การจากลา เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น ความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา แต่ถึงแม้จะรู้สัจธรรมอย่างนี้ เมื่อต้องเจอด้วยตัวเอง กลับยากที่จะทำใจ โดยเฉพาะความตายของคนที่รัก
การตายจาก ของคนที่รัก เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเครียด และสะเทือนใจมากที่สุด ผู้ที่ประสบกับเหตุการณ์นี้มีอาการทางใจที่หลากหลาย แตกต่างกันไป เช่น
- ปฏิเสธความจริง
- ไม่เชื่อ
- สับสน
- ช็อค
- เศร้า
- โหยหา
- โกรธ
- อับอาย
- สิ้นหวัง
- รู้สึกผิด
อาการเหล่านี้ เป็นปฏิกิริยาปกติที่เกิดขึ้นทั่วไป แต่ความรุนแรง ระยะเวลา อารมณ์ที่เปลี่ยนฉับพลัน ต่างกันไป ในแต่ละคน
สิ่งที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาเศร้าโศก
บางคนแสดงออกทางอารมณ์ มีร้องไห้ เศร้าซึม หาที่พึ่งทางใจ เช่นศาสนา หาหมอดู
บางคนอาจมีอาการทางกาย ปวดท้อง ปวดหัว แน่นหน้าอก เบื่ออาหาร ท้องไส้ปั่นป่วน นอนไม่หลับ หมดเรี่ยวแรง บางคนอาจถึงขั้นล้มป่วย หรือ อาการป่วยเดิมกำเริบขึ้น ทั้งทางกายและใจ เช่น มีความคิดวนเวียนกับผู้ตาย มีอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า หรือ ความคิดอยากฆ่าตัวตาย
ความตายของคนรักเป็นเรื่องที่ยากเสมอ ความรุนแรงของความสูญเสียแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับ ความสัมพันธ์กับผู้ตาย ยิ่งถ้าผู้จากไป เป็นหัวหน้าครอบครัวที่หาเลี้ยงครอบครัว การปรับตัวเรื่องการเงิน การเป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว การต้องกลับไปเริ่มทำงานอีกครั้ง ภาระหน้าที่ ที่โถมเข้ามาพร้อมกัน
ในผู้สูงอายุที่เสียสามี/ภรรยา อาจเกิดความอ้างว้างโดดเดี่ยว จากการเสียเพื่อนคู่คิด ที่อยู่มาด้วยทั้งชีวิต
การรับมือ การฆ่าตัวตายของคนรัก เป็นอีกเรื่องที่ยากที่สุด คนที่ยังอยู่อาจต้องแบกรับความรู้สึกผิด ความช็อค ความงงสงสัย ความโกรธ ความละอายใจ หรือ รู้สึกมีส่วนรับผิดชอบกับความตาย การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในช่วงสัปดาห์แรก ๆ หลังเกิดเหตุการณ์จะสามาถช่วยเยียวยาใจได้
การรับมือกับความสูญเสีย
1.อนุญาตให้ตัวเองเศร้า
เวลาเศร้าโศก คร่ำครวญ เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเยียวยาทางใจ เราควรอนุญาตให้เรามีความรู้สึกตามธรรมชาติ ถ้าเราไม่ปล่อยให้มันเป็นไปตามปกติ ในที่สุดมันก็อาจแสดงออกมาเป็นอาการป่วยทางกาย หรือ ทางใจ ซึ่งการร้องไห้ ก็ไม่ได้แย่เสมอไป เพราะมันสร้างฮอร์โมนความสุข และช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยทางกาย และ ทางใจ
2.คุยกับคนที่ไว้ใจ
การได้พูดคุย ได้แสดงความรู้สึก กับเพื่อน ญาติพี่น้อง ครอบครัว หรือ คนที่กำลังผ่านความสูญเสียไปเหมือนกันจะช่วยทำให้ผ่านเรื่องนี้ไปได้ดีขึ้น เพราะการเยียวยาหัวใจทำได้ดีกว่า จนคนรอบตัวผู้ที่สูญเสีย มากกว่าการพบจิตแพทย์ซะอีก
3.รักษาสุขภาพให้แข็งแรง
ในขณะที่ใจไม่แข็งแรง ก็พยายามรักษาสุขภาพให้แข็งแรงไว้ก่อน กิน และ นอนให้พอ ระวังการพึ่งพาสารเสพติด หรือ เหล้า ในการรับมือ กับความโศกเศร้า เพราะจะยิ่งทำให้สภาพจิตใจไม่มั่นคงมากขึ้น
4.อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิต
ในช่วงเวลาที่ใจแกว่ง ขาดสติ อย่าเพิ่งตัดสินใจเรื่องใหญ่ ให้พักเอาไว้ให้พร้อมก่อนแล้วค่อยลงมือจัดการ เช่น การย้ายบ้าน การเปลี่ยนงาน การมีลูก
5.ยอมรับความเป็นจริง
การปรับวิธีคิด และยอมรับความเป็นจริง ทีละน้อย จะช่วยทำให้เราเข้าใจตัวเอง และสถานการณ์ชัดขึ้น ซึ่งทุกการเปลี่ยนแปลง ต้องใช้เวลาในการยอมรับ และ ปรับตัว
6.ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
ถ้ารู้สึกว่าความเศร้าโศกที่กำลังเผชิญ หนักเกินที่จะรับมือไหว การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยทำให้รับมือผ่านเรื่องนี้ไปได้ การขอความช่วยเหลือ เป็นความเข้มแข็ง ไม่ใช่ความอ่อนแอ
ช่วยคนใกล้ตัวผ่านความเศร้า
1.ให้โอกาสเขา ได้พูดถึงความรู้สึกของตัวเอง
2.อย่าปลอบโยนด้วยถ้อยคำที่ไม่จริง เช่น “ทุกเรื่องที่เกิดแล้ว ดีเสมอ” หรือ “ไม่เป็นไรนะ”
3.รับฟัง
4.ช่วยทำธุระ จัดการชีวิต ด้านต่าง ๆ ระหว่างที่เขายังอ่อนแอ เช่น ช่วยดูลูกเล็กให้ ทำอาหาร ทำธุระให้
5.หากพบความผิดปกติ พาไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
ช่วยเด็กที่กำลังโศกเศร้า
เด็กมีวิธีแสดงออกความเศร้าต่างจากผู้ใหญ่ เพราะเด็กสับสน และ แสดงออกไม่เป็น บางคนอาจจะมีพฤติกรรมย้อนวัย เช่นกลับไปฉี่รดที่นอน ถามคำถามเกี่ยวกับการตายที่ดูใจร้าย หรือ ปฏิเสธไม่รับรู้อย่างสิ้นเชิง
ผู้ปกครองที่กำลังเศร้า แล้วต้องรับมือกับเด็กอาจเป็นเรื่องยาก แต่การใช้อารมณ์กับเด็ก ยิ่งทำให้เด็กฟื้นตัวช้าลงไปอีก การเปิดใจพูดคุย อธิบายในภาษาที่เด็กเข้าใจ และการดูแลเอาใจใส่ คือ สิ่งที่เด็กต้องการ
**********************
อย่าเพิ่งกังวลไปไกลถึงพรุ่งนี้
รับมือกับวันนี้ ทีละวัน
ล้มบ้าง ลุกบ้าง ค่อย ๆ เข้าใจมัน
เปิดใจยอมรับ สิ่งนั้นตามที่เป็นจริง
