“เราไม่จำเป็นต้องเชื่อ หรือสุดโต่งในทางใดทางหนึ่ง แต่เราต้องเป็นมนุษย์ที่อยู่บนทางสายกลาง ใช้สติให้มาก เข้าใจว่าทำยาก แต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้ลองทำก็ยังดี”
ฟังเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดพลังใจจากแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ส่งท้ายตุลาคม เดือนฮาโลวีน กับ “อุ๋มอิ๋ม คนเห็นผี” จากชีวิตที่ถูกเลือก เพื่อเป็นร่างทรงเห้งเจีย สู่มูกูรู ผู้มีสัมผัสกับวิญญาณ พร้อมพูดคุยทำความเข้าใจเรื่องทาน วิถีบุญกรรม ตามการกระทำของมนุษย์ เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการ
เซ้นส์เห็นผี ที่มีมาตั้งแต่เด็ก
“จริง ๆ แล้วตั้งแต่เด็ก เราไม่รู้ว่าอันนี้คือผีรึเปล่า แล้วพอเราเริ่มดูละคร เริ่มดูหนัง เราก็เริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่เราเจอมาตลอด นั่นเค้าคือเรียกว่าผี แล้วเราถึงเริ่มกลัว ทีแรกไม่กลัวเพราะเราเล่นกับเค้า อยู่กับเค้า จนมันเป็นเรื่องปกติไปเลย แต่พอวันนึงที่เรารู้ว่าสิ่งที่เราเจอตลอดเวลา พอเราสังเกตดี ๆ เค้าก็เหมือนคนปกตินี่แหละ แต่บางครั้งเค้าดูบางดูมีสีจางกว่าคนปกติ เราก็เลยรู้แล้วว่า นี่มันไม่ใช่สิ่งที่เราคิดแล้วนะ มันต้องเป็นผีแน่ ๆ เหมือนเราก็ได้เรียนรู้นิยามคำว่าผีแล้ว หลังจากนั้นเราก็กลัวเลย มาจนทุกวันนี้ก็ยังกลัวอยู่นะคะ ซึ่งต้องใช้คำว่าทุกวันนี้เราพยายามยอมรับดีกว่า แต่บางครั้งมาให้เห็นแบบเละ ๆ น้ำเหลืองไหล มันก็ทำใจลำบากเหมือนกันนะคะ”
ทำไมผี ถึงมีหลากหลายรูปแบบ?
“หนูเชื่อเรื่องน้ำหนักของบุญที่เค้ามี บางคนมีบุญมาก และตอนที่กำลังจะเสียชีวิตเค้ากำหนดจิตทัน เค้าก็จะได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดี แต่บางคนเค้าไม่ได้เรียนรู้การกำหนดจิตมาเลย เค้ายังยึดติดทั้งความสัมพันธ์ สิ่งของ หรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่เค้าเจอในชีวิต แล้วเค้ายึดติดมาก ๆ มันก็เลยทำให้เค้าไม่สามารถหลุดไปอยู่ในอีกวงจร ที่จะต้องไปผุดไปเกิดได้ เราถึงเห็นว่า ทำไมวิญญาณดวงนี้เสียชีวิตอยู่ที่ถนนแล้วยังอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน ก็เพราะว่าจิตของเค้าโดนชนปั้ง แล้วจิตมันแตกสลายเลย บวกกับเค้าไม่เคยฝึกจิตมาก่อน เค้าก็ไม่รู้จะไปรวบรวมยังไง เค้าก็จะวนเวียนอยู่ตรงนั้น มันก็เลยมีการที่ต้องนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ ไปเชิญวิญญาณกลับบ้าน ไปเชิญวิญญาณให้กลับไปสู่สุคติ
อย่างเวลาเกิดอุบัติเหตุบนถนน บางคนเชื่อว่าเป็นเรื่องตัวตายตัวแทนรึเปล่า แต่ทั้งนี้เราต้องมองสองด้านนะคะ อย่างแรกด้านวิทยาศาสตร์ การสร้างถนน มันอาจจะมีผลทำให้แบบเป็นจุดบอดสายตา จนเกิดอุบัติเหตุได้ กับอย่างที่สอง คือดวงวิญญาณเหล่านั้นเค้าก็อยู่ตรงนี้อยู่แล้ว บังเอิญวันนั้นกลับเป็นวันที่เราไม่แข็งแรง จิตใจอ่อนแอ อาจจะอกหักมา หรือเครียดจากงานมา แล้วจิตเราตก จนเราไปเห็นเค้ายืนอยู่ตรงนั้น ด้วยความไม่มีสติ เราก็ต้องตกใจ แล้วเราก็หักหลบ ก็เลยเกิดอุบัติเหตุ มันก็เลยต้องมองทั้งสองด้าน”
ถ้าไม่อยากจิตตก ต้องทำยังไง?
“อย่างแรกเลยต้องฝึกค่ะ ไม่ฝึกไม่ได้ ร่างกายต้องรับรู้ทุกอย่าง รู้ที่จะเสียใจ รู้ที่จะมีความสุข รู้ที่จะทุกข์ พอรู้เสร็จ เราก็ต้องถามตัวเองว่า เวลาสุขมันจะสุขไปแค่ไหน แล้วถ้าทุกข์มันจะทุกข์ไปแค่ไหน มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ไหม ถ้ามันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ก็ต้องยอมรับและเราก็ต้องปล่อยวาง
จิดตก กับ ดวงตก มันใกล้เคียงกันมาก ๆ เพราะว่าการที่เราจิตตก มันจะนำพาดวงเราให้ตกไปด้วย หมายความว่า จิตมันเป็นตัวกำหนด เวลาที่เรารู้สึกแย่มาก ฉันเสียใจ ฉันไม่อยากไปไหน ฉันอยากอยู่คนเดียว ไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับใคร เราจะอยู่แต่ในที่ที่เดียว หรือบางคนอาจจะแบบทำร้ายตัวเองก็ได้ หรือถ้าไปก็อาจจะไปในที่ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเองหรือผู้อื่นได้ สิ่งเหล่านั้นมันก็จะทำให้เราเจอแต่สิ่งที่ไม่ดี บางคนจิตตกมาก ก็อยากจะไปทำอะไรที่ผิดศีล มันก็เลยทำให้ดวงเราตกลงไปด้วย แต่ถ้ากลับกัน ถ้าเราบอกว่าช่วงนี้เราจิตตกนะ แล้วมีเพื่อนบอกเราว่า ไปทำบุญกันมั้ย ไปไหว้พระกันมั้ย ไปเที่ยวทะเลกันมั้ย ไปห้องสมุดกันมั้ย มันทำให้เค้าไปอยู่ในที่ ๆ ดี ดวงเค้ามันก็จะไม่เจอสิ่งที่ไม่ดี ดวงเค้าก็จะต้องดีขึ้น เพราะฉะนั้นมันมีผลมาก ๆ การที่เราจิตตก มันจะดึงดวงให้ตกไปด้วย เราต้องมีวิธีจัดการกับมัน”
อุ๋มอิ๋ม กับการพิสูจน์ตัวเองกับคนรอบตัว
“ต้องบอกว่าครอบครัวควรรู้เป็นลำดับแรกว่าเราเป็นอะไร แต่เค้าไม่เชื่อเรา คุณพ่อคุณแม่ไม่เชื่อ ไม่มีใครเชื่อเลย จนเราพิสูจน์ให้เค้าเห็นว่าสิ่งที่เราเจอ อย่างสมมติเราเจอดวงวิญญาณของคุณยาย เราก็อธิบายว่าคุณยายชอบกินอะไร คุณยายบอกว่าคุณยายอยากกินอันนี้มาก ๆ เลย แม่ต้องทำอันนี้ให้นะ ซึ่งด้วยความที่เราเกิดไม่ทันคุณยาย แล้วอยู่ดี ๆ เราจะรู้ได้ยังไงว่าคุณยายชอบกินอะไร แล้วคำพูดที่คุณยายใช้พูดกับแม่ อย่างสมมติว่ามีคำว่า หมวยเล็ก ซึ่งเราไม่มีทางรู้แน่ ๆ แต่แม่ก็ประหลาดใจว่าเรารู้ได้ยังไง เรารู้แม้กระทั่งเอาของที่คุณยายให้แม่ไปเก็บไว้ที่ไหน เหมือนเราพิสูจน์ให้เห็น แล้วมันไม่ใช่การพิสูจน์แค่ครั้งเดียว คุณพ่อคุณแม่ หรือครอบครัว เค้าพิสูจน์เราตลอด แต่เค้าไม่ได้อยู่ ๆ มาถามลองเชิงเรานะคะ แต่สถานการณ์มันพาไป อย่างเรื่องพี่สาวตอนนั้นเรากับพี่สาวไปเดินานหนังสือ แล้วในขณะที่กำลังแวะไปกินขนมปังกัน อุ๋มอิ๋มเห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ข้างหลังพี่สาว เราก็ตกใจบอกพี่สาวว่า มีผู้หญิงอยู่หลังเธอ เค้าก็ถามว่า ใครเหรอ อุ๋มอิ๋มก็บอกลักษณะเลยว่า ตาโต ผมยาว เค้าพูดไม่ค่อยได้ แต่เค้าส่งภาพได้ เค้าบอกว่าเค้าไม่อยู่แล้วนะ เธอลองเช็คหน่อยไหมว่าเพื่อนคนนี้ของเธอยังอยู่มั้ย แล้วเค้าก็เช็คเดี๋ยวนั้นเลย ปรากฏว่าเพื่อนคนนี้เพิ่งเสียชีวิต แล้วพี่สาวของอุ๋มอิ๋มก็เป็นเพื่อนสนิทที่สุดเลยของเค้า พี่สาวก็เลยบอกว่า ถามเค้าหน่อยได้มั้ยว่าเค้าต้องการอะไร ผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่า ช่วยบอกพี่สาวหน่อยว่า สร้อยคอที่อยู่ข้างเตียงนอน ที่อยู่ในกล่อง มันเป็นของคนรักเก่าของเค้า ช่วยเอาสิ่งนี้ใส่ไปกับเค้าได้ไหม อย่าบอกใครนะ เพราะเค้าก็ไม่อยากให้คนใหม่รู้ พี่สาวเราก็ไม่รู้ ไม่มีใครรู้ แล้วเค้าก็พยายามติดต่อให้พี่สาวของอุ๋มอิ๋มทำตามที่บอก พอพี่สาวกลับไปค้นก็เจอทุกอย่าง มันก็เลยเหมือนเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ที่เราเติบโตมากับครอบครัว สิ่งที่เราเห็น มันไม่ใช่เรื่องโกหกนะ”
จากความกลัว สู่การเยียวยาตัวเอง
“ช่วงแรก ๆ ต้องบอกว่าเยียวยาไม่ได้ บางครั้งเวลาเจอผีก็สติแตกไปเลย กลัวแล้วกลัวอีก จนร่างกายมันถามตัวเองว่ามันจะกลัวไปถึงไหน แล้วเราก็บอกกับตัวเองว่าไม่ได้แล้ว ถ้าเราเป็นแบบนี้เราจะใช้ชีวิตอยู่ไม่ได้ เราก็บเลยหาที่ยึดเหนี่ยวโดยการหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เริ่มแรกเราก็ไหว้พระพุทธเจ้าก่อนเลย เข้าร่วมชมรมสวดมนต์กับโรงเรียน แล้วเรารู้สึกว่า การสวดมนต์มันทำให้เรามีเกราะป้องกัน ทำให้ผีเริ่มอยู่ห่างเราขึ้น เลือกที่จะไม่มายุ่งกับเรา ไม่แสดงให้เราเห็นแบบหน้าเละ จนอุ๋มอิ๋มรู้สึกว่า ความถี่ในการเจอผีมันบางลง แล้วมันเริ่มควบคุมเหมือนประตูที่สามารถเลือกเปิดปิดได้
ถ้าดวงวิญญาณเค้าไม่ได้อยากจะให้เราเห็น เราก็จะมองเห็นเหมือนเค้าเป็นมนุษย์คนหนึ่งแล้วก็ผ่านไป แต่ถ้าดวงวิญญาณดวงนั้นอยากจะสื่อสารจริง ๆ เค้าจะให้เห็นแบบย้ำ ๆ เห็นซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น เราก็เลยรู้สึกว่า ถ้าเราควบคุมด้ ก็ทำให้เราใช้ชีวิตง่ายขึ้นและเราไม่จำเป็นจะต้องเจอทุกดวงวิญญาณ เราก็ใช้ชีวิตของเราปกติ ไม่ได้ไปสนใจอะไรเค้า แต่ถ้ามีดวงวิญญาณดวงใดดวงหนึ่งที่เค้าต้องการความช่วยเหลือ แล้วเราสามารถช่วยได้ เราถึงจะเลือกคุยเลือกช่วย ไม่อย่างนั้นเราจะสติหลุด”
ข้อดี และข้อเสีย ของการเป็นคนเห็นผี
“ข้อดีคือ อุ๋มอิ๋มเชื่อนะว่า เราคือหนึ่งคนที่จะเป็นหลักฐานได้ว่า การเวียนว่ายตายเกิด ดวงวิญญาณอีกภพภูมิ มันยังมีอยู่จริง ถ้ามันไม่มีอยู่จริง มันจะเป็นไปไม่ได้ที่คนเห็นผีแบบพวกเราจะเห็นหรือสื่อสารได้ และคนเห็นผีจะมีคุณค่าที่สุดก็ในวันที่เค้าได้สื่อสารให้กับคนที่ยังอยู่ ถึงคนที่เค้าเสียชีวิตไปแล้ว วันนั้นแหละคนเห็นผีคือทูตที่ดีที่สุด และบางครั้งมันก็ปลดเปลื้องความยึดติดได้ เช่น เค้าอยากจะบอกลูกเค้าว่าพ่อรักหนูมากนะ หนูไม่ต้องห่วงนะ แล้วก็ไม่ต้องโทษตัวเอง พอลูกได้รับรู้ เค้าก็ปลดปล่อยเลย
ข้อเสียคือ ทุกคนจะคาดหวังกับเรามาก ๆ เลย คาดหวังว่าเราจะต้องสื่อได้ เราจะต้องคุยได้สิ แต่ในบางครั้งมันมีข้อจำกัดที่เราก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่า เราจะสื่อสารได้ทุกคนทุกดวงวิญญาณรึเปล่า มันก็ต้องมีเรื่องของบุญวาสนามาเกี่ยวข้องด้วย และมีเรื่องของเวลา อุ๋มอิ๋มเชื่อเรื่องลิขิต ทุกอย่างถูกขีดมา เค้าได้มาเจอเรา แล้วเราสามารถสื่อ นั่นแปลว่าวันนี้เราเป็นสะพานให้เค้าได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่อุ๋มอิ๋มจะช่วยได้ แล้วก็ไม่ใช่ทุกคนที่อุ๋มอิ๋มจะปลดล็อคให้ได้ ความคาดหวังนี่แหละน่ากลัวที่สุด
ถ้ามีเคสไหนที่เราช่วยไม่ได้จริง ๆ เราก็ต้องบอกเค้าตรง ๆ อย่างเรื่องเกี่ยวกับมรดก เราช่วยไม่ได้จริง ๆ มันเป็นเรื่องทางกฎหมายที่คุณต้องคุยกันเอง ต่อให้วันนี้เราพูดแทนดวงวิญญาณอากงอาม่าว่า อั๊วะให้บ้านคนนี้นะ อั๊วะให้ที่ดินคนนี้นะ ทำไมลื้อปลอมแปลงล่ะ เค้าก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะว่าศาลก็ต้องมองที่เอกสาร แล้วก็ความเป็นจริง ดังนั้น อุ๋มอิ๋มก็จะบอกเค้าตรง ๆ เลยว่า ถ้าให้อุ๋มอิ๋มพูดไปมันก็ไม่มีประโยชน์กับลูกหลานเอง แล้วมันก็ไม่มีประโยชน์กับดวงวิญญาณด้วย สุดท้ายเค้าก็แค้นที่ทำไมลูกหลานคนนี้มาโกงเค้า วิญญาณไปเกิดไม่ได้เพราะว่ายังยึดติดกับมรดกเหล่านั้นอยู่ดี เราต้องพูดกับเค้าไปตรง ๆ เลยว่า อุ๋มอิ๋มช่วยเรื่องนี้ไม่ได้ค่ะ
ส่วนมากคนจะเลือกฟังในสิ่งที่ตัวเองอยากฟัง และจะไม่ฟังถ้าเป็นสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ อย่างสมมติ คนหนึ่งสูญเสียพ่อ แล้วเค้าก็จะเชื่อแต่คำพูดทำนองว่า ป๊ายังรักเธออยู่นะ ป๊ายังไม่อยากจากไปไหน ถ้าอุ๋มอิ๋มพูดว่า ป๊าไปแล้วค่ะ ป๊าไม่กลับมาแล้ว เค้าก็มักจะบอกว่าไม่จริง พี่ยังรู้สึกว่าป๊ายังอยู่ อุ๋มอิ๋มเลยเลือกที่จะไม่ยุ่งเลยดีกว่า แต่ถ้าสมมติว่าวิญญาณดวงนี้ยังยึดติดจริง ๆ แล้วเค้ามีคำพูดที่อยากจะบอกกับลูกสาวของเค้า อุ๋มอิ๋มจะตอบเลยว่าคำพูดที่คุณพ่อคุณอยากจะสื่อมีแค่นี้นะคะ ลูกสาวเค้าจะฟังและไม่มีคำถามต่อ เพราะมันเป็นคำพูดที่เค้าต้องการ แล้วทั้งดวงวิญญาณกับคนที่อยู่ เค้าต้องการแค่ประโยคนี้ แล้วจบเลย เค้าไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว และไม่มีอะไรติดค้างกันอีกเลย ดวงวิญญาณก็สามารถไปเริ่มต้นใหม่ได้”
ผีกับคน รักกันได้ไหม?
“โดยส่วนตัวไม่เห็นว่าคนรักผี แต่จะเห็นว่าผีรักคน อาจเพราะเวลาคนจะรักผี อย่างถ้าเป็นดวงวิญญาณของคนที่รักเสียชีวิตไป อันนี้เกิดขึ้นได้ แต่ว่าถ้าเป็นผีตนอื่น จากที่คนเค้าไม่เห็นแน่ ๆ ว่าผีหน้าตาเป็นยังไง รูปร่างเป็นยังไง แต่ว่าผี สามารถเห็นคน 24 ชั่วโมงเลย แล้วก็เฝ้ารอ เฝ้าหา ไม่ยอมไปไหน อยากจะอยู่กับคนนี้ตลอดเวลา
ถ้าอุ๋มอิ๋มมาเจออะไรแบบนี้ เราช่วยนะคะ ก็จะบอกเลยคนว่า พี่ไปขออโหสิกรรมเลยค่ะ วัดไหนก็ได้ เข้าไปในโบสถ์ ขออโหสิกรรม ขอถอนคำอธิษฐาน ขอถอนคำสัญญาทุกอย่างที่เราตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ เพราะบางครั้งเราไม่ได้ตั้งใจ แต่ดันพูดว่าขอให้ฉันเป็นคู่กับเธอทุกภพทุกชาติไป เราเลยต้องไปถอน สุดท้ายเค้าก็ไม่สามารถมาผูกกับเราได้ แล้วเค้าก็จะหายไปเอง
เรื่องวัดที่จะไปสวดมนต์ อธิษฐาน หรือถอนคำสาบาน ขออธิบายแบบนี้ จริง ๆ วัดใหญ่ หรือวัดเล็ก ทำได้หมดเลย แต่เวลาที่เราเจอวัดใหญ่ แรงอธิษฐานของคนที่ไปสร้าง หรือคนที่ไปดูแล มันเยอะมาก ยกตัวอย่างเช่น วัดพระแก้ว วันนึงมีคนเข้าเป็นหมื่นคน แล้วยิ่งแรงอธิษฐานเยอะ ก็ยิ่งมีพลังมาก เพราะถ้ามองว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือความเชื่อก็ต้องเกิดจากแรงศรัทธาก่อน แรงอธิษฐานก่อน ถึงทำให้ท่านมีพลัง และที่ที่คนเป็นหมื่นคนไป กับที่ที่คนเป็นพันคนไป พลังงานก็ต้องต่างกันอยู่แล้วค่ะ”
เวลาเราอุทิศส่วนบุญ วิญญาณได้รับไหม?
“ได้รับจริงค่ะ อันนี้เห็นกับตา แต่ว่าอุ๋มอิ๋มมองสองแบบนะคะ บางคนจิตนิ่งมาก แล้วเวลาที่อุทิศส่วนบุญสามารถทำได้เลย แต่บางคนจิตเค้าไม่ถึง การสื่อสารมันยากขึ้น อุ๋มอิ๋มก็เลยแนะนำว่า ถ้าอย่างนั้นเราไม่ต้องกรวดแห้งนะ เรากรวดน้ำไปเลย เพราะเราจะขอพลังของพระแม่ธรณีและพระแม่คงคาช่วยส่งบุญให้เราหน่อย เหมือนมีคนช่วยนำบุญไปส่ง มันจะเร็วขึ้น แต่ท้ายที่สุดเอาที่เราถนัดเลย อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ แล้วเวลากรวดน้ำให้ญาติผู้ใหญ่ ถ้าท่านยังอยู่ท่านรับได้ แต่ถ้าท่านกลับมาเกิดแล้ว ก็จะไม่ได้รับละ หรือว่าถ้าท่านเป็นดวงจิตที่หายไปแล้ว ก็ไม่มีแล้ว
จริง ๆ ต้องบอกว่า การทำบุญ 50% คือทำเพื่อคนที่ยังอยู่ เพราะทำแล้วเราสบายใจ และการที่เราส่งต่อสิ่งเหล่านี้ เราได้สร้างความดี ก็เป็นกำลังใจให้กับตัวเราเอง และมันจะเป็นบุญได้หรือไม่ได้ ถือเป็นผลพลอยได้มากกว่า แต่เจตนาที่เราทำบุญ ไปทำความดี เจตนาแรกสำคัญที่สุด ทำอะไรที่เราทำแล้วเราต้องสบายใจ ถ้าเราทำแล้วเรารู้สึกไม่สบายใจ อย่าทำค่ะ”
เหรียญมีสองด้าน มีทั้งคนชอบและไม่ชอบเรา เป็นเรื่องธรรมดา
“เหรียญมันมีสองด้าน แน่นอนว่าก็จะมีทั้งคนที่ชอบ และคนที่เกลียดเรา แต่ว่าอุ๋มอิ๋มเลือกที่จะอยู่กับคนที่เค้าเชื่อเรา และพร้อมที่จะเปิดใจ วันนี้ถ้าเราจะต้องมาอธิบายให้กับคนที่เค้าไม่เปิดใจ หรือเกลียดเรา เราจะไม่มีวันอธิบายได้สำเร็จเลย แต่เราก็วางเค้าไว้ในจุดที่เหมาะสม เราไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับเค้า เราอยู่ในโลกของเรา อยู่ในพื้นที่ของเรา ไม่ไปเบียดเบียนใคร ทำร้ายใคร ต่างคนต่างอยู่ สบายใจดีกว่า
เคยเจอคำคอมเมนต์เยอะมาก ทั้งด่าว่าบ้า ทั้งบอกว่าเลอะเลือน แต่เราเชื่อว่าความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย เราไม่ได้โกหกใคร เราเห็นแบบนั้นเราก็บอกแบบนั้น ให้เราพูดอีกกี่ครั้งก็เห็นแบบนั้น เราก็เลยคิดว่าไม่เป็นไรหรอก ถ้าอยากจะพูดแบบนั้นก็พูดไป แต่เราต้องให้คุณค่าน้อยที่สุด เพราะถ้าเราให้ค่ากับสิ่งเหล่านั้นมาก เราจะไม่เชื่อในตัวเอง และการที่เราไม่เชื่อตัวเอง ไม่เคารพตัวเอง มันจะทำให้คุณอยู่บนโลกนี้ไม่ได้
การที่คนอื่นเค้าจะเชื่อเราได้ มันต้องเริ่มจากที่เราเชื่อตัวเราเองก่อน เราต้องไม่หลอกตัวเองก่อน การเห็นผีในแต่ละครั้งของอุ๋มอิ๋ม ไม่ใช่ว่าเห็นแล้วบอกเลย เราจะดูแล้วหันข้าง หันกลับไปใหม่ หันมองอย่างอื่นไม่สนใจแล้วก็หันกลับไปอีก 3 ครั้ง พอมั่นใจแล้วว่าใช่แน่ อุ๋มอิ๋มถึงจะคุยจะบอก หรือสื่อสารกับเค้า”
ทำไม ตุลาคม ถึงเป็นเดือนที่อุ๋มอิ๋มงานเยอะเป็นพิเศษ
“จริง ๆ ต้องบอกว่า ทฤษฎีเดือนตุลา มันมีนะคะ เพราะมันเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลง แล้วมันเป็นไตรมาสสุดท้ายของปี เหลืออีกแค่สามเดือน ถ้าอยากทำอะไรฉันต้องทำตอนนี้ แล้วมันก็มีเรื่องของการย้ายตำแหน่งของดวงดาว ตามหลักดาราศาสตร์ และพ่วงกับหลักโหราศาสตร์ ที่ดวงมันมีการเปลี่ยนแปลง
แล้วตุลาคม ก็เป็น เดือนฮาโลวีน ในวันฮาโลวีน ผีมีเยอะกว่าปกติ เรื่องอุบัติเหตุที่มักเกิดในคืนวันฮาโลวีน ถ้าเรามองย้อนกลับไป เราจะเห็นว่ามันมีหลาย ๆ คดีเลย ที่เกิดในคืนวันฮาโลวีน ซึ่งถ้ามองทางวิทยาศาสตร์ก็อาจจะเป็นเพราะประมาทก็ได้ แต่ถ้าให้มองในมุมมองของคนเห็นผี เรามองว่าสิ่งลี้ลับเค้าจะไปอยู่ตามที่อโคจร ที่ที่เป็นแหล่งรวมสิ่งไม่ดี แล้วเค้าก็พยายามไปกระตุ้นเวลาที่เราเผลอ เราประมาท เค้าพร้อมเล่นหมดเลย เพราะฉะนั้นต้องมีสติ จะไปเที่ยวหรือสังสรรค์ก็ต้องมีสติ จะเมาก็ต้องมีสติ พอถึงเวลาถ้ามันเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นเราก็รอด แต่ถ้าเรามาทิ้งตัวเลย หมายความว่าเราใช้ชีวิตประมาท ต่อให้เราอยู่บ้านมันก็เกิดอุบัติเหตุได้ แล้วในคืนฮาโลวีน เป็นคืนที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมีพลังงานลดน้อยครึ่งหนึ่ง ดังนั้นต้องมีสติอยู่กับตัวเรา และ วิถีทางที่เราฝึกมาตลอดเวลา 10 เดือนที่ผ่านมา มันจะมีประโยชน์ การที่เราฝึกสวดมนต์นั่งสมาธิมา มันจะมีประโยชน์แล้ว เพราะจิตเราถูกฝึกมา ถ้ามีเหตุการณ์ที่จะมาทำให้จิตหลุด จิตที่ได้รับการฝึกมันจะนิ่งด้วยตัวมันเอง”
เพศของคน มีส่วนเกี่ยวกับกรรมที่เคยกระทำไหม?
“อุ๋มอิ๋มเชื่อว่ามีส่วนนิดหน่อย หนูเคยได้ยินเรื่องราวที่ว่า การเกิดเป็นเพศนี้เพราะมีกรรมแบบนี้ แต่ส่วนตัวหนูไม่เชื่อนะ หนูแค่รู้สึกว่ามันมีมากกว่านั้น มันไม่น่าจะมีแค่นี้หนูว่ามันยังมีเรื่องของบุพกรรม หรือกรรมที่เกิดจากคุณพ่อคุณแม่ที่ดึงดูดให้ลูกมาเกิด แล้วก็เรื่องดวงจิตมีเพศหนูเชื่อมาก ๆ เลย เพราะอย่างคนที่เป็น LGBTQ+ มีหลายแบบ บางคนเป็นผู้ชายแต่เค้ามีดวงจิตผู้หญิง มันคือจิตวิญญาณเค้าตั้งแต่เกิด ซึ่งพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ เพราะว่าจะให้คุณทำเทสกี่เทส ผลมันก็จะมีแนวโน้มไปทางผู้หญิง แล้วจิตวิญญาณแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย บางทีเราเห็นเด็กน้อยเดินมาแล้วคุณพ่อคุณแม่จะชอบถามว่า เค้าจะเป็นไหมคะ เราก็บอกว่า ไม่ว่าเป็นอะไรเค้าก็เป็นคนดีนะคะ คุณแม่ไม่ต้องคิดมาก เรามองก่อนว่าอันไหนมันเป็นความสุขของลูกเราคุณแม่ก็ปล่อยไป เด็กเค้าจะรู้ได้ตั้งแต่เกิดเลยเพราะจิตวิญญาณเค้ามันมาตั้งแต่เกิด แล้วเค้าจะรู้ว่าเค้าอยากทำอะไร อย่างเพื่อนของอุ๋มอิ๋มนี่คือใส่ผมตั้งแต่เด็กอนุบาล แล้วคุณแม่ของเค้าก็รักเค้ามาก เติบโตมาเค้าก็เป็นคนดีมาก ๆ แล้วก็มีอนาคตที่ดีมาก ๆ เลยค่ะ”
แก้ได้ไหม ถ้าทำยังไงก็ไม่มีแฟนสักที?
“แก้ได้ค่ะ แต่ต้องยอมรับความจริงด้วยนะ เวลาที่มีหมอดูทักว่าดวงไม่มีแฟนแน่นอน ให้ถามเค้ากลับค่ะว่า แล้วทำยังไงให้หนูมี เพราะการที่เราจะเป็นหมอดูได้ เราต้องแก้ให้เค้าด้วย แล้วถ้าหมอดูบอกว่าต้องไปแก้แบบนี้ ๆ ให้ถามเค้าต่อด้วยว่า แล้วถ้ามี มันจะไปส่งผลกับกรรมอะไรไหม มันจะทำให้เราต้องเจอเรื่องแย่รึเปล่า เราก็ต้องถามแบบละเอียดนิดนึง แล้วเราต้องกลับมาพิจารณาว่า วิธีการเลือกคนที่เข้ามาในชีวิต คุณจะเลือกยังไง ถ้าวันนี้เราคบกันไปแล้ว เรารู้สึกว่ามีแต่เราที่อดทน อันนี้เราโทษดวงไม่ได้ ต้องโทษตัวเราเอง
เวลามีคนมาถามว่าคุณอุ๋มอิ๋มคะ ทำยังไงให้หนูมีแฟน เราก็จะสแกนก่อนว่า สเป็กสูงรึเปล่าถึงไม่มี หรือว่าโลกส่วนตัวสูงรึเปล่า แล้วเราก็ถามก่อนว่าเคยมีคนมาชอบบ้างไหม ถ้าเคยมีแล้วทำไมถึงหยุดคุยกันไป ต้องดูว่าเป็นพฤติกรรมของเค้ารึเปล่า ถ้าเป็นพฤติกรรมก็ต้องแก้ที่ตัวเค้า แต่ถ้ามีอีกคนสวยมากแต่ไม่มีใครมาจีบเลย เคสนี้ก็อาจจะมีวิญญาณอะไรรึเปล่า เราก็จะบอกให้เค้าลองไปขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดูไหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เค้าเชื่อ ซึ่งแต่ละศาสนาไม่เหมือนกัน ความเชื่อไม่เหมือนกัน แต่พอได้ไปขอพรมันจะทำให้จิตเปิด และจิตสั่งกาย เปิดให้ตัวเองพร้อมรับคนที่จะเข้ามาใหม่ แล้วเราก็จะทำให้ตัวเองสวยขึ้น ดูดีขึ้น ที่เหลืออยู่ที่การกระทำของเราแล้วค่ะ ว่าเราจะเจอคนแบบไหน เราไปในที่ที่ดีเราก็จะเจอคนที่ดี เราไปในที่ที่ไม่โอเคมันก็ไม่โอเค แล้วสุดท้ายแล้ว ต่อให้เราไปในที่ที่ดี แต่เราเลือกไม่ดีมันก็เกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นเราต้องเป็นคนกำหนดต่อจากนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือความโชคดีของเทพยาดาฟ้าดินทั้งหลายที่เค้าให้ได้คือ โอกาส แต่ถ้าเราทิ้งโอกาสเหล่านั้น มันก็อยู่ที่ตัวเราแล้ว เราต้องพิจารณาให้ดี อย่าเลือกสิ่งที่ชอบอย่างเดียว แต่บางครั้งเราต้องเลือกสิ่งที่ใช่บ้าง”
ถ้าต้องไปพักต่างที่ ทำยังไงไม่ให้เจอผี?
“สมมติเป็นโรงแรม ซึ่งโรงแรมเราเลือกไม่ได้ ห้องก็เปลี่ยนไม่ได้ ถ้าไปถึงให้เปิดประตู เปิดหน้าต่าง เปิดทุกอย่างที่มันจะทำให้อากาศถ่ายเทสะดวกก่อน เพราะถ้าห้องชื้น รู้สึกอึดอัด มีกลิ่นเหม็น บอกเลยว่าดวงวิญญาณชอบอะไรแบบนี้มาก และถ้ามีอย่างใดอย่างหนึ่งเสียในห้อง เช่น แอร์ น้ำร้อน หลอดไฟ ให้รู้ไว้เลยว่ามีแน่ ๆ แล้วเวลาเข้าไปในห้องเราจะรู้สึกว่าอันตราย ฉันไม่ได้อยู่คนเดียว ดังนั้นให้เปิดทุกอย่างเลย จนกว่าเราจะรู้สึกว่าห้องโปร่งแล้ว ถ้ามีน้ำหอมฉีดได้เลย พออากาศถ่ายเทเราจะสบายใจ จากนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มี เอาออกมาให้หมด แต่อย่าใส่ไว้ที่คอให้วางไว้ที่หัวนอน จุดที่สามารถมองเห็นได้ทุกบริเวณ 180 องศา เพื่อที่เราจะได้นอนกันแบบสันติ แล้วเราก็พนมมือสวดมนต์หน่อย สร้างเกราะป้องกันให้ตัวเองหน่อย แล้วก็บอกว่าขอนอน 1 คืนนะ บางคนถามว่าต้องเอาเงินไปซื้อที่ไหม จริง ๆ ไม่ต้อง แค่อธิษฐานจิตบอกเค้าตรง ๆ ว่าขอนอนแค่หนึ่งคืนนะ แล้วก็ต่างคนต่างอยู่เราไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกัน แล้วถ้าบางคนโอเคกับการที่จะเปิดทีวีทิ้งไว้ เปิดได้เลยเพราะว่าคลื่นของทีวี มันจะไปแทรกทำให้เค้าปรากฎตัวไม่ได้ เปิดทีวีทิ้งไว้แล้วปิดเสียงเอา แล้วก็หรี่แสงสว่าง แล้วเราก็นอน แต่ถ้าปลอดภัยที่สุดก็คือมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วยแล้วสวดมนต์ด้วยก็โอเคแล้วค่ะ”
ชีวิตที่ถูกเลือก สู่การเป็นร่างทรงเห้งเจีย
“หนูไหว้ทั่วประเทศไทยเลย หนูชอบทุกศาลที่เป็นศาลอากง เพราะหนูถือว่าอากงนี่เป็นไอดอลเลย แล้วหนูต้องบอกก่อนว่า หนูไม่ได้บอกให้ทุกคนมาเชื่อเหมือนหนู แล้วก็ไม่อยากให้ใครมาบอกเราว่าเราต้องเชื่ออะไร อย่าไปถามคนเห็นผี หรืออย่าไปถามหมอดูว่า เรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรอยู่กับตัว ใครคุ้มครองเรา อย่าไปตามหาค่ะ คุณต้องรู้ด้วยตัวเอง เพราะว่าเค้าคือคนที่จะมาเป็นความเชื่อของคุณ มันต้องมีสิ่งพิสูจน์ใจกัน เหมือนที่อากงพิสูจน์กับอุ๋มอิ๋ม ไม่ว่าเราจะขออะไร ถ้ามันเป็นเรื่องที่ไม่เกินกว่ากรรมของเราแล้วอากงช่วยได้ อากงจะช่วยเสมอ แล้วเค้าจะช่วยด้วยหลักเหตุผลว่าสมควรที่จะได้ในเวลานี้ไหม
ความศรัทธาในอากงเห้งเจีย เริ่มต้นมาจากเราไม่รู้เลยว่ามีไซอิ๋วอยู่ในโลกนี้ แล้วคุณพ่อคุณแม่เวลาพาไปไหว้ศาลเจ้าก็จะมีแค่เจ้าแม่กวนอิม เจ้าพ่อกวนอู ประมาณนี้ แล้ววันที่อากงมา เค้าก็เป็นลิงเลย แล้วเค้าก็มาตีลังกาอยู่บนตัวเรา แล้วก็เอากระบองชี้หน้าแล้วก็บอกว่า เดี๋ยวจะมาอยู่ด้วยแล้วนะ เราก็อึ้งว่าเพราะช่วงนี้ดูไซอิ๋วรึเปล่า ก็ไม่ได้ดูนะ เราก็ถามตัวเองว่าแล้วเค้าจะมาทำไม รอบแรกเราก็บอกว่าเราไม่เชื่อหรอกนะ ถ้าอากงมีจริงต้องมาอีกรอบสิ แล้วอากงก็กลับมาบ่อยมาก จนเราเชื่อว่าอากงมีจริง แต่ก็สงสัยว่าอากงมาทำไม มาเพื่ออะไร ซึ่งอากงก็บอกชัดเจนว่า เค้ามาเพื่อสร้างสรรค์ เพื่อสร้างศรัทธา ทำให้คนที่กำลังจะหลงผิดให้กลับมาเป็นคนดี แล้วก็ให้เค้าเดินไปในทางที่ แล้วสิ่งที่อุ๋มอิ๋มได้พิสูจน์ต่อมาก็คือ อะไรที่อากงเตือนหรือบอกต้องพิสูจน์ได้ และมันมักจะเกิดตามวันเวลานั้นเลย ตั้งแต่อยู่กับอากงมา เราก็เห็นทุกอย่างที่อากงพยายามพิสูจน์ให้เราเห็น แล้ววิธีการสอนของอากงนี่คือฮาร์ทคอร์มาก คือเค้าจะบอกเลยว่าอันนี้มันไม่ดี คนนี้มันไม่ดี แล้วจะไปทนทำไม แต่ถ้าเลือกแบบนั้นมันก็เป็นกรรมที่ลื้อเลือก ลื้อก็ทนต่อไป ลื้อก็ต้องยอมรับ ต่อให้เราจะอกหักผิดหวังร้องไห้เสียใจ แต่พอมันผ่านมาปุ๊บ อากงก็จะบอกว่าเป็นไงล่ะ เจ็บมั้ย จะเลือกเค้าอยู่ไหม อากงจะสอนให้เราคิดเป็นค่ะ”
มุมมองจากคนเห็นผี ที่อยากบอกคนที่ยังมีชีวิตอยู่
“อุ๋มอิ๋มอยากให้ทุกคนเชื่อในเรื่องของจิตสุดท้ายของชีวิต อยากให้ฝึกกำหนดจิตกันตั้งแต่วันนี้เลย จะเป็นการท่องนะโมก็ได้ หรือจะเป็นการกำหนดลมหายใจก็ได้ ให้เรามองเห็นอะไรที่เป็นแสงสว่าง ให้เรานึกแต่สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้น ที่เราเคยทำไว้ แล้วเมื่อวันหนึ่งที่เราจะจากโลกนี้ไป จิตเราจะไปอยู่ในที่ ๆ ดีเอง เลิกที่จะยึดติด ยึดติดความสัมพันธ์ ยึดติดสิ่งของ ยึดติดทุกอย่างที่เป็นความโลภ ทุกอย่างที่เป็นราคะ ทุกอย่างที่เป็นโมหะ ทุกอย่างที่มันจะทำให้จิตของเราต่ำลง แล้วก็พยายามฝึกให้เราเป็นกลางให้ได้ เราไม่จำเป็นต้องเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง เราไม่จำเป็นต้องแบบสุดโต่งไปอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เราต้องเป็นมนุษย์ที่อยู่ในทางสายกลางให้ได้ เพราะว่าการที่เราสุดโต่งไปอย่างใดอย่างหนึ่งมันก็เป็นกรรมได้เหมือนกัน ฉะนั้นถ้าเราอยู่ตรงกลาง เราจะมีโอกาสที่เราจะหลุดไปในจุดที่ดีง่ายกว่า เพราะว่าเรามีเหตุและผล เราคิดเป็น เรามีสติแล้วเราก็รู้ว่าจะพิจารณาสิ่งนั้นยังไง โดยที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเราและผู้อื่น เพราะฉะนั้นต้องฝึกค่ะ และเราต้องมีสติมาก ๆ ชั่งใจชั่งการกระทำของเราอย่าคิดแต่จะทำอะไรด้วยอารมณ์ อย่าคิดว่าเราเป็นคนเดียวในโลกนี้ที่ถูกที่สุด เราผิดได้ ทุกคนก็ผิดได้เช่นกัน ดังนั้นต้องฝึกนะคะ” - อุ๋มอิ๋ม คนเห็นผี
พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์
ดูรายการย้อนหลัง