เห็นข่าวเปิดตัวสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยี่ห้อดัง ซึ่งทำให้หลายต่อหลายคนที่เป็นแฟนคลับ ถึงกับหวั่นไหว รู้สึกว่าสมาร์ทโฟนในมือกำลังจะตกรุ่น จนอยากจะเปลี่ยนสมาร์ทโฟน แต่เมื่อจะต้องเปลี่ยนสมาร์โฟนเหล่านี้ ทำให้อดนึกถึง “ขยะอิเล็กทรอนิกส์” ไม่ได้ ซึ่งขยะเหล่านี้ ถือเป็นขยะที่ไม่สามารถย่อยสลายได้
ปัจจุบันนี้ นอกจากขยะพลาสติกแล้ว ยังมีขยะอิเล็กทรอนิกส์ อย่าง โทรศัพท์ สมาร์ทโฟน สายชาร์จ หูฟัง ฯลฯ เป็นอีกปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ เพื่อลดการสร้างมลภาวะอันส่งผลกระทบร้ายแรงกับโลก หากกำจัดไม่ถูกวิธีหรือไม่เป็นระบบ สารเคมีอันตรายในขยะอิเล็กทรอนิกส์อาจปนเปื้อนลงสู่ดิน แม่น้ำ และทะเลได้
แต่ละปี ทั่วโลกมีขยะอิเล็กทรอนิกส์ถูกผลิตเพิ่มราว 50 ล้านตัน ในปี 2563 ประมาณการว่าอยู่ที่ 57 ล้านตัน ขณะที่ความสามารถของโลกในการกำจัดขยะเหล่านี้ ทำได้เพียงหนึ่งในห้าเท่านั้น ในส่วนของประเทศไทย มีขยะ E-Waste ราว 400,000 ตันต่อปี พบว่า 82% มาจากบ้านเรือนทั่วไป 14% มาจากสำนักงาน และ 3% มาจากโรงแรมและอพาร์ทเมนท์
โดยในแง่การนำไปกำจัด พบว่า 51.27% นำไปขาย 25.32% เก็บไว้ในบ้าน 15.6% ทิ้งปนขยะทั่วไป 7.84% ให้ผู้อื่น โดยประเทศไทย ถูกจัดเป็นประเทศอันดับ 2 ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ผลิต E-Waste มากสุด เป็นรองเพียงอินโดนีเซียเท่านั้น
สถานการณ์ E-Waste ของไทยอยู่ในภาวะอันตรายและน่าเป็นห่วง เพราะมีเพียง 4% ของขยะ E-Waste ที่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง ขณะที่ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เหลือมากถึง 82.6% ไม่สามารถติดตามได้ว่า ไปอยู่ที่ไหน หรือได้รับการจัดการถูกต้องหรือไม่
โดยปกติ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ควรได้รับการจัดการ และกำจัดอย่างถูกต้องและเป็นระบบ เพราะในส่วนประกอบของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีสารอันตรายที่ส่งผลกับสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ อย่างเช่น สารตะกั่วที่อาจทำลายระบบประสาท ต่อมไร้ท่อ ไต ระบบเลือด, สารปรอท ส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง สมอง และไขสันหลัง หรือแคดเมียมที่มีพิษกับร่างกายเฉียบพลัน ทำให้ปอดอักเสบรุนแรง และสารอื่นๆ อีกมากมาย
แม้ที่ผ่านมา หลายหน่วยงานจะออกมาตั้งจุดรับทิ้ง E-Waste แต่พบว่ายังไม่ทั่วถึง ประชาชนไม่ได้รับความสะดวก จนการทิ้ง E-Waste ไม่ได้รับความนิยม ก่อให้เกิดผลเสียอย่างน้อย 2 ประการ ได้แก่
1.ทิ้งไม่ถูกวิธี คือทิ้งกับขยะบ้านปกติ ไม่มีการคัดแยก จนขยะเหล่านั้นปล่อยสารพิษสู่สภาพแวดล้อม
2.ขยะอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากถูกเก็บอยู่ในบ้านเรือนประชาชน จนมีการคาดการณ์ว่ากว่า 25% ของซาก E-Waste เหล่านี้หรือราว 100,000 ตันถูกเก็บอยู่ในบ้านเรือนประชาชน
เป็นที่น่าดีใจ ที่ กทม. ร่วมมือภาคเอกชน ส่งเสริมการแยกทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ สู่การรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ชวนนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ ทิ้งลงถัง E-WASTE รวม 52 จุดรับทั่วกรุงเทพ ประกอบด้วย สำนักงานเขตทั้ง 50 เขต เขตละ 1 จุด และที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า และดินแดง แห่งละ 1 จุด ซึ่งบริษัท โทเทิล เอนไวโรเมนทอล โซลูชั่นส์ จำกัด และ บริษัท คิดคิด จำกัด จะเป็นผู้ดำเนินการจัดเก็บรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์ และนำไปกำจัดอย่างถูกวิธีตามหลักวิชาการ
นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำ QR Code เพื่อเป็นจุดสแกนผ่าน ECOLIFE แอปพลิเคชัน เมื่อมีการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ตามจุดที่กำหนดไว้ สามารถสะสมแต้มและนำไปแลกสิทธิประโยชน์ในแอปพลิเคชัน ECOLIFE ได้อีกด้วย
สำหรับประเภทขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่รับ บริเวณจุดทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ E-WASTE ได้แก่
- อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด
- ลิเธียมแบตเตอรี่ที่ใช้ในโทรศัพท์มือถือ
- แล็ปท็อป
- ตู้เย็น
- คอมพิวเตอร์
- รถยนต์ไฟฟ้า
- ตลับหมึกเครื่องพิมพ์
ส่วนขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่รับ ได้แก่
- จอมอนิเตอร์รุ่นเก่า หรือจอซีอาร์ที ที่มีหลอดไอโอโดส
- ถ่านอัลคาไลน์
- หลอดไฟ
ทั้งนี้ สำนักสิ่งแวดล้อม จะเร่งดำเนินการจัดส่งถังขยะอิเล็กทรอนิกส์ E-WASTE ไปยังทั้ง 52 จุดข้างต้น โดยคนทั่วไปสามารถนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปใส่ถังขยะอิเล็กทรอนิกส์ตามจุดรับ ได้ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ได้ทำแคมเปญ AIS E-Waste ทิ้งขยะที่ร่วมรายการ 5 ประเภท ได้แก่ 1.โทรศัพท์มือถือ/แท็บเล็ต 2.แบตเตอรี่มือถือ 3.พาวเวอร์แบงก์ 4.สายชาร์จ และ 5.หูฟัง อีกทั้ง ยังสามารถฝากทิ้งกับพี่ไปรษณีย์ได้ และเช็กจุดทิ้ง E-Waste ของ AIS ได้ที่ https://ewastethailand.com/drop-point/
โดยก่อนทิ้งอย่าลืม 1.ลบข้อมูลใน มือถือ/แท็บเล็ต ด้วยการทำ Factory reset และถอดเมมโมรี่การ์ดก่อนนำมาทิ้ง และ 2.หากแบตเตอรี่บวม ควรนำไปแช่นํ้าก่อนทิ้ง 3-5 ชั่วโมง เพื่อลดประจุพลังงาน จากนั้นเช็ดให้แห้ง แล้วนำไปใส่ถุง หรือห่อกระดาษก่อนทิ้ง
ที่ต่อมาคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยโครงการ “CHULA Zero Waste” ของสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม ได้เปิดโอกาสให้นิสิต อาจารย์และบุคคลภายนอกมหาวิทยาลัย สามารถนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กมาทิ้งได้ที่จุดทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่กระจายอยู่ทั่วมหาวิทยาลัย แต่เนื่องจากเป็นตู้ขนาดเล็ก จึงทิ้งได้เฉพาะขยะอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก ๆ เหมือนที่ AIS Shop แต่ที่เพิ่มมาก็คือ ถ่านไฟฉายและกล้องถ่ายรูป ก็สามารถนำมาทิ้งได้ที่นี่
ปัญหา E-Waste มีแนวโน้มวิกฤติขึ้นเรื่อย ๆ เราทุกคนต้องตระหนักในความรุนแรงของปัญหา และมีส่วนร่วมแก้ไขอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่สูญค่า ไม่สูญเปล่า และช่วยลดปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ล้นโลกต่อไปในอนาคตอีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก :
https://www.springnews.co.th/keep-the-world/environment/843042
https://www.bangkokbiznews.com/business/925749
https://www.thairath.co.th/news/sustainable/2705641
