“หวานภูมิใจที่หวานเลี้ยงครอบครัวได้ ดูแลคุณแม่ได้ หวานอาจจะไม่ได้เป็นลูกที่ดีมาก แต่ในบันปลายชีวิตของเขา เราก็ทำให้เขาได้อย่างดีที่สุดแล้ว”
เปิด Club รวมสีสันของชีวิต พร้อมแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลในในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่ตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับตัวแม่ “หวานเจี๊ยบ” จากพนักงานขายเครื่องสำอาง สู่ผู้จัดการสุดปัง ของซุปตาร์ตัวแม่ ที่พร้อมดูแล ปลุกปั้น ดาวดวงใหม่ประดับวงการ กับเส้นทางชีวิตสุดสตรอง ที่กว่าจะเฉิดฉาย ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด สีสันรสชาติของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการ
ก่อนจะเป็นผู้จัดการตัวแม่
“หวานเข้ามาในวงอาชีพนี้ได้เพราะว่าเมื่อก่อนเป็นพนักงานขายเครื่องสำอางในห้าง แล้วคุณชมพู่ก็เป็นลูกค้าเรา จนกระทั่งรู้จักกันมาหลายปี พี่ชมพู่ก็เปิดร้านทำผมอยู่ช่วงหนึ่ง แล้วเค้าก็เลยบอกว่า หวานออกมาได้ไหม จะให้มาเป็นผู้จัดการด้วย แล้วก็คอยดูแลร้านตัดผมด้วย
ก็เลยตัดสินใจลาออกมาค่ะ
ผู้จัดการ ปกติก็มีหน้าที่รับคิวงาน คอยตรวจสอบสกรีนงาน ว่างานไหนน้องเราทำได้ งานไหนน้องเราไม่สะดวกทำ มันก็จะมีคอนดิชั่นของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน เนื้องานก็ประมาณนั้นค่ะ”
Millions of stars บ้านดาวในสังกัดหวานเจี๊ยบและผองเพื่อน
“มิลเลี่ยนออฟสตาร์ จริง ๆ มันไม่ได้มีหวานเป็นผู้จัดการคนเดียวนะคะ มันมีเพื่อน ๆ อีก 4-5 คน โดยหวานสนิทกับคนชื่อคุณแอมก่อน คุณแอมเค้าจะดูแล เอมมี่ มรกต แล้วหลังจากนั้นเค้าก็จะมีหลาย ๆ คนตามมา แล้วเราก็รู้จักคนโน้นคนนี้ เราก็ดึงมาอยู่ในก๊วนเดียวกัน แล้วเมื่อก่อนเวลาถ่ายรูปไปงาน เราก็ถ่ายกันเอง ซึ่งออกงาน 1 ครั้ง เราก็ถ่ายรูป 20 – 30 รูปแล้วส่งให้ดาราลงโพสต์ ซึ่งดาราก็ลงแค่ 1-2 รูปเท่านั้น ส่วนรูปที่เหลือเราก็ไม่รู้จะเอารูปไปไว้ไหน แล้วรูปมันก็สวย เราก็เลยสร้างเพจขึ้นมาชื่อว่า มิลเลี่ยนออฟสตาร์ แล้วเวลามีรูปอะไรก็โยนเข้าไปในเพจ ใครมีกิจกรรมอะไรก็โยนกันเข้าไป เค้าก็เลยเรียกเราว่าบ้านดาว ซึ่งคนมักจะเข้าใจผิดว่าหวานเป็นคนดูแลทั้งหมด แต่จริง ๆ ไม่ใช่ มันจะมีเพื่อน ๆ อีก 4-5 คนที่เป็นแก๊งผู้จัดการด้วยกัน
ซึ่งเรื่องที่ ดาราในบ้านทุกคนต้องลงคอนเทนต์ทุกวัน อันนี้ก็เป็นเรื่องจริง เพราะมันคือตัวทำเงิน อย่างตอนนี้เราก็ต้องผันไปเป็น Tiktoker ซึ่งอะไรก็ตามที่มันเป็นแหล่งให้ดาราเค้าได้เงิน ทำให้เค้าเกิดรายได้ เราก็ต้องบอกเค้า ยิ่งทำบ่อย ๆ อัลกอริทึมมันก็จะเรียนรู้และเหวี่ยงขึ้นเอง ขอให้เน้นความสม่ำเสมอ”
ผู้จัดการดารา ใช้ชีวิตไม่ธรรมดา จริงไหม?
“หวานคิดว่า คนภายนอกอาจจะมองนักแสดงและดาราเป็นแบบนั้น แต่จริง ๆ แล้วทุกคนมันก็เป็นเหมือนคนปกติ เค้าก็ยังกินส้มตำปลาร้า กินไส้กรอกอีสาน เค้าก็ยังใช้ชีวิตปกติ แต่ว่าคนที่เค้าร่วมงานอาจจะเป็นการให้เกียรติมากกว่า ให้เกียรติทั้งนักแสดง รวมไปถึงผู้จัดการดาราด้วย มันก็เลยดูเป็นภาพลักษณ์ที่สวยงาม แต่จริง ๆ เบื้องหลังเราก็ปกติ แต่อาจจะไม่มีใครรู้ สมมติแต่ก่อน เวลาหวานไปโชว์ตัวต่างจังหวัดกับพี่ชมพู่ โรงแรมที่ลูกค้าเปิดให้ก็คืนละ 800 บาท ซึ่งเราก็นอน ขึ้นเครื่องบิน ขึ้นรถตู้ไปผจญภัยกันสองคน จำได้เลยมีอยู่ครั้งหนึ่งไกลมาก ตอนนั้นมันยังไม่มีเครื่องบิน พอไปถึงจังหวัดนั้น ต้องนั่งรถตู้ไปอีก 5 ชั่วโมง พอลงรถตู้ปุ๊บต้องขึ้นเวทีเลย ผ่านไปยังไม่ครบ 1 ชั่วโมงเลย ฉันยังเดินหาข้าวหาปลาให้คุณชมพู่ไม่ได้เลย ปรากฎว่างานเสร็จและต้องนั่งรถกลับอีก 5 ชั่วโมง ทางขรุขระนั่งกระแทกจนพี่ชมพู่ต้องมีหมอนมีผ้าห่มมารอง ภาพเบื้องหลังมันก็ไม่สวยหรูขนาดนั้น แต่ภาพเบื้องหน้ามันเป็นอะไรที่ต้องสวยงาม เพื่อไปเจอแฟน ๆ ในแต่ละ
อย่างเรื่องถูกถ่ายรูป หวานว่าปัจจุบันนี้มันห้ามไม่ได้หรอกค่ะ แต่ถ้าเราเห็นว่าดารากำลังอยู่ในโมเม้นท์ที่มันไม่สมควร เราก็อาจจะขอให้คนไม่ถ่าย แต่ว่าเดี๋ยวนี้ทุกคนมันมีกล้องอยู่ในมือแล้ว ดาราทุกคนก็โดนถ่าย เราก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราก็คิดว่าถ้ามันไม่ได้อยู่ในโมเม้นท์ที่น้องกำลังทำธุระส่วนตัว มันก็ไม่เป็นไร
เกณฑ์ในการรับเด็กเข้าบ้านไม่มีค่ะ ขอแค่รู้จักก่อน อาจจะเป็นเด็กใหม่ได้ หรือมีชื่อเสียงมาบ้างประมาณนึง อย่างตอนน้องแจ๊คกี้มา แจ๊คกี้เค้าก็ไม่ได้มีชื่อเสียงมา แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นความสามารถของน้อง ที่ทำให้น้องต่อยอดมาถึงทุกวันนี้ได้”
หวานเจี๊ยบ กับบรรดาหลาน ๆ
“ทุกวันนี้คุณชมพู่เค้าจะให้หลาน ๆ เรียกอย่างผมยาว เค้าจะเรียกว่าป้า ส่วนผมสั้นจะเรียกว่าลุง แล้วความน่ารักของสายฟ้า พายุ ตอนนี้จะ 7 ขวบ เค้าก็ไม่เคยมาถามว่าทำไมป้าหวานเป็นผู้ชาย ส่วนน้อง แอบิเกล เค้าจะมีเรื่องให้เราเซอร์ไพรส์เค้าตลอด อย่างพี่สาวของหวานก็ชอบหนูเกลมาก เค้ายังถามว่าเกล 2 ขวบจริง ๆ เพราะทุกวันนี้มีคนมาติดต่องาน ติดต่อน้องเกลไปเดินแบบ ไม่เอาแม่ชมพู่นะ เอาแต่เกล ซึ่งหวานก็บอกว่ามันไม่ได้ เค้าต้องมีแม่ไปด้วย น้องเพิ่ง 2 ขวบกว่าเองนะ คือคนภายนอกจะเห็นความฉลาด จนเข้าใจว่าเค้าโตมากแล้ว คิดว่าทำงานเองได้แล้ว ซึ่งจริง ๆ มันไม่ได้ น้องเพิ่ง 2 ขวบค่ะ”
ครอบครัว กับการยอมรับตัวตนของหวานเจี๊ยบ
“หวานเป็นคนกรุงเทพแต่กำเนิดค่ะ เกิดมาในครอบครัวคนจีน ฐานะปานกลาง มีพี่น้อง 4 คน
เรื่องการยอมรับตัวตนคือเมื่อก่อน เราไม่รู้ว่าการที่เค้าทำแบบนั้น มันคือรับไม่ได้ อย่างเช่นคุณพ่อของหวาน ตอนนี้ท่านเสียไปแล้ว เค้าจะไม่ค่อยยุ่งวุ่นวายอะไรกับหวานเท่าไหร่ แต่กับแม่ด้วยความที่เราสนิทกัน เราอยู่ด้วยกันกับแม่ เค้าก็จะเรียกเราว่าสัตว์ประหลาด ซึ่งบ้านของหวานจะมีกิจกรรมที่ต้องไปกินข้าวภัตตาคาร หรือไปกินตามร้านอาหารกัน แล้วเวลาเดินออกจากบ้านเค้าก็จะเดินนำหน้าไปเลย แล้วเค้าก็จะให้หวานเดินคนสุดท้าย หรือไม่ก็จะให้หวานนำหน้าเค้าจะไม่เดินใกล้ แต่พอไปร้านอาหารทุกอย่างเป็นปกติ หรือถ้าเข้าบ้านแล้วชีวิตก็เป็นปกติ แต่พออยู่ข้างนอก แม่เค้าก็จะไม่ค่อยยอมรับ แต่เราก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร ก็ไม่เป็นไร
เมื่อก่อนแม่เค้าไม่ได้ใช้คำว่าเป็นกะเทย คือเหมือนตอนนั้นหวานจำได้ว่า อยู่ดี ๆ แม่เค้าก็มารื้อตู้เสื้อผ้าแล้วเค้าก็เจอหมดเลย แป้ง มาสคาร่า ลิปสติก ชุดชั้นใน แล้วเค้าก็เรียกเราลงมาด่า แล้วเราก็เลยพูดไปว่า แม่ไม่คิดเหรอถ้าสมมติหนูเป็นผู้ชายจริง ๆ ป่านนี้อาจจะถือเหล็กฟุตไปตีกับคนอื่นก็ได้ เพราะตอนนั้นตรงข้ามบ้านเรามันก็มีคนที่ไปเรียนช่าง เค้าก็เลยพูดขึ้นมากับหนูว่า ให้ติดยาดีกว่าให้เป็นแบบนี้ แต่เราก็ไม่ได้เสียใจนะ วันนั้นเราก็งงด้วยซ้ำ แต่เราแค่รู้สึกว่าเค้ารับไม่ได้ขนาดนี้เลยเหรอ ซึ่งตอนที่แม่จับได้ ตอนนั้นหวานเรียน ม.ปลาย เรายังเป็นกะเทยผมสั้นอยู่แต่เราก็แอบใส่ชุดชั้นใน แต่จะใส่เวลาอยู่นอกบ้านนะ แต่พอใกล้จะถึงบ้าน เราจะถอดเก็บใส่กระเป๋า พอวันรุ่งขึ้นปุ๊บตอนแม่ไม่อยู่เราก็ซัก แล้วก็ไปตากแดด แต่ถ้าแม่เค้ากลับมา ชุดชั้นในตัวที่ซักจะแห้งไม่แห้งเราก็ต้องเก็บก่อน แล้วก็เอารองเท้าส้นสูงที่มันสูงมาก ๆ เราก็ไปเลื่อยออกให้มันเหลือส้นเตี้ย ๆ เพื่อให้มันดูไม่เป็นผู้หญิงมาก หวานว่าจริง ๆ แล้วบ้านหวานเป็นเหมือนครอบครัวปิด เค้าคงยังไม่รู้ เพราะต้องเรียนตรงนี้ว่า คุณแม่หวานไม่ได้รับการเรียนหนังสือเลย เพราะฉะนั้นเค้าก็จะอยู่แต่ในโลกของเค้ากับที่บ้าน ซึ่งเค้าก็ไม่รู้ว่าโลกมันไปถึงไหนแล้ว
แต่เราเป็นคนที่ไม่ค่อยได้รู้สึกมากเท่าไหร่ ไม่รักก็ไม่รัก เราก็คิดแบบนี้ และต้องเข้าใจว่าหวานเป็นลูกคนสุดท้อง แล้วสิ่งใดที่หวานต้องการแม่ไม่เคยปฏิเสธ ดิฉันอยากได้กระเป๋านักเรียนอันใหม่เดี๋ยวฉันก็ต้องได้ หรือฉันอยากได้เงินเดี๋ยวแกก็ให้ เราก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าเราขาดแคลนอะไร
หวานรู้ว่าลึก ๆ แม่เค้าก็รักหวาน ญาติพี่น้องทุกคนก็บอกว่าเค้ารักเรา แต่เราก็รู้สึกว่าแม่รักพี่สาวเราอีกคนหนึ่งมากกว่า แต่พี่สาวเราคนนั้นเค้าก็ดีกับพ่อกับแม่จริง ๆ นะ เราก็เถียงไม่ได้ เพราะเรามีแต่เรื่องให้เค้าช้ำใจ เรียนก็ไม่เก่ง แล้วพอเราเริ่มไปโรงเรียนชายล้วน ได้เจอเพื่อนที่เป็นแบบเดียวกัน แล้วก็เริ่มมีแฟน เริ่มไม่กลับบ้านบ้าง เริ่มไปนอนบ้านเพื่อนคนนี้ เริ่มไปนอนบ้านเพื่อนคนนั้น บางวันเราไม่กลับเลย จนมีอยู่วันหนึ่งเราโทรไปหาแม่ ซึ่งตอนนั้นเค้ากำลังจะแจ้งความแล้วว่าเราหายไปไหน เพราะเมื่อก่อนเราไม่มีโทรศัพท์มือถือ แล้วเราก็รู้สึกว่าถ้าเราไม่กลับบ้าน ยังไงเค้าก็ตามเราไม่ได้ พอกลับมาแม่โกรธมากเอาสายยางฟาด ๆ เพราะเค้ากลัวว่าเราจะเกิดอันตรายอะไรรึเปล่า
แม่เริ่มมายอมรับเราได้ตอนโตนี่แหละค่ะ ตอนทำงานเลย ซึ่งช่วงก่อนที่เราจะมาทำงานในอาชีพผู้จัดการ ตอนที่ทำงานห้าง ตอนนั้นแบรนด์ของหวานเป็นแบรนด์ใหญ่ เค้าก็จะมีคนมากรูมมิ่งบุคลิกภาพเรา ไว้เล็บแล้วต้องทาเล็บนะ ต้องใส่กระโปรงนะ ต้องทาเล็บเท้านะ ต้องดูแลตัวเองนะ เค้าก็จะมากรูมมิ่งเราก่อนที่แบรนด์เราจะเปิด แล้วพอเราเริ่มทำงานไปสักพัก ตอนนั้นเราก็ยังไม่มีรถ เรากลับไปบ้านพอไปถึงบ้านเราก็เหวี่ยงผ้าเราลงตะกร้า ซึ่งทุก ๆ สัปดาห์ก็จะเป็นอย่างแบบนั้น จนกระทั่งมีอยู่ครั้งนึงหวานก็ได้ยินเสียงมาจากตรงระเบียง หวานก็ลุกขึ้นไปดู สรุปเป็นแม่เราเนี่ยแหละ นั่งซักกระโปรงให้เราอยู่ ซึ่งปกติเค้าไม่เคยชอบให้หวานใส่กระโปรง แต่พอเรามาทำงานเราเลี้ยงดูตัวเองได้ ทุกอย่างมันก็ดูเบาลง ญาติพี่น้องที่เคยบูลลี่เรา เค้าก็ไปบอกพี่สาวเรา หรือบอกญาติ ๆ คนอื่นว่า โชคดีที่มีเรานะ ดูแลแม่ดูแลพ่อ ซื้อบ้านซื้อรถ พาแม่ไปเที่ยว ตั้งแต่นั้นเราก็รู้สึกว่าความตึงที่เราเคยเจอมันก็ผ่อนลง หวานเคยถามแม่ด้วยนะว่า เห็นคนโน้นคนนี้เค้าบวชกัน ไม่อยากให้บวชบ้างเหรอ เค้าก็บอกว่าถ้าบวชแล้วเหมือนเราไม่ได้สมัครใจ บาปก็ไปอยู่ที่เค้าสิ งั้นก็แล้วแต่ เราก็เลยไปจับแม่มาคุยว่า ไม่ต้องจับผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์หรอก เดี๋ยวซื้อเครื่องบินให้ขึ้นไปเลย เราก็พูดกับเค้าเล่น ๆ แซวขำ ๆ กันไป”
ความรักหวานใส ของหวานเจี๊ยบ
“ความรักครั้งแรกของหวาน คือตอนเรียนม.ปลาย เป็นช่วงที่ผู้ชายรุมล้อมไปหมด เราเองก็ยังหัวโปก เพียงแต่ว่าเราเป็นสินค้าใหม่ในโรงเรียน ซึ่งผู้ชายโรงเรียนมันมีตั้งแต่ ม.1 - ม.6 แล้วเราเข้าไปตอน ม.4 เราผิวขาว หน้าตาจิ้มลิ้ม ผู้ชายก็รุมล้อม เมื่อก่อนผู้ชายแข่งกันนะ เวลาคนนี้โทรหาหวาน หวานก็ติ๊ก 1 คนนี้โทรหาหวานหวานติ๊ก 1 แล้วสิ้นเดือนหวานไปบอกให้ผู้ชายเหล่านี้ให้รู้ว่าเดือนใครบ้างที่โทรหาหวาน โทรกี่วัน ทำให้ผู้ชายก็ยิ่งแข่งกันโทรมา แล้วบางทีก็แค่โทรมาเพื่อให้เราจด ซึ่งหวานก็ไม่ได้คิดว่ามันคือการจดแต้ม หวานแค่คิดว่า อยากรู้ว่าใครโทรมาบ้าง แต่ถ้าเทียบกับสมัยมันก็คงโทรมาจีบแหละ แต่ตอนนั้นเราใสมากนะ ไม่เคยรู้ว่าผู้ชายกับผู้ชายเป็นแฟนกันได้ แล้วมันก็เริ่มมีคนมาใส่ใจเราเป็นพิเศษ ชวนไปติวหนังสือ แล้วก็เหมือนมีอะไรเกินเลยกันไป เราถงเริ่มเข้าใจว่ามันเป็นอย่างงี้นี่เอง มันก็เลยยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าที่บ้านไม่รักไม่เป็นไร เรามีผู้ชายอีกหลายคนให้รัก ผู้ชายคนเนี้ยไม่รักหนู หนูก็มีคนใหม่”
หวานเจี๊ยบกับความรักสุดขมขื่น
“มันเป็นความรักที่ผ่านมาหลาย ๆ ครั้ง จนกระทั่งเรามาเจอคนหนึ่ง ซึ่งตอนแรกเค้าก็ดีมากเลยคนนี้เป็นคนที่ทำให้เรารู้สึกถึงคำว่าผัวเมียจริง ๆ ตอนนั้นหวานเพิ่งเรียนจบ ส่วนเค้ายังเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 แต่เราเคยเรียนโรงเรียน ม.ปลายด้วยกันแต่หวานเป็นรุ่นพี่เค้าเป็นรุ่นน้อง แล้วเค้าก็ชวนเราไปอยู่ในคอนโด ใช้ชีวิตด้วยกัน เราไปเลือกแอร์ เลือกเฟอร์นิเจอร์เข้าคอนโด คือทุกอย่างมันดีไปหมดเลย แล้วเราก็ออกจากบ้านไปเลย ไม่มีเงินไม่มีทองไม่มีอะไรเลย แต่เค้าก็เลี้ยงดูเราทุกอย่าง เอาจักรยานไปจำนำ เอาหนังสือไปซีร็อกซ์ขาย หาเงินมาดูแลเราทุกอย่าง จนกระทั่งหวานจำได้ว่า เค้าเริ่มลงมือทำร้ายร่างกายหวานครั้งแรกในวันคริสต์มาส
ครั้งแรกเหมือนเราอยู่ด้วยกัน เค้าก็บอกกับเราว่าวันนี้เค้าจะไปเที่ยว เหมือนคณะของเค้ามีไปเที่ยวกัน เค้าบอกให้เราไปด้วย แต่ว่าให้เราอยู่อีกโต๊ะนึงใกล้ ๆ เราก็ไปแต่เราเป็นคนไม่เที่ยวกลางคืนอยู่แล้ว แต่ว่าเพื่อน ๆ เราเค้าก็ชอบเที่ยว ตอนแรกมันก็ไม่มีอะไรเลยก็ เราก็เห็นเค้า เค้าก็เห็นเรา จนกระทั่งอยู่ดี ๆ จะกลับอยู่แล้ว หวานก็เห็นเค้าโอบผู้หญิงอยู่หน้าร้านเลย หวานก็ตกใจก็เลยเดินไปตีเค้า แล้วก็ถามว่าทำอะไร ผู้หญิงก็ตกใจ แล้ววิ่งหนีไปก่อน แล้วแฟนหวานเค้าก็วิ่งหนี เราเราก็วิ่งตาม สุดท้ายแล้วเหมือนเพื่อนเค้ามีรถตู้มาเค้าก็ขึ้นไป จนอีกวันหนึ่งก็กลับไปเจอกัน เราก็ถามว่ามันคืออะไร เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น แล้วเค้าก็เริ่มเลย เค้าทำร้ายร่างกายหวานเลย นั่นคือครั้งแรกที่ค่อนข้างหนัก เราโดนแบบสะบักสะบอม แล้วหวานโดนมา 2 ปีเต็ม ๆ แล้วก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนหลัง ๆ ก็คือ ถ้าเลือดไม่ออกเค้าไม่หยุด เค้าไม่มีเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น ขับรถเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไม่ถูกใจเค้า กลับไปบ้านก็โดนอะไร
ตอนนั้นยังไม่ทำงาน จนช่วงปลาย ๆ เริ่มไปสมัครงาน เพื่อน ๆ เค้าไปสมัครงานกัน แล้วเค้าได้งานกันทุกคนเลย เราก็บอกว่าฉันต้องได้บ้างสิ วันไปสมัครงาน แฟนหวานเค้ายังเอาพระมาใส่คอให้เรา สวดมนต์กันริมระเบียง ขอให้เธอได้นะ พอเราได้งานปุ๊บก็โมโหก็กระทืบหัวปูดบ้าง ตาแตกบ้าง พี่ ๆ ที่ทำงานเค้าก็สงสาร ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า เห็นเป็นคนหน้าตาดี สุภาพเรียบร้อยไม่คิดว่าจะเป็นคนที่ทำร้ายร่างกายคนอื่น
เพื่อนเตือนค่ะ มีอยู่ครั้งนึงที่หนัก ๆ เลยคือ หวานโดนจนเลือดไหลมาที่ตา จมูก ปาก แล้วเพื่อนหวานเป็นทอม ซึ่งก็เป็นเพื่อนเค้านั่นแหละ เค้าก็บอกว่าให้มาหาเค้า แล้วเค้าก็พาเราไปที่ห้อง เพื่อนทุกคนก็ทำแผลให้เรา ร้องไห้กับเรา พอตื่นเช้าผู้ชายก็มาเรียก แล้วเราก็เดินกลับไปเลย เพื่อน ๆ ทุกคนก็เลยเริ่มรู้สึกหรือว่ามันเตือนไม่ได้ จนเพื่อน ๆ ทุกคนเริ่มเอือมระอา
ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้หวานตัดสินใจเลิก คือเค้าไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งที่ผับ เรานอนคนเดียว พอเรากำลังจะไปทำงานเช้า เค้ากลับมาสวนกันพอดี หวานก็รู้สึกผิดปกติ ก็เลยไปรื้อกระเป๋าสตางค์เค้า ก็เจอรูปสติ๊กเกอร์ เค้าถ่ายกับผู้หญิงคนหนึ่ง พอเค้าอาบน้ำเสร็จเค้าออกมา เราก็ถามว่านี่คือ เค้าบอกว่าเค้าเพิ่งเจอกัน ตัดสินใจจะคบกันแล้ว อยากให้เธอออกจากห้องนี้ไปสัปดาห์หน้าเลย วันนั้นหวานจำได้ว่าไม่มีการต่อล้อต่อเถียงอะไร หวานก็เลยเดินขึ้นไปในห้องของพี่ที่อยู่ชั้นข้างบนที่เป็นกะเทยเหมือนกัน ก็บอกเค้า เค้าก็ให้เรานอนห้องพี่ก่อน วันรุ่งขึ้นก็เค้าก็โทรมาถามว่าจะไปเมื่อไหร่ เราก็เลยบอกว่าขอเป็นสัปดาห์หน้าได้ไหม เพราะเราทำงานห้างเราจะหยุดแค่วันเดียว เค้าบอกไม่ได้ ต้องมาเก็บของวันเสาร์นี้เลย เราก็ตกลงไปเก็บของ วันที่เราเก็บของเค้าก็นอนอยู่ในห้องเล่นเกมปกติ แต่พอเราจะไปจริง ๆ เค้าก็ร้องไห้ ถามว่าเราจะไปจริง ๆ เหรอ เราก็บอกว่าเราไม่ได้อยากไป แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่าเราไม่มีทางเลือกแล้ว ก็ก้าวออกมา ในวันที่เราเลือกเดินออกมา เคนแถวนั้นที่เคยเห็นสภาพเราวิ่งหนีไปอยู่กับเค้าบ้าง เค้ายังถามว่าพี่หวานไปแล้วเหรอ ไม่ทนอีกสักนิดเหรอ เหมือนเค้าก็สนิทกับเรา ก็ไม่อยากให้เราไป เพราะเค้าก็รู้สึกว่าเราเป็นพี่เป็นน้องกันแล้ว ถ้าเราไปจากตรงนี้ก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว แต่หวานก็บอกว่าเราต้องไปแล้ว เราไม่ไหว ก็เลยตัดสินใจขาดกัน หลังจากนั้นก็มีช่วงหนึ่งเค้ากลับมาด้วยนะ เหมือนกลับมาคบกันลับ ๆ อยู่ช่วงหนึ่ง จนกระทั่งหนูไปเล่าให้แม่ฟัง แล้วแม่ก็บอกว่า แม่ไม่เคยขออะไรนะ แต่ผู้ชายคนนี้เค้ามีลูกแล้ว อย่าไปยุ่งกับครอบครัวเค้าเลยบาปกรรม
ผู้ชายคนนั้นเค้ามีครอบครัวปกติเลย แต่ตอนที่เค้ามีครอบครัวแล้ว เค้าก็ติดต่อมาหาหนู ตอนเค้าจะบวชเค้าก็ติดต่อมาหาหนูเพื่อขออโหสิกรรม หนูก็โอเค ไม่ได้ติดใจอะไร จนแม่หนูพูดคำนี้ออกมา หนูเลยรู้สึกว่ามันคงต้องหยุดแล้วจริง ๆ
พอเลิกกัน หนูก็โทรบอกแม่ ใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะเลย แล้วหนูก็บอกว่าจะกลับไปอยู่บ้านแล้วนะ แม่ก็ถามว่าเค้าไม่รักเอ็งแล้วเหรอ เราก็บอกว่าใช่ ไม่รักกันแล้ว แม่บอกว่าก็กลับมา ข้ามีข้าวให้เอ็งกินสามมื้อนะ แต่อย่างอื่นข้าไม่มี หนูก็รู้สึกว่ากลับบ้านดีกว่า ก็เลยย้ายกลับไปอยู่บ้าน”
การกลับบ้าน ที่ต้องพบว่าคุณแม่ไม่เหมือนเดิม
“พอหนูได้เจอแม่อีกครั้งคือ เค้าแก่ไปเลย แล้วก็จำได้ว่าตอนนั้นไปเที่ยวหัวหินกัน สิ่งที่ทำให้หนูตกใจเลยคือ เหมือนมันมีบันได แต่มันเป็นสีเดียวกัน อยู่ดี ๆ แม่เดินอยู่แล้วเค้าก็ตกลงไปเลยเราก็งงว่าตกไปได้ยังไง เค้าบอกว่าไม่เป็นไรไม่เจ็บ จนวันรุ่งขึ้น ห้องของหวานเปิดอกกไปมันจะมีระเบียงกว้าง ๆ เป็นไม้ ซึ่งสีเดียวกันอีก แล้วแม่ก็เดินไป แล้วก็ตกลงไปอีกคาตาหวานเลย ก็เลยสงสัยว่าทำไมเค้ามองไม่เห็น ก็เลยต้องโทรไปถามพี่อีกคนหนึ่ง เค้าก็เลยบอกว่าเหมือนดวงตาข้างหนึ่งของแม่เค้ามองไม่เห็นแล้ว ทำให้การโฟกัสเค้าไม่ดี หลังจากนั้นก็เลยตกใจ และเริ่มทำการรักษาเค้า
จนมีเหตุการณ์ที่หนูจะไปฝรั่งเศส ซึ่งก่อนจะไป 1 วัน เราสังเกตดวงตาแม่มันหรี่ผิดปกติ เลยพาแม่ไปเอ็มอาร์ไอ แต่ผลมันดันออกวันที่หวานลงเครื่องที่ปารีส แล้วคุณหมอบอกว่า ผลตรวจคุณแม่เจอถุงเลือดอยู่หลังลูกตาข้างที่หรี่ผิดปกติ ต้องรีบผ่าตัดเลย เพราะเดี๋ยวมันจะแตกแล้ว อาจจะมีเลือดคั่งในสมอง เราก็ตกใจคิดว่าจะทำไงดี สุดท้ายจำได้ว่าก็เลยโทรหาผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ชื่อน้าแหม่ม น้าแหม่มช่วยเหลือหนูหลายเรื่องเลย ตอนนั้นน้าแหม่มก็เลยบอกว่า ใจเย็น ๆ เดี๋ยวเค้าจัดการเอง อยู่กับพี่ชมพู่ไปเลย สรุปน้าแหม่มก็ไปเคลียร์มาให้ ตอนนั้นถุงเลือดมันยังไม่ได้แตกนะ แต่เราต้องรู้ก่อนว่ามันคืออะไร จะใช่มะเร็งไหม หรือจะเป็นเนื้องอกรึเปล่า ผ่านไปสามวัน เค้าบอกว่าให้เรารอผลอีกสามวัน ตั้งแต่วันที่หวานลงเครื่องแล้วหวานรับโทรศัพท์ หวานร้องไห้ตลอดจนกระทั่งหวานไปถึงโรงแรมแล้วหวานยังคุยเรื่องนี้อยู่เลย จนผ่านไป 3 วันพอโรงพยาบาลโทรมา หวานเห็นแล้วไม่กล้ารับ แต่พอเค้าบอกว่า ไม่ได้เป็นอะไรนะคะ มันเป็นแค่ถุงเลือดไม่ได้มีเชื้อมะเร็ง ตอนนั้นหวานร้องไห้โฮออกมาดีใจที่มันผ่านพ้นไปได้สักที หลังจากนั้นก็ผ่านไปเป็นปีเลย คุณแม่ก็ได้รับการผ่าตัด ครั้งนั้นเป็นการผ่าตัดใหญ่ครั้งแรกในชีวิตที่เค้าเจอ ปลการผ่าตัดคือแม่เหมือนคนลืมว่าตัวเองมีลูกกี่คน ลืมว่าตัวเองกินข้าวรึยัง กินยารึยัง จนผ่านไปสักพักทุกอย่างมันค่อย ๆ กลับมา เราก็สบายใจ
จนตอนนี้แม่เป็นคนไข้ติดเตียงไปแล้ว สิ่งที่อยากพูด ณ วันนี้คือ อยากให้ทุกคนดูแลพ่อแม่ดี ๆ
แม่ของหวานเป็นคนแข็งแรงมาก ไม่เคยมีปัญหาอะไรในชีวิต แต่การล้มครั้งนี้ อยู่ดี ๆ เข่าก็ทรุดแล้วก็สะโพกหัก จำได้ว่าเค้าล้มวันที่ 29 มีนาคม แต่หวานมารู้อีกทีคือ 10 ปีให้หลัง เพราะพี่สาวเค้าไม่ได้บอกเพราะเค้ารู้สึกว่ามันคงไม่ได้มีอะไรรุนแรง แต่พอหวานรู้หลังจากที่พี่เค้าส่งข้อความมาให้อ่าน หวานช็อคไปเลย เพราะว่าแม่ของหวานเกือบเสียชีวิตแล้ว เนื่องจากโรงพยาบาลแรกแอดมิดแม่ แต่คงตรวจไม่เจอว่าแกสะโพกหัก แล้วก็มีการอดน้ำอดอาหาร จนมีสภาวะการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน แล้วก็ค่าไตสูง โรงพยาบาลแรกเค้าเลยต้องส่งตัวไปโรงพยาบาล ทำการผ่าสะโพกเนื่องจากโรงบาลแรกทิ้งไว้นานแล้วแม่ของหวานไม่ได้อุจจาระเลย เค้าก็เลยต้องเคลียร์เรื่องของอุจจาระในท้องแม่ออกไปก่อน หลังจากนั้นทุกอย่างก็ประเดประดัง หวานไม่เคยแพ้อะไรบนโลกนี้เลย แต่เรื่องนี้คือแพ้หมด บางช่วงที่ต้องให้ยาแม่ 2 อาทิตย์ หวานคือถอดใจแล้ว สมมุติเราอยู่หวอดที่มีคนป่วยอยู่ 6 คน บางเตียงคนไข้อาการหนักก็มีเสียงดัง แต่แม่หนูไม่ตื่นเลย ไปเรียกยังไงก็ไม่ตื่น หมอพาไปตรวจก็ไม่ตื่น สรุปมารู้ว่า เหมือนมียาแก้แพ้อยู่ตัวนึงที่ทำให้แม่ต้องหลับ เหมือนเพลียตลอดเวลา พอยาแก้แพ้หมด แกก็ดีขึ้น ซึ่งยาฆ่าเชื้อตัวนี้มีผลต่อไต ก็ต้องมารักษาไตอีก จนหวานรู้จักกับน้องคนนึง เหมือนเค้าก็มีจิตสัมผัสพิเศษ เค้าก็เล่าให้ฟังว่าจริง ๆ แล้ว คุณแม่ของหวานมีเกณฑ์ที่จะเสียชีวิตไปตั้งแต่ช่วงแรกแล้ว เค้าบอกให้หวานไปบอกแม่ตอนที่เค้าไม่รู้ตัวนี่แหละว่า ถ้าไม่ไหวก็ให้ไป แต่ถ้าอยากจะอยู่ก็ขอให้สู้นะ หวานก็เลยตัดสินใจไปบอกแม่เลย ซึ่งเค้าอยากอยู่ และอาการเค้าก็ดีขึ้น แล้วหมอพยาบาลทั้งวอร์ดเค้าบอกว่าคุณยายสู้จริง ๆ คุณยายสู้มาก แม่ของหวานโดนต่อท่อใส่สายยางอยู่ 2 เดือนกว่า ซึ่งจริง ๆ แล้วเค้าให้อยู่ได้แค่ 2 อาทิตย์ แต่แม่ของหวานถอดปุ๊บการหายใจเค้าตกเลย จนเรื่องมันถึงขั้นว่า หมอก็แนะนำให้เจาะคอ เราเข้าใจว่าเจาะคอมันทรมานมาก แต่ถ้าแม่ยังอยากอยู่กับเรางั้นก็เจาะเลย ถ้าจะทำให้เค้ามีชีวิตอยู่ พี่สาวก็ตกลงว่าให้เจาะ หลังจากนั้นอาการแม่ดีขึ้นมาก เค้ายิ้มแย้มแจ่มใสได้ นอนตาแป๋วได้ จนเราก็รู้สึกว่าเรามาถูกทาง แต่เราหารู้ไม่ว่า การเจาะคอมันก็ทำให้เราไม่ได้ยินเสียงจากเค้าอีกเลย”
สีสันแรงบันดาลใจจาก หวานเจี๊ยบ
“ถ้าตัดเรื่องพาร์ทการทำงานไป หวานจะบอกว่า หวานภูมิใจที่หวานเลี้ยงแม่ได้ คือหวานอาจจะไม่ได้เป็นลูกที่ดีมาก ไม่ได้เป็น Role Model ของลูกที่ดี แต่หวานว่าบั้นปลายชีวิตของเค้า หวานก็ทำให้เค้าได้ดีที่สุดแล้ว” – หวานเจี๊ยบ
พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์
ดูรายการย้อนหลัง