ฮาวทูทิ้ง? ขยะอิเล็กทรอนิกส์สูญค่า ทิ้งอย่างไรไม่ให้สูญเปล่า

GREEN HEART

ฮาวทูทิ้ง? ขยะอิเล็กทรอนิกส์สูญค่า ทิ้งอย่างไรไม่ให้สูญเปล่า

03 ต.ค. 2023

เห็นข่าวเปิดตัวสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยี่ห้อดัง ซึ่งทำให้หลายต่อหลายคนที่เป็นแฟนคลับ ถึงกับหวั่นไหว รู้สึกว่าสมาร์ทโฟนในมือกำลังจะตกรุ่น จนอยากจะเปลี่ยนสมาร์ทโฟน แต่เมื่อจะต้องเปลี่ยนสมาร์โฟนเหล่านี้ ทำให้อดนึกถึง “ขยะอิเล็กทรอนิกส์” ไม่ได้ ซึ่งขยะเหล่านี้ ถือเป็นขยะที่ไม่สามารถย่อยสลายได้

 

ปัจจุบันนี้ นอกจากขยะพลาสติกแล้ว ยังมีขยะอิเล็กทรอนิกส์ อย่าง โทรศัพท์ สมาร์ทโฟน สายชาร์จ หูฟัง ฯลฯ เป็นอีกปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ เพื่อลดการสร้างมลภาวะอันส่งผลกระทบร้ายแรงกับโลก หากกำจัดไม่ถูกวิธีหรือไม่เป็นระบบ สารเคมีอันตรายในขยะอิเล็กทรอนิกส์อาจปนเปื้อนลงสู่ดิน แม่น้ำ และทะเลได้

 

แต่ละปี ทั่วโลกมีขยะอิเล็กทรอนิกส์ถูกผลิตเพิ่มราว 50 ล้านตัน ในปี 2563 ประมาณการว่าอยู่ที่ 57 ล้านตัน ขณะที่ความสามารถของโลกในการกำจัดขยะเหล่านี้ ทำได้เพียงหนึ่งในห้าเท่านั้น ในส่วนของประเทศไทย มีขยะ E-Waste ราว 400,000 ตันต่อปี พบว่า 82% มาจากบ้านเรือนทั่วไป 14% มาจากสำนักงาน และ 3% มาจากโรงแรมและอพาร์ทเมนท์

 

โดยในแง่การนำไปกำจัด พบว่า 51.27% นำไปขาย 25.32% เก็บไว้ในบ้าน 15.6% ทิ้งปนขยะทั่วไป 7.84% ให้ผู้อื่น โดยประเทศไทย ถูกจัดเป็นประเทศอันดับ 2 ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ผลิต E-Waste มากสุด เป็นรองเพียงอินโดนีเซียเท่านั้น

 

สถานการณ์ E-Waste ของไทยอยู่ในภาวะอันตรายและน่าเป็นห่วง เพราะมีเพียง 4% ของขยะ E-Waste ที่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง ขณะที่ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เหลือมากถึง 82.6% ไม่สามารถติดตามได้ว่า ไปอยู่ที่ไหน หรือได้รับการจัดการถูกต้องหรือไม่

 

โดยปกติ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ควรได้รับการจัดการ และกำจัดอย่างถูกต้องและเป็นระบบ เพราะในส่วนประกอบของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีสารอันตรายที่ส่งผลกับสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ อย่างเช่น สารตะกั่วที่อาจทำลายระบบประสาท ต่อมไร้ท่อ ไต ระบบเลือด, สารปรอท ส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง สมอง และไขสันหลัง หรือแคดเมียมที่มีพิษกับร่างกายเฉียบพลัน ทำให้ปอดอักเสบรุนแรง และสารอื่นๆ อีกมากมาย

 

แม้ที่ผ่านมา หลายหน่วยงานจะออกมาตั้งจุดรับทิ้ง E-Waste แต่พบว่ายังไม่ทั่วถึง ประชาชนไม่ได้รับความสะดวก จนการทิ้ง E-Waste ไม่ได้รับความนิยม ก่อให้เกิดผลเสียอย่างน้อย 2 ประการ ได้แก่

1.ทิ้งไม่ถูกวิธี คือทิ้งกับขยะบ้านปกติ ไม่มีการคัดแยก จนขยะเหล่านั้นปล่อยสารพิษสู่สภาพแวดล้อม

2.ขยะอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากถูกเก็บอยู่ในบ้านเรือนประชาชน จนมีการคาดการณ์ว่ากว่า 25% ของซาก E-Waste เหล่านี้หรือราว 100,000 ตันถูกเก็บอยู่ในบ้านเรือนประชาชน

 

เป็นที่น่าดีใจ ที่ กทม. ร่วมมือภาคเอกชน ส่งเสริมการแยกทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ สู่การรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ชวนนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ ทิ้งลงถัง E-WASTE รวม 52 จุดรับทั่วกรุงเทพ ประกอบด้วย สำนักงานเขตทั้ง 50 เขต เขตละ 1 จุด และที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า และดินแดง แห่งละ 1 จุด ซึ่งบริษัท โทเทิล เอนไวโรเมนทอล โซลูชั่นส์ จำกัด และ บริษัท คิดคิด จำกัด จะเป็นผู้ดำเนินการจัดเก็บรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์ และนำไปกำจัดอย่างถูกวิธีตามหลักวิชาการ

 

นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำ QR Code เพื่อเป็นจุดสแกนผ่าน ECOLIFE แอปพลิเคชัน เมื่อมีการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ตามจุดที่กำหนดไว้ สามารถสะสมแต้มและนำไปแลกสิทธิประโยชน์ในแอปพลิเคชัน ECOLIFE ได้อีกด้วย

 

สำหรับประเภทขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่รับ บริเวณจุดทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ E-WASTE ได้แก่

- อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด

- ลิเธียมแบตเตอรี่ที่ใช้ในโทรศัพท์มือถือ

- แล็ปท็อป

- ตู้เย็น

- คอมพิวเตอร์

- รถยนต์ไฟฟ้า

- ตลับหมึกเครื่องพิมพ์

 

ส่วนขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่รับ ได้แก่

- จอมอนิเตอร์รุ่นเก่า หรือจอซีอาร์ที ที่มีหลอดไอโอโดส

- ถ่านอัลคาไลน์

- หลอดไฟ

 

ทั้งนี้ สำนักสิ่งแวดล้อม จะเร่งดำเนินการจัดส่งถังขยะอิเล็กทรอนิกส์ E-WASTE ไปยังทั้ง 52 จุดข้างต้น โดยคนทั่วไปสามารถนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปใส่ถังขยะอิเล็กทรอนิกส์ตามจุดรับ ได้ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2566 เป็นต้นไป

 

นอกจากนี้ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ได้ทำแคมเปญ AIS E-Waste ทิ้งขยะที่ร่วมรายการ 5 ประเภท ได้แก่ 1.โทรศัพท์มือถือ/แท็บเล็ต 2.แบตเตอรี่มือถือ 3.พาวเวอร์แบงก์ 4.สายชาร์จ และ 5.หูฟัง อีกทั้ง ยังสามารถฝากทิ้งกับพี่ไปรษณีย์ได้ และเช็กจุดทิ้ง E-Waste ของ AIS ได้ที่ https://ewastethailand.com/drop-point/

 

โดยก่อนทิ้งอย่าลืม 1.ลบข้อมูลใน มือถือ/แท็บเล็ต ด้วยการทำ Factory reset และถอดเมมโมรี่การ์ดก่อนนำมาทิ้ง และ 2.หากแบตเตอรี่บวม ควรนำไปแช่นํ้าก่อนทิ้ง 3-5 ชั่วโมง เพื่อลดประจุพลังงาน จากนั้นเช็ดให้แห้ง แล้วนำไปใส่ถุง หรือห่อกระดาษก่อนทิ้ง

 

ที่ต่อมาคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยโครงการ “CHULA Zero Waste” ของสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม ได้เปิดโอกาสให้นิสิต อาจารย์และบุคคลภายนอกมหาวิทยาลัย สามารถนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กมาทิ้งได้ที่จุดทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่กระจายอยู่ทั่วมหาวิทยาลัย แต่เนื่องจากเป็นตู้ขนาดเล็ก จึงทิ้งได้เฉพาะขยะอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก ๆ เหมือนที่ AIS Shop แต่ที่เพิ่มมาก็คือ ถ่านไฟฉายและกล้องถ่ายรูป ก็สามารถนำมาทิ้งได้ที่นี่

 

ปัญหา E-Waste มีแนวโน้มวิกฤติขึ้นเรื่อย ๆ เราทุกคนต้องตระหนักในความรุนแรงของปัญหา และมีส่วนร่วมแก้ไขอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่สูญค่า ไม่สูญเปล่า และช่วยลดปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ล้นโลกต่อไปในอนาคตอีกด้วย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก :

https://www.springnews.co.th/keep-the-world/environment/843042

https://www.bangkokbiznews.com/business/925749

https://www.thairath.co.th/news/sustainable/2705641

https://ewastethailand.com/drop-point/

http://www.chulazerowaste.chula.ac.th/

album

0
0.8
1