“อย่ามัวแต่วิ่งตามฝัน จนลืมคนอื่นไว้ข้างหลัง ถ้าหลับหูหลับตาทำตามฝันแต่ลืมตัวเอง ลืมคนในครอบครัว พอรู้สึกตัวขึ้นมาอีกที เราอาจจะเหลือแค่ความฝันก็ได้ ถ้าวันหนึ่งเราประสบความสำเร็จแต่ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีคนรอบข้าง แล้วใครจะยินดีกับเรา”

Club นี้มีสีสันของชีวิต Club นี้มีข้อคิดแรงบันดาลใจ มาแบ่งปันให้กันให้ทุกสัปดาห์สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญสุดครีเอท “พีท พามานา” ครีเอเตอร์สายฮาที่โด่งดังจากคอนเทนต์ล้อเลียนละคร ที่มีพื้นหลังฉาก เป็นท้องทุ่งนาสีเขียว มีเถียงนา บวกควาย ต้นข้าว พร้อมความเป๊ะตั้งแต่ชุด อินเนอร์ และสกิลลิปซิงค์ที่ปากเป๊ะสุด ๆ กว่าจะเป็นความเป๊ะขนาดนี้ เขาผ่านขั้นตอนอะไรมาบ้าง เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดพลังใจ ได้ถูกส่งต่อไว้แล้วในรายการ
“นักแสดง” ความฝันที่พีทไม่กล้าฝัน
“จริง ๆ ต้องบอกว่ามันเป็นความฝันที่ไม่กล้าฝัน เป็นฝันตอนเด็ก ๆ ก็คือเราเป็นเด็กต่างจังหวัด แล้วเราก็รู้สึกว่าเรื่องพวกนี้มันค่อนข้างที่จะห่างไกลกับเรามากในยุคนั้น คือเวลาเราดูทีวี เราดูละคร เราก็จะมีนางเอกในดวงใจ มีพระเอกในดวงใจ มีละครที่เราชอบดูกับพ่อกับแม่หน้าทีวี ซึ่งเรารู้สึกว่าคนที่อยู่ในทีวี มันเหมือนอยู่เหนือเราขึ้นไปอีก จับต้องไม่ได้ในชีวิตประจำวัน คือจะเอามือไปที่หน้าจอก็ไม่โดนตัวเค้า ซึ่งมันยากมากเลยกว่าจะไปถึงจุดนั้น มันก็เลยเป็นอะไรที่ไม่กล้าฝัน เราอยู่ใกล้การเป็นนักแสดงได้มากที่สุดก็แค่ตอนเล่นพ่อแม่ลูก สมมติฐานขึ้นมาว่าฉันเป็นนางเอก เธอเป็นพระเอก หรือถ้าเกิดว่าไม่ได้เล่นกับเพื่อน เวลาอยู่ที่บ้านดูกระจกก็จะคุยกับตัวเอง ลองเป็น พี่อั้ม ดูว่าเค้าสัมภาษณ์ ก็ลองส่องกระจกไปพูดไป เป็นการเล่นแบบเด็กต่างจังหวัดมากกว่า
ถ้าเป็นความฝันช่วงวัยนั้น มันค่อนข้างที่จะตามเพื่อน เช่นเวลาครูถามในห้องเรียนว่าเด็ก ๆ วันนี้ทุกคนต้องมีความฝัน 1 อย่างว่าอยากจะเป็นอะไร เพื่อนข้างหน้าก็บอกว่าอยากเป็นคุณหมอ คุณครู ซึ่งเราไม่ได้อยากเป็น แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะบอกครูยังไง เราอยากบอกคุณครูว่า หนูอยากเป็นพี่อั้ม อยากเป็นดารา แต่ก็ไม่กล้าตอบ กลัวไม่ได้คะแนนจากครู”

กิจกรรม ทำให้พีทมีทุกวันนี้
“พีทเป็นคนที่ชอบใช้จินตนาการมาตั้งแต่เด็ก และเป็นเด็กกิจกรรมมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่อนุบาลก็ขึ้นเวทีเต้นแล้ว แต่ก่อนเป็นคนขี้อายมาก เป็นคนที่ตื่นเต้นทุกอย่าง เวลาทำอะไรก็ตื่นเต้นหมด แต่ว่าเราก็ชอบที่จะทำ
ต้องบอกว่าการที่เราเป็นเด็กกิจกรรมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร มันเป็นสิ่งที่หล่อหลอมพีทมาจนถึงทุกวันนี้ เรายังมีโอกาสได้ใช้ทักษะ ไม่ว่าจะเป็นการกล้าแสดงออก การได้พบปะผู้คน การปรับสภาพตัวเองในเรื่องการจัดการความตื่นเต้น พีทเป็นเด็กกิจกรรมมาตลอด จนคุณครูฝั่งวิชาการเค้าจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าเราเท่าไหร่ เวลาที่เราไปเรียนเช่นเรียนคณิต เรียนวิทย์ เราก็จะไม่ได้เด่นทางนั้น แต่ถ้ามาฟ้อนมารำ คุณครูก็จะมีความแย่งตัวเรา แล้วเราก็พุ่งก่อนเลย”
ทั้งเราและบริษัท ต่างก็โชคดีที่ได้ทำงานร่วมกัน
“หลังจากจบ ม.6 แล้ว พีทก็ไปทำงานที่ร้านอาหารในกรุงเทพ ซึ่งน้าของพพีทเค้าทำมาก่อน แล้วช่วงนั้นเราก็ไม่มีจุดยืนเป็นของตัวเอง เพื่อนชวนไปทำอะไรเราก็จะไปตาม โดยไม่มีความมั่นใจอะไรเลย ลองทำไปเรื่อย แต่พีทรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ทำอะไรแล้วค่อนข้างจริงจัง ความซีเรียสของเราเพราะอยากได้งานที่มันออกมาคุณภาพ ถ้าย้อนกลับไปช่วงที่ทำงานแรก ๆ เราก็เชื่อว่าเราเป็นคนจริงจังตั้งแต่ไหนแต่ไร
เข้าไปทำงานตอนแรกเป็นพนักงานเสิร์ฟ ช่วงนั้นเหนื่อยมาก เราอดทน ขยัน จนได้เป็น Supervisor อย่างที่พีทบอกว่า เราเป็นคนที่ทำอะไรแล้วจริงจังกับมัน ทุ่มเทจนถึงขนาดที่ว่าพีทเดินจนต้องไปถอดเล็บ คือก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะร่างกายเราเอง หรือเป็นเพราะความทุ่มเท แต่พีทแค่รู้สึกว่าพีททำงานให้เค้า บริษัทก็โชคดีที่มีเราไปทำงาน และเราเองก็โชคดีที่ได้ไปทำงานกับบริษัทเหมือนกัน ซึ่งเรารู้สึกว่าทุกอย่างมันแฟร์ แต่บางคนก็อาจจะรู้สึกว่า ทุ่มเทไปทำไม เราเป็นแค่ลูกจ้าง ถ้าไม่มีเราเค้าก็ยังอยู่ได้ แต่พีทรู้สึกว่า ณ วันนั้นมันเป็นชีวิตพีท มันเป็นสิ่งตรงหน้าที่พีทต้องรับผิดชอบ พีทก็จะทำให้ดีที่สุด ซึ่งตอนนั้นพีทมองว่ามันทำให้คนที่มีส่วนร่วมในการที่จะผลักดันเรา อยากให้เราได้ดีในเส้นทางนี้ เค้าก็สนับสนุนเรา แล้วก็มีโอกาสให้เราได้ไปต่อ เพื่อเลื่อนตำแหน่งไปเรื่อย ๆ
พีทอยู่ในตำแหน่ง Supervisor ประมาณปีกว่า ๆ ต้องยอมรับว่าช่วงนั้นมันเป็นช่วงทีคนเค้าลือกันว่า เราเป็นหัวหน้างานที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งก็แน่นอนว่าสังคมการทำงานก็ย่อมมีการแบ่งฝ่ายเป็นเรื่องธรรมดา แล้ว ณ วันที่เราอยู่ในนั้น เราก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้แฮปปี้เหมือนตอนสมัยที่เราเป็นพนักงานเสิร์ฟ ตอนที่เป็นหัวหน้าเราไม่ได้โฟกัสแค่ลูกค้า เราต้องไปโฟกัสเรื่องของงานหลังบ้านด้วย ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่ความสุขเราก็ได้ ณ ตอนนั้นเราก็เลยรู้สึกว่า ถ้าอย่างนั้นน่าจะเป็นโอกาสให้เราได้เปลี่ยนไปหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ก็เลยเปลี่ยนไปทำงานอยู่ในหน่วยงานของฝ่ายจัดการทรัพยากรมนุษย์ เปลี่ยนสายไปเลย แต่ว่าเราก็เอาประสบการณ์ที่เคยดูแลคน ในช่วงที่เราเป็นหัวหน้า เราก็มีโอกาสได้สัมภาษณ์น้อง ๆ บ้าง เราก็เอาเรื่องราวประสบการณ์พวกนี้ไปนำเสนอจนเค้ารับเข้าทำงาน
พีทอยู่ในสายงานจัดการทรัพยากรมนุษย์ รวมกันทั้งสองที่ก็จะประมาณ 4 ปีกว่า ๆ พีทก็รู้สึกว่า ถ้าฉันกลับไปเป็นหัวหน้างาน ฉันเป็นได้สบายเลยนะ เพราะว่ารู้สึกว่าฉันเข้าใจโลกมากขึ้น เข้าใจชีวิตมากขึ้น”

ในวันที่พีท ตัดสินใจกลับบ้าน
“พีทจบ ม.6 ก็มาอยู่ที่กรุงเทพเลย ตอนนั้นอายุน่าจะประมาณ 20 กว่า ๆ มีช่วงนึงที่แม่ไม่สบาย แล้วแม่เค้าอยู่กับพ่อสองคน เพราะว่าพี่แต่ละคนเค้าก็มีครอบครัวกันหมดแล้ว เราก็เลยมีความคิดในใจว่า แล้วถ้าวันหนึ่งเค้าไม่อยู่กับเรา แล้วในวันที่เรารู้สึกว่าเราประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เติบโตขึ้นไปเป็นผู้จัดการ แต่ถ้าวันหนึ่งเราไม่มีพ่อกับแม่ แล้วใครจะยินดีกับเราในวันที่เราสำเร็จ ก็เลยตัดสินใจกลับบ้าน
ความตั้งใจคือกลับไปอยู่ที่บ้านเลย ไม่ได้มีความตั้งใจที่อยากจะไปหางานทำที่บ้าน มันเป็นความคิดที่อาจจะไม่มีความรอบคอบ ไม่มีความมั่นคง แต่พีทแค่ต้องการกลับไปอยู่กับพ่อแม่ พีทพอใจกับสิงที่พีทมี ซึ่งเงินเก็บพีทก็มีแค่น้อยนิด แต่สิ่งที่พีทมีคือพีทไม่มีหนี้แล้ว พีทอยากไปอยู่กับพ่อแม่ อย่างน้อยที่บ้านก็ทำนา อย่างน้อยก็ต้องมีข้าวกิน แล้วที่บ้านก็เลี้ยงวัวบ้าง กรีดยางบ้าง รายได้ก็หลักร้อยหลักพัน ก็คิดว่าถ้าทุกข์เราก็อยากไปทุกข์กับเค้าบ้าง ดูซิว่ามันจะเป็นยังไง แต่ว่าเราก็ปฏิญาณกับตัวเองไว้ตลอดว่ากลับบ้านครั้งนี้จะไม่ไปเป็นภาระของพ่อแม่ซะเอง อันนี้เป็นสิ่งที่คิดไว้เสมอ แต่ไม่รู้ว่าวิธีการจะทำอะไร พ่อแม่เค้าก็ไม่ว่าอะไรนะ แต่ว่าในใจเค้าเราก็ไม่รู้ว่าเค้า อาจจะไม่ได้เห็นด้วยก็ได้ และพีทเชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนก็ไม่ได้อยากให้ลูกกลับมาอยู่กับอะไรที่มันเดิม ๆ ที่มันไม่มีความเจริญก้าวหน้า เค้าก็อยากเห็นลูกแบบได้ดิบได้ดี คนทางบ้านเค้าก็จะรู้สึกว่าลูกเป็นผู้จัดการแล้ว คือเหมือนเราได้ดีในนิยามของเค้า
ตอนที่กลับบ้าน พีทมีความสุขแฮปปี้มาก ณ วันนี้พีทยังรู้สึกคิดถึงตัวเองในวันนั้นอยู่เลย วันที่เราอยากไปอยู่ที่บ้าน ช่วงนั้นมันเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดแล้วในชีวิต พีทมีความสุขกับการได้อยู่กับพ่อแม่ มีความสุขกับการที่ได้ทำอะไรให้เค้ากิน มีความสุขกับการที่ตื่นขึ้นมาแล้วพีทไปโดนแดด ไปปั่นจักรยาน ไปทำอะไรที่พีทรู้สึกว่าไม่ได้มีความกังวลอะไรในใจเลย”

จุดเริ่มต้นของ พีท พามานา
“ช่วงที่พีทกลับไปอยู่ที่บ้าน มันเป็นช่วงโควิดรอบแรก พีทก็ต้องไปกักตัวที่นา เพราะเดินทางมาจากกรุงเทพ ก็เลยเป็นที่มาของชื่อ พีท พามานา แล้วช่วงนั้นมันเป็นช่วงที่ Tiktok กำลังเป็นที่นิยม เราก็เอ๊ะ Tiktok มันคืออะไร เราก็ลองไปโหลดมาแล้วก็เข้าไปดู เข้าไปเล่นกับเค้าบ้าง ซึ่งคลิปแรกของพีทมันเป็นคลิปที่เราลิปซิงค์เสียง พิม นาคำไฮ ซึ่งมันเป็นอะไรที่โดนจริตพีทมาก ๆ ทำแล้วแฮปปี้มีความสุข มันได้เล่นกับจินตนาการ ซึ่งพีทชอบเล่นกับจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก พอมันได้เล่นอะไรแบบนี้ พีทรู้สึกว่าฉันชอบในสิ่งนี้มาก
ช่วงแรก ๆ ที่ทำคลิป พีทค่อนข้างลำบากใจ กลัวคนที่บ้านจะมาเห็น แต่เรามีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำ เพราะว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่ คนรุ่นพ่อแม่เรายังไม่ได้รู้จักอะไรแบบนี้การที่เราเป็นผู้ชายแล้วทำไมแต่งตัวเป็นผู้หญิง หรือว่ามาพูดคนเดียวกับกล้อง หรือว่ามาแอ๊คติ้งอะไรบ้าๆ บอๆ หรือเอาของอะไรมาห้อยรุงรัง เอากางเกงมาแต่งเป็นเสื้อ ที่บ้านเค้าก็เป็นห่วงเรา ทำให้บางครั้งเราต้องหลบ ถ่ายคลิปอยู่ ถ้าได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์พ่อเข้ามา เราจะวิ่งไปที่หลังบ้าน แล้วก็ไปเปลี่ยนชุด แล้ววิ่งออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ยอดวิวของคลิปในช่องพีท มันเริ่มมาตั้งแต่หลักหมื่น ไปหลักแสน แล้วค่อย ๆ ไปหลักล้าน แต่ถ้าแบบไวรัลล้านวิวเลยก็จะเป็นคลิปจากละครเพลิงบุญ คลิปนั้นเป็นล้านวิวแรก และเป็นล้านวิวที่พีทมีความสุข เวลาทำคลิป พีททำจากความรู้สึก วันไหนพีทรู้สึกอยากทำพีทก็จะทำ วันไหนที่พีทไม่ได้รู้สึกพีทก็จะไม่ทำอะไร พีทก็อยู่ของพีทไป หาอะไรที่พีทมันทัชใจก่อน พีทค่อยลงมือทำ แต่ปัจจุบันนี้มันกลายเป็นว่าเรามีความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นในรูปแบบของการที่มันเป็นเชิงธุรกิจ เราเริ่มมีงานลูกค้า ซึ่งเราต้องทำให้งานเสร็จทันกำหนด ถึงวันนี้เราอาจจะไม่ได้มีฟีล 100% แต่มันก็ต้องทำ เพราะเวลามันกระชั้นชิดเข้ามาแล้ว มันต้องบอกตัวเองเสมอว่าคิดสิ ทำสิ เริ่มสิ เพื่อให้งานเสร็จทันเวลา โดนความกดดันมันมาจากความคาดหวังจากลูกค้าด้วย เค้าก็อยากให้คลิปและสินค้าของเค้าออกมาดี มันก็เลยกลายเป็นความกดดันที่มากขึ้น”
กว่าจะเป็น 1 คลิป ในช่องของ พีท พามานา
“มีคอมเมนต์ที่จะบอกว่าพีทเป็นคนที่ลิปซิงค์เป๊ะ พีทว่ามันไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ก็คือเราฟังบ่อย ๆ แล้วก็พูดตาม ซึ่งความเป๊ะมันมาจากความซีเรียสของพีทด้วยที่ว่า พีทอยากให้ปากมันตรง พีทก็เลยถ่ายจนกว่าปากเราจะตรงกับบท แต่สำหรับคนที่เค้าไม่ได้ซีเรียส เค้าก็แค่ทำปากอาจจะตรงบ้างไม่ตรงบ้างไม่เห็นจะเป็นไรเลย ก็เป็นแค่คลิปลิปซิงค์ แต่ว่าของพีทไม่ได้ พีทต้องทำให้มันเป๊ะ เพื่ออรรถรสของคนดู บางประโยคที่มันยาก ๆ เช่นมันเป็นจังหวะการพูดที่ไม่ใช่การพูดของเรา มันก็เลยจะมีความยาก ถ้าต้นฉบับเค้าพูดมาแบบพูดเร็ว ๆ ห้วน ๆ ซึ่งไม่ใช่จังหวะปกติของเรา มันก็จะยากในการคอนโทรลรูปปาก ดังนั้นก็ต้องฝึกฟังบ่อย ๆ แล้วก็พูดตามบ่อย ๆ
กว่าจะออกมาเป็น 1 คลิป ก็จะมีกระบวนตั้งแต่การครีเอทว่าอยากทำอะไร อยากนำเสนอในรูปแบบของเรารึยัง ถ้าอยากแล้วก็หยิบมันมาให้เป็นก้อนไอเดีย แล้วแปลงเป็นคอนเทนต์ในรูปแบบของเรา ซึ่งก็ต้องมาพิจารณาในส่วนของปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น อุปกรณ์ โลเคชั่น เสื้อผ้า หรือแม้กระทั่งมุมกล้อง คนเดินลงไปแล้วอันตรายไหม ถ่ายได้ไหม จะกระโดดน้ำมันกระโดดได้ไหม มีงูไหม น้ำลึกไหม ถ้าสรุปทุกอย่างแล้วคำตอบคือได้ ก็เริ่มถ่าย พอถ่ายเสร็จก็ตัดต่อ คืองานพีทจะปวดหัวมากเวลาที่แบบมีซีนกระโดดน้ำ ซึ่งแน่นอนว่างานจะไม่จบภายในวันเดียว เพราะว่าถ้าเรากระโดดน้ำตอนเย็นตัวเปียกแล้ว แต่ว่าเทคนี้มันไม่ได้ เราก็ต้องรอวันถัดไป ซึ่งต้องเป็นแสงเดิม เพื่อให้มันต่อเนื่อง พีทต้องบอกว่าพีทภูมิใจนำเสนอทุกคลิปเลย พีททุ่มเทกับทุกคลิป แต่ว่าจะใช้เวลามากน้อยแค่ไหน แต่ละคลิปก็ไม่เท่ากัน
เรื่องการแต่งตัวเกิดจากจินตนาการล้วน ๆ เลยค่ะ แต่ว่าจริง ๆ แล้วถ้าเป็นการทำลิปซิงค์ละคร ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับซีนละครต้นฉบับ เพราะว่าเค้าก็ต้องเป็นReference ให้เรา จากนั้นอยู่ที่ว่าเราอยากจะดัดแปลงไหม อยากจะมาทำเป็นรูปแบบของตัวเองไหม อยากจะใช้จินตนาการเพิ่มเติมลงไปไหม เช่น ถ้าโมโหมาก ๆ ก็ตีลังกาไปสิ หรือซีนตบเฉย ๆ มันไม่ได้ ก็ต้องแบบควง 1 ควง 2 ไปก่อนค่อยตบ มันจะเป็นการเอาจินตนาการตัวเองมาเล่นได้ ซึ่งพีทแฮปปี้มากเวลาได้ใช้จินตนาการของตัวเอง
ที่พีทเลือกทำคลิปที่ทุ่งนา มันเป็นข้อดีที่ว่าเราจดจ่อกับงานได้ เรามีสมาธิกับงานได้ ไม่ต้องไปทำงานต่อหน้าคนเยอะ ๆ เพราะเวลาทำงานต่อหน้าคนเยอะ ๆ มันจะมีความคนนี้เข้ามาดู คนโน้นเข้ามาพูด คนนี้เข้ามาขอถ่ายรูป แล้วมันอาจจะทำให้งานเสร็จไม่ทันก็ได้ ซึ่งงานพีทมันต้องทำงานแข่งกับเวลามาก ๆ และอีกส่วนหนึ่งที่พีทเลือกทุ่งนา ก็คือมันเป็นสิ่งที่เราภูมิใจนำเสนอ มันเป็นจุดเริ่มต้นของเรา แล้วพีทเริ่มต้นจากสิ่งที่พีทมี แล้วมันก็เป็นที่มาของชื่อ พีท พามานา เริ่มต้นจากตรงนั้น แล้วพีทก็อยู่กับตรงนั้นมาตลอด มันก็เลยกลายเป็นเหมือนเป็นแบรนด์ดิ้งของเราไปแล้ว
การที่คลิปเป็นไวรัล พีทไม่เคยวิเคราะห์อะไรเลย ตั้งแต่ทำมาก็ไม่ได้มีแผน 1 2 3 4 เราทำด้วยความรู้สึก วันไหนที่ไม่รู้สึกก็ไม่ได้ทำ เราไม่ได้มีทีมงาน เราเริ่มมาจากตัวเองตั้งแต่แรก ค่อย ๆ ถ่ายทีละมุม ค่อย ๆ ตัดต่อ จนปัจจุบันนี้เริ่มมีพี่ ๆ เข้ามาช่วยถือกล้อง เยอะสุดก็ 3 คน ที่ช่วยกันทำกว่าจะเป็นคลิปทุกวันนี้”

งานทำให้ครอบครัวอยู่ใกล้ แต่เหมือนไกล
“ด้วยภาระหน้าที่ ทำให้ครอบครัวของพีทมีระยะห่างมากขึ้น เหมือนอยู่ใกล้ แต่เหมือนไกล เพราะเรามีหน้าที่ความรับผิดชอบอื่น ๆ เข้ามาแทรก มันก็เลยกลายเป็นว่า เราต้องเลือกระหว่างชีวิตการทำงานกับชีวิตส่วนตัว เราต้องตอบตัวเองให้ได้ด้วยว่า สิ่งที่เราเลือกไป มันคุ้มค่ากับการที่เราจะเอาเวลาไปแลกไหม แต่ในขณะเดียวกัน ในช่วงเวลาที่แลกก็ต้องมีสติตลอดเวลาว่าเรากำลังใช้เวลาไปกับสิ่งนี้อยู่นะ ถ้ามันมากเกินก็อาจจะต้องหยุดให้ได้
เมื่อก่อนพ่อแม่อาจจะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่พีททำ แต่ตอนนี้ท่านเข้าใจมากขึ้น ท่านอยากดูคลิปมากแต่ว่าไม่ค่อยมีโอกาสได้ดู เพราะพีทจะสามารถเปิดให้ดูได้เฉพาะบางคลิป เราจะไม่ค่อยภูมิใจนำเสนอ เราจะเป็นประเภทที่ว่า เค้าอยากดูจริง ๆ หรือเค้ามาขอเราเราเปิดให้ดู ถึงจะเปิดให้ดู
ส่วนคนรอบตัว แน่นอนว่ายังมีคนที่ไม่เข้าใจ ด้วยความที่พีทเล่นหลายตัวละคร บางทีไปเล่นโดนนางเอกที่เค้ารัก ก็อาจจะมีบ้าง แต่ไม่ได้เป็นเรื่องราวใหญ่โต ก็จะมีแซว ๆ แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ หรือมีความคิดที่ว่าฉันจะเลิกทำ พีทคิดว่าเรื่องไหน ถ้าคนดูเค้าไม่เข้าใจ อธิบายยังไงเค้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”

อนาคตของช่อง พีท พามานา
“ตอบไม่ได้เลยค่ะ พีทโฟกัสแค่วันนี้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้พีทไม่กล้ามีทีม เพราะไม่กล้าเอาชีวิตไปผูกไว้กับทีม เพราะพีททำอะไรจากความรู้สึก แล้วก็พีททำโดยที่ไม่ได้มีแพลนอะไรมาก ไม่ได้แพลนว่าปีหน้าฉันต้องเปิดช่องใหญ่ ปีหน้าฉันต้องได้ผู้ติดตามเพิ่มขึ้น ไม่มีอะไรในหัวเลย มีแค่วันนี้จะทำอะไร อยากอินกับอะไร เช่นถ้าเกิดว่ามีงานอะไรมา เราก็แค่จินตนาการไปว่าสิ้นปีจะจบที่งานนี้นะ แล้วจะทำมันออกมาให้ดีได้ยังไง ส่วนปีหน้าก็ปล่อยไปก่อน ถ้ารู้สึกกับอะไรค่อยหาทำอีกที และช่วงนี้พีทได้โอกาสทำงานใหม่ ๆ เป็นอะไรที่น่าสนใจ พีทก็เลยเอาเวลาจากการทำคลิปวางไว้ก่อน แล้วให้เวลากับโอกาสที่ได้มา ให้เวลากับงานที่พีทรู้สึกว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่ ช่วงเวลาทำคลิปมันก็เลยน้อยลง รวมถึงแต่ละคลิปมันก็ใช้เวลานานกว่าจะเสร็จ คนก็จะเห็นว่าเราใช้เวลานานกว่าจะลงคลิป ซึ่งพีทเป็นคนที่อะไรที่เล่นไปแล้ว เราก็จะคิดใหม่ เพราะถ้าเล่นซ้ำเรื่อย ๆ มันเหมือนเราเอาเปรียบคนดู เหมือนเรากำลังทำอะไรเดิม ๆ ให้คนดู งานเราก็ไม่ได้มีการพัฒนาขึ้น พีทก็เลยอยากทำอะไรที่ยังไม่เคยทำ มันอาจจะมีความคล้ายบ้าง แต่คงไม่ได้เหมือนกัน 100% ซึ่งในมุมมองของพีท พีทว่าคลิปช่องพีทมันประสบความสำเร็จมาก ๆ มันเกินความคาดหวังไปนานมาก ๆ แล้ว และพีทรู้สึกว่าตัวเองได้กำไรมาสักกระยะหนึ่งแล้ว”
ความรัก 3 ปี ที่ไม่เคยได้เจอหน้ากันเลย
“ตอนนี้โสดค่ะ แต่ก่อนหน้านั้นพีทเคยมีความสัมพันธ์ 3 ปี ที่ไม่เคยได้เจอกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว คือเราเจอกันในแอพหาคู่ เป็นช่วงที่เราทำงานแล้วก็ได้ไปเจอเค้าในแอพ ได้ทำความรู้จักกันในระดับหนึ่ง เพราะเค้าเป็นคนค่อนข้างมีกำแพงบางอย่าง เช่นเรื่องครอบครัว หรือเรื่องส่วนตัวของเค้า
เราอยากเจอเค้า แต่พอเราไปนัด แล้วพอจะถึงวันเค้าก็จะมีเหตุผลร้อยแปด เช่น เลิกงานต้องทำโอทีไปไม่ได้ไม่สะดวก หรือที่บ้านมีเรื่อง มันก็จะเป็นแบบนี้มาตลอด จนเราเริ่มระคาย ก็เลยมีโอกาสได้พยายามหาความจริง แล้วก็ทะเลาะกันบ่อย แต่ว่าท้ายที่สุด เราก็พยายามที่จะยอมรับเค้า เนื่องด้วยว่าเราหวังว่าวันหนึ่งเค้าจะยอมมาเจอเรา เค้าจะยอมปรับปรุงให้มันดีขึ้น
แล้วมันก็มีเหตุการณ์ที่พีทได้มีโอกาสรู้ข้อมูลเค้ามากขึ้น เหมือนเราคุยกันมาสักพักก็เริ่มไว้เนื้อเชื่อใจกันในระดับหนึ่ง แต่เค้าก็ยังไม่ได้มาเจอเรา เราก็ถือวิสาสะจนได้รู้ชื่อจริง นามสกุลจริง ของเค้า ก็ลองค้นหาเลยทุกแพลตฟอร์ม ปรากฎว่าได้มีโอกาสไปเจอแอคเคาท์หนึ่งซึ่งทุกอย่างมันตรงหมด ตรงแม้กระทั่งเรื่องราวที่เค้าพูด มันเป็นความจริงทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องของเค้าเอง เช่นเค้าเป็นใคร ทำงานที่ไหน แม้กระทั่งหน้าเค้าที่ส่งมาให้เราดูก็ไม่ใช่คนเดียวกัน แต่คนรอบตัว หรือข้อมูลอื่น ๆ คือจริงหมด
พอรู้ความจริงพีทก็ไปคุยว่า ฉันไปเจอความจริงแล้วนะ เค้าก็บอกว่า รู้แล้วใช่ไหม ถ้ารู้แล้วจะไปก็ได้นะ แต่ท้ายที่สุดพีทก็ยังให้อภัยเค้า ด้วยเหตุผลเดิมที่เราก็หวังว่าสักวัน พอคุยไปเรื่อย ๆ สักวันเค้าก็คงจะยอมเปิดทุกอย่างกับเราจริง ๆ ก็เชื่อว่ามันอาจจะต้องใช้เวลาอีกสักนิดนึง ก็คุยกันต่ออีกสักพักจนรู้สึกว่ามันค่อนข้างที่จะเป็นไปได้ยากและเปอร์เซ็นต์มันลดลงเรื่อย ๆ ความรู้สึกเรามันเริ่มกระด้างกระเดื่อง มันเริ่มฝืด ๆ เคือง ๆ เริ่มไม่มีความสุขแล้ว สุดท้ายก็เลยปล่อยให้เค้าเป็นอย่างงั้น และก็ตัดสินใจเดินออกมาจากความสัมพันธ์”

อยากให้ฝันสำเร็จ ต้องให้เวลาและลงไปคลุกคลีกับมัน
“พีทมองว่าถ้าอยากให้ฝันสำเร็จต้องลงไปคลุกคลีกับมัน ชอบอะไรก็ต้องลงไปคลุกคลีและให้เวลากับมันอย่าผิวเผิน เช่น อยากร้องเพลงเป็นแต่ไม่ฟังเพลงเลย ไม่อ้าปากเลย หรือไม่ร้องเลย มันก็คงจะเป็นอะไรที่เอาเปรียบโลกจนเกินไป เอาเปรียบคนอื่นจนเกินไป ในขณะเดียวกัน คนอื่น ๆ ที่เค้าร้องเพลงเก่ง ๆ เค้าก็คงต้องให้เวลากับมัน คลุกคลีกับมัน แลกเอาเวลาส่วนที่ไม่อยากแลกแต่ต้องเอามาแลก เหมือนพีทก็รู้สึกว่าก็ต้องแลกต้องคลุกคลีกับมัน แล้ววันหนึ่งมันจะสำเร็จ”
คำขอบคุณ จาก พีท พามานา
“ขอบคุณที่ซัพพอร์ทพีทมาตลอด แล้วก็ยอมรับในความเป็นตัวพีท ซึ่งมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างแตกต่าง มันเป็นอะไรที่คนหลาย ๆ คนทำใจยอมรับยาก แต่พีทก็รู้สึกว่าก็ยังมีอีกหลายคนที่เค้าเปิดใจ แล้วเค้าก็พัฒนาความคิดไปพร้อมกับยุคสมัยที่มันเปลี่ยนไป ซึ่งพีทขอบคุณมาก แล้วก็ขอบคุณทุก ๆ โอกาส ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า หรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่ใจดีหลาย ๆ ท่าน ที่เค้าอยากให้โอกาสเรา แล้วก็อยากร่วมงานกับเรา นอกเหนือจากสิ่งที่เราทำอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นอะไรที่มหัศจรรย์แล้วก็ไม่คิดไม่ฝัน อย่างที่พีทบอกว่าเป็นฝันที่ไม่กล้าฝัน จนมันได้เกิดขึ้น ณ วันนี้ พีทรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่เกินฝันไปมาก ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ครับ” - พีท พามานา

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์
ดูรายการย้อนหลัง
