
ยังจำครั้งสุดท้ายที่เราได้กินอาหารจากฝีมือคนในบ้านเราได้หรือเปล่า กลิ่นอาหารที่หอมฉุยออกจากในครัว เสียงเครื่องครัวที่กระทบกัน และควันขโมงเหล่านั้นได้มั้ย หรือ จำตอนที่ผู้ใหญ่ตะโกนเรียกเราเข้าไปช่วยเป็นลูกมือในครัว แล้วเราก็ทำอะไรเก้ๆกังๆ ไม่ถูกใจพวกเค้าซะทุกที
และสุดท้ายพวกเขาก็เดินออกจากในครัว พร้อมจานอาหารใบเขื่อง ยกมาวางตรงหน้าเด็กน้อย มันช่างดูใหญ่โต อลังการ นั่นอาหารที่เราได้มีส่วนช่วยนี่ ฉันคิด
อาหารที่ปรุงสำเร็จ ไอร้อนลอย ขึ้นมา ฉันมองมันด้วยสายตาเปล่งประกาย มันน่ามหัศจรรย์เนอะ!
...............................................................................................
เวลาที่เราได้กินอาหารจากคนที่เรารัก มันไม่ใช่แค่ความอร่อย แต่มันมีความพิเศษ มันเป็นรสชาติที่คุ้นเคย อบอุ่น อิ่มใจ ปลอดภัย และเต็มไปด้วยความทรงจำ บรรยากาศแบบนี้จะหวนคืนกลับมา เมื่อร้านอาหาร Enoteca Maria ที่ตั้งอยู่บนเกาะ Staten Island นิวยอร์ค ร้านอาหารอิตาเลียนที่มีความพิเศษ โดยมีไฮไลท์อยู่ที่ ‘นอนน่า“ หรือ ”คุณยาย หรือ อาม่า” (ในภาษาอิตาเลียน) ที่จะผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนมาทำอาหารให้แขกได้ลิ้มรสกันหลากหลาย
โดยอาม่าเหล่านี้มาจากทุกชนชาติที่อาศัยอยู่ในนิวยอร์ค มีตั้งแต่ อาเซอร์ไบจัน อุซเบกีสถาน เปรู ญี่ปุ่น อียิปต์ ฮ่องกง ศรีลังกา อาร์เจนตินา ฯลฯ

คุณโจ สการาเวลล่า เจ้าของร้านให้สัมภาษณ์ว่า แรงบันดาลใจในการสร้างครัวอาหารฝีมือม่า มาจากการที่เจ้าของร้านสูญเสีย คุณแม่ และ คุณยายเชื้อสายอิตาเลียนไป จึงได้เปิดร้านอาหารในปี 2007 และตั้งชื่อร้านว่า ”Maria” ตามคุณแม่ เพื่อเยี่ยวจิตใจตัวเอง
หลังจากเปิดร้านไปได้ซักพัก ด้วยความที่ไม่มีประสบการณ์การเปิดธุรกิจอาหารมาก่อน การบริหารงานค่อนข้างเป็นมวยวัด แบบหลับหูหลับตาชกเลยทีเดียว แต่ธุรกิจก็เริ่มมีทิศทางมากขึ้นเมื่อมีลูกค้าคอเดียวกัน ที่คิดถึงรสมือแม่ รสมือม่า แบบดั้งเดิม คนก็เริ่มแห่มาที่ร้านอาหารที่มีเพียง 30 โต๊ะ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันเปิดแค่ 3 วันต่อสัปดาห์ คือ ศุกร์บ่าย 3 เสาร์/อาทิตย์เปิดบ่ายโมง และปิดรับลูกค้าก่อน ทุ่มครึ่ง เพราะอาม่าจะได้กลับบ้านไม่ดึก


ตอนเริ่มต้น โจรวบรวมแม่ๆ เข้ามาทำอาหาร ก็เกณฑ์แม่ๆ ม่าๆ ชาวอิตาเลียนมาทำครัวกัน แล้วก็พบว่า ถ้าเอาแม่ๆจากประเทศเดียวกัน ก็จะตีกัน เพราะแม่ๆแต่ละคนมีสูตรส่วนตัว ทำให้มีการประชันกัน แต่ถ้าเอาแม่ๆ จากหลายประเทศมารวมกัน จะไม่มีปัญหานี้ และก็เป็นประโยชน์สูงสุดกับลูกค้า
โดยส่วนใหญ่ ม่าที่เข้ามาทำอาหาร มักอยู่ตัวคนเดียว สามีเสียไปแล้ว ลูกโตแล้ว ย้ายไปที่อื่น เลยทำให้อาม่ามีเวลาว่าง โดยม่าที่มาทำอาหาร คือคนที่อาศัยอยู่ในนิวยอร์คซะส่วนใหญ่ บางคนมาทุก 2-3 สัปดาห์ หรือ แล้วแต่เวลาว่าง มีม่าจากไต้หวันที่บินมาทำอาหารให้ปีละครั้ง ซึ่งตอนนี้มีคนขอเข้ามาทำอาหารที่ร้านเยอะมาก และทางร้านหวังว่าจะนำม่า จากประเทศต่างๆมาปรุงอาหารให้แขกได้ในอนาคต

ทำงานกับม่า ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะม่าแต่ละคนมีสูตรลับส่วนตัว ที่ไม่เหมือนกัน บางคนไม่ชอบเครื่องแกงสำเร็จรูป ต้องตำเอง ทำใหม่ๆ ตั้งแต่ต้น บางคนขนวัตถุดิบเข้ามาเอง เพราะทางร้านเตรียมให้ไม่ถูกใจม่า บางคนให้ขับรถออกไปไกลเพื่อไปตามหาวัตถุดิบที่เฉพาะเจาะจงมากๆ ซึ่งร้านก็ทำให้

และเพื่อเป็นการช่วยม่า เตรียมอาหารสำหรับแขกในแต่ละคืน ทางร้านก็เปิดรับอาสาสมัครที่จะมาเรียนทำอาหารฟรีกับน่า ในแต่ละวันด้วย สนใจก็สมัครได้ตรงนี้เลย https://www.enotecamaria.com/wp/nonnas-in-training-registration-faq/
"ทำงานกับม่า เป็นการทำงานที่อบอุ่นหัวใจสำหรับผม เราได้แชร์อาหาร เรื่องราวต่างๆ ม่าก็น่ารักมาก กอดผม กอดทีมงาน กอดคนที่มากินอาหารด้วยนะ"
จริงๆ แล้วผมไม่ได้สนใจทำร้านอาหารสักเท่าไหร่ ผมสนใจ การถ่ายทอดความรู้ จากรุ่นสู่รุ่น จากวัฒนธรรมหนึ่งไปอีกวัฒนธรรมนึง มากกว่า ผมไม่ได้มองว่าสิ่งที่ผมทำเป็นธุรกิจร้านอาหาร ผมมองมันเป็นโครงการๆนึงมากกว่า ที่มีผลลัพธ์ออกมาเป็นอาหาร แล้วคนก็ให้เงินเราเพราะอาหาร เราก็เอาเงินนั้นมาทำโครงการต่อ

คุณโจฝากร้านไว้ด้วยว่า ใครสนใจสนับสนุนโครงการ สามารถเข้าไปสั่งของเป็นกำลังใจให้กับม่านานานชาติได้ที่นี่: https://www.enotecamaria.com/wp/nonnas-of-the-world-products/
และที่สำคัญถ้าม่า ย่า ยาย ของคุณมีอาหารสูตรลับที่คุณอยากฝากไว้ให้กับโลก สามารถแชร์สูตรลับอาหาร ที่โจได้รวบรวมไว้จากหลากหลายประเทศไว้ได้ที่นี่ด้วย http://nonnasoftheworld.com/
Sources :
- Enotecamaria.com
- Travel Leisure
- People
