ฝุ่น PM 2.5 กระตุ้นภูมิแพ้กำเริบ

Beauty & Health

ฝุ่น PM 2.5 กระตุ้นภูมิแพ้กำเริบ

14 ม.ค. 2025

ฝุ่น PM 2.5 เป็นสารพิษในชั้นบรรยากาศที่มีขนาดเล็กมาก เมื่อร่างกายของเราได้รับฝุ่นชนิดนี้เข้าไปจึงลงไปถึงหลอดลม ทำให้เกิดการอักเสบบริเวณหลอดลมและถุงลม ซึ่งเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ที่อาจมีอาการรุนแรงเพิ่มขึ้นกว่าเดิม 

ฝุ่น PM 2.5 มีความสัมพันธ์กับโรคภูมิแพ้อย่างมาก เพราะกลไกการอักเสบที่ลงลึกไปที่ระบบทางเดินหายใจส่วนบนและระบบทางเดินหายใจส่วนล่างส่งผลต่อภูมิแพ้ทางเดินหายใจ และภูมิแพ้ผิวหนัง เวลาที่สูดเข้าไปจะเกิดการอักเสบทั้งทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ภูมิแพ้โพรงจมูก จาม น้ำมูก คัดจมูก ลามไปถึงโพรงไซนัสอักเสบ ส่วนการอักเสบทางเดินหายใจส่วนล่างคือ บริเวณหลอดลมกับถุงลม เมื่อร่างกายได้รับฝุ่น PM 2.5 เพิ่มขึ้นจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้เดิมได้ไวขึ้น และเกิดการแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้ชนิดใหม่เพิ่มขึ้นได้ 


  • วิธีป้องกันมลพิษฝุ่น PM 2.5
    • เช็กดัชนีคุณภาพอากาศ ก่อนออกจากบ้าน หากอยู่ในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพควรเลี่ยงการออกนอกบ้านและทำกิจกรรมกลางแจ้ง
    • สวมใส่หน้ากากอนามัย ที่ได้มาตรฐานช่วยป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้ดีที่สุดและควรสวมใส่ให้ถูกต้อง 
    • ล้างจมูกทุกวันอย่างถูกวิธี เพื่อให้โพรงจมูกสะอาด ลดโอกาสการติดเชื้อและการเกิดโรค
    • รณรงค์เรื่องลดการเผาไหม้ ทั้งในชีวิตประจำวันอย่างการใช้รถให้น้อยลง การทำอาหารแบบครัวปิด การลดหรืองดการจุดธูป ไปจนถึงการทำการเกษตรและอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ทำให้เกิดการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์

อย่างไรก็ตามไม่ควรมองว่าโรคภูมิแพ้เป็นเรื่องปกติโดยเฉพาะอาการแพ้ที่เกิดจากฝุ่น PM 2.5 ควรต้องพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อตรวจเช็กอย่างละเอียดและปฏิบัติตามคำแนะนำ เพราะหากปล่อยไว้จนเรื้อรังนอกจากยากต่อการรักษา ยังอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อร่างกายมากกว่าที่คิด

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Bangkok Hospital โรงพยาบาลกรุงเทพ
 

related Beauty & Health

ความแตกต่างของการดื่มชาเขียวแต่ละแบบ

04 มี.ค. 2025

ความแตกต่างของการดื่มชาเขียวแต่ละแบบ

ความแตกต่างของการดื่มชาเขียวแต่ละแบบ ชาเขียวมีหลายประเภท และแต่ละแบบก็มีความแตกต่างทั้งในเรื่องของรสชาติ วิธีการผลิต และประโยชน์ต่อสุขภาพขอบคุณภาพจาก matchazuki1. ชาเขียวญี่ปุ่น vs. ชาเขียวจีน ชาเขียวจีนและชาเขียวญี่ปุ่นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องของ กระบวนการผลิต, สี, รสชาติ และวิธีการชง ซึ่งส่งผลต่อประสบการณ์การดื่มชาอย่างมาก1. กระบวนการผลิตชาเขียวญี่ปุ่น ใช้วิธี นึ่งด้วยไอน้ำ ทันทีหลังเก็บเกี่ยว เพื่อหยุดกระบวนการออกซิเดชัน ทำให้ใบชาคงความสดและมีสีเขียวเข้มชาเขียวจีน ใช้วิธี คั่วในกระทะหรืออบแห้ง ทำให้เกิดกลิ่นหอมของการคั่ว และสีของใบชาเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง2. สีของน้ำชาชาเขียวญี่ปุ่น มักให้สีน้ำชา เขียวสดใส เนื่องจากกระบวนการนึ่งช่วยรักษาสารคลอโรฟิลล์ชาเขียวจีน มักให้สีน้ำชา เขียวอมเหลืองหรือทองอ่อนๆ จากกระบวนการคั่ว3. รสชาติและกลิ่นชาเขียวญี่ปุ่น มีรสชาติ สดชื่น อ่อนนุ่ม หวานนิดๆ และมีกลิ่นหญ้าอ่อนๆชาเขียวจีน มีรสชาติ หอมคั่ว กลมกล่อม ฝาดเล็กน้อย และซับซ้อนกว่าชาเขียวญี่ปุ่น4. วิธีการชงชาเขียวญี่ปุ่น มักใช้ น้ำอุณหภูมิต่ำกว่า (ประมาณ 60-80°C) เพื่อไม่ให้รสขมเกินไปชาเขียวจีน สามารถชงด้วย น้ำร้อนกว่า (ประมาณ 80-90°C) โดยนิยมใช้ถ้วยชาแบบจีน (Gaiwan) หรือกาน้ำชา5. ตัวอย่างชาแต่ละประเภทชาเขียวญี่ปุ่น: เซนฉะ (Sencha), มัทฉะ (Matcha), เกียวคุโระ (Gyokuro), โฮจิฉะ (Hojicha)ชาเขียวจีน: หลงจิ่ง (Longjing), ปิหลัวชุน (Biluochun), จู๋เย่ฉิง (Zhuyeqing)2. ชาเขียวมัทฉะ vs. ชาเขียวทั่วไป ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่มีหลายประเภท โดยหนึ่งในความแตกต่างที่สำคัญคือ มัทฉะ (Matcha) และชาเขียวทั่วไป (Loose Leaf Green Tea) ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งใน กระบวนการผลิต, วิธีดื่ม, ปริมาณสารอาหาร และรสชาติ1. กระบวนการผลิตมัทฉะ ทำจากใบชาอ่อนที่ถูกบดเป็นผงละเอียด โดยก่อนเก็บเกี่ยว ต้นชาจะถูกคลุมไว้ประมาณ 3-4 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มปริมาณคลอโรฟิลล์และกรดอะมิโน ทำให้ชาได้รสชาติหวานกลมกล่อมและสีเขียวสดใสชาเขียวทั่วไป มักใช้ใบชาทั้งใบและผ่านกระบวนการอบแห้ง ไม่ได้นำมาบด ทำให้สารอาหารบางส่วนละลายออกมาในน้ำเมื่อชง แต่ไม่ได้รับประทานใบชาโดยตรง2. วิธีการดื่มมัทฉะ ถูกนำมาผสมกับน้ำและตีให้เข้ากัน ทำให้ได้เนื้อสัมผัสที่เข้มข้นและได้รับสารอาหารจากใบชาเต็มที่ชาเขียวทั่วไป ชงโดยแช่ใบชาลงในน้ำร้อน จากนั้นกรองใบชาออก ทำให้ได้รับสารอาหารเพียงบางส่วนที่ละลายในน้ำ3. ปริมาณสารอาหารและคาเฟอีนมัทฉะ มีคาเฟอีนสูงกว่าชาเขียวทั่วไป เนื่องจากบริโภคทั้งใบชา จึงให้พลังงานและสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าชาเขียวทั่วไป มีคาเฟอีนต่ำกว่า เพราะเพียงแช่ใบชาในน้ำ ไม่ได้รับใบชาโดยตรง4. รสชาติและกลิ่นมัทฉะ มีรสชาติ เข้มข้น ขมนิดๆ แต่กลมกล่อม พร้อมกลิ่นหอมของชาชาเขียวทั่วไป มีรสชาติ เบากว่า สดชื่นกว่า และอาจมีความหวานอ่อนๆ ขึ้นอยู่กับชนิดของชา3. ชาเขียวร้อน vs. ชาเขียวเย็น (ใส่น้ำแข็ง/ขวดพร้อมดื่ม) ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่สามารถดื่มได้ทั้งแบบ ร้อน และ เย็น แต่หลายคนอาจสงสัยว่าทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร ทั้งในแง่ของ รสชาติ, คุณค่าทางสารอาหาร และผลต่อสุขภาพ1. วิธีการชงและอุณหภูมิชาเขียวร้อน ชงโดยใช้ น้ำร้อน (60-80°C) และดื่มในขณะที่ยังอุ่นอยู่ ทำให้รสชาติของชาเข้มข้นและกลิ่นหอมชัดเจนชาเขียวเย็น อาจมาจากการ ชงร้อนแล้วปล่อยให้เย็น หรือ ชงเย็นโดยใช้น้ำเย็นแช่ใบชา (Cold Brew) ซึ่งให้รสชาติที่นุ่มและสดชื่น2. คุณค่าทางสารอาหารชาเขียวร้อน มี สารต้านอนุมูลอิสระ (เช่น EGCG) สูงกว่า เพราะสารเหล่านี้ละลายในน้ำร้อนง่ายกว่าชาเขียวเย็น โดยเฉพาะชาเขียวขวดหรือชาเย็นที่ขายทั่วไป มักมีน้ำตาลสูง หรืออาจผ่านการแปรรูป ทำให้คุณค่าทางสารอาหารลดลง3. รสชาติและกลิ่นชาเขียวร้อน มีรสชาติที่ เข้มข้น, หอมชัด และอาจมีความขมนิดๆชาเขียวเย็น มีรสชาติที่ อ่อนกว่า, สดชื่น และดื่มง่ายกว่า โดยเฉพาะชาเขียวขวดที่มักมีรสหวานจากการเติมน้ำตาล4. ผลต่อสุขภาพชาเขียวร้อน ช่วย กระตุ้นระบบเผาผลาญ, ลดไขมัน และให้ประโยชน์สูงสุดจากชาชาเขียวเย็น โดยเฉพาะชาเขียวขวดหรือใส่น้ำแข็ง อาจมีน้ำตาลสูง ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เช่น น้ำหนักขึ้น หรือระดับน้ำตาลในเลือดสูงสรุป หากคุณต้องการดื่มชาเขียวเพื่อสุขภาพ ชาเขียวร้อนที่ไม่เติมน้ำตาล คือทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะจะคงคุณค่าสารต้านอนุมูลอิสระได้สูงสุด สำหรับผู้ที่ต้องการพลังงานและสารอาหารที่เข้มข้นขึ้น มัทฉะ คือตัวเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากเป็นการบริโภคทั้งใบชา ทำให้ได้รับสารอาหารมากกว่า หากคุณชื่นชอบรสชาติที่หอมคั่วแบบดั้งเดิม ชาเขียวจีน เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ ด้วยกระบวนการคั่วที่ทำให้ได้กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ในขณะที่ ชาเขียวเย็น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสดชื่นและรสชาติที่อ่อนโยนกว่าผู้เขียน : พิชชาภรณ์ ผาสุขดี

Ashram Scent ธุรกิจออกแบบน้ำหอม เสน่ห์ของอาศรมแห่งกลิ่น

25 ก.พ. 2025

Ashram Scent ธุรกิจออกแบบน้ำหอม เสน่ห์ของอาศรมแห่งกลิ่น

“ในโลกนี้ที่กลิ่นหอมไม่ใช่แค่เครื่องหอมธรรมดา แต่ล้วนเป็นภาษาของอารมณ์ ความทรงจำ และตัวตน”Ashram Scent เป็นร้านน้ำหอมแบรนด์ไทยและเป็นสถานที่ซึ่งศิลปะแห่งกลิ่นที่ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างวิจิตร อาศรมแห่งนี้ไม่ใช่แค่เพียงร้านน้ำหอมแต่เป็นสตูดิโอแห่งการสร้างสรรค์ ที่ซึ่งศาสตร์และศิลป์ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อสะท้อนตัวตนของแต่ละบุคคลจุดเริ่มต้นของอาศรมเซ้นท์แห่งนี้ เริ่มมาจากนักปรุงน้ำหอมอย่างคุณเฟิร์ส และ CEO อาศรมเซ้นท์ อย่างคุณแก้ว ที่จับมือกันสร้างธุรกิจที่เรียกว่า การรังสรรค์น้ำหอมเฉพาะบุคคลคณเฟิร์สสนใจด้านน้ำหอม และได้ค้นพบว่าตัวเองมีความหลงใหลในศาสตร์แห่งกลิ่นอย่างลึกซึ้ง ซึ่งกลิ่นมันไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของ ‘หอมหรือไม่หอม’ อีกต่อไป แต่มันคือศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความทรงจำ และจิตวิญญาณเมื่อความสนใจนี้เริ่มก่อตัวขึ้น คุณเฟิร์สจึงตัดสินใจศึกษาศาสตร์ของน้ำหอมอย่างจริงจัง ตั้งแต่โครงสร้างของกลิ่น วัตถุดิบที่ใช้ วิธีการสกัด จนไปถึงอิทธิพลของกลิ่นที่มีต่อความรู้สึกของมนุษย์ สิ่งที่เขาค้นพบคือกลิ่นไม่ได้เป็นแค่สิ่งที่รับรู้ผ่านจมูก แต่ยังสามารถกระตุ้นอารมณ์ และสร้างประสบการณ์ที่ทรงพลังให้กับผู้คนได้จากจุดนี้เองที่คุณเฟิร์สรู้ตัวว่า ‘กลิ่น’ ไม่ใช่แค่ความชอบธรรมดา แต่มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของเขา และเขาต้องการแบ่งปันความพิเศษนี้ให้กับคนอื่น ๆ ด้วยการสร้างน้ำหอมที่มีเอกลักษณ์และสะท้อนตัวตนของผู้ใช้เมื่อมีความชอบในเรื่องของกลิ่น คุณเฟิร์สจึงตัดสินใจเดินหน้าสร้างธุรกิจน้ำหอมของตัวเอง และได้ทุ่มเทเวลาไปกับการออกแบบและผลิตกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ แต่เมื่อธุรกิจเริ่มขยายตัว ก็พบว่าตัวเองไม่ถนัดเรื่องการบริหารเพราะชอบการสร้างสรรค์กลิ่นมากกว่าการดูแลระบบธุรกิจ เช่นนั้น คุณเฟิร์สจึงได้ชักชวน ‘คุณแก้ว’ และ ‘คุณเหวิน’ มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ คุณแก้วเป็นนักบริหารที่มีความสามารถในการจัดการระบบธุรกิจและยังมีความหลงใหลในศาสตร์ของกลิ่นเช่นเดียวกัน ขณะที่คุณเหวินก็มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารทำให้ธุรกิจการรังสรรค์น้ำหอมเติบโตขึ้นมาและภายใต้บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอม Ashram Scent เชิญให้ทุกคนเข้ามาสัมผัสกับประสบการณ์สุดพิเศษ ผ่านการออกแบบกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผ่านผู้ปรุงกลิ่นน้ำหอม ไม่ว่าจะเป็นความหอมละมุนอ่อนหวาน เย้ายวนชวนหลงใหล หรือกลิ่นที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน กลิ่นทุกกลิ่นล้วนมีเรื่องราว ที่ถูกถ่ายทอดผ่านสัมผัสแห่งการดมที่ Ashram Scent เชื่อว่า “กลิ่น” เป็นส่วนหนึ่งของตัวตน เป็นลายเซ็นที่ไม่เหมือนใคร และยังเป็นเครื่องประดับที่สำคัญและยังสามารถสร้างการจดจำของคนได้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นการออกแบบกลิ่นน้ำหอมเฉพาะตัวมักจะคำนึงถึงความเป็นธรรมชาติ เจาะลึกถึงอารมณ์ ความรู้สึก ไลฟ์สไตล์ และความทรงจำของแต่ละบุคคล เพื่อที่จะสามารถทำการเลือกสรรและผสมผสานวัตถุดิบอย่างประณีตและเกิดเป็นกลิ่นหอมที่สะท้อนตัวตนของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบซึ่งขั้นตอนการสร้างสรรค์กลิ่นหอมของที่นี่เริ่มต้นจากการวิเคราะห์บุคลิกภาพและอารมณ์ของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นความร่าเริงสดใส ความสุขุม หรือแม้แต่ความรู้สึกโหยหาอดีต นักออกแบบจะนำข้อมูลเหล่านี้มาประกอบกับองค์ประกอบของน้ำหอม ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นของดอกไม้ เครื่องเทศ สมุนไพร หรือแม้แต่กลิ่นของธรรมชาติที่ช่วยสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละบุคคล รวมไปถึงมีการสำรวจทางกายภาพที่เช็คไปถึงรูขุมขน ว่าลักษณะรูขุมขนเปิดหรือปิด ผิวแห้งหรือมันช่วงไหนบ้าง และลักษณะของเหงื่อว่าเป็นอย่างไรด้วยเช่นกันน้ำหอมจาก Ashram Scent ไม่ใช่เพียงผลิตภัณฑ์ แต่เป็นประสบการณ์ เป็นการเดินทางที่พาผู้ใช้ไปสำรวจอารมณ์ ความทรงจำ และตัวตน ผ่านมิติของกลิ่นหอม กลิ่นหนึ่งอาจพาผู้ใช้ย้อนกลับไปสู่วัยเด็ก หวนคิดถึงรักแรก หรือสะท้อนความสง่างามที่แฝงเร้นอยู่ภายในใจแต่ละกลิ่นที่ออกแบบขึ้นมาล้วนได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของลูกค้า บางคนอาจต้องการกลิ่นที่สื่อถึงการเดินทางในต่างแดน บางคนอาจต้องการกลิ่นที่แสดงถึงพลังของตนเอง หรือแม้แต่กลิ่นแปลก ๆ อย่างน้ำมันรถที่ลูกค้าอยากให้รังสรรค์ ไม่ว่าคุณจะต้องการให้กลิ่นสะท้อนความรู้สึกแบบใด Ashram Scent สามารถรังสรรค์ให้เป็นจริงได้หากคุณกำลังมองหาน้ำหอมที่ไม่เพียงแต่หอม แต่สามารถบอกเล่าเรื่องราวของคุณได้ Ashram Scent พร้อมเปิดประตูสู่อาณาจักรแห่งกลิ่นที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อคุณโดยเฉพาะ ที่นี่จะช่วยคุณค้นหากลิ่นที่เป็นตัวคุณ… กลิ่นที่ไม่มีใครเหมือน และไม่มีใครแทนที่ได้เพราะที่นี่ ทุกกลิ่นหอมล้วนเป็นเรื่องราว เป็นงานศิลปะที่ต้องการสื่อถึงอารมณ์และตัวตนของผู้ใช้ ทุกขวดที่ออกแบบขึ้นมาล้วนผ่านกระบวนการคิดและผสมผสานอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้มั่นใจว่ากลิ่นที่ได้จะเป็นตัวแทนของบุคลิกและอารมณ์ของแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง หากคุณพร้อมที่จะค้นพบกลิ่นที่เป็นตัวเองที่สุด Ashram Scent ยินดีต้อนรับคุณเข้าสู่โลกแห่งความหอมที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์และความหมายอันลึกซึ้งร้าน อาศรมเซ้นท์ Ashram Scentพิกัด จตุจักร พลาซ่า ล็อค B165โทรศัพท์ 064 224 4289 , 094 632 2616Facebook : Ashram Scentผู้เขียน วิภูษิตา ญาติจันทึก

แจกไอเดียทำเล็บ รับ SUMMER

11 เม.ย. 2025

แจกไอเดียทำเล็บ รับ SUMMER

หน้าร้อนและหยุดยาวทั้งที เพื่อนๆ หลายๆ คนคงกำลังวางแผนเพื่อเดินทางไปเที่ยวพักผ่อนกัน สถานที่เด็ดที่ใครหลาย ๆ คนมักไปเที่ยวกันคงไม่พ้นทะเล เพราะทั้งใกล้กรุง และเดินทางสะดวก แอดมินเลยจะมาแจกไอเดียทำเล็บสุดคิ้วท์รับช่วง SUMMER นี้ ชุดพร้อมแล้ว เล็บจะไม่พร้อมได้ยังไงธีมเมอเมดเล็บนางเงือกสาวสุดๆ โดยทำเลียนแบบวัสดุที่สายหาด เพื่อให้เข้ากับทะเล และธรรมชาติ ยิ่งเคลือบเล็บ หรือเพิ่มไข่มุกยิ่งโซจึ้งรูปภาพจาก Pinterestรูปภาพจาก Pinterestรูปภาพจาก Pinterestรูปภาพจาก Pinterestรูปภาพจาก Pinterestรูปภาพจาก Pinterestธีมธรรมชาติฟิลลิ่งแม่สาวรักธรรมชาติท่านหนึ่ง ดอกไม้สีสันสดใส ผีเสื้อสีสวยรูปภาพจาก Pinterestรูปภาพจาก Pinterestรูปภาพจาก Pinterestรูปภาพจาก Pinterestรูปภาพจาก Pinterestรูปภาพจาก Pinterestรูปภาพจาก Pinterestรูปภาพจาก Pinterestรูปภาพจาก Pinterestธีมมินิมอลอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับสายซอฟต์ ลายมินิมอลเป็นลายที่สามารถทำได้ทุกซีซั่นรูปภาพจาก Pinterestรูปภาพจาก Pinterestรูปภาพจาก Pinterestรูปภาพจาก Pinterestรูปภาพจาก Pinterestรูปภาพจาก Pinterestรูปภาพจาก Pinterestรูปภาพจาก Pinterestรูปภาพจาก Pinterestรูปภาพจาก Pinterest

พาทัวร์ BDMS WELLNESS CLINIC ศูนย์ดูแลสุขภาพแบบครบวงจร บนถนนวิทยุ

21 ก.ย. 2023

พาทัวร์ BDMS WELLNESS CLINIC ศูนย์ดูแลสุขภาพแบบครบวงจร บนถนนวิทยุ

ช่วงนี้เทรนด์สุขภาพกำลังมาแรง เพราะรอบตัวเต็มไปด้วยมลพิษต่าง ๆ ผู้คนก็เลยหันมาสนใจในการดูแลตัวเองมากขึ้น วันนี้เราเลยจะชวนทุกคนมาดูแลตัวเองแบบครบวงจร ตั้งแต่หัวจรดเท้า ที่ BDMS WELLNESS CLINIC ศูนย์ดูแลสุขภาพแบบครบวงจร บนถนนวิทยุ ปาร์คนายเลิศBDMS WELLNESS CLINIC มีทั้งหมด 8 ชั้น ก็จะครอบคลุมหมดเลย ทั้งสุขภาพร่างกาย การเสริมวิตามินต่าง ๆ ทันตกรรม เส้นผม ผิวพรรณ รวมไปถึงภาวะการมีบุตรยากด้วยสำหรับโปรแกรมที่เราได้ทดลองทำ คือโปรแกรม BWC Antioxidants Plus Customized Vitamin เป็นการตรวจเลือด เพื่อวิเคราะห์ปริมาณวิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระ 10 ชนิด พร้อมรับวิตามินเฉพาะบุคคลออกแบบตามผลเลือด สำหรับ 1 เดือนวิธีการของเขาก็คือจะมีแบ่งเป็นขั้นตอน เริ่มต้นกันที่วัดความดัน ตรวจสุขภาพในร่างกายทางด้านต่างๆต่อมาคุณหมอก็จะทำการสอบถามเช็คประวัติในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ภาวะความเครียด การรับประทานอาหารแต่ละมื้อ และการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อทำการวิเคราะห์ก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นตอนถัดไปคือ "การเจาะเลือด" เพื่อตรวจวัดระดับวิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย จากนั้นนำผลตรวจไปวิเคราะห์โดยแพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์ป้องกันหลังจากนั้นทางคลินิคก็จะจัดวิตามินเฉพาะบุคคลมาให้เราทาน 1 เดือน เรียกได้ว่าขาดตรงไหน ก็ทานเสริมตรงนั้นแบบตรงจุดของแต่ละคนเลยอีกโปรแกรมที่เราได้ทดลอง และน่าจะถูกใจคนที่กำลังกังวลเรื่องปัญหาผิวพรรณ ก็คือโปรแกรม Skin Analysis การตรวจวิเคราะห์สภาพผิวเฉพาะบุคคล โปรแกรมนี้จะทำให้เรารู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาผิว โดยใช้กล้องที่มีความละเอียดสูง ตรวจวิเคราะห์ผิวชั้นบนและผิวชั้นที่ลึกลงไป ซึ่งจะช่วยในการประเมินการเกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ตั้งแต่ปริมาณรอยดำ รอยแดง ฝ้า กระ ริ้วรอย ความไม่สม่ำเสมอของผิว ความกว้างของรูขุมขน UV Spots สารที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดสิวบนใบหน้า รวมถึงประเมินอายุผิวของแต่ละบุคคลด้วย หลังจากที่ได้ใช้กล้องตรวจแล้ว เราก็จะได้พบแพทย์ เพื่อฟังคำอธิบายในแต่ละส่วน แพทย์ที่นี่ก็จะชี้ให้เราเห็นเลยว่า เรามีปัญหาผิวทางด้านใดบ้าง ต้องเสริมตรงไหน ดูแลยังไง ใครมีคำถามอะไรเกี่ยวกับปัญหาผิว ก็สามารถปรึกษาแพทย์ที่นี่ได้หมดเลย เขาพร้อมที่จะให้คำแนะนำอย่างเป็นกันเองสุด ๆเมื่อรู้ปัญหาผิวแล้ว ก็ตบท้ายด้วยการทำ BWC Royal Bright ทรีตเมนต์ผลักวิตามินและสารอาหารเข้าสู่ผิวพรรณบริเวณใบหน้าและลำคออย่างล้ำลึก โดยไม่ต้องใช้เข็ม สำหรับใครที่กลัวเจ็บ หมดความกังวลทันที เพราะที่ BDMS WELLNESS CLINIC เขาเน้นการดูแลแบบไม่จำเป็นต้องเจ็บตัวสำหรับโปรแกรม BWC Royal Bright ใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที โดยเขาจะใช้นวัตกรรมจากเครื่อง Infusion ทำงานโดยใช้กระแสไฟฟ้าที่มีความถี่และเวลาในการปล่อยที่เหมาะสม เพื่อสร้างช่องว่างชั่วคราวบริเวณเซลล์ผิวหนังชั้นนอกสุด และส่งผ่านวิตามินลงไปซึ่งวิธีนี้สามารถส่งวิตามินและสารอาหารผิวลงไปได้อย่างล้ำลึก และมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผิวพรรณขาวกระจ่างใส ชุ่มชื้น ลดเรือนริ้วรอย กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้เผชิญมลภาวะมาเยอะ จนทำให้ผิวเสื่อมโทรม และต้องการกู้ให้ผิวกระจ่างใส เปล่งปลั่งเห็นแบบนี้แล้ว เริ่มสนใจกันบ้างหรือยัง สำหรับใครที่กำลังมองหาสถานที่ดูแลตัวเองแบบครบวงจร เรียกว่ามีปัญหาสุขภาพตรงส่วนไหน ก็สามารถมาดูแลได้อย่างตรงจุด สามารถแวะมาได้ที่ BDMS WELLNESS CLINIC ถนนวิทยุ ปาร์คนายเลิศ ได้เลย แล้วมาดูแลตัวเองไปด้วยกันนะ