยู่ แต่ว่าในตอนนั้น กุญแจมันได้หายไป! แต่คุณอ๊อฟก็ไม่ได้คิดอะไรจึงเข้าห้องของพี่สาวคนโตไป แล้วคุยกับพี่สาวว่า “มันไม่มีกุญแจแล้วนะ ใครเปิดห้องหรือเปล่า เดี๋ยวคุณยายก็ว่าเอา” พี่สาวจึงตอบกลับมาว่า “มันไม่มีใครเปิด ใครจะเปิดไม่มีลูกกุญแจ” แต่ตัวของแฟนพี่สาวพูดออกมาว่า “ไม่มีลูกได้ไง วันนั้นผมยังเห็นคุณเปิดอยู่เลย!” เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนจึงพากันออกไปดูที่ประตู คนที่อยู่ห้องอื่น ๆ ก็พากันออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นเหมือนกันคือตัวแม่กุญแจ ดังแกร๊กขึ้นมา ซึ่งมันปลดล็อคเอง! ทุกคนอึ้งแต่ก็คิดว่า มันคงเก่าสลักเลยปลดเอง แล้วตัวของแฟนพี่สาวคนโตก็เป็นคนเปิดประตูเข้าไป ข้างในที่เห็นคือเป็นห้องไม้ มีหยากไย่ มีฝุ่นเยอะ มีโต๊ะสี่เหลี่ยมสูงจากพื้นเล็กน้อย มีผ้าคลุมกล่องปริศนา และผนังจะมีรูปอยู่ 3 ใบ แต่ฝุ่นเยอะมากจนทำให้ไม่เห็นว่าเป็นรูปอะไร ด้วยความสงสัยทำให้เขาไม่ฟังคำเตือนของทุกคนว่าอย่าไปยุ่ง เขาจึงเปิดผ้าออก ซึ่งปรากฏว่าสิ่งที่ผ้าคลุมอยู่คือหีบใบใหญ่ใบหนึ่ง มีเงินวางอยู่ในหีบ 4,000 บาท บนห่อผ้าขาว! เงิน 4,000 บาท นั้นเท่ากับเงินที่จ่ายค่าเช่าไป จากนั้นพี่สาวคนเล็กหันไปทางขวามือ ก็เจอคุณยายคนที่กวาดพื้นนั่งกอดเข่าอยู่ในห้องกำลังกอดรูปอยู่! จากนั้นก็ค่อย ๆ ลดรูปลง และแสยะยิ้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ นั่นทำให้พี่สาวคนเล็กกรี๊ดออกมา! ทุกคนจึงหันไปมอง แล้วทุกคนก็เห็นคุณยายเหมือนกันหมด! ทุกคนก็คิดว่า คุณยายเข้ามาอยู่ในนี้ได้อย่างไร ในเมื่อปล่อยเช่าแล้ว หรือว่าคุณยายนอนอยู่ในนี้ตั้งแต่แรกแล้ว จึงไม่ให้เราเข้ามายุ่ง ทุกคนก็พยายามถามคุณยาย แต่คุณยายก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วหยิบรูปขึ้นมาค่อย ๆ ปัดเช็ดรูปให้สะอาดจนเห็นภาพชัดขึ้น.. ปรากฏว่านั่นเป็นรูปของตัวคุณยายเอง! ในรูปเขียนว่า ชาตะ-มรณะ ทำให้ทุกคนตกใจวิ่งกันไปคนละทิศคนละทาง หลังจากนั้นทุกคนก็มาคิดย้อนคำของคุณยายที่บอกว่า “ถ้าอยู่ไม่ครบ กูไม่คืนเงินประกันนะโว้ย” ทุกคนก็กลับไปซักถามกับพี่คนโตว่า “คนที่รู้จักอ่ะ ไหนบอกว่ามีบ้านเช่าที่มันปลอดภัยไงวะ” พี่คนโตจึงไปคุยกับคนที่แนะนำบ้านเช่า สรุปว่า บ้านที่เขาบอกนั้นให้เข้าซอยกลาง แต่ที่ทุกคนเข้าไปคือเข้าซอยซ้ายมือสุด สรุปคือทุกคนไปผิดหลัง เมื่อไปสอบถามคนระแวกแถวนั้นก็ได้ความมาว่า บ้านหลังนี้เป็นบ้านของคุณยายที่มีนิสัยงกมาก ขนาดที่ว่าพระมาบิณฑบาตก็ว่าพระ ทำให้ชาวบ้านทนไม่ได้ก็ย้ายออก จนเหลือบ้านคุณยายหลังเดียว นอกนั้นก็ไม่มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมอีกเลย.(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากลูกนัท The Ghost Radio 'ห่อหมกปลาช่อน' l อังคารคลุมโปง X เจน - ลูกนัท The Ghost [ 4 พ.ย.2568 ]

11 พ.ย. 2025

เรื่องเล่าจากลูกนัท The Ghost Radio 'ห่อหมกปลาช่อน' l อังคารคลุมโปง X เจน - ลูกนัท The Ghost [ 4 พ.ย.2568 ]

ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ ต้องออกไปหาสถานที่ตกปลา แต่รอบนี้กลับไปเจอบ่อน้ำแห่งหนึ่ง ที่ได้มีคนเข้ามาเตือนว่า ที่นี่ห้ามไป..เพราะเจ้าของที่หวงมาก แต่สุดท้ายกลับบอกให้ไปได้ เพียงแต่ต้องพูดบอกไปว่า จะเอาปลาไปทำห่อหมกปลาช่อนให้ตากินนะ สุดท้ายหลังจากตกปลาได้ จะนำปลากลับไปฝาก กลับได้ไปรับรู้ถึงเรื่องราวบางอย่าง ที่ทำให้ต้องรู้สึกเสียน้ำตา.. คุณลูกนัท’ ได้มาเล่าเรื่องราวของ ‘คุณเก่ง’ ที่ได้เดินทางไปบ่อตกปลาในทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ในระหว่างทางกลับได้ไปพบตายายคู่หนึ่ง เข้ามาเตือนว่าอย่าไปที่บ่อแห่งนี้ เพราะว่าเจ้าของเก่า…หวงที่ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน ‘อังคารคลุมโปง X เจน - ลูกนัท The Ghost’ (4 พฤศจิกายน 2568) ไปพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจโซเซฟ’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘ห่อหมกปลาช่อน’เหตุการณ์ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เก่งมีงานอดิเรกเป็นการตกปลา ในทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ จนกระทั่ง เก่งไปเจอสถานที่แห่งหนึ่ง ที่เหมาะแก่การตกปลาเป็นอย่างมากเช้ามืดในวันรุ่งขึ้น เก่งเริ่มออกเดินทางขี่มอเตอร์ไซค์ ไปถึงยังที่หมายในช่วงเช้าตรู่ ภาพตรงหน้าที่ปรากฏ กลับทำให้เก่งรู้สึกเฟลขึ้นมา เพราะความไม่ตรงปกจากที่ดูรูปมา เก่งรู้สึกเสียดายถ้าจะต้องกลับในทันที จึงเปิดแผนที่เพื่อหาสถานที่อื่นแทน และได้เจอกับบ่อน้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลมาก จึงตัดสินใจที่จะเดินทางไปยังสถานที่แห่งนั้น แต่ในระหว่างทางบังเอิญไปพบกับบ้านไม้ ลักษณะสองชั้น ใต้ถุนสูงโปร่ง ที่มีคนอาศัยอยู่ เป็นตายายคู่หนึ่ง เก่งจึงเข้าไปสอบถามเส้นทางในการไปตกปลา แต่ก็ได้คำตอบกลับมาว่า บ่อน้ำแห่งนี้เจ้าที่หวงมาก มีแต่คุณตาเท่านั้นที่ไปตกได้ เก่งจึงตัดสินใจที่จะกลับมือเปล่า แต่ทันทีที่จะกลับ คุณตากลับตะโกนเรียกว่า “จะตกก็ไปตก เจ้าของที่ไม่ได้อยู่แล้ว แต่บอกเขาไปด้วยนะว่า ตาให้ไปตกแล้วจะเอาปลาไปทำห่อหมกปลาช่อนให้ตากิน” เก่งได้แต่นึกในใจว่า เจ้าของที่ไม่อยู่ได้อยู่แล้ว จะให้ไปบอกกับใคร หลังจากนั้น เก่งก็ได้เดินทางไปจนถึงบ่อ และได้เริ่มตกปลาที่บริเวณนั้น เวลาผ่านไป 1 - 2 ชัวโมง ตกได้ปลาแต่ปรากฏว่าปลาที่ได้เป็นปลาตัวเล็ก ๆ เก่งนึกได้ถึงคำพูดของคุณตาก่อนหน้า เลยพูดเอ่ยขึ้น ตามที่คุณตาได้บอกไว้...หลังจากนั้นไม่นาน ปรากฏว่า ได้ปลาช่อนตัวใหญ่มาก ตกมาได้ถึง 6 ตัว เก่งจึงคิดที่จะนำปลาที่ได้มา ไปฝากไว้ที่บ้านของตา แต่พอเดินทางไปถึง บ้านกลับปิดสนิท และมีบรรยากาศที่เงียบสงัด จึงตัดใจที่จะกลับมาในภายหลัง ในระหว่างนั้นเก่งขับมอเตอร์ไซค์ ออกไปหาร้านข้าว ก็ไปเจอกับร้านข้าวแห่งหนึ่ง และได้จอดแวะทาน แต่ป้าร้านข้าวก็ได้ทักถามขึ้นมาว่า “ทำไมเราถึงมาจากทางนั้น ไปตกปลามาหรอ?” เก่งตอบกลับไปว่า “ผมไปตกปลา ที่บ่อตรงนั้นมา”ป้าทำสีหน้าตกใจ เพราะด้วยความที่เจ้าของเป็นคนหวงที่มาก และไม่ให้ใครเข้าไปตกปลา แต่เก่งก็ตอบกลับไปว่า “คุณตาบ้านข้างหน้าบ่อ เขาบอกว่าให้ตกได้” ป้าร้านข้าวทำสีหน้างุนงง และได้พูดตอบแบบนิ่ง ๆ “เอ็งไม่กลัวผีหรอ” เก่งยิ่งเกิดอาการงง? กับคำพูดของป้า แต่หลังจากทานข้าวเสร็จ เก่งก็เดินทางกลับไปยังบ่อตกปลา แต่ระหว่างทางได้แวะบ้านของตาอีกครั้ง และได้เห็นตายืนอยู่ริมรั้วบ้าน เก่งจึงเอ่ยทักว่าเอาปลามาฝาก แต่ตาก็ตอบปฏิเสธในทันที และบอกว่าเอาไปทำไม่ไหวหรอก เพราะว่าแก่แล้ว เก่งนึกในใจว่าจะเอาปลากลับไปทำ และรอบหน้าจะนำมาฝากตากับยาย หลังจากคิดเสร็จเก่งก็เดินทางกลับบ้านในทันที แต่ระหว่างทางได้แวะร้านข้าวในอีกครั้ง ป้ารีบเดินเข้ามาถามในทันที “เจอลุงไหม เอ็งนี่ท่าจะไม่กลัวผีจริง ๆ” เก่งได้แต่ทำหน้าครุ่นคิดไปอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นป้าก็ได้เริ่มเล่าเรื่องราวบางอย่างให้เก่งฟัง ในอดีต คุณตามีชื่อว่า ‘ตาแม้น’ เป็นหนุ่มหล่อ และเป็นที่ชื่นชอบของสาว ๆ หนึ่งในคนที่ชอบตาแม้น มีชื่อว่า “ยายมา” เป็นเจ้าของบ่อตกปลา ยายแม้นเป็นคนที่หวงบ่อมาก แต่ตาแม้นเป็นคนเดียว ที่ยายมาให้มาตกปลาได้ และเวลาตกได้จะนำปลา ไปให้ยายมาทำห่อหมกปลาช่อนให้กิน ทั้งสองคนก็คอยดูแลกัน และกันอยู่เรื่อย ๆแต่พอเวลาผ่านไป ตาแม้นกลับไปมีอะไรกับ ยายมี พี่สาวของ ยายมา ด้วยความโกรธของยายมา จึงทำยาสั่งให้ทั้งคู่เกิดอาการอยากกินห่อหมกปลาช่อน หลังจากที่ทั้งคู่ได้กินเข้าไปก็เสียชีวิตลงในทันที เวลาผ่านไปยายมา เกิดความเสียใจ ที่เสียคนรักไปทั้ง 2 คน จึงรู้สึกตรอมใจ และได้ผูกคอเสียชีวิตลงในบ้านหลังนั้น หลังจากที่ได้ยินและรับรู้เรื่องราวทั้งหมด เก่งจึงกลับบ้านไปทำห่อหมกปลาช่อนในเช้าวันถัดมา เก่งได้นำห่อหมกปลาช่อน จากปลาที่ตกได้ นำมาจุดธูปให้คุณตา และคุณยาย(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเต็ม ๆ ได้ที่

เรื่องเล่าจากคุณกล้วย 'ตำเเหน่งอาถรรพ์' I อังคารคลุมโปง X ตั้ม The Shock [11 ก.พ. 2568]

16 ก.พ. 2025

เรื่องเล่าจากคุณกล้วย 'ตำเเหน่งอาถรรพ์' I อังคารคลุมโปง X ตั้ม The Shock [11 ก.พ. 2568]

ในรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (11 กุมภาพันธ์ 2568) ‘คุณกล้วย’ ได้มาเล่าประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับ ‘ตำแหน่งอาถรรพ์’ ที่เกิดขึ้นในออฟฟิศ หลังจากรับของฝากจากเมเนเจอร์ทีม A แล้วเกิดเหตุการณ์ลึกลับจนต้องลาออกจากงาน! มาฟังเรื่องราวเต็มๆ ไปกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ แล้วคุณจะรู้ว่า บางครั้งการเป็นคนเก่งก็กลายเป็นอุปสรรค! คุณกล้วยได้เล่าว่าเรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับตัวเขาเอง ย้อนกลับไปช่วงโควิด คุณกล้วยมีโอกาสได้ส่งใบสมัครเข้าทำงานที่บริษัทชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และสุดท้ายก็ได้รับเลือกให้เข้าทำงานในตำแหน่งเมเนเจอร์ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างสูง บรรยากาศในบริษัทค่อนข้างใกล้ชิดสนิทสนมกัน เนื่องจากบริษัทไม่ได้ใหญ่มาก แต่ลักษณะการทำงานแบ่งออกเป็น 2 ทีมใหญ่ คุณกล้วยได้มีการเรียกแทนว่า ทีม A และ ทีม B ซึ่งตำแหน่งของเขาคือเมเนเจอร์ของ ทีม B เป็นทีมน้องใหม่ และทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น ได้รับการดูแลที่ดีจากเพื่อนร่วมงาน รวมถึง CEO แต่เชื่อว่าทุกออฟฟิศต้องมีใครสักคนที่ไม่ได้ถูกชะตากับเรา ต่อให้พูดอะไรเพียงนิดเดียว เขาก็ไม่ชอบสิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราทำ หรือแม้แต่ตัวตนของเราเอง แต่ด้วยความที่คุณกล้วยเป็นเด็กใหม่ จึงพยายามมองข้ามเรื่องเหล่านั้นไป จนกระทั่งวันหนึ่ง บริษัทมีการมอบหมายโปรเจกต์ใหญ่ประจำปี โดยเมเนเจอร์ของทีม A และทีม B ต้องนำโจทย์ไประดมความคิดกันในทีม และก่อนนำเสนอ จะต้องขายไอเดียของแต่ละทีมให้ CEO ตัดสินว่าไอเดียของทีมไหนน่าสนใจกว่ากัน ปรากฏว่าในวันนั้น โปรเจกต์ที่ทีมของคุณกล้วยคิดถูกรับเลือกและได้รับความสนใจจาก CEO ซึ่งในระหว่างนั้น คุณกล้วยสังเกตเห็นสีหน้าของเมเนเจอร์ทีม A ดูไม่พอใจเล็กน้อย อาจเพราะเขาอยู่มาก่อน มีทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิที่สูงกว่า กลับกลายเป็นว่าผลงานของคุณกล้วยโดดเด่นกว่า แต่กระบวนการทำงานยังมีอีกขั้นตอนก่อนไฟนอล นั่นคือ การนำไอเดียกลับมาทบทวนกันอีกครั้ง แล้วสถานการณ์ก็เปลี่ยนไป… วันถัดมา ในที่ประชุม CEO ตำหนิทีมของคุณกล้วยอย่างรุนแรงด้วยคำพูดที่เย็นชาว่า “จ้างเงินเดือนขนาดนี้ คิดงานได้แค่นี้เองเหรอ?” ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาซื้อไอเดียนี้ไปแล้ว แต่สุดท้าย CEO กลับไปเลือกไอเดียของเมเนเจอร์ทีม A แทน คุณกล้วยรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ยังไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่ง เมเนเจอร์ทีม A เดินทางกลับต่างจังหวัด และมีของกลับมาฝากทุกคนในทีม คุณกล้วยก็ได้รับขนมมาหนึ่งชุดเช่นกัน ด้วยความเกรงใจจึงรับไว้และทาน หลังจากทานของฝากวันนั้น ทุกครั้งที่อยู่ที่ทำงาน หรือแม้แต่เดินกลับบ้าน คุณกล้วยรู้สึกเหมือนมี ใครบางคนกำลังจ้องมองอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกนี้จะหายไปก็ต่อเมื่อขึ้นห้อง แต่กลับรู้สึกว่า มีสายตาลึกลับจ้องมาจากนอกหน้าต่างอยู่เสมอ จนกระทั่งคืนนั้น คุณกล้วยนอนหลับไปตามปกติ แต่แล้วก็ฝันว่า มีบางอย่างรูปร่างท้วมมานั่งทับที่ตัวแล้วเอามือมากดที่ใบหน้า บีบตรงจมูกและปาก เหมือนพยายามกดให้หัวจมไปในหมอน แรงกดนั้นรุนแรงมาก ราวกับต้องการให้หายใจไม่ออกแล้วก็พยายาม ล้วงมือลึกเข้ามาในปาก แล้วกดซ้ำที่ฟัน จนรู้สึกเจ็บไปทั้งปาก คุณกล้วยพยายามดิ้นสุดแรงจนหลุดออกมาได้ แล้วก็ สะดุ้งตื่นขึ้นมา เมื่อมองไปที่ปลายเตียง เขาเห็นเงาร่างหนึ่ง ค่อย ๆ ก้าวลงจากเตียง ก่อนจะจางหายไปต่อหน้าต่อตา ที่น่ากลัวกว่านั้นคือปากของคุณกล้วยมีเลือดซึมออกมา รู้สึกปวดฟันเหมือนถูกกดทับอย่างแรง ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในฝันเป็นเรื่องจริง! แต่ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ในตอนเช้า แฟนของคุณกล้วยที่พักอยู่ที่เดียวกันก็ได้ฝันเหมือนกันและเล่าให้เขาฟังว่า มีคนมานั่งทับที่ตัวและใช้มือมาพยายามกดที่หน้า ซึ่งเป็นลักษณะที่คล้ายกัน แต่ในฝันของแฟนได้ยินเสียงกระซิบข้างหูบอกให้แฟนมาบอกคุณกล้วยว่า “ถ้าอยากอยู่ที่นี่อย่างสบาย ๆ ก็ให้รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวไว้หน่อย” หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ไป เขาก็ไม่ได้นำเรื่องที่ฝันไปเล่าให้คนที่ออฟฟิศฟัง แต่ด้วยความที่ตอนนั้นสถานการณ์บางอย่างในออฟฟิศมันหนักกว่าที่เขาจะรับมือได้ เขาจึงตัดสินใจลาออกจากออฟฟิศนั้น หลังจากวันที่คุณกล้วยลาออก เขามีโอกาสได้พบกับรุ่นน้องในทีม ซึ่งเปิดประเด็นคุยด้วยคำถามว่า “พี่กล้วยจำวันที่เรารับขนมจากพี่เมเนเจอร์ทีม A ได้ไหม” ตอนแรกคุณกล้วยไม่ได้เอะใจว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับอะไรเป็นพิเศษ แต่เมื่อน้องเริ่มเล่า เขากลับรู้สึกอยากฟังต่อ น้องบอกว่าอยากเตือนให้คุณกล้วยระวังตัวจากพี่เมเนเจอร์ทีม A เพราะในออฟฟิศมีข่าวลือกันว่า พี่เมเนเจอร์คนนั้นเลี้ยงผี แต่เหตุผลที่น้องไม่เคยพูดเรื่องนี้มาก่อน อาจเป็นเพราะกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง น้องเล่าต่อว่า คำว่า ‘เลี้ยงผี’ ในที่นี้ อาจไม่ได้หมายถึงการใช้สิ่งลี้ลับเล่นงานใครโดยตรง แต่เป็นการทำเพื่อ ไม่ให้ใครก้าวขึ้นมาเหนือกว่าเขา และนั่นอาจเป็นสาเหตุว่าทำไม ตำแหน่งของคุณกล้วยถึงมีคนเข้ามาอยู่ได้ไม่นาน เพราะแต่ละคนที่รับตำแหน่งนี้ ก็มักจะต้องลาออกไปด้วยเหตุผลคล้าย ๆ กัน ซึ่งวันที่น้องนำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ก็คือวันที่เขาตัดสินใจลาออกเช่นกัน…(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

ไปร่วมงานเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต จองโรงแรมที่ครอบครัวไปประจำ แต่ครั้งนี้ดันเจอหลอนไม่ได้นอนยันเช้า! เมื่อได้รู้ความลับของที่นั่นถึงกับอึ้ง!

20 ม.ค. 2024

ไปร่วมงานเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต จองโรงแรมที่ครอบครัวไปประจำ แต่ครั้งนี้ดันเจอหลอนไม่ได้นอนยันเช้า! เมื่อได้รู้ความลับของที่นั่นถึงกับอึ้ง!

เมื่อต้องเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แต่เกิดเหตุการณ์ให้ต้องย้ายห้อง จากนั้นก็ต้องเจอกับเรื่องราวที่ทำให้ต้องขนหัวลุกจนนอนไม่ได้! เรื่องนี้ ‘คุณกิ๊ฟ’ ได้นำเรื่องราวมาเล่าให้แฟนรายการ ‘อังคารคลุมโปง X’ (16 มกราคม 2567) ฟังพร้อมกับ ‘ดีเจแนน’ และ ‘ดีเจเจ็ม’ กับเรื่องที่มีชื่อว่า ‘โรงแรมหลอน นอนไม่ได้’ จะหลอนแค่ไหนนั้น ไปอ่านกันได้เลย! ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คุณกิ๊ฟและครอบครัวได้ไปร่วมงานเทศกาลกินเจที่จังหวัดภูเก็ต ได้จองตั๋วเครื่องบินรอบเช้าสุดเพื่อรีบไปร่วมงาน ส่วนเรื่องที่พักนั้น คุณพ่อกับคุณแม่ของคุณกิ๊ฟเป็นคนจองโรงแรมให้ ซึ่งท่านจะมาพักที่โรงแรมนี้ทุกครั้ง เพราะใกล้กับศาลเจ้าที่นับถือมากที่สุด เมื่อไปถึง ก็เช่ารถขับไปยังโรงแรม เข้าเช็คอินเวลาประมาณ 8 โมงเช้า เมื่อเช็คอินเสร็จก็นำของขึ้นไปเก็บบนห้องและเช็คความเรียบร้อยต่าง ๆคุณกิ๊ฟเล่าว่า ห้องอยู่ชั้น 4 แต่จำเลขห้องไม่ได้ และอธิบายห้องเพิ่มเติมว่า หากหันหน้าเข้าห้อง ด้านหลังจะเป็นบันได ด้านขวามือจะเป็นลิฟต์ ซึ่งโรงแรมนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ส่วนบริเวณนี้จะเป็นตึกแถวเก่าที่นำมารีโนเวทเป็นโรงแรม อาคารนี้มีไม่เกิน 10 ชั้น ฝั่งที่คุณกิ๊ฟอยู่นั้นจะเป็นฝั่งห้องพัก ตรงข้ามจะเป็นฝั่งห้องอาหาร ห้องที่คุณกิ๊ฟและครอบครัวเข้าพักนั้นมี 2 ห้อง เป็นห้องของคุณพ่อกับคุณแม่ และอีกห้องจะเป็นของคุณกิ๊ฟกับน้องชายอีก 2 คน หลังจากเข้าห้องไป คุณกิ๊ฟก็เช็คไฟ เช็คแอร์ และเปิดแอร์ทิ้งไว้ จากนั้นก็ออกไปรับประทานอาหารและไปตะลุยไหว้เจ้า เมื่อกลับมาถึงโรงแรมประมาณบ่าย 2 คุณกิ๊ฟก็ขึ้นไปอาบน้ำเพื่อพักผ่อน เพราะเวลา 5 โมงเย็น จะต้องออกไปไหว้เจ้ากันต่อ คุณกิ๊ฟก็ขึ้นไปห้องของคุณพ่อและคุณแม่ ทุกอย่างก็เป็นปกติ แต่ห้องของคุณกิ๊ฟกับน้องชายนั้น อยู่ดี ๆ แอร์ก็ดับเปิดไม่ได้ ‘คุณโก้’ (นามสมมุติ) ที่เป็นน้องชายคนเล็ก จึงโทรไปที่ล็อบบี้แล้วบอกว่า “ช่วยมาดูหน่อย แอร์มันเสีย” หลังจากนั้น ช่างก็ขึ้นมาทันที ช่างใช้เวลาซ่อมอยู่นานมากประมาณ 1-2 ชั่วโมง แต่ก็ซ่อมไม่ได้ ช่างจึงโทรไปที่ล็อบบี้ ทางล็อบบี้จึงแจ้งว่าจะเปลี่ยนห้องให้ หลังจากนั้น ก็ส่งแม่บ้านขึ้นมาช่วยขนของ ‘คุณกร’ (นามสมมุติ) ที่เป็นน้องชายคนกลาง ก็บอกว่า “เดี๋ยวผมขอขึ้นไปดูห้องใหม่ด้วย” คุณกิ๊ฟบอกเสริมว่า คุณกรเป็นคนที่ค่อนข้างมีเซ้นส์ แล้วคุณกรก็พูดภาษาจีนว่า “เดี๋ยวเราส่งสัญญาณนะ เธอรอฟังสัญญาณ” จากนั้น คุณกรก็ตามแม่บ้านขึ้นไปซึ่งชั้นที่จะให้คุณกิ๊ฟย้ายไปคือชั้น 7 ห้อง 705 ขณะที่คุณกรขึ้นไป อยู่ดี ๆ เขาก็ตะโกนลงมาจากชั้น 7 เป็นภาษาจีนว่า “เฮ้ย ไม่เอานะห้องนี้ มันมีผี!” คุณกิ๊ฟก็สงสัยว่าทำไมคุณกรตะโกนมาแบบนั้น ก็เลยบอกให้คุณโก้โทรไปที่ล็อบบี้และบอกว่า “ขอไม่ย้ายห้อง ทำยังไงก็ได้ให้ห้องนี้มันอยู่ได้” ทางโรงแรมก็แจ้งว่า “มันไม่ได้จริง ๆ ค่ะ ช่างแจ้งว่าแอร์มันเปิดไม่ติด แล้วก็ไม่รู้ว่าแอร์เป็นอะไร” คุณโก้ก็ยังยืนยันว่าจะไม่ย้าย จนโรงแรมหงุดหงิดและถามกลับมาว่า “ทำไมถึงไม่ย้ายคะ อยากทราบสาเหตุ” คุณโก้จึงตอบกลับไปว่า “ผมว่าคุณน่าจะมีคำตอบในใจนะว่าเพราะอะไร” หลังจากนั้นโรงแรมก็เงียบไปและตอบว่า “โอเคค่ะ” เวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง พนักงานโรงแรมก็โทรกลับมาว่า “มีอีกห้องนึงนะคะ อยู่ชั้น 5” ซึ่งก็อยู่ในมุมเดิมแถวหน้าลิฟต์ คุณกิ๊ฟตกลง คุณกรจึงขอไปดูห้องใหม่อีกครั้ง เมื่อเข้าไปทุกห้องก็เป็นเหมือนกัน คือเมื่อเปิดประตูเข้าไป หันหน้าเข้าห้อง ด้านขวามือจะเป็นห้องน้ำ ด้านซ้ายมือจะเป็นที่วางกระเป๋า ตู้เสื้อผ้า ถัดไปจะเป็นเตียง ถัดไปอีกก็จะเป็นมุมโซฟาเล็ก ๆ และด้านถัดมาจากโซฟาทางซ้ายก็จะเป็นประตูที่จะออกไประเบียง คุณกรก็ตกลง เพราะห้องนี้ดูใหม่จึงตัดสินใจเลือกห้องนี้ ทางโรงแรมจึงให้พนักงานขึ้นมาขนของ และย้ายไปอยู่ที่ชั้น 5 เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ต้องรีบทำเวลา เพราะอยู่ที่ภูเก็ตแค่ 3 วัน 2 คืน จึงรีบไปตะลุยไหว้เจ้าต่อ เสร็จก็กลับมาถึงโรงแรมประมาณ 5 ทุ่ม-เที่ยงคืนทุกวัน จึงเตรียมตัวเข้านอน ซึ่งคุณกิ๊ฟนอนตรงกลางขนาบด้วยน้องชายทั้ง 2 คน เวลาผ่านไปประมาณตี 3 คุณกรก็ปลุกคุณกิ๊ฟ แล้วบอกว่า “เจ้ ตื่นเร็ว!! อยู่ไม่ได้แล้ว นอนไม่ได้เลย” คุณกิ๊ฟก็บอกว่า “อะไรของแก ฉันพึ่งจะได้นอนเอง” คุณกรบอกต่อว่า “ถ้าไม่ตื่น จะไปแล้วนะ” ด้วยความที่คุณกิ๊ฟเคยเที่ยวกับคุณกรมา ก่อน เวลาคุณกรเจออะไรเขาก็จะพูดแบบนี้ คุณกิ๊ฟจึงรู้สึกว่าต้องมีอะไรแน่ ๆ จากนั้นก็รีบลุกขึ้น แล้วหันไปปลุกคุณโก้ หลังจากนั้นก็ออกจากห้อง และคุณกรก็บอกว่า “เจ้ ไปเจอกันที่ล็อบบี้เลยนะ เดี๋ยวจะไปปลุกป๊ากับม๊าก่อน” คุณกิ๊ฟก็ลงลิฟต์ไปกับคุณโก้ และลงไปนั่งที่ล็อบบี้ จากนั้นก็รอกันจนถึงตี 5 เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อห้องอาหารเปิดก็ไปรับประทานอาหาร ในระหว่างนั้น คุณกิ๊ฟก็ถามคุณกรว่า “แกเจออะไร? ” คุณกรตอบว่า “เดี๋ยวค่อยเล่า ๆ” หลังจากนั้นก็ขึ้นรถออกจากโรงแรม ซึ่งคุณกิ๊ฟรับหน้าที่เป็นคนขับรถ คุณกิ๊ฟจึงถามอีกครั้งว่า “เกิดอะไรขึ้น?” คุณกรเล่าว่า หลังจากที่ล้มตัวลงนอน เขาฝันว่ามีคนมาเคาะประตู ซึ่งในฝันเขาอยู่คนเดียว เขาจึงส่องไปที่ตาแมวเห็นเป็นพนักงานที่ล็อบบี้ คุณกรก็สังสัยว่ามาทำไม จึงเปิดประตูและถามว่า “มีอะไรครับ” พนักงานก็ตอบว่า “พี่คะ ผู้หญิงที่อยู่ห้อง 705 ที่พี่เจออะค่ะ ตอนประมาณเย็น ๆ เขามีเรื่องให้หนูมาบอกพี่” คุณกรก็พูดว่า “บอกอะไร? ผมไม่อยากรู้” คุณกรรู้สึกว่ามันไม่ปกติจึงบอกต่อไปว่า “ผมไม่ฟัง ผมไม่รับรู้ ผมมาทำบุญคุณไม่ต้องมาบอกผม” พนักงานก็บอกว่า “พี่คะ ขอร้องค่ะ ช่วยฟังหน่อย คือเขาอะบอกให้หนูมาบอกพี่จริง ๆ เขามีเรื่องทุกข์ใจมาก” แต่คุณกรก็ไม่ฟัง และพยายามดันประตูปิด จากนั้นฝั่งตรงข้ามก็คุกเข่าและพูดว่า “อ๋อ โอเคได้” เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นกลับกลายเป็นหน้าผู้หญิงที่อยู่ห้อง 705! คุณกรตกใจมาก แล้วเขาก็บอกว่า “กูบอกให้มึงฟัง มึงก็ไม่ฟัง มึงอยากลองดีหรอ?!” จากนั้นก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดและนำเลือดมาทาตัว หลักจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน และเดินเข้ามาหาคุณกรเรื่อย ๆ คุณกรบอกว่า เมื่อเขาเดินเข้ามา รู้สึกว่าภาพบรรยากาศในห้องมันเปลี่ยนไป ห้องนั้นกลายเป็นห้องมืด ๆ มีม่านเก่า ๆ โซฟาเก่า ๆ จากนั้นเขาหันไปที่ระเบียง เตรียมตัวจะเปิดประตูออกไป แต่ตรงนั้นกลับเปลี่ยนเป็นลูกกรงเล็ก ๆ คุณกรก็ตกใจ หันมาอีกที ผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่า “กูบอกมึงแล้วไง มึงอยากลองดี!” ด้วยความที่คุณกรกลัวมากจึงสวดมนต์ เมื่อสวดมนต์เสร็จ เขาก็บอกว่า “สวดมนต์หรอ กูไม่กลัวหรอก” คุณกรคิดว่าทำอย่างไรดีที่จะให้ตัวเองตื่น จึงสวดมนต์บทที่แรงขึ้น หลังจากนั้นก็หลุดออกมาได้! เมื่อหลุดออกมา จึงมาปลุกคุณกิ๊ฟกับคุณโก้ และในระหว่างที่คุณกรลงบันไดมานั้น คุณกรบอกว่า เมื่อมองเข้าไป ตรงบันได ถ้าหันหน้าเข้าห้อง ขวามือจะเป็นเหมือนทางเดินเข้าไปที่เป็นห้อง ๆ เป็นทางเดินระเบียง มีผู้หญิงมากวักมือเรียกกันเยอะมาก คุณกิ๊ฟจึงบอกว่า “ไม่เป็นไร เราไปไหว้เจ้า ทำใจสบาย ๆ ทำบุญให้เขาละกัน” คุณกรตัดสินใจจึงโทรหาเพื่อนที่เป็นคนภูเก็ตเพื่อจะถามเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น และได้นัดเจอกัน เมื่อเพื่อนรู้ชื่อโรงแรมที่คุณกรเข้าพักก็ถามขึ้นมาว่า “ทำไมถึงตัดสินใจนอนโรงแรมนี้หรอ?” คุณกรก็บอกว่า “ป๊ากับม๊ามาทีไรก็พักที่นี่ เพราะใกล้กับศาลเจ้าที่นับถือ” เพื่อนของคุณกรจึงบอกว่า “แกไม่รู้หรอว่าคนภูเก็ต ไม่มีใครเขามานอนที่นี่สักคน” คุณกรถามกลับว่า “ทำไมอะ มันเกิดอะไรขึ้น? ” เพื่อนของคุณกรก็ไม่อยากเล่า แต่ในที่สุดเขาก็ยอมและให้คุณแม่ของเขาเป็นคนเล่าแทน คุณแม่เล่าย้อนไปเมื่อ 20-30 ปีก่อน บริเวณที่โรงแรมนั้นตั้งอยู่เคยเป็น ‘ซ่องโสเภณีเก่า’ ได้เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ตึก ผู้หญิงที่อยู่ในนั้นถูกไฟคลอกเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เมื่อทราบที่มาที่ไป คุณกิ๊ฟยังต้องนอนต่ออีก 1 คืน แต่ก็คิดว่าคงไม่มีอะไร เพราะย้ายห้องแล้วคงตามมาไม่ได้ และรุ่งเช้าก็ได้กลับบ้านแล้ว คืนสุดท้ายจะเป็นคืนทำบุญใหญ่ รุ่งเช้าจะมีการส่งเจ้าขึ้นสวรรค์ คุณกิ๊ฟก็เดินไปร่วมงานเทศกาลที่โรงเจ ในระหว่างนั้นก็ทำบุญ คุณกิ๊ฟก็บอกกับคุณกรว่า “ไม่เป็นไร เมื่อคืนเราเจอแล้ว วันนี้เราตั้งใจอุทิศบุญให้เขาเลย เธอเห็นหน้าเขาแล้วหนิ” คุณกิ๊ฟเล่าว่า ภาพที่คุณกรเห็นครั้งนั้นในห้อง 705 คือเห็นเป็นโซฟาเก่า ๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งเหม่อมองไปข้างนอกหน้าต่าง แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้ว่าคุณกรเห็น ลักษณะการแต่งตัวคือใส่เสื้อคอกระเช้า และนุ่งผ้าถุงลายดอกเก่า ๆ คุณกิ๊ฟจึงบอกให้คุณกรนึกถึงหน้าผู้หญิงคนนั้น คุณกรก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้และขอให้มารับบุญนี้ หลังจากนั้นคุณกรก็ได้ยินเสียงผู้หญิงพูดขึ้นมาว่า “กูไม่เอา!” คุณกรไม่รู้จะทำอย่างไร คุณกิ๊ฟจึงบอกว่า “ช่างเถอะ เราจิตเป็นกุศลแต่ถ้าเขาไม่รับก็เรื่องของเขา” แล้วคุณกิ๊ฟก็ได้ของขลังกลับมา จึงนำมาวางรอบ ๆ เตียงเพื่อไม่ให้ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาได้ แต่ปรากฏว่าคืนนั้นกลับไม่ได้นอนอีกคืน เพราะผู้หญิงคนนั้นมาระราน เคาะตู้ เคาะเตียง และเหมือนมีเสียงคนเดินรอบ ๆ เตียงตลอดเวลา จนกระทั่งเช้าจึงรีบออกจากห้องไปที่ล็อบบี้ แล้วเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมแห่งนั้น(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)รับฟังเรื่องเต็ม ๆ ได้ที่

album

0
0.8
1