ความแตกต่างของการดื่มชาเขียวแต่ละแบบ

Beauty & Health

ความแตกต่างของการดื่มชาเขียวแต่ละแบบ

04 มี.ค. 2025

ความแตกต่างของการดื่มชาเขียวแต่ละแบบ

      ชาเขียวมีหลายประเภท และแต่ละแบบก็มีความแตกต่างทั้งในเรื่องของรสชาติ วิธีการผลิต และประโยชน์ต่อสุขภาพ

 

ขอบคุณภาพจาก matchazuki

1. ชาเขียวญี่ปุ่น vs. ชาเขียวจีน

     ชาเขียวจีนและชาเขียวญี่ปุ่นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องของ กระบวนการผลิต, สี, รสชาติ และวิธีการชง ซึ่งส่งผลต่อประสบการณ์การดื่มชาอย่างมาก

1. กระบวนการผลิต

  • ชาเขียวญี่ปุ่น ใช้วิธี นึ่งด้วยไอน้ำ ทันทีหลังเก็บเกี่ยว เพื่อหยุดกระบวนการออกซิเดชัน ทำให้ใบชาคงความสดและมีสีเขียวเข้ม
  • ชาเขียวจีน ใช้วิธี คั่วในกระทะหรืออบแห้ง ทำให้เกิดกลิ่นหอมของการคั่ว และสีของใบชาเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง

2. สีของน้ำชา

  • ชาเขียวญี่ปุ่น มักให้สีน้ำชา เขียวสดใส เนื่องจากกระบวนการนึ่งช่วยรักษาสารคลอโรฟิลล์
  • ชาเขียวจีน มักให้สีน้ำชา เขียวอมเหลืองหรือทองอ่อนๆ จากกระบวนการคั่ว

3. รสชาติและกลิ่น

  • ชาเขียวญี่ปุ่น มีรสชาติ สดชื่น อ่อนนุ่ม หวานนิดๆ และมีกลิ่นหญ้าอ่อนๆ
  • ชาเขียวจีน มีรสชาติ หอมคั่ว กลมกล่อม ฝาดเล็กน้อย และซับซ้อนกว่าชาเขียวญี่ปุ่น

4. วิธีการชง

  • ชาเขียวญี่ปุ่น มักใช้ น้ำอุณหภูมิต่ำกว่า (ประมาณ 60-80°C) เพื่อไม่ให้รสขมเกินไป
  • ชาเขียวจีน สามารถชงด้วย น้ำร้อนกว่า (ประมาณ 80-90°C) โดยนิยมใช้ถ้วยชาแบบจีน (Gaiwan) หรือกาน้ำชา

5. ตัวอย่างชาแต่ละประเภท

  • ชาเขียวญี่ปุ่น: เซนฉะ (Sencha), มัทฉะ (Matcha), เกียวคุโระ (Gyokuro), โฮจิฉะ (Hojicha)
  • ชาเขียวจีน: หลงจิ่ง (Longjing), ปิหลัวชุน (Biluochun), จู๋เย่ฉิง (Zhuyeqing)

2. ชาเขียวมัทฉะ vs. ชาเขียวทั่วไป

     ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่มีหลายประเภท โดยหนึ่งในความแตกต่างที่สำคัญคือ มัทฉะ (Matcha) และชาเขียวทั่วไป (Loose Leaf Green Tea) ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งใน กระบวนการผลิต, วิธีดื่ม, ปริมาณสารอาหาร และรสชาติ

1. กระบวนการผลิต

  • มัทฉะ ทำจากใบชาอ่อนที่ถูกบดเป็นผงละเอียด โดยก่อนเก็บเกี่ยว ต้นชาจะถูกคลุมไว้ประมาณ 3-4 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มปริมาณคลอโรฟิลล์และกรดอะมิโน ทำให้ชาได้รสชาติหวานกลมกล่อมและสีเขียวสดใส
  • ชาเขียวทั่วไป มักใช้ใบชาทั้งใบและผ่านกระบวนการอบแห้ง ไม่ได้นำมาบด ทำให้สารอาหารบางส่วนละลายออกมาในน้ำเมื่อชง แต่ไม่ได้รับประทานใบชาโดยตรง

2. วิธีการดื่ม

  • มัทฉะ ถูกนำมาผสมกับน้ำและตีให้เข้ากัน ทำให้ได้เนื้อสัมผัสที่เข้มข้นและได้รับสารอาหารจากใบชาเต็มที่
  • ชาเขียวทั่วไป ชงโดยแช่ใบชาลงในน้ำร้อน จากนั้นกรองใบชาออก ทำให้ได้รับสารอาหารเพียงบางส่วนที่ละลายในน้ำ

3. ปริมาณสารอาหารและคาเฟอีน

  • มัทฉะ มีคาเฟอีนสูงกว่าชาเขียวทั่วไป เนื่องจากบริโภคทั้งใบชา จึงให้พลังงานและสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่า
  • ชาเขียวทั่วไป มีคาเฟอีนต่ำกว่า เพราะเพียงแช่ใบชาในน้ำ ไม่ได้รับใบชาโดยตรง

4. รสชาติและกลิ่น

  • มัทฉะ มีรสชาติ เข้มข้น ขมนิดๆ แต่กลมกล่อม พร้อมกลิ่นหอมของชา
  • ชาเขียวทั่วไป มีรสชาติ เบากว่า สดชื่นกว่า และอาจมีความหวานอ่อนๆ ขึ้นอยู่กับชนิดของชา

 

3. ชาเขียวร้อน vs. ชาเขียวเย็น (ใส่น้ำแข็ง/ขวดพร้อมดื่ม)

     ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่สามารถดื่มได้ทั้งแบบ ร้อน และ เย็น แต่หลายคนอาจสงสัยว่าทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร ทั้งในแง่ของ รสชาติ, คุณค่าทางสารอาหาร และผลต่อสุขภาพ

1. วิธีการชงและอุณหภูมิ

  • ชาเขียวร้อน ชงโดยใช้ น้ำร้อน (60-80°C) และดื่มในขณะที่ยังอุ่นอยู่ ทำให้รสชาติของชาเข้มข้นและกลิ่นหอมชัดเจน
  • ชาเขียวเย็น อาจมาจากการ ชงร้อนแล้วปล่อยให้เย็น หรือ ชงเย็นโดยใช้น้ำเย็นแช่ใบชา (Cold Brew) ซึ่งให้รสชาติที่นุ่มและสดชื่น

2. คุณค่าทางสารอาหาร

  • ชาเขียวร้อน มี สารต้านอนุมูลอิสระ (เช่น EGCG) สูงกว่า เพราะสารเหล่านี้ละลายในน้ำร้อนง่ายกว่า
  • ชาเขียวเย็น โดยเฉพาะชาเขียวขวดหรือชาเย็นที่ขายทั่วไป มักมีน้ำตาลสูง หรืออาจผ่านการแปรรูป ทำให้คุณค่าทางสารอาหารลดลง

3. รสชาติและกลิ่น

  • ชาเขียวร้อน มีรสชาติที่ เข้มข้น, หอมชัด และอาจมีความขมนิดๆ
  • ชาเขียวเย็น มีรสชาติที่ อ่อนกว่า, สดชื่น และดื่มง่ายกว่า โดยเฉพาะชาเขียวขวดที่มักมีรสหวานจากการเติมน้ำตาล

4. ผลต่อสุขภาพ

  • ชาเขียวร้อน ช่วย กระตุ้นระบบเผาผลาญ, ลดไขมัน และให้ประโยชน์สูงสุดจากชา
  • ชาเขียวเย็น โดยเฉพาะชาเขียวขวดหรือใส่น้ำแข็ง อาจมีน้ำตาลสูง ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เช่น น้ำหนักขึ้น หรือระดับน้ำตาลในเลือดสูง

สรุป 

     หากคุณต้องการดื่มชาเขียวเพื่อสุขภาพ ชาเขียวร้อนที่ไม่เติมน้ำตาล คือทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะจะคงคุณค่าสารต้านอนุมูลอิสระได้สูงสุด สำหรับผู้ที่ต้องการพลังงานและสารอาหารที่เข้มข้นขึ้น มัทฉะ คือตัวเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากเป็นการบริโภคทั้งใบชา ทำให้ได้รับสารอาหารมากกว่า

     หากคุณชื่นชอบรสชาติที่หอมคั่วแบบดั้งเดิม ชาเขียวจีน เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ ด้วยกระบวนการคั่วที่ทำให้ได้กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ในขณะที่ ชาเขียวเย็น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสดชื่นและรสชาติที่อ่อนโยนกว่า

 

ผู้เขียน : พิชชาภรณ์ ผาสุขดี

related Beauty & Health

กระแสชาเขียวฟีเวอร์จนขาดตลาด นอกจากอร่อยแล้วมีประโยชน์ยังไง

12 ก.ย. 2025

กระแสชาเขียวฟีเวอร์จนขาดตลาด นอกจากอร่อยแล้วมีประโยชน์ยังไง

ในช่วงปี 2025 ที่ผ่านมา หนึ่งในกระแสที่ได้รับความนิยมแบบถล่มทลายคงหนีไม่พ้นชาเขียว ที่กลับมาเป็นกระแสฟีเวอร์อีกครั้ง ด้วยความฮิตจากเมนูใหม่ ๆ ของร้านแฟรนไชส์เครื่องดื่มชื่อดัง การรีวิวบนโซเชียลมีเดีย และเทรนด์สุขภาพที่กลับมาครองใจคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานที่เริ่มใส่ใจสุขภาพมากขึ้น จากร้านกาแฟธรรมดาไปจนถึงคาเฟ่เฉพาะทาง หลายร้านถึงกับต้องขึ้นป้าย "ชาเขียวหมดชั่วคราว" เนื่องจากออร์เดอร์ที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุด ขณะเดียวกันชาเขียวก็ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องดื่มหอมอร่อยเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยคุณประโยชน์ที่หลายคนอาจยังไม่รู้ วันนี้ Chill On กินเที่ยวจะพาไปทำความรู้จักกับชาเขียวในมิติต่าง ๆ ทั้งรสชาติ เกรด ประโยชน์ เมนูน่าสนใจ รวมถึงคาเฟ่เด็ด ๆ ที่ต้องลองสักครั้งชาเขียว มีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกาย เราควรกินชาเขียวแบบไหนดี เพื่อให้ได้ประโยชน์มากที่สุด เป็นคำถามที่หลายคนสงสัย เพราะชาเขียวไม่ได้มีดีแค่กลิ่นหอมและรสชาติละมุน แต่ยังเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และคุณค่าทางโภชนาการที่ดีต่อร่างกาย โดยเฉพาะชาเขียวแบบไม่ใส่น้ำตาล หรือที่เรียกกันว่าชาเขียวแท้ ประโยชน์ของชาเขียวมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด - สารโพลีฟีนอลในชาเขียวช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL และป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดกระตุ้นระบบเผาผลาญ - คาเฟอีนและแคทิชินในชาเขียวช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนักลดความเสี่ยงมะเร็ง - สารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวอาจช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิดดีต่อสุขภาพฟันและลมหายใจ - สาร EGCG ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก ทำให้ลมหายใจสดชื่น และลดการเกิดฟันผุช่วยคลายเครียดและเพิ่มสมาธิ - ธีอะนีน (Theanine) ซึ่งพบได้ในชาเขียว มีคุณสมบัติช่วยให้สมองผ่อนคลายแต่ยังคงตื่นตัวประเภทรสชาติ(โทน)ของชาเขียว มีแบบไหนบ้างโทนสาหร่าย - เป็นชาเขียวมัทฉะ ที่มีความโดดเด่นในกลิ่นของสาหร่าย และกลิ่นหญ้าโทนถั่ว - เป็นชาเขียวมัทฉะ ที่ค่อนข้างได้รับความนิยม เนื่องจากมีกลิ่นหอมคล้ายถั่ว โดดเด่นในด้านความหอมละมุนชาเขียวมีกี่เกรด 1. Ceremonial Grade (เกรดพิธีการ) - ชาเขียวระดับสูงสุดที่ใช้ในพิธีชงชาของญี่ปุ่น เป็นมัทฉะที่ทำจากยอดอ่อนของใบชาเท่านั้น ผ่านกระบวนการบดด้วยหินแบบดั้งเดิม ทำให้ได้เนื้อผงที่ละเอียดพิเศษจนแทบละลายได้เองในน้ำร้อน รสชาติหอมละมุน ไม่ขม ไม่ฝาด 2. Premium Grade (เกรดพรีเมียม) - เกรดนี้จัดอยู่ในระดับสูงรองจากเกรดพิธีการ แต่ยังคงใช้ใบชาคุณภาพดี ผสมยอดใบอ่อน และมีกระบวนการผลิตที่รักษาคุณลักษณะของมัทฉะไว้ได้ดี มักนิยมใช้ในชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่นทั่วไป มีสีเขียวสดแต่น้อยกว่าเกรดพิธีการ มีกลิ่นหญ้าอ่อน ๆ แบบธรรมชาติ 3. Culinary Grade (เกรดทำอาหาร) - เกรดนี้ถือเป็นชาเขียวสำหรับการปรุงอาหาร นิยมใช้ทำขนม เบเกอรี่ หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมอื่น ๆ เพิ่มเติม เพราะมีรสเข้มที่ไม่โดนกลบง่าย ราคาไม่สูงมาก รสขมฝาด และอาจมีกลิ่นแรงแนะนำเมนูชาเขียวที่น่าสนใจ ทำเองได้ สำหรับผู้ที่อยากสนุกกับการดื่มชาเขียวแบบ DIY ที่บ้าน ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์บาริสต้าหรือวัตถุดิบหรูหราแต่อย่างใด เพราะมีเมนูชาเขียวหลากหลายแบบที่ทำง่าย ใช้วัตถุดิบไม่มาก และยังได้รสชาติอร่อยไม่แพ้ร้านคาเฟ่ดัง แถมยังสามารถปรับสูตรได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะหวานมาก หวานน้อย หรือเพิ่มความครีมมี่ด้วยนมชนิดต่าง ๆ สำหรับเมนูชาเขียวแบบทำเองที่คัดมาแล้วว่าอร่อย สดชื่น และสุขภาพดี มีดังนี้ 1. ชาเขียวเย็นสูตรน้ำผึ้งมะนาว - เมนูนี้เหมาะมากสำหรับหน้าร้อน หรือวันที่คุณต้องการความสดชื่นแบบไม่หวานจัด โดยใช้น้ำผึ้งแทนน้ำตาลให้ได้ความหวานจากธรรมชาติ วิธีทำ: ผสมผงชาเขียว 1 ช้อนชากับน้ำร้อนประมาณ 100 มล. คนให้ละลาย กรองเอาแต่น้ำเพื่อให้ได้รสชาติใสสะอาด จากนั้นเติมน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนชา และน้ำมะนาวเล็กน้อย คนให้เข้ากัน ใส่น้ำแข็ง ดื่มทันที หรือจะแช่เย็นไว้ก่อนก็ดี ดื่มแล้วสดชื่น คลายร้อนได้ดีเยี่ยม 2. มัทฉะลาเต้เย็น -เมนูยอดนิยมที่พบได้ในทุกคาเฟ่ แต่รู้ไหมว่าคุณสามารถทำเองที่บ้านได้แบบง่าย ๆ ด้วยวัตถุดิบเพียงไม่กี่อย่าง และยังเลือกปรับสูตรให้เป็นแนวสุขภาพมากขึ้นด้วย วิธีทำ: ผสมผงมัทฉะ 1 ช้อนชากับน้ำร้อนเล็กน้อย (ประมาณ 50 มล.) คนให้ละลาย จากนั้นเติมนมสดหรือนมอัลมอนด์ประมาณ 150-200 มล. ใส่น้ำแข็ง และเติมไซรัปหรือน้ำเชื่อมเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความหวานตามชอบ หากต้องการให้เข้มข้นกว่านี้ อาจใช้ครีมเทียมหรือวิปครีมเป็นท็อปปิ้งก็ได้ 3. สมูทตี้ชาเขียวกล้วยหอม - เมนูสายสุขภาพที่ได้ทั้งพลังงานดี ๆ และรสชาติหอมมันกลมกล่อมจากกล้วยหอมและชาเขียว เหมาะสำหรับเป็นมื้อเช้าหรือดื่มหลังออกกำลังกาย วิธีทำ: นำกล้วยหอมแช่แข็ง 1 ลูก ผงชาเขียว 1 ช้อนชา นมสดหรือโยเกิร์ต ½ ถ้วย และน้ำแข็งเล็กน้อย ใส่ลงในเครื่องปั่น ปั่นจนเนียนละเอียด เสิร์ฟใส่แก้ว สามารถเพิ่มเมล็ดเจียหรือข้าวโอ๊ตบดเพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหารได้อีกด้วย 4. พุดดิ้งชาเขียว - ของหวานที่ทำง่ายแต่ดูดี เหมาะทั้งทำกินเองในครอบครัวหรือเสิร์ฟในมื้อพิเศษ โดยใช้ผงเจลาตินช่วยให้เนื้อขนมจับตัวแต่ยังคงความนุ่มนวล วิธีทำ: ละลายผงเจลาตินประมาณ 1 ช้อนชาในน้ำอุ่น ผสมกับนมสด 1 ถ้วย ผงชาเขียว 1 ช้อนชา และน้ำตาลเล็กน้อย จากนั้นคนให้เข้ากัน ตั้งไฟอ่อนให้พอร้อนแต่ไม่เดือด เทใส่ถ้วยหรือพิมพ์ที่เตรียมไว้ พักให้เย็นแล้วแช่ตู้เย็นประมาณ 2 ชั่วโมงจนเซตตัว เสิร์ฟพร้อมวิปครีม หรือถั่วแดงกวนก็อร่อยไม่แพ้กันคาเฟ่ชาเขียวที่ได้รับความนิยมชาหน้าผา - คาเฟ่ชาเขียวที่กำลังเป็นกระแสจากเขาใหญ่ ซึ่งตอนนี้มาเปิดสาขาที่กรุงเทพ ฯ แล้ว มีเมนูชาเขียวและไอศกรีมให้เลือกหลากหลายแบบKyo Roll En - ร้านขนมหวานที่หลายคนคุ้นเคย เนื่องจากตั้งอยู่ภายในห้างสรรพสินค้า มีเมนูชาเขียวมากมาย โดยเฉพาะเค้กโรลชาเขียวFuku Matcha - ร้านชาที่ขึ้นชื่อเรื่องความเข้ม กินแล้วตาสว่างไปถึงเช้า แน่นอนว่าเมนูชาเขียวก็เข้มข้นถึงใจ ดื่มแล้วลืมไม่ลง จนอยากไปซ้ำPeace Oriental Teahouse - ร้านโปรดในดวงใจของใครหลายคน ด้วยเมนูชาเขียวมัทฉะเข้มข้นหลากหลายแบบMini Oriental speedbar - ร้านมัทฉะเครือเดียวกันกับ Peace Oriental speedbar ที่สำคัญคือ ทุกเมนูในร้านราคา 65 บาทเท่านั้นSeven Suns - ร้านชาเขียวมัทฉะที่แอดชอบมากที่สุด รสชาติเข้มข้น แต่ก็มีความกลมกล่อม หอมหวาน สาวกชาเขียวต้องได้ลองกันสักครั้งหนึ่งในชีวิตสรุป จากกระแสชาเขียวที่ฟีเวอร์จนขาดตลาด ทำให้เห็นได้ชัดว่าเครื่องดื่มชนิดนี้ไม่ได้เป็นเพียงแฟชั่นชั่วคราว แต่เป็นเทรนด์ที่ผสมผสานระหว่างความอร่อย ความสุข และสุขภาพได้อย่างลงตัว การตัดสินใจว่าจะกินชาเขียวแบบไหนดี จึงขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของแต่ละคน ไม่ว่าจะเพื่อสุขภาพ ความผ่อนคลาย หรือความเพลิดเพลิน การรู้จักประโยชน์ของชาเขียว ประเภท เกรด และวิธีการดื่มที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณได้รับคุณค่าจากเครื่องดื่มแก้วโปรดอย่างเต็มที่ และหากคุณยังไม่เคยลองทำเมนูชาเขียวเองที่บ้าน นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะเริ่มต้น เพราะชาเขียวไม่ใช่แค่เครื่องดื่มธรรมดา แต่คือไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่รักสุขภาพอย่างแท้จริง สามารถอ่านบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ ที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ Chill on กินเที่ยวจัดทำโดย : พิชชาภรณ์ ผาสุขดี และ บาลี บัญชานิตยกาล

ทฤษฎีโชคดี (Luck Theory) – โชคดีสร้างได้!

03 มี.ค. 2025

ทฤษฎีโชคดี (Luck Theory) – โชคดีสร้างได้!

ทฤษฎีโชคดี (Luck Theory) – โชคดีสร้างได้! หลายคนคิดว่า "โชคดี" เป็นเรื่องของดวงล้วนๆ แต่จริงๆ แล้ว มีหลายทฤษฎีที่อธิบายว่า โชคดีสามารถสร้างขึ้นได้ ผ่านวิธีคิดและพฤติกรรมของเราเอง1. The Four Factors Theory – 4 ปัจจัยแห่งโชคดี ดร. ริชาร์ด ไวส์แมน (Richard Wiseman) ศึกษาเรื่อง "โชค" และพบว่า คนโชคดีมีพฤติกรรมและวิธีคิดที่แตกต่างจากคนอื่นโดยเขาสรุปออกมาเป็น 4 ปัจจัยหลักขอบคุณภาพจาก the professional creative1. มีทัศนคติเปิดกว้างต่อโอกาสคนโชคดีมักเปิดรับสิ่งใหม่ๆ และไม่ปิดกั้นโอกาสลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำ หรือคุยกับคนใหม่ๆ เสมอ2. ใช้สัญชาตญาณในการตัดสินใจเชื่อมั่นในความรู้สึกของตัวเอง และกล้าตัดสินใจฝึกฟังเสียงภายในและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างสมดุล3. คิดบวกและคาดหวังสิ่งดีๆคนที่เชื่อว่าตัวเองโชคดี มักเจอเรื่องดีๆ จริงความคิดบวกช่วยดึงดูดโอกาสเข้ามา4. เปลี่ยนโชคร้ายให้เป็นโอกาสเมื่อเจอปัญหา จะหาทางออกมากกว่าตำหนิตัวเองคนโชคดีมองว่าอุปสรรคคือบทเรียน ไม่ใช่จุดจบ2. ทฤษฎี "สร้างโชคเอง" (Planned Serendipity) โชคดีหลายครั้งไม่ได้เกิดขึ้นแบบสุ่ม แต่เป็นผลจาก การวางแผนและสร้างสถานการณ์ ให้โอกาสเกิดขึ้นวิธีนำไปใช้:ออกไปพบปะผู้คนใหม่ๆ เพราะโชคดีมักมาพร้อมกับ "เครือข่าย"ลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่อาจนำไปสู่โอกาสโดยไม่คาดคิดสร้างนิสัยที่ช่วยดึงดูดโชค เช่น การเป็นมิตร ใจกว้าง และพร้อมเรียนรู้3. "Luck Surface Area" – พื้นที่โชคดียิ่งคุณเปิดโอกาสให้ตัวเองมากเท่าไหร่ "พื้นที่โชคดี" ของคุณก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้นทำยังไงให้โชควิ่งเข้าหาเรา?เพิ่มทักษะและความสามารถของตัวเอง (ยิ่งรู้เยอะ โอกาสยิ่งเยอะ)พาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยโอกาสกล้าลงมือทำมากกว่าคิดอย่างเดียวสรุป: โชคดีสร้างได้จากกระบวนการคิดดังนี้คิดบวกและเปิดรับโอกาสใหม่ๆฟังสัญชาตญาณและเชื่อมั่นในตัวเองพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสเสมอออกไปพบปะผู้คนและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆลงมือทำมากขึ้น เพื่อขยาย "พื้นที่โชคดี""โชคดีไม่ได้เป็นแค่เรื่องของดวง แต่เป็นผลลัพธ์ของวิธีคิดและการกระทำของเราเอง!"ผู้เขียน : พิชชาภรณ์ ผาสุขดี

ออกกำลังกายเวทเทรนนิ่ง เพิ่มกล้ามเนื้อ กระตุ้นระบบเผาผลาญ

02 ก.ย. 2025

ออกกำลังกายเวทเทรนนิ่ง เพิ่มกล้ามเนื้อ กระตุ้นระบบเผาผลาญ

หากพูดถึงการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง มีความเข้าใจผิดมากมายเกี่ยวกับการออกกำลังกายประเภทนี้ ด้วยคำนิยามที่เป็นการออกกำลังกายเพื่อสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ แต่หลายคนมักจะพูดด้วยคำว่าออกกำลังกายเพิ่มกล้าม ทำให้ตัวใหญ่ ตัวบวม หรือกล้ามใหญ่ จนผู้หญิงหลายคนอาจกลัวการออกกำลังกายประเภทนี้ แต่ความจริงแล้วการออกกำลังการเวทเทรนนิ่ง หากเลือกออกอย่างถูกต้องและพอดี ก็จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงไปพร้อม ๆ กับรูปร่างที่สวยงามมากขึ้น วันนี้ Chill on กินเที่ยว จะพาทุกคนไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการออกกำลังกายประเภทนี้ให้ละเอียดมากขึ้น และไขข้อเข้าใจผิดที่หลายคนยังไม่รู้ให้ถูกต้องการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง คืออะไร ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คอนเทนต์หรือเทรนด์เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและรูปร่างได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สังเกตง่าย ๆ ได้จากโซเชียลมีเดีย โดยหนึ่งในวิธีการออกกำลังกายที่ได้รับความสนใจจากทั้งผู้หญิงและผู้ชายทุกช่วงวัยก็คือ การเวทเทรนนิ่ง”หรือการฝึกกล้ามเนื้อด้วยแรงต้าน ซึ่งหลายคนอาจจะเคยได้ยินคำนี้อยู่บ่อย ๆ แต่ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเวทเทรนนิ่ง คือ อะไร และมีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกาย เวทเทรนนิ่ง (Weight Training) คือ การออกกำลังกายที่เน้นการใช้น้ำหนัก ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักตัวหรืออุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เช่น ดัมเบล บาร์เบล หรือเครื่องออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มแรงต้านให้กล้ามเนื้อทำงานหนักขึ้น การออกแรงซ้ำ ๆ และสม่ำเสมอจะช่วยกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อ รวมถึงกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากรูปร่างที่ดูดีขึ้นแล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมอีกด้วยเวทเทรนนิ่ง ช่วยเรื่องอะไรบ้าง การออกกำลังกายเวทเทรนนิ่ง ไม่ได้มีข้อดีแค่การทำให้รูปร่างผอมเพรียวหรือทำให้เห็นกล้ามเนื้อได้ชัดเจนเพียงเท่านั้น แต่การเวทเทรนนิ่งยังมีประโยชน์อีกหลายประการ ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต เช่นเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ: เมื่อเราอายุมากขึ้น มวลกล้ามเนื้อจะค่อย ๆ ลดลง การทำเวทเทรนนิ่งเป็นประจำจะช่วยชะลอการสูญเสียกล้ามเนื้อ และยังสามารถเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ นอกจากนี้การไม่มีกล้ามเนื้อยังส่งผลเสียต่อความแข็งแรงของกระดูก เมื่อแก่ตัวขึ้นอาจทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงเท่าที่ควรกระตุ้นระบบเผาผลาญ: กล้ามเนื้อมีบทบาทสำคัญในการเผาผลาญพลังงาน การมีกล้ามเนื้อที่มากขึ้นจะทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้น แม้ในช่วงเวลาที่ไม่ได้ออกกำลังกายก็ตาม สำหรับใครที่มีปัญหาด้านการเผาผลาญหรือกินน้อยแต่ยังอ้วน สามารถเลือกใช้วิธีออกกำลังกายเวทเทรนนิ่งเพื่อเพิ่มอัตราการเผาผลาญได้เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก: การฝึกเวทเป็นประจำจะช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อกระดูก ลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน ควรฝึกการออกกำลังกายให้เป็นนิสัยตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อลดปัญหาสุขภาพเมื่ออายุมากขึ้นช่วยควบคุมน้ำหนัก: การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อช่วยให้การควบคุมน้ำหนักมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะระบบเผาผลาญทำงานดีขึ้น อีกทั้งยังทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้นลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง: เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ฯลฯเพิ่มความมั่นใจในรูปร่าง: เมื่อรูปร่างกระชับ ดูดีขึ้น ย่อมส่งผลต่อความมั่นใจในตัวเองและภาพลักษณ์ในสังคมเวทเทรนนิ่งจำเป็นต้องมีอุปกรณ์เสมอไปหรือไม่ คำถามยอดฮิตของคนที่เริ่มต้นออกกำลังกายแรก ๆ คือ การออกกำลังกายจำเป็นต้องมีอุปกรณ์หรือไม่, เวทเทรนนิ่งไม่มีอุปกรณ์สามารถทำได้ เพราะการออกกำลังกายเวทเทรนนิ่งไม่ได้หมายถึงการใช้อุปกรณ์เป็นตัวช่วยเสมอไป การออกกำลังกายเวทเทรนนิ่งไม่มีอุปกรณ์ เรียกกันว่า Bodyweight คือการเอาน้ำหนักตัวมาเป็นแรงต้าน ตัวอย่างของ Bodyweight เช่นSquat เพื่อฝึกต้นขาและก้นPush-up เพื่อฝึกกล้ามเนื้ออก แขน และไหล่Plank สำหรับเสริมความแข็งแรงของแกนกลางลำตัวLunges สำหรับเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของขาแนะนำตารางการออกกำลังกายให้ Balance ระหว่าง Cardio and Weight Trainingข้อควรระวังในการออกกำลังกาย แม้ว่าการเวทเทรนนิ่งจะมีประโยชน์มากมาย แต่หากทำผิดวิธี ก็อาจก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บหรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้ จึงควรระมัดระวังดังนี้อย่าฝืนมากเกินไป: สำหรับผู้เริ่มต้นออกกำลังในช่วงแรก ควรเริ่มใช้ดัมเบลน้ำหนักเบา หรือเลือกจำนวนครั้งที่พอเหมาะแล้วค่อย ๆ ไต่ระดับเพิ่มขึ้นทีละน้อย อย่าหักโหมเพราะอาจทำให้กล้ามเนื้ออักเสบหรือเกิดการบาดเจ็บวอร์มอัพก่อนและหลังเสมอ: การอุ่นร่างกายช่วยให้กล้ามเนื้อและข้อต่อเตรียมพร้อม ลดโอกาสการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายศึกษาท่าทางที่ถูกต้อง: ท่าทางที่ผิดอาจทำให้เกิดแรงกดที่ไม่เหมาะสม เช่น อาการปวดหลังจากการ Squat ผิดวิธีฟังร่างกายตัวเอง: หากรู้สึกเจ็บ หรือไม่สบาย ควรหยุดทันที ไม่ควรอย่าฝืนออกกำลังกาย เพราะอาจทำให้ร่างกายบาดเจ็บเรื้อรังพักผ่อนและรับประทานอาหารให้เหมาะสม: ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะโปรตีน เนื่องจากกล้ามเนื้อต้องการโปรตีนและการพักผ่อนที่เพียงพอ เพื่อการฟื้นตัวและเจริญเติบโตสรุป เวทเทรนนิ่ง ไม่ใช่แค่การออกกำลังกายสำหรับนักเพาะกาย แต่เป็นหนึ่งในวิธีดูแลสุขภาพที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะต้องการรูปร่างที่ดี เสริมสร้างกล้ามเนื้อ หรือกระตุ้นระบบเผาผลาญ การออกกำลังกายเวทเทรนนิ่ง คือทางเลือกที่ตอบโจทย์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อผสมผสานกับคาร์ดิโออย่างสมดุล จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ฟิต และดูดีจากภายในสู่ภายนอก ที่สำคัญคือ ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เสมอไป ผู้เริ่มต้นสามารถเริ่มจากการเวทเทรนนิ่งไม่มีอุปกรณ์ได้เลย และเมื่อร่างกายแข็งแรงขึ้น ค่อยขยับไปใช้อุปกรณ์เพิ่มเติมตามความเหมาะสม การดูแลสุขภาพไม่ใช่เรื่องไกลตัว ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็สามารถมีสุขภาพดี และรูปร่างที่แข็งแรงได้ไม่ยากเลย ติดตามอ่านบทความดี ๆ เพิ่มเติมหรืออ่านบทความเกี่ยวกับการคาร์ดิโอได้ที่ Chill on กินเที่ยวจัดทำโดย : พิชชาภรณ์ ผาสุขดี

แนะนำการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio) ลดไขมันกระตุ้นหัวใจ

29 ส.ค. 2025

แนะนำการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio) ลดไขมันกระตุ้นหัวใจ

การออกกำลังกายมีหลากหลายรูปแบบที่สามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพร่างกาย แต่ในวันนี้เราจะมาพูดถึงการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio) ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบการออกกำลังกายลดไขมันที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการลดไขมันและกระตุ้นการทำงานของหัวใจ การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของระบบหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้อย่างต่อเนื่อง ช่วยลดไขมันสะสมในร่างกาย ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและสุขภาพดีขึ้นในระยะยาว แม้ว่าเราจะได้ยินคำว่า “คาร์ดิโอ” บ่อยครั้งในวงการออกกำลังกาย แต่หลายคนก็ยังไม่ทราบถึงความหมายและประโยชน์ที่แท้จริงของการออกกำลังกายประเภทนี้ วันนี้ Chill on กินเที่ยว จะพาคุณไปรู้จักกับการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอให้มากขึ้น รวมถึงประเภทต่าง ๆ ของคาร์ดิโอที่คุณสามารถเลือกทำได้ตามความต้องการของร่างกายปัญหาเหนื่อยง่าย จากการออกกำลังกายน้อย หลายคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ มักจะพบปัญหาการเหนื่อยง่าย หรือหายใจถี่เมื่อทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรง เช่น การเดินเร็ว หรือการขึ้นบันได หากไม่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ร่างกายอาจจะไม่สามารถปรับตัวกับความต้องการของระบบหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างเต็มที่ ทำให้มีอาการเหนื่อยง่าย ซึ่งเป็นสัญญาณของการที่หัวใจและหลอดเลือดทำงานไม่เต็มที่ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio) สามารถช่วยปรับสมดุลของร่างกาย ปรับปรุงการทำงานของระบบหัวใจและเพิ่มความทนทานให้กับร่างกายการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio) คืออะไร การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio) คือการออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างต่อเนื่อง เช่น การวิ่ง, เดินเร็ว, ปั่นจักรยาน หรือการว่ายน้ำ ซึ่งช่วยให้หัวใจทำงานหนักขึ้นและกระตุ้นระบบการไหลเวียนเลือดให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น การออกกำลังกายประเภทนี้จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการลดไขมันในร่างกายการออกกำลังกายคาร์ดิโอจะช่วยให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดทำงานได้ดีขึ้น ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดสะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองคาร์ดิโอ มีกี่ประเภท การออกกำลังกายคาร์ดิโอมีหลายประเภท ซึ่งสามารถเลือกทำได้ตามความชอบและความเหมาะสมของร่างกาย โดยแต่ละประเภทจะมีการใช้ความหนักเบาของการออกกำลังกายที่แตกต่างกันไป ประเภทของคาร์ดิโอที่คุณสามารถเลือกทำได้ มีดังนี้ 1. คาร์ดิโอประเภท LISS (Low Intensity Steady State) LISS เป็นการคาร์ดิโอที่ใช้การออกแรงในระดับต่ำ ไม่มีการกระแทกมากนัก โดยจะออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ใช้เวลาประมาณ 45-60 นาทีต่อครั้ง หรือ 200-300 นาทีต่อสัปดาห์ โดยรักษาระดับการเต้นของหัวใจให้อยู่ในระดับคงที่ประมาณ 50-65% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด การคาร์ดิโอแบบ LISS เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นออกกำลังกาย หรือผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก และไม่ชอบการออกกำลังกายหนักๆ เช่น การเดินเร็ว การปั่นจักรยานเบา ๆ หรือการว่ายน้ำ เป็นต้น โดยจะช่วยเสริมการทำงานของระบบหัวใจและปอด ช่วยในการเผาผลาญไขมัน และลดความเสี่ยงของอาการบาดเจ็บจากการออกกำลัง 2. กายคาร์ดิโอประเภท MISS (Moderate Intensity Steady State) MISS คือการออกกำลังกายที่มีระดับความเข้มข้นปานกลาง โดยรักษาอัตราการเต้นของหัวใจให้อยู่ที่ 60-70% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด การออกกำลังกายประเภทนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและไม่มีโรคประจำตัว เช่น การวิ่งจ็อกกิ้ง การเต้นแอโรบิก หรือการปั่นจักรยานด้วยความเร็วปานกลาง ผู้ที่ออกกำลังกายประเภทนี้มักจะออกกำลังกายเป็นระยะเวลาประมาณ 30-45 นาทีต่อครั้ง หรือประมาณ 150 นาทีต่อสัปดาห์ การคาร์ดิโอประเภท MISS ช่วยเสริมความแข็งแรงของระบบหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มความทนทานของร่างกาย และช่วยลดไขมันสะสมในร่างกายได้ดี 3. คาร์ดิโอประเภท HIIT (High Intensity Interval Training) HIIT คือการออกกำลังกายที่มีการใช้แรงในระดับสูงในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ โดยจะทำการออกกำลังกายอย่างหนักในช่วงเวลา 20-30 วินาที ตามด้วยการพักผ่อนหรือการออกกำลังกายที่มีความหนักเบาต่ำในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่จะกลับไปออกกำลังกายอย่างหนักอีกครั้ง ซึ่งการออกกำลังกายแบบ HIIT จะทำให้การเต้นของหัวใจสูงถึง 90% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุดคาร์ดิโอดีต่อระบบการไหลเวียนเลือด และหัวใจอย่างไร การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio) ช่วยส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดและสุขภาพหัวใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเราออกกำลังกายคาร์ดิโอ ร่างกายจะมีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อให้เลือดไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อและอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายมากขึ้น การทำเช่นนี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหัวใจและหลอดเลือด ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น การออกกำลังกายคาร์ดิโอยังช่วยลดความดันโลหิต และลดระดับไขมันในเลือด ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดได้ การออกกำลังกายคาร์ดิโอจึงเป็นการป้องกันการเกิดโรคเรื้อรังที่อาจเกิดจากการที่ร่างกายขาดการเคลื่อนไหวหรือไม่ออกกำลังกายเป็นระยะเวลานานข้อควรระวังในการออกกำลังกายคาร์ดิโอ แม้ว่าการออกกำลังกายคาร์ดิโอจะเป็นการออกกำลังกายที่ดี แต่ก็มีข้อควรระวังบางประการที่ควรพิจารณาก่อนเริ่มต้นออกกำลังกายคาร์ดิโอไม่ควรออกกำลังกายหนักเกินไป – สำหรับผู้ที่เริ่มต้นการออกกำลังกายคาร์ดิโอ ควรเริ่มต้นด้วยการออกกำลังกายเบา ๆ ก่อน และค่อย ๆ เพิ่มระดับความเข้มข้นของการออกกำลังกายเมื่อร่างกายเริ่มปรับตัวให้ร่างกายพักผ่อนเพียงพอ – ควรให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเพียงพอระหว่างวัน เพราะการออกกำลังกายหนักติดต่อกันหลายวันโดยไม่มีการพักผ่อน อาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ระมัดระวังเรื่องอุปกรณ์ – หากออกกำลังกายคาร์ดิโอที่ต้องใช้อุปกรณ์ เช่น การปั่นจักรยานหรือการวิ่ง ควรตรวจสอบอุปกรณ์ให้พร้อมใช้งาน และมั่นใจว่าอุปกรณ์นั้นเหมาะสมกับสภาพร่างกายของเราสรุป การออกกำลังกายคาร์ดิโอเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการปรับปรุงสุขภาพหัวใจ ลดไขมันในร่างกาย และเพิ่มความทนทานของร่างกาย คุณสามารถเลือกทำการออกกำลังกายคาร์ดิโอในรูปแบบที่เหมาะสมกับตัวเองได้ เช่น การวิ่ง การเดินเร็ว หรือการปั่นจักรยาน ทั้งนี้เพื่อให้การออกกำลังกายคาร์ดิโอมีประสิทธิภาพมากที่สุด ควรทำอย่างสม่ำเสมอ และคำนึงถึงการพักผ่อนให้เพียงพอหากคุณสนใจเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกาย และเคล็ดลับสุขภาพต่างๆ สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ Atime ที่มีบทความดี ๆ และข้อมูลที่น่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะหน้า Chill On กินเที่ยว ที่รวบรวมเรื่องกินเที่ยวและสุขภาพไว้ให้คุณได้อ่านและค้นพบความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอจัดทำโดย : พิชชาภรณ์ ผาสุขดี