Chill On - Recap

Recap

ต้นกล้าแห่งความรัก เติบโตเพราะใส่ใจและร่วงโรยเพราะถูกลืม l CLUB PRIDE DAY inside EP.12 นนท์ อินทนนท์

13 ธ.ค. 2025

ต้นกล้าแห่งความรัก เติบโตเพราะใส่ใจและร่วงโรยเพราะถูกลืม l CLUB PRIDE DAY inside EP.12 นนท์ อินทนนท์

ความรักของนนท์ก็เหมือนต้นกล้า หากช่วยกันรดน้ำดูแล มันก็จะเติบโตไปได้ แต่ถ้าวันหนึ่งไม่มีใครใส่ใจหรือปล่อยให้ละเลยกันไป ความสัมพันธ์นั้นก็อาจกลายเป็นการต่างคนต่างอยู่ในที่สุดจุดเริ่มต้นของความฝันและครอบครัวที่สนับสนุน นนท์มีความฝันอยากเป็นนักแสดงตั้งแต่เด็ก เพราะไม่ชอบวิชาการและชอบทำกิจกรรม ที่บ้านเห็นความชอบนี้เลยสนับสนุนเต็มที่ ถึงแม้ฐานะไม่ได้ดีมาก แต่พวกเขาก็ส่งนนท์ไปเรียน จนนนท์ได้เล่นละครเวที ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของเส้นทางนี้ อย่างไรก็ตาม ความฝันที่สวยงามก็ต้องแลกมาด้วยการซ่อนตัวตนของตัวเอง ตอนนั้นนนท์ไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น และไม่อยากทำให้บ้านเสียใจ การเก็บทุกอย่างไว้ทำให้นนท์กลายเป็นคนขี้ระแวง ไม่มั่นใจ และกลัวสายตาของคนรอบข้าง ก่อนจะค่อยๆ ปลดล็อกตัวเองในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาความพยายามหนีตัวตนและการยอมรับ ช่วงรอยต่อประถมกับมัธยม นนท์อยากเริ่มต้นใหม่ด้วยการย้ายโรงเรียนเพราะเพื่อนเริ่มตั้งคำถามว่า “นนท์แตกต่าง” แต่สุดท้ายเพื่อนบางคนก็ย้ายตามมา ทุกอย่างจึงเหมือนเดิม นนท์พยายามทำตัวให้ “เหมือนผู้ชายมากขึ้น” ด้วยการมีแฟนเป็นผู้หญิง ซึ่งนนท์ชอบเธอจริงๆ ไม่ได้ทำเพื่อปิดบังอะไร แต่เพราะนนท์ยังไม่สามารถยอมรับตัวตนของตัวเองได้ และกลัวว่าจะทำให้ครอบครัวผิดหวัง ชีวิตช่วงนั้นของนนท์จึงเต็มไปด้วยความอึดอัดและไม่มีความสุข นนท์ใช้เวลากว่า 10 ปีในการเก็บซ่อนความจริงไว้ในใจ จนวันหนึ่งตัดสินใจจะไม่หนีอีกต่อไป และเลือกที่จะบอกความจริงกับที่บ้าน แม้ในใจจะกลัวมากว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือพวกเขาจะรับได้หรือไม่ แต่สิ่งที่ทำให้นนท์กล้าเผชิญคือกำลังใจจากเพื่อนๆ ที่บอกว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจะอยู่ข้างนนท์เสมอ”วันที่บอกความจริงกับครอบครัว นนท์ทำคลิปสารภาพกับที่บ้านว่าตัวเองไม่ได้ชอบผู้หญิง ทุกคนในบ้านช็อก เพราะเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างหัวโบราณ และนนท์เป็นลูกคนเดียว แม่พยายามถามว่า “ไม่เป็นแบบนี้ได้ไหม” แต่นนท์ก็อธิบายว่านี่คือสิ่งที่เป็นจริงๆ หลังวันนั้น แม่ไม่คุยกับนนท์นานหนึ่งปี แต่พ่อกลับเป็นคนที่เข้ามาปลอบและให้กำลังใจตลอด ส่วนอีกคนที่เป็นหลักสำคัญคือ “ป้า” ที่อยู่กับนนท์ในทุกความรู้สึก ไม่ว่าจะร้องไห้ เสียใจ หรือสับสนคำสัญญาที่ตั้งใจทำเพื่อครอบครัวก่อนจะบอกความจริง นนท์ตั้งใจไว้ 3 อย่างเรียนให้จบด้วยเกียรตินิยมบวชให้ครอบครัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับแอลกอฮอล์เพราะเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้อาจทดแทนความผิดหวังที่เขาอาจมีต่อสิ่งที่นนท์เป็นได้ จนวันที่แม่กลับมาพูดกับนนท์หลังจากนนท์เก็บเงินได้หนึ่งล้านบาทด้วยน้ำพักน้ำแรงและอยากให้แม่เป็นของขวัญ แม่ไม่รับ และถามเพียงว่า “เหนื่อยไหม” ประโยคสั้นๆ ที่ทำให้นนท์เหมือนยกภูเขาออกจากอก เพราะมันคือสัญญาณว่าแม่เริ่มยอมรับในตัวนนท์แล้วนนท์…คนที่อยากทำให้ทุกคนมีความสุข นนท์เป็นคนเอ็นเตอร์เทน ชอบเห็นคนรอบตัวมีความสุข และการได้ยินเสียงหัวเราะคือพลังสำคัญ แต่ในมุมการทำงาน นนท์กลับเป็นคนซีเรียสและคาดหวังสูงกับตัวเอง โดยเฉพาะเวลามีบรีฟว่า “ต้องตลก” เพราะไม่รู้ว่าคนอื่นคาดหวังแค่ไหน ลักษณะเพอร์เฟ็กชันนิสต์นี้บางทีก็ทำให้คนรอบข้างลำบาก จนนนท์เริ่มเรียนรู้ว่า การปล่อยวางบ้างคือสิ่งจำเป็นช่วงเวลาที่ฝังใจ ครั้งหนึ่งนนท์ถูกหลอกให้ไปแคสงาน พี่คนรู้จักให้ช่วยแคสคนอื่นก่อน ทั้งวันนนท์ทุ่มเทเต็มที่ แต่สุดท้ายกลับบอกว่า “ไม่ต้องแคสแล้ว คนเยอะพอแล้ว” พร้อมให้เงินเพียง 500 บาท ไม่ใช่เพราะเงิน แต่มันคือความผิดหวัง ตอนนนท์นั่งร้องไห้ มีคุณป้าขายข้าวเกรียบเดินมาปลอบ พร้อมคำพูดว่า “วันดีมันก็ดี วันไม่ดีเดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ประโยคนี้ทำให้นนท์เห็นว่า ความสุข sometimes อยู่ใกล้แบบคาดไม่ถึง อยู่ที่เราจะมองเห็นมันหรือไม่บทเรียนความรัก รักครั้งแรกในปีหนึ่งเป็นช่วงเวลาที่นนท์ทุ่มเทมาก เขาคือคนแรกที่มาจีบนนท์ก่อน ทำให้นนท์รู้สึกว่า “เขาคือโลกทั้งใบ” แต่สุดท้ายความสัมพันธ์จบลงเพราะเขามีคนอื่น แถมเป็นพี่คนสนิทของนนท์เอง หลังจากผ่านครั้งนั้น นนท์เรียนรู้เรื่องสติและการใช้เหตุผลมากขึ้น จึงสามารถเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าได้ในความสัมพันธ์หลังๆมุมมองต่อความสูญเสีย นนท์มองว่า “เกิด แก่ เจ็บ ตาย” คือสัจธรรม แม้คนที่รักจะทยอยจากไป แต่เราจะไม่มีวันชินกับความรู้สึกสูญเสีย เพียงแต่เวลาเท่านั้นที่จะช่วยเยียวยา นนท์เชื่อว่าเมื่อเสียอะไรไป มักมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นเสมอการเติบโตและมาตรฐานของตัวเอง หลายคนมองว่านนท์อยู่ในจุดที่ดี ทำงานดี มีคนรู้จักมากขึ้น แต่นนท์เตือนตัวเองเสมอว่า เมื่อก่อนก็เคยเป็นแค่ “เอ็กซ์ตร้า” ที่ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครยื่นโอกาสให้ นนท์ต้องวิ่งหาเอง วันนี้ถึงจะมีโอกาสมากขึ้น แต่มาตรฐานของนนท์ยังเหมือนเดิม ทำให้ดีที่สุดในแบบที่วันหนึ่งหันกลับมามองแล้วจะไม่เสียใจ เพราะได้ทุ่มเทเต็มที่แล้วดูคลิปเต็มได้ที่ Atime Do Deeจัดทำโดย : พิชชาภรณ์ ผาสุขดี และ ชานนท์ ไชยศรี

ความรักไม่ได้มีแต่ความสุข ทำไมเราเลือกที่จะมีมันอยู่ดี? l CLUB PRIDE DAY inside EP.11 ฟาอัล สุดติ่ง

19 พ.ย. 2025

ความรักไม่ได้มีแต่ความสุข ทำไมเราเลือกที่จะมีมันอยู่ดี? l CLUB PRIDE DAY inside EP.11 ฟาอัล สุดติ่ง

CLUB PRIDE DAY inside EP.11 เมื่อ “ฟาอัล สุดติ่ง” อินฟลูเอนเซอร์และครีเอเตอร์ชื่อดัง เปิดใจเล่าเรื่องราวชีวิต ความรัก การเติบโตในครอบครัว รวมถึงเส้นทางที่ทำให้เธอกลายเป็นที่รักของผู้คนมากมาย บทสนทนาครั้งนี้เต็มไปด้วยแง่คิดและแรงบันดาลใจที่ทำให้ทุกคนรู้จักฟาอัลในมุมลึกซึ้งกว่าเดิมความรักที่เหมือนรถไฟเหาะ ฟาอัลมองว่าความรักสำหรับเธอเหมือน รถไฟเหาะ (Roller Coaster) ที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น หวาดเสียว และเวลาเล่นบางครั้งก็เหนื่อย แต่ถึงแบบนั้นเราก็ยังเลือกที่จะรัก เพราะมนุษย์ต่างเสพติดความรู้สึกที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ฟาอัลเชื่อว่า “เรามักจะเป็นคนหนึ่งที่มีใครสักคนรออยู่ และเราก็กำลังรอเขาเหมือนกัน” มันเลยทำให้ฟาอัลไม่ได้โหยหาความรัก สำหรับสเปกของฟาอัลฟาอัลให้ความสำคัญกับ “ความใส่ใจ” มากกว่ารูปลักษณ์ และถ้าฟาอัลชอบใคร ฟาอัลจะกล้าบอกตรง ๆ เพราะเชื่อในการซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองการเติบโตท่ามกลางความต่าง แต่ไม่เคยถูกมองว่าแตกต่าง หนึ่งในหัวใจสำคัญของชีวิตฟาอัล คือการได้รับการเลี้ยงดูที่ “ไม่แบ่งแยก” จากครอบครัว ครอบครัวไม่เคยมองว่าฟาอัลเป็นเด็กพิเศษ แม้ร่างกายจะไม่สมบูรณ์เหมือนคนทั่วไป คุณตาของฟาอัลเคยสอนว่า “การที่เราเกิดมาแบบนี้ ไม่ได้แปลว่าเราผิดแปลกจากคนอื่น” คำสอนนี้หล่อหลอมให้ฟาอัลเติบโตอย่างเข้มแข็ง พร้อมรับมือกับโลกภายนอกแม้อาจไม่ยุติธรรมเสมอไป ช่วงวัยเด็ก ฟาอัลเคยรู้สึกไม่อยากออกจากบ้านเพราะคิดว่าตัวเอง “ผิดแปลกจากคนอื่น” แต่เมื่อโตขึ้น เธอเรียนรู้ว่าการสู้กลับแบบเด็ก ๆ ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลยจากการคลาน สู่การเดินได้ด้วยพระราชานุเคราะห์ ฟาอัลเริ่มต้นด้วยการ “คลาน” ก่อนที่จะได้รับพระราชานุเคราะห์ในการรักษา จนสามารถเดินได้ในวันนี้ และฟาอัลภูมิใจมากที่มาไกลจากจุดเริ่มต้น เมื่อถูกถามว่าอายไหมที่เดินไม่เหมือนคนอื่น ฟาอัลตอบอย่างมั่นใจว่า “ไม่เลย เพราะเมื่อก่อนเราต้องคลาน แต่ตอนนี้เราเดินได้แล้ว” สิ่งนี้ทำให้ฟาอัลมองว่ามันคือ เอกลักษณ์ มากกว่าข้อบกพร่องบาดแผลในโรงเรียนที่ไม่มีใครเห็น ชีวิตในโรงเรียนไม่ใช่ Safe Zone สำหรับฟาอัล เธอเคยถูกบุลลี่ทั้งจากเพื่อนและครู ทำให้ฟาอัลถึงขั้นต้องโกหกที่บ้านว่าไม่อยากไปโรงเรียน เพราะการบอกผู้ปกครองอาจทำให้สถานการณ์แย่ลง ฟาอัลมองว่า “การเรียนมันจะสนุกขึ้นมาก ถ้าสังคมในโรงเรียนทำให้เราอยากไป” ประสบการณ์เหล่านี้กลายเป็นปมสำคัญ แต่ก็เป็นแรงผลักดันที่ทำให้ฟาอัลเติบโตอย่างเข้าใจโลกมากขึ้นเรียนรู้ที่จะคิดบวกและเข้าใจความเป็นมนุษย์ ฟาอัลมองว่า “ทุกคนมีปม” ไม่ว่าเราจะเห็นหรือไม่ก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น เราอาจไม่ชอบนิสัยเพื่อนร่วมงานบางคน แต่เราไม่รู้เลยว่าเขาต้องเจออะไรในชีวิตประจำวัน เพราะเราไม่ได้อยู่กับเขาตลอด 24 ชั่วโมง หากเห็นทุกมุมของเขา เราอาจเข้าใจเขามากกว่านี้ก็ได้ นี่คือมุมคิดที่ทำให้ฟาอัลกลายเป็นคนที่เข้าใจผู้อื่นและพร้อมให้เกียรติทุกคนโรงเรียนพิเศษ vs โรงเรียนปกติ: มุมมองจากคนที่เคยผ่านเส้นทางนี้ ฟาอัลเชื่อว่า หากเด็กพิเศษช่วยเหลือตัวเองได้ ควรส่งเข้าเรียนใน โรงเรียนปกติ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและให้เด็กได้เรียนรู้การเข้าสังคม การแยกไปเรียนเฉพาะทางตั้งแต่แรกอาจยิ่งจำกัดโอกาส เพราะพ่อแม่ไม่สามารถอยู่ดูแลเด็กตลอดชีวิต ฟาอัลอยากให้สังคมมองเด็กพิเศษเป็น “มนุษย์คนหนึ่ง” ที่ควรได้รับเกียรติและโอกาสเท่าเทียมกับทุกคนการซัพพอร์ตคนพิการในไทยยังไปไม่ถึงเป้าหมาย ฟาอัลมองว่าระบบสนับสนุนคนพิการในไทยยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะเงินช่วยเหลือ 800 บาทต่อเดือนที่ไม่ครอบคลุมคุณภาพชีวิตพื้นฐาน แต่ถ้าเราสามารถปรับมาเป็นการซัพพอร์ตแบบยั่งยืน เช่น การสร้างอาชีพ มันอาจจะเป็นโครงการช่วยเหลือระยะยาวมากกว่าการช่วยแบบฉาบฉวยแบบในปัจจุบันแรงกดดันจากสังคม ศาสนา และตัวตนที่แท้จริง ฟาอัลเคยคิดจะเลิก “แต่งหญิง” เพราะแรงกดดันจากสังคมและศาสนา เธอไม่อยากทำผิดหลักความเชื่อ แต่ก็รู้ว่าการฝืนตัวเองทำให้ไม่มีความสุข เราอาจทำให้คนอื่นพอใจได้ แต่ถ้าเราไม่เป็นตัวเอง เราจะทุกข์ที่สุด โชคดีที่ครอบครัวของฟาอัลสนับสนุนและให้ฟาอัลใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการเส้นทางสู่วงการบันเทิงและอินฟลูเอนเซอร์ ฟาอัลฝันอยากเป็นนักแสดง และเริ่มต้นเส้นทางในฐานะอินฟลูเอนเซอร์ ความพยายามทำให้ฟาอัลมาถึงทุกวันนี้ แม้จะมีเสียงวิจารณ์ด้านลบ แต่เมื่อคนรู้จักมากขึ้น ก็เห็นความตั้งใจและเปิดใจยอมรับฟาอัลมากขึ้นสรุป: ฟาอัลไม่ใช่แค่ครีเอเตอร์ แต่คือแรงบันดาลใจของหลายคน จากบทความนี้ทำให้เห็นว่าฟาอัลเป็นคนที่ผ่านหลายสิ่ง แต่ยังคงมองโลกในมุมบวก กล้ารักตัวเอง กล้าเป็นตัวเอง และกล้าต่อสู้เพื่อความฝัน นี่คือเหตุผลที่ฟาอัลกลายเป็นแรงบันดาลใจของใครหลายๆคน และเป็นหนึ่งในตัวแทนที่สะท้อนว่าความแตกต่างคือความงดงามของมนุษย์ดูคลิปเต็มได้ที่ Atime Do Deeจัดทำโดย : พิชชาภรณ์ ผาสุขดี และ ชานนท์ ไชยศรี

ในวันที่ดอกไม้แห้งเหี่ยว แต่ความรู้สึกยังคงอยู่ตลอดไป l CLUB PRIDE DAY inside EP.10 น้ําปิง นภัสกร

21 ต.ค. 2025

ในวันที่ดอกไม้แห้งเหี่ยว แต่ความรู้สึกยังคงอยู่ตลอดไป l CLUB PRIDE DAY inside EP.10 น้ําปิง นภัสกร

" ในวันที่ดอกไม้แห้งเหี่ยว แต่ความรู้สึกยังคงอยู่ตลอดไป"ได้นำเสนอแง่คิดและประสบการณ์ชีวิตของ น้ำปิง นภัสกร นักแสดงดาวรุ่งวัย 24 ปีผ่านบทสัมภาษณ์ที่เต็มไปด้วยความลึกซึ้ง โดยน้ำปิงได้เริ่มต้นด้วยการเปรียบเทียบความรักเสมือน "ช่อดอกไม้" ซึ่งเป็นมุมมองที่ยอมรับความเป็นอนิจจังของความสัมพันธ์ เขามองว่าแม้ดอกไม้จะเหี่ยวเฉาและไม่สามารถอยู่กับเราได้ตลอดไป แต่แก่นแท้และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ "ความรู้สึก" ของผู้ให้และผู้รับที่ถูกเติมเต็มและยังคงอยู่ในความทรงจำตลอดไป เป็นการตอกย้ำว่าคุณค่าของความรักไม่ได้อยู่ที่ความยั่งยืนทางกายภาพ แต่อยู่ที่ความรู้สึกที่มอบให้กันและกัน ในส่วนของ ชีวิตส่วนตัวและครอบครัว น้ำปิงได้เผยให้เห็นถึงรากฐานทางความคิดที่แข็งแกร่งซึ่งได้รับมาจาก คุณแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นของการเผชิญหน้ากับความกลัว น้ำปิงได้เล่าถึงสิ่งที่น้ำปิงกลัวที่สุดในวัยเด็กคือ การร้องเพลง เนื่องจากเคยมีบาดแผลจากการถูกเพื่อนล้อเลียน ซึ่งคำสอนของคุณแม่ที่เปรียบเสมือนแสงนำทางคือประโยคที่ว่า "จงทำในสิ่งที่ท่านกลัว แล้วความกลัวจะหายไป" คำสอนนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้น้ำปิงก้าวข้ามความหวาดกลัวเรื่องการร้องเพลงได้เท่านั้น แต่ยังกลายเป็น ทัศนคติ สำคัญที่ถูกนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตและรับมือกับความท้าทายทุกรูปแบบ ทำให้น้ำปิงกลายเป็นคนที่มีวิธีคิดแบบมีมิติ (Layered) ที่มีความลึกซึ้งแต่ไม่ซับซ้อน และพร้อมที่จะเรียนรู้จากทุกประสบการณ์ที่เข้ามาในชีวิตอย่างเปิดกว้าง นอกจากคุณแม่แล้ว อีกหนึ่งบุคคลสำคัญที่เป็นหัวใจของน้ำปิงคือคุณยาย ผู้ที่เลี้ยงดูน้ำปิงมาตั้งแต่เด็กและเป็นดั่ง "เซฟโซน" ที่มอบความรักและความอบอุ่นให้เสมอมา แม้ว่าวันนี้ท่านจะจากไปแล้ว แต่น้ำปิงยังคงระลึกถึงท่านเสมอและมีความปรารถนาอย่างสุดซึ้งที่อยากให้ท่านได้เห็นความสำเร็จของน้ำปิงในวันนี้ โดยน้ำปิงเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด คุณยายยังคงเฝ้ามองและภูมิใจในตัวน้ำปิงอยู่เสมอและจากพื้นฐานครอบครัวนี้เอง น้ำปิงรู้สึกว่าตนเองโชคดีเป็นอย่างยิ่งที่ ทางบ้านไม่เคยกดดันหรือตั้งคำถามในสิ่งที่น้ำปิงเป็นหรือน้ำปิงเลือกจะทำ แต่กลับเป็นกำลังใจและพร้อม ซัพพอร์ต อย่างเต็มที่ ทำให้น้ำปิงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระและเติบโตในแบบที่ตนเองต้องการ สำหรับการ เข้ามาในวงการบันเทิง และการก้าวเข้าสู่เมืองกรุงเพื่อ ศึกษาต่อที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย น้ำปิงเปิดเผยว่าเขาต้องเผชิญกับช่วงเวลาของการ ปรับตัว ที่ยากลำบากอย่างมาก เนื่องจากความแตกต่างระหว่างสังคมในต่างจังหวัดกับสังคมในเมือง ทำให้เขาต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจกับสิ่งใหม่ ๆ มากมาย นอกจากเรื่องส่วนตัวแล้ว การได้รับบทบาทใน ซีรีส์ เขมจิราต้องรอด ซึ่งเป็นนิยายชื่อดังที่หลายคนชื่นชอบ ก็มาพร้อมกับความกดดันอย่างหนัก ทั้งจากคำถามว่าตนเองเหมาะสมที่จะถ่ายทอดบทบาทหรือไม่ และความกดดันจากกระแสสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสจากผู้ชมบางส่วนที่ต้องการให้ซีรีส์เรื่องนี้เป็นซีรีส์ชาย-หญิง แทนที่จะเป็นซีรีส์ BL (Boys' Love) ตามที่ถูกสร้างขึ้น ซึ่งจากเหตุการณ์นี้เอง ทำให้น้ำปิงเกิดการตั้งคำถามต่อมุมมองของสังคมไทย ต่อซีรีส์ BL ว่า แท้จริงแล้วสังคมไทยเปิดใจและยอมรับซีรีส์ประเภทนี้อย่างแท้จริงแล้วหรือยัง หรือเป็นเพียงการกล่าวอ้างว่ายอมรับกันไปเอง สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ศิลปินต้องเผชิญในการนำเสนอผลงานที่แตกต่าง เมื่อมีปัญหาหรือเรื่องราวที่เข้าใจผิดทำให้เกิดดราม่าต่างๆ น้ำปิงมักเลือกที่จะ ออกมาอธิบายและเคลียร์ทุกอย่างอย่างเปิดเผย ทันที เพราะน้ำปิงเชื่อว่าการเงียบไม่ใช่ทางแก้ปัญหา แต่การออกมาปกป้องตนเองหรือคนที่เรารัก การอธิบายให้เกิดความเข้าใจจะช่วยให้ทุกฝ่ายสบายใจ ในส่วนของ ประสบการณ์เรื่องความรัก น้ำปิงมองว่าตนเองเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความรักบ่อยครั้ง แต่เมื่อรักแล้วจะ ทุ่มเท ให้กับความสัมพันธ์นั้นอย่างมาก โดยธรรมชาติแล้วน้ำปิงเป็นคนที่ชอบเป็นผู้ให้ และเชื่อในความสัมพันธ์แบบ Give and Take แต่พอเราเป็นฝ่ายให้มากกว่าได้รับอย่างต่อเนื่อง น้ำปิงเลยเริ่มรู้สึกเหนื่อย จนกระทั่งนำไปสู่การ ตกตะกอนทางความคิด ว่าตนเองต้องการอะไร และความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่มันโอเคแล้วหรือไม่ เมื่อได้คำตอบที่ชัดเจนแล้ว การแยกย้ายจึงเกิดขึ้น แม้จะเจอการอกหักครั้งแรกที่ทำให้เสียใจอย่างหนัก แต่เหตุการณ์นี้กลับเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้น้ำปิงค้นพบว่า แม้ในวันที่รู้สึกว่าไม่เหลือใคร แต่เขาก็ยังมีเพื่อนและครอบครัวที่ยังรักและคอยอยู่เคียงข้างเสมอ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านั้นจึงเปรียบเสมือน "สารเร่งโต" ที่ทำให้น้ำปิงเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วดูคลิปเต็มได้ที่ Atime Do Deeจัดทำโดย : พิชชาภรณ์ ผาสุขดี และ ชานนท์ ไชยศรี

ความชอบของคนเรา เปลี่ยนไปได้ทุกวัย ทุกวัน l CLUB PRIDE DAY inside EP.9 นินิว เพชรด่านแก้ว

29 ก.ย. 2025

ความชอบของคนเรา เปลี่ยนไปได้ทุกวัย ทุกวัน l CLUB PRIDE DAY inside EP.9 นินิว เพชรด่านแก้ว

นินิว หรือ คริตตินา แซ่แต้จาก “เด็กขี้อาย” สู่ “เด็กกิจกรรม”ครอบครัว การยอมรับตัวตน นินิวเกิดในครอบครัวที่คุณพ่อเป็นตำรวจ ในสังคมตำรวจสมัยนั้นมักมองว่าการมีลูกเป็น LGBTQ+ เป็นเรื่องแปลก ทำให้นินิวรู้สึกเหมือนถูก “ฟรีซ” จากสายตาคนอื่น ถูกบอกว่าเป็นกะเทยแล้วไม่ควรเปิดเผย จึงไม่กล้าพูดหรือแสดงออก ตอนเด็กนินิวเคยถูกป้าข้างบ้านพูดใส่ว่า “ดีนะ ที่บ้านเราไม่มีลูกเป็นตุ๊ด” คำพูดนั้นฝังใจ แต่นินิวเลือกปล่อยผ่าน ให้เขาอยู่กับทัศนคติแบบเดิมของเขาไป อย่างไรก็ตาม นินิวมองว่าตัวเอง “โชคดีมาก” เพราะครอบครัวเปิดกว้าง เข้าใจ และไม่กดดัน ไม่คาดหวังให้นินิวต้องพิสูจน์ตัวเองเพียงเพราะเป็น LGBTQ+ อยากเรียนอะไร ทำอะไร ทางบ้านก็พร้อมที่จะสนับสนุนนินิวอย่างเต็มที่ทดลอง-เรียนรู้-ค้นหาความชอบ นินิวชอบลองสิ่งใหม่เพื่อรู้จักตัวเอง เคยฝันอยากเป็นนักร้อง พอได้ทำจริงกลับพบว่า “ไม่ชอบ” ถ้าว่าแล้วอาชีพนักแสดง นินิวก็ “ทำได้” แต่ยังไม่ใช่สิ่งที่ใช่ เพราะนินิวคิดว่า“ความชอบของคนเราเปลี่ยนได้ทุกวัย ทุกวัน”จึงไม่รีบการันตีว่าอะไรคือสิ่งที่ชอบที่สุด เปิดพื้นที่ให้ตัวเองได้ลองเสมอจุดเริ่มต้นสายท่องเที่ยว เริ่มจากอยากไปต่างประเทศเลยเรียนเป็น “ไกด์” ชอบเมืองชนบทต่างประเทศ ได้เห็นมุมชีวิตเรียบง่ายจนตกผลึกว่า“ความสุขจริง ๆ ไม่ได้ยากขนาดนั้น มันอยู่รอบตัวและไม่เหมือนกันในแต่ละคน” นินิวมองว่าตัวเองเป็น introvert ที่เข้าสังคมได้ รักการท่องเที่ยวพอ ๆ กับการอยู๋กับตัวเองในพื้นที่ที่มีความสงบและธรรมชาติการสูญเสีย มุมมองต่อความตาย การสูญเสียคุณพ่อคือบทเรียนครั้งใหญ่ นินิวไม่ร้องไห้ในวันนั้น เพราะรู้ว่าตัวเองทำหน้าที่ลูกได้เต็มที่แล้ว ถ้าถามว่านินิวกลัวตายมั้น นินิวตอบได้เลยว่าไม่กลัวความตาย“ถ้าเรากลัวความตาย เราอาจลืมความสุขที่ทำได้ในปัจจุบัน”เลยตั้งใจอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุดรับมือคอมเมนต์ ดราม่า นินิวชอบอ่านทุกคอมเมนต์ไม่ว่าจะมาในทางที่ดีและไม่ดี โดยวิธีรับมือของนินิวคือ “ไม่รับมือ” เพราะนั่นคือความคิดของเขา ไม่ใช่ตัวเรา ถ้าเขาไม่สำคัญกับชีวิตเรา เราก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร นินิวยอมรับว่าเคยโต้ตอบบ้างในอดีต ก่อนจะตกผลึกว่ามันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย และอาจกลายเป็น Digital Footprint ที่ว่าถ้าวันนึงเรามองย้อนกลับมา เราอาจจะไม่ชอบตัวเองในตอนนั้นก็ได้มุมมองเรื่องเพื่อน ถ้าพูดถึงเพื่อนสนิทของนินิวก็ต้องเป็น ฝน (monsterfon) จุดเริ่มต้นของพวกเรามาจากการไลฟ์เล่น ๆ กัน จนมีลูกค้าจ้าง ฝนเป็นเพื่อนที่คุยได้ทุกเรื่อง ทั้งไร้สาระและ deep talk เพราะมีตรรกะชีวิตคล้ายกัน รับฟังและเตือนกันได้ สำหรับมุมมองเรื่องเพื่อนของนินิว นินิวมองว่ามันสำคัญที่ “ทัศนคติที่ต้องไปด้วยกันได้” นินิวมักเป็นฝ่ายประนีประนอม เพราะคนรอบตัวส่วนใหญ่ใจร้อนความรักสเป็กของนินิว คือ “หนุ่มขาวตี๋” นินิวเคยอกหักครั้งแรกตอนมัธยม คบกันราวหนึ่งปี อีกฝ่าย “ยืมหูฟังบลูทูธของเราแล้วหายไป” มันจบลงด้วยการที่เขาหายไปเลย นั้นเป็นครั้งแรกที่เข้าใจความรู้สึกอกหัก จากนั้นเวลาอกหักนินวจะมีสเต็ปการอกหักที่ทำคือ ร้องไห้ เปิดเพลงเศร้า ดื่มกับเพื่อน ขับรถไปทะเล กินเหล้าจุดพลุถ่ายรูปลงรูปเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขา จนวันหนึ่งนินิวเลือกไปเที่ยวคนเดียว ปล่อยให้ธรรมชาติช่วยเรียงความคิด นินิวรู้สึกชัดเจนขึ้นว่า ที่เราเจ็บก็เพราะนินิวยังรักตัวเองไม่พอ จากนั้นนินิวก็คิดได้ว่า ถ้าจะรักใคร ต้องรักในแบบที่เขาเป็น ไม่ผูกความคาดหวังของนินิวไว้กับชีวิตอีกคน“ความรักเหมือนอากาศ” อยู่รอบตัวในหลายรูปแบบ ทั้งครอบครัว เพื่อน ตัวนินิวเอง หรือสิ่งเล็ก ๆ ที่ทำให้ยิ้มได้ วันนี้นินิวไม่ได้ตามหามัน แต่ถ้ามีคนเดินเข้ามา นินิวก็ยินดีที่จะค่อย ๆ เรียนรู้กันงานที่ใช่ เส้นทางครีเอทีฟ อยากใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ ถ้ามีโอกาสก็ทำให้เต็มที่ แต่รู้ชัดอย่างหนึ่งคือ “ไม่ชอบร้องเพลงตามร้าน” เพราะควบคุมปัจจัยรอบตัวไม่ได้ ยอมรับว่า “ทำตามใจตัวเอง” เงินซื้อไม่ได้ ถ้าใจไม่อยาก นินิวก็จะไม่ทำ นินิวค้นพบความเป็นคนตลกและสร้างสีสันแบบ “ไม่วางแผน” มาจากอินเนอร์ ไม่ค่อยตามกระแส ชอบหาความต่าง เลยออกมาเป็นธรรมชาติและถูกจริตผู้คนความกังวล แผนชีวิต นินิวรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ตอนนี้ “นินิวไม่มีเรื่องให้ต้องกังวล” เพราะนินิววางแผนคร่าว ๆ ของชีวิตไว้แล้ว ทั้งเรื่องการย้ายกลับต่างจังหวัด และเรื่องทำประกัน นินิวรู้ว่าอะไรสำคัญกับตัวเองที่สุด นินิวให้ความสำคัญกับความสุขเป็นลำดับแรก สำหรับคนที่ยังไม่เจอสิ่งที่ใช่ นินิวอยากให้ “ลองไปเรื่อยๆ” เพื่อค้นเจอความสุขของตัวเอง เพราะสิ่งที่ใช่วันนี้ พรุ่งนี้อาจไม่ใช่ ไม่เป็นไร แค่ลอง นินิวคิดว่าทุกเรื่องที่ผ่านมาคือ บทเรียน เราต้องอยู่กับปัจจุบัน สิ่งไหนไม่ดีเราก็เรียนรู้แล้วแก้มันเลย ไม่ต้องรอให้อนาคตย้อนกลับมารักตัวเองฉบับนินิว เข้าใจตัวเองให้มาก ทบทวนตัวเอง คุยกับตัวเอง ฟังเสียงตัวเอง เราไม่จำเป็นต้องให้ใครมายอมรับ แค่เรายอมรับตัวเอง ชีวิตก็จะ “สุขง่ายขึ้น”ดูคลิปเต็มได้ที่ Atime Do Deeจัดทำโดย : พิชชาภรณ์ ผาสุขดี และ ชานนท์ ไชยศรี

อย่ารักตัวเองมากเกินไปและบางครั้งเราก็ต้องเกลียดตัวเองบ้าง l CLUB PRIDE DAY inside EP.8 ม๊าเดี่ยว

09 ก.ย. 2025

อย่ารักตัวเองมากเกินไปและบางครั้งเราก็ต้องเกลียดตัวเองบ้าง l CLUB PRIDE DAY inside EP.8 ม๊าเดี่ยว

ความรักที่เหมือน "อากาศ" และการใช้ชีวิตอย่างอิสระ ม๊าเดี่ยว คือหนึ่งในคนที่เลือกจะใช้ชีวิตแบบไม่เหมือนใคร ไม่ยึดติดกรอบสังคม และกล้าที่จะเป็นตัวเองเต็มที่ มุมมองความรักของม๊าเดี่ยวเปรียบเหมือน “อากาศ” สิ่งที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่ก็ขาดไม่ได้ เหมือนอากาศ วันหนึ่งถ้ามันควบแน่นกลายเป็นฝน เราก็อาจได้เห็นสายรุ้ง แม้ม๊าเดี่ยวไม่เคยมีความรักและไม่ได้อยากผูกมัดใคร แม้จะกลัวความรักบ้าง แต่ม๊าเดี่ยวก็พร้อมจะเปิดใจให้คนที่เข้าใจและอยู่เคียงข้างกันจริงๆการเติบโตและครอบครัว ม๊าเดี่ยวเติบโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่เลือกทำอาชีพอิสระ แม้จะดูไม่มั่นคงในสายตาคนอื่น แต่กลับปลูกฝังให้ม๊าเดี่ยวเชื่อว่าความสุขอยู่ที่การได้ทำในสิ่งที่รัก พ่อแม่สนับสนุนทุกการตัดสินใจและให้อิสระเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการเป็นตัวเองหรือแม้แต่การอยากแต่งหญิง ครอบครัวไม่เคยตั้งคำถาม มีแต่ยอมรับและภูมิใจเส้นทางสู่โลกแฟชั่น จุดเริ่มต้นมาจากการเสพแฟชั่นต่างประเทศทางอินเทอร์เน็ต ม๊าเดี่ยวลองหยิบสิ่งของรอบบ้านมาทำชุดและโพสต์ลงโซเชียล จนกลายเป็นไวรัลและทำให้คนรู้จัก ม๊าเดี่ยวมีจุดยืนชัดเจนว่า ต่อต้าน Fast Fashion เพราะมองว่าเป็นการทำลายคุณค่าความคิดสร้างสรรค์ และเชื่อว่าการแต่งตัวไม่เหมือนใครไม่น่าอาย แต่การก๊อปปี้ต่างหากที่น่าอายการรับมือกับอุปสรรค ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ม๊าเดี่ยวเคยถูกโกงโดยคนที่ไว้ใจ และเคยโดนบูลลี่เรื่องรูปร่าง แต่เขาเลือกจะเรียนรู้และปล่อยวาง ไม่ยึดติดกับความสมบูรณ์แบบจนกดดันตัวเอง รวมถึงไม่ให้คอมเมนต์ลบมามีอิทธิพล จนได้ข้อคิดที่ว่า “ให้เป็นเรื่องของมาร์ก” (มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้ง Facebook)เป้าหมายชีวิต จากเดิมที่เคยฝันอยากเป็นดีไซเนอร์ให้เสื้อผ้าของตนอยู่ในตู้ทุกบ้าน ม๊าเดี่ยวเปลี่ยนมุมมองใหม่ มุ่งทำเป้าหมายเล็กๆ ในแต่ละวัน เพราะเชื่อว่า “การตั้งเป้าหมายเล็กๆ จะทำให้เรามีความสุขทุกวัน”แรงบันดาลใจให้คนอื่น ทุกวันนี้ ม๊าเดี่ยวกลายเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคน แม้จะมองตัวเองว่าไม่ได้เป็นคนดีอะไร แค่เป็นตัวเอง เช่น การกรีดอายไลเนอร์ธรรมดาๆ ก็อาจทำให้ใครสักคนกล้าที่จะลองแตกต่าง จุดเด่นของม๊าเดี่ยวคือ การทำได้หมด ม๊าเดี่ยวคิดว่า ”เราไม่จำเป็นต้องทำให้ดีที่สุด แต่ขอให้ลอง” เพราะว่า “ชีวิตมันไม่มีคำว่าสำเร็จ ชีวิตมีแค่คำว่าได้ทำแล้ว คำว่าสำเร็จมีไว้หลอกคนเท่านั้น”ดูคลิปเต็มได้ที่ Atime Do Deeจัดทำโดย : พิชชาภรณ์ ผาสุขดี และ ชานนท์ ไชยศรี

ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข l CLUB PRIDE DAY inside EP.7 เต้ กันตนา

28 ส.ค. 2025

ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข l CLUB PRIDE DAY inside EP.7 เต้ กันตนา

เต้ กันตนา กับความรักที่ไม่มีเงื่อนไขถ้าพูดถึงเรื่องของความรัก ก็จะมีหลาย ๆ ทฤษฎีให้ทุกคนได้ศึกษาและทำความเข้าใจในทฤษฎีนั้น ๆ และอีกหนึ่งทฤษฎีที่ทำได้ง่ายคือ "ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข" ทฤษฎีนี้หาได้ง่ายจากครอบครัว แต่อาจจะหาได้ยากจากคนรักจุดเริ่มต้นของ The Face Thailand The Face Thailand เริ่มจากคอนเซ็ปต์ “นี่แหละชีวิตจริง มันเกิดการแข่งขันแบบนี้” เพื่อรวบรวมคนที่มีแพสชันและความฝันด้านแฟชั่นมาแข่งขันกัน โดยซีซั่นแรก เต้ ปิยะรัฐ วางโครงสร้างชัดเจน พร้อมดึงเมนเทอร์ชื่อดัง ลูกเกด เมทินี, พลอย เฌอมาลย์ และหญิง รฐา มาช่วยถ่ายทอดแนวคิดให้เข้าถึงง่าย จนรายการได้รับความนิยม คำพูดและมีมจากรายการถูกนำไปใช้จริงในชีวิตประจำวัน ความสำเร็จนี้ทำให้ซีซั่นต่อ ๆ มา เต้ต้องเพิ่มความเข้มข้นและปรับให้เข้ากับยุคสมัยอย่างต่อเนื่องการหมดไฟและการกลับมาใหม่ แม้จะประสบความสำเร็จ เต้เคยยอมรับว่า หมดไฟกับการทำงาน เพราะทุ่มพลังให้ผู้เข้าแข่งขันทุกซีซั่นจนเหนื่อยล้า เต้จึงเลือกหยุดพักไป เพื่อเติมไฟให้ตัวเอง บทเรียนครั้งนั้นทำให้เต้เข้าใจว่า เมื่อไม่ไหว ต้องยอมปล่อยวาง และการมีครอบครัวเป็น support system คือสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เต้กลับมาแข็งแรงอีกครั้งTHE FACE THAILAND คือ DNA ของเต้ สำหรับเต้ รายการนี้ไม่ใช่เพียงงาน แต่คือ DNA ของชีวิต ทุกครั้งที่ทำงาน เต้ยึดหลัก “ทำให้เต็มที่ ไม่มีวันเสียใจ” และต้องสื่อสารกับทีมงานอย่างเข้าใจตรงกัน เพื่อเปลี่ยนภาพในหัวให้ออกมาเป็นรายการที่คนดูอินไปด้วยเหตุผลกับอารมณ์เป็นสิ่งที่การบาลานซ์ที่ยากที่สุด เต้ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ บางครั้งควบคุมยาก แต่เต้ก็เรียนรู้ที่จะจัดการมัน “บางทีมันต้องปล่อยให้อารมณ์ไปให้สุด เพื่อให้งานออกมาดี” นี่คือจุดแข็งและเอกลักษณ์ที่ทำให้ผลงานของเต้มีพลังและแตกต่างแรงกดดันจาก “ครอบครัวกันตนา”“เวลาเต้ทำดีมันเสมอตัว แต่ถ้าพลาด อาจถูกพูดถึงไปถึงบรรพบุรุษ” การเติบโตในครอบครัวกันตนาทำให้เต้เผชิญแรงคาดหวังสูง แต่แทนที่จะท้อ เต้กลับใช้เป็น แรงผลักดัน พิสูจน์ว่ารุ่น 3 อย่างเต้สามารถพาธุรกิจเดินหน้าต่อได้ และวันนี้เต้พร้อมส่งต่อให้คนรุ่นใหม่สืบต่อไปความรักและชีวิตส่วนตัว แม้จะประสบความสำเร็จด้านการงาน แต่เต้มองว่าตัวเองอาจ ไม่มีดวงเรื่องความรัก ในอดีตเวลาตกหลุมรักเต้มักใช้อารมณ์ล้วนๆและเต้จะคอยสร้าง “บททดสอบ” ให้คนรักต้องผ่านเพื่อพิสูจน์ความจริงใจ ถ้าถามว่าระหว่างความรักกับหน้าที่ เต้มองว่าหน้าที่และความรับผิดชอบต้องมาก่อน หากเขาเข้าใจก็ไปด้วยกันได้ แต่ถ้าไม่เข้าใจก็ยากที่จะเดินต่อบทเรียนชีวิต: การปล่อยวางและรักตัวเอง“รักตัวเองให้พอ รักตัวเองให้เป็น" ถ้าเต้ทำได้ เต้จะไม่โหยหาความรักจากคนอื่น แต่ยังมีเหลือพอที่จะแบ่งให้คนรอบข้าง เต้เรียนรู้ว่า "ทุกความสำเร็จต้องแลกมาด้วยความพยายาม" สิ่งสำคัญที่สุดคือการปล่อยวางและรักตัวเอง สำหรับเต้ ความรักแท้คือความรักแบบไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าจะมาจากครอบครัว คนรอบตัว หรือคนรักที่พร้อมยอมรับและปรับตัวให้กันและกันดูคลิปเต็มได้ที่ Atime Do Deeจัดทำโดย : พิชชาภรณ์ ผาสุขดี และ ชานนท์ ไชยศรี

การผจญภัยที่ยังไม่รู้จบ l CLUB PRIDE DAY inside EP.6 เอิร์ธ cooheart

20 ส.ค. 2025

การผจญภัยที่ยังไม่รู้จบ l CLUB PRIDE DAY inside EP.6 เอิร์ธ cooheart

เอิร์ธ COOHEART กับความรักที่เหมือนการผจญภัย วันที่เติบโตขึ้นอีกหนึ่งสเต็ปและยังได้เรียนรู้การรักตัวเองได้ในวัย 28 ปีที่อาจจะไม่ได้เก่งมาก แต่ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น เอิร์ธอยู่ในวงการซีรีส์วายมานาน แม้จะมีการเปลี่ยนพาร์ตเนอร์บ่อยครั้งด้วยหลายปัจจัย แต่เจ้าตัวยืนยันว่าไม่เคยอยากเปลี่ยน เพราะทุกครั้งคือการเริ่มใหม่ทั้งหมด เพียงแต่มองในอีกมุมว่ามันอาจเป็นโอกาสใหม่ที่พาไปไกลกว่าเดิม (Aim to the stars) หลายคนยังมองเอิร์ธว่าเป็น “เคมีสาธารณะ” เพราะทำให้คนดูเชื่อและอินไปกับการแสดงได้ แม้ไม่มีสูตรสำเร็จในการสร้างเคมี ทว่าเอิร์ธกลับมองว่านั่นคือความสนุกของการได้เพื่อนใหม่และเรียนรู้กันตั้งแต่ต้นอีกครั้ง เอิร์ธเชื่อว่าการ “ออกสาว” ไม่ได้เป็นอุปสรรคในวงการบันเทิง เพราะทุกคนสามารถสร้างจุดเด่นและเสน่ห์จากความ unique ของตัวเองได้ “ถ้าเราพยายามเป็นแบบที่คนอื่นอยากให้เป็น เราก็เป็นได้แค่เบอร์สองหรือสาม แต่ถ้าเราเป็นตัวเอง เราจะเป็นเบอร์หนึ่งในทางของเรา” เอิร์ธยังมองว่า Boy’s Love Girl’s Love จะเติบโตไปได้ไกลกว่านี้ และสิ่งสำคัญคือเอิร์ธอยากให้ตัวซีรีส์มีการเล่าเรื่องที่สะท้อนความเป็นมนุษย์มากกว่ามุมโรแมนติก และอยากให้ซีรีส์เหล่านี้ถูกมองว่าเป็นซีรีส์สำหรับทุกคน ไม่ได้จำกัดด้วยเรื่องเพศ“ไม่มีใครทำร้ายเราได้เจ็บเท่าเราทำร้ายตัวเอง” เอิร์ธเคยไม่ชอบตัวเอง จนเคยคิดว่าถ้าเราเป็นผู้ชายแท้ ๆ ทุกอย่างคงจะจบ เอิร์ธพยายามจัดการความคิดนั้นมันก็อาจมีคิดบางแต่เอิร์ธยึดจุดยืนของตัวเอง การที่เราไม่ยอมเปลี่ยนตัวเองเพื่อใคร มีจุดยืนเป็นของตัวเอง ถึงแม้จะโดนด่าหรือเจอดราม่า เอิร์ธก็ยังมีความเป็นนักสู้ (fighter) และคิดว่าเราต้องเปลี่ยน mindset ของตัวเองก่อน ต้องมั่นใจ เชื่อมั่น และการที่เราเป็นแบบนี้มันจะต้องมีที่ที่เป็นพื้นที่ของเรา ความรักของเอิร์ธ COOHEART เหมือนการผจญภัยเอิร์ธขอบคุณแฟนเก่าทุกคนที่ทำให้เอิร์ธเติบโตเป็นตัวเองในวันนี้ ถ้าวันหนึ่งทำดีที่สุดแล้วแต่ไม่ไหว เอิร์ธก็จะเลือกเดินออกมาเอง และไม่ยึดติดกับเงื่อนไขในความสัมพันธ์ ถึงแม้บางคนจะผิดพลาด แต่เอิร์ธพร้อมให้อภัยและโอกาสเสมอ หากสุดท้ายแล้วมันไม่ดีขึ้นจนมองอีกฝ่ายเปลี่ยนไป ก็ถึงเวลาที่ต้องจบ“เอิร์ธมองว่าตัวเองเป็นคนคลั่งรัก แต่ก็รักตัวเองมากกว่า” บทเรียนจากรักครั้งล่าสุดทำให้เอิร์ธเลือกที่จะไม่ผูกตัวเองกับคนรักอีกต่อไป เรารักกันได้โดยไม่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ต่างฝ่ายต่างมีพื้นที่ส่วนตัว แต่รู้ว่ามีกันและกัน แค่นี้ก็เพียงพอ สำหรับคนที่ไม่กล้าแต่งตัวเป็นตัวเอง เอิร์ธอยากให้ลองเริ่มปรับทีละนิด พร้อมปรับ mindset ว่า ถ้าไม่เริ่มวันนี้แล้วจะเริ่มตอนไหน? ชีวิตมันสั้น เราไม่รู้จะจากไปวันไหน ลองสำรวจตัวเองว่าชอบแบบไหน ถึงบางทีอาจไม่สมบูรณ์แบบ 100% แต่ถ้าเราแต่งในแบบที่อยากแต่ง ส่องกระจกแล้วแฮปปี้ แค่นั้นก็พอแล้ว ในวันที่เอิร์ธท้อ “คุณแม่” คือพลังงานสำคัญ เหมือน power bank ที่คอยชาร์จพลัง ยิ่งตอนนี้คุณแม่ยอมรับเอิร์ธอย่างเต็มที่ ทุกอย่างก็ดีขึ้นมาก เมื่อก่อนเอิร์ธกลัวว่าจะทำให้คุณแม่ผิดหวัง ถึงแม้คุณแม่จะรู้มาตลอดว่าเอิร์ธเป็นอะไร แต่ก็ยังห่วงอยู่ เอิร์ธเลยพยายามพิสูจน์ให้เห็นว่าทำได้ และตอนนี้มั่นใจแล้วว่า“บนโลกนี้ นอกจากเอิร์ธเองที่รักตัวเอง ก็มีคุณแม่ที่รักเอิร์ธที่สุดในโลก”ถ้าสามารถบอกอะไรกับตัวเองในอดีตได้เอิร์ธอยากบอกกับตัวเองว่า“Keep going on”ไม่ต้องเสียดายอะไร ทำในสิ่งที่อยากทำ เชื่อมั่นในตัวเอง เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะดีหรือร้าย มันคือการตัดสินใจที่ดีที่สุดแล้ว ต่อให้ผิดพลาดก็เป็นบทเรียนที่มีค่าเสมอดูคลิปเต็มได้ที่ Atime Do Deeจัดทำโดย พิชชาภรณ์ ผาสุขดีขอบคุณภาพจาก IG : cooheart

มหาสมุทรที่อยู่ในตัวทราย l CLUB PRIDE DAY inside EP.5 ทราย สก๊อต

22 ก.ค. 2025

มหาสมุทรที่อยู่ในตัวทราย l CLUB PRIDE DAY inside EP.5 ทราย สก๊อต

ความรักของทราย สก๊อต: มหาสมุทรที่ใครว่าเข้าถึงยาก ทราย สก๊อตเปรียบความรักของตัวเองเหมือน “มหาสมุทร” ที่ลึกและกว้างใหญ่ หลายคนอาจมองว่าทรายเป็นคนเข้าถึงยาก แต่ถ้าสังเกตดี ๆ จากสิ่งที่ทรายทำ จะเห็นได้ทันทีว่าทรายเป็นคนที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา ทรายอ่านคนเก่งและคัดกรองคนที่เข้ามาในชีวิตเสมอ ทรายมั่นใจกับความรู้สึกของตัวเอง และเชื่อในสัญชาตญาณของมนุษย์ เช่นในการเดต แค่เดทแรกทรายก็พอมองออกแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคนแบบไหน ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมา ทำให้ทรายเป็นคนช่างสังเกต ใส่ใจรายละเอียด ทั้งพฤติกรรม ทัศนคติ และบทสนทนา โดยเฉพาะหัวข้อที่ทรายเป็นฝ่ายชวนคุย เพราะในนั้นมักซ่อน “คีย์เมสเสจ” ที่บอกตัวตนของคนคนนั้นอย่างชัดเจนสเป็กคนรักในแบบของทราย ทรายชอบคนหน้าตาดี แต่ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก คนคนนั้นต้องมีความสงบ นิ่ง และยังรักษาความเป็นเด็กในตัวเองได้ ทรายอยากอยู่กับคนที่ทำให้รู้สึกสบายใจ เหมือนเป็นเพื่อนที่สามารถหัวเราะ เล่น และสนุกไปด้วยกันความคิดเรื่องความรัก ครอบครัว และการมีลูก มันง่ายขึ้น ถ้าทรายอยากจะสร้างครอบครัวเป็นของตัวเอง เพราะตอนนี้ทรายรู้แล้วว่าทรายต้องการอะไร แม้ตอนนี้ทรายยังไม่มีคนรัก แต่ทรายก็มีความสุขมากจนไม่ได้รู้สึกว่าต้องการอะไรเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามทรายอยากมีลูก อนาคตทรายอาจจะลูกบุญธรรมก็ได้ ทรายไม่ได้ซีเรื่องนี้ เพราะสำหรับทรายมีคู่ชีวิตมั้ยไม่รู้ แต่อยากมีลูก การแต่งงานสำหรับทรายสมควรที่จะเกิดขึ้นเพื่อให้เกิดความมั่นคงกับลูก ไม่ใช่เพื่อผูกมัดคนสองคน ทรายบอกว่า ถ้าวันหนึ่งมีลูก ทรายจะให้อิสระกับเขาเต็มที่ เพราะทรายเชื่อว่าเด็กจะเติบโตไปในทางที่ดีกว่าสิ่งที่พ่อแม่คาดหวังเสมอ ทรายอยากฝากถึงพ่อแม่ทุกคนว่า “ชีวิตเรามีแค่ชีวิตเดียว อย่าเอาความหวังและความเครียดของเราไปโยนใส่ลูกเลย”อะไรหล่อหลอมให้ทรายเป็นทรายในวันนี้ มหาสมุทร คือ safe zone ของทราย มันเป็นพื้นที่ให้ทรายรู้สึกเป็นอิสระ ต่างจากกรอบในครอบครัวที่เคยจำกัดตัวตนของทราย “โลกที่พ่อแม่สร้างให้ไม่ใช่สิ่งที่ทรายเป็น แต่ทรายเป็นมากกว่านั้น” การได้อยู่ในมหาสมุทรเหมือนเป็นพลังที่ช่วยผลักดันให้ทรายก้าวผ่านเรื่องร้าย ๆ ในชีวิตจากผู้ถูกล่วงละเมิด สู่ผู้ชนะ ทรายเคยถูกล่วงละเมิดในวัยเด็ก และสิ่งที่ทรายเรียนรู้คือ การปิดบังหรือกลัวคนรู้ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่การกล้าที่จะพูดออกมา ทำให้ทรายไม่ต้องกลัวอีกต่อไป เพราะความผิดไม่ใช่ของทราย คนที่กระทำต่างหากที่ควรอับอาย และถ้าอยากก้าวผ่านความเจ็บปวด ทรายเชื่อว่าเราสามารถขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้างได้ วันนี้สังคมเปิดใจและเข้าใจมากขึ้นแล้วบทบาทนักอนุรักษ์และเสียงสะท้อนจากสังคม ทุกวันนี้คนรู้จักทรายในฐานะนักอนุรักษ์ ซึ่งทรายมองว่าเป็นข้อดี เพราะช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น และช่วยขยายเสียงให้คนหันมาสนใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น งานของทรายไม่ง่าย ต้องต่อสู้กับอำนาจหลายด้าน แต่ยิ่งคนรู้จักงานของทรายมากเท่าไหร่ ยิ่งช่วยเพิ่มพลังในการขับเคลื่อน แน่นอนว่ามีทั้งเสียงชื่นชมและเสียงวิจารณ์ แต่ทรายบอกว่า “คนที่วิจารณ์ส่วนใหญ่คือคนที่ไม่ทำอะไรเลย แล้วทำไมทรายต้องแคร์คำพูดเหล่านั้น?” สำหรับทราย การลงมือทำเพื่อสังคมคือสิ่งสำคัญ และทรายมีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่รัก ไม่ว่าจะเป็นการให้ความอบอุ่นกับเด็ก ๆ หรือเรียนรู้จากงานหลากหลายที่ทรายทำดูคลิปเต็มได้ที่ Atime Do Deeจัดทำโดย พิชชาภรณ์ ผาสุขดีขอบคุณภาพจาก IG : psiscott

พระอาทิตย์ที่สดใสของเอแคลร์ l CLUB PRIDE DAY inside EP.4 เอแคลร์ จือปาก

10 ก.ค. 2025

พระอาทิตย์ที่สดใสของเอแคลร์ l CLUB PRIDE DAY inside EP.4 เอแคลร์ จือปาก

ในวันที่ความฝันดูไกล และต้นทุนชีวิตดูน้อยนิด เอแคลร์กลับเติบโตมาด้วยพลังศรัทธาอันแรงกล้า พร้อมยืนหยัดในตัวตนของตัวเอง ตั้งแต่เด็กที่โตมาในชุมชนคลองเตย สู่การเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่หลายคนรู้จัก เรื่องราวที่ไม่ต้องมีปาฏิหาริย์ แต่ขับเคลื่อนด้วย “ความเชื่อว่าเราทำได้”โตมาในคลองเตย ไม่ได้แปลว่าจะไปไม่ไกล“การอยู่ในสลัมทำให้เราเห็นโลกกว้างขึ้น แทนที่จะกลัว เรากลับเรียนรู้ที่จะอยู่รอด”เอแคลร์เติบโตในพื้นที่ที่หลายคนอาจมองว่าเป็น “ข้อจำกัด” ทั้งเรื่องคุณภาพชีวิตและสังคมรอบข้าง แต่เธอกลับมองว่านี่แหละคือห้องเรียนชีวิต ที่สอนให้เธออดทน แข็งแรง และเข้าใจคนอื่นมากขึ้น“บางคนบ่นว่าขึ้นรถเมล์ลำบาก แต่สำหรับหนู แค่ไม่ต้องเดินก็คือสบายแล้ว” เพราะความยากลำบากของแต่ละคนไม่เท่ากันเกิดในสลัม…ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีวันได้ดีหลายคนอาจมองว่าสลัมคือแหล่งรวมปัญหา แต่เอแคลร์เชื่อว่า มันไม่ได้อยู่ที่สถานที่ แต่อยู่ที่คนแม้จะอยู่ในสลัม แต่เอแคลร์ก็ได้รับการศึกษาเหมือนเด็กคนอื่น แล้วทำไมเอแคลร์ไม่กลายเป็นคนติดยาแบบที่หลายคนเหมารวม?ตอน ม.2 เอแคลร์เคยเฝ้าดูตัวเอง ว่าจะ "เสียคน" ตามที่ใครๆว่าหรือเปล่า สุดท้ายก็ไม่เป็นแบบนั้น เพราะเอแคลร์มีสติ ยึดมั่นว่าอยากมีชีวิตแบบไหนเอแคลร์เชื่อว่า แม้จะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมเดียวกัน ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องเหมือนกัน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเราเองLGBTQ+ กับการเติบโตอย่างเปิดเผยเอแคลร์รู้สึกว่าโชคดีมากที่ไม่เคยถูกล้อเรื่องความเป็น LGBTQ+ ความน่ารักของการอยู่ในสลัมคือ ถ้าเราเรียนดี คนในชุมชนจะสนับสนุนและมองว่าเราจะมีอนาคตที่ดี โดยไม่ตัดสินว่าเราเป็นใครที่โรงเรียนก็เหมือนกัน เอแคลร์ไม่เคยต้องปิดบังตัวตน และสามารถเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างในครอบครัว คนที่หลายคนอาจมองว่าเป็นอุปสรรค เช่น "พ่อ" แต่พ่อของเอแคลร์กลับเป็นคนที่ซัพพอร์ตเอแคลร์ที่สุด ไม่ว่าอยากทำอะไร พ่อก็พร้อมผลักดันเสมอ พ่อจึงเป็น Role Model ที่ทำให้เอแคลร์มี Self-Esteem สูง จนเป็นเอแครล์ในทุกวันนี้เอแคลร์เชื่อว่า "คำพูด" มีพลังมาก คำพูดเล็ก ๆ อย่าง “ทำไม่ได้หรอก” สามารถบั่นทอนความมั่นใจของเด็กได้ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็น “ลองดูสิ หนูทำได้” ก็อาจเปลี่ยนอนาคตของเขาได้เลย เราไม่ควรรีบตัดสินเด็กด้วยคำพูดของเราความรักของเอแคลร์ความรักของเอแคลร์เปรียบเหมือนพระอาทิตย์ เพราะพระอาทิตย์คือสิ่งที่ทรงพลัง เป็นศูนย์กลางของจักรวาล และเป็นจุดเริ่มต้นของหลาย ๆ อย่างในชีวิต เอแคลร์จึงเชื่อว่า ถ้าจะมีความรัก คนคนนั้นต้องเข้ามาเติมเต็มชีวิตให้มีความสุข และสดใสในทุก ๆ วันความรักในแบบของเอแคลร์ต้องทำให้ชีวิตสว่างไสว ไม่มีมุมมืด เป็นเหมือนพระอาทิตย์ที่ขึ้นเสมอ ไม่เคยตกดิน เป็นพลังบวกที่ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตเรามีค่า และได้รับการสนับสนุนจากใครสักคนอย่างเต็มที่ ถ้าเป็นแบบนี้ เรากับเขาก็จะสามารถแบ่งปันความรักให้กันได้เสมอความรักครั้งแรกของเอแคลร์มันคือความรักเดียวที่มี เพราะตั้งแต่เด็ก เอแคลร์โฟกัสเรื่องเรียน ไม่ได้ใส่ใจเรื่องความรักเลย เอแคลร์มองว่าการมีแฟนต้องมี "ต้นทุน" และไม่อยากพาใครมาลำบากด้วย ถ้ายังไม่พร้อมก็ยังไม่ควรมีเราเริ่มจากการที่เขาเป็นแฟนคลับเอแคลร์ เขาทักแชทมาก่อน เราก็คุยกันจนเกิดเป็นความเคยชิน มันดีไปหมดจนเอแคลร์เริ่มรู้สึกเบื่อ แต่มันเริ่มกลับมาดีขึ้นตอนที่เขาไปเป็นทหาร เราเลยคุยกันน้อยลง กลับทำให้เขาดูน่าสนใจ พอเขาปลดประจำการ เอแคลร์ก็เลยชวนเขามาอยู่ด้วย เขากลายเป็นคนที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตให้เรา จนวันหนึ่งความรู้สึกเบื่อก็กลับมา เพราะทุกอย่างมันเหมือนกราฟเส้นตรง มันดูเรียบไปหมด จนพวกเราลองแยกกันอยู่ แล้วพบว่า "มันดีกว่า"ตั้งแต่แรก ความสัมพันธ์ของเราไม่มีสถานะชัดเจน เราอยู่กันแบบไม่มีพันธะ ไม่ผูกมัด แค่รู้ว่าเรายังมีกันอยู่ แค่นั้นก็พอแล้วจุดเริ่มต้นของเอแคลร์ทุกอย่างเริ่มจาก "ความเชื่อว่าเราทำได้" เอแคลร์เริ่มทำคอนเทนต์จากสิ่งที่ไม่ถนัด เช่น แต่งหน้า ทั้งที่ตอนแรกแต่งหน้าไม่เป็นเลย แต่เอแคลร์เชื่อว่าถ้าอยากทำ เราก็ทำได้แม้ไม่มีเงิน เอแคลร์เลือกเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนที่ค่าเทอมแพง เพราะเชื่อว่าเราจะหาเงินมาจ่ายมันได้เอแคลร์ใช้ "ความเชื่อ" เป็นแรงผลัก ไม่รอโชค ไม่โทษโชคชะตา เชื่อว่าชีวิตเราลิขิตเองได้ และถ้าคิดแบบนี้ เราจะมีความสุขกับชีวิตได้ง่ายขึ้นจริง ๆสามารถรับชมตัวเต็มได้ใน Youtube Atime Do Deeจัดทำโดย พิชชาภรณ์ ผาสุขดี