เปิดเรื่องราวลี้ลับ พร้อมรับข้อคิดพลังใจ จาก “ส้ม มัลนิการ์” สาวตาทิพย์ กับสัมผัสสุดพิศวง

Club Pride Day Recap

เปิดเรื่องราวลี้ลับ พร้อมรับข้อคิดพลังใจ จาก “ส้ม มัลนิการ์” สาวตาทิพย์ กับสัมผัสสุดพิศวง

30 ต.ค. 2024

“อยากให้เชื่อมั่น และอย่ารังเกียจในสิ่งที่เป็นตัวเอง เหมือนคุณเป็นต้นมะละกอ ก็อยากให้ตั้งใจเป็นมะละกอที่ออกผลได้อร่อยที่สุดดีกว่า หาจุดดีของเราให้เจอ และอยู่กับจุดดีนั้น อย่างมีความสุข”

 

เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับ “ส้ม มัลนิการ์” สาวตาทิพย์ ที่สามารถมองเห็นผีมาตั้งแต่เด็ก สู่การเป็นหมอดูที่โด่งดังชั่วข้ามคืน จนต้องจองคิวกันข้ามปี แต่กว่าจะมีวันนี้ ชีวิตของเธอผ่านบททดสอบมาหลากหลายด่าน ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว คนรอบตัว หรือคนในสังคม เรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้แล้วในรายการ

 

 

ย้อนวัยใส กับเซ้นส์ที่สามารถเห็นผีมาตั้งแต่เด็ก

“อย่างที่หนูเคยเล่าในหลายรายการคือ หนูจำได้ว่าก่อนที่จะมาเกิด เราอยู่ที่หน้าผา แล้วเรากระโดดลงมาเกิดเป็นคนนี้ ก่อนจะมากระโดดหน้าผา หนูเหมือนอยู่ในห้องที่ถูกจัดไฟแสงสีเอาไว้ดีมาก แล้วเป็นเหมือนสวนดอกไฮเดรนเยียร์ ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสวยเหมือนท้องฟ้าหน้าหนาว แต่ตอนนั้นหนูรู้สึกว่าตัวหนูร้อน เหมือนใจมันร้อนรนจนหนูอยู่ไม่ได้ หนูอยากไปทำประโยชน์ อยากไปสู่ที่ใหม่ที่ทำประโยชน์ให้กับคนหมู่มาก แล้วก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งพูดว่า รู้แล้วใช่ไหมว่าตัวเองต้องไปทำประโยชน์ ยอมไปแล้วใช่ไหม หนูก็บอกว่ายอมแล้ว หลังจากนั้นก็ตัดภาพตอนที่หนูมายืนอยู่ตรงทางเดินที่ไปหน้าผา แต่ความทรงจำแรกในการเห็นผี ก็คือจำได้ว่าเด็ก ๆ เราเล่น หรือเราเห็นคนเดินอยู่ริมถนน แต่คนอื่นเค้าไม่เห็น แบบนี้จะเกิดขึ้นบ่อยมาก

อย่างตอนนั้นหนูอยู่บ้านกับพี่สาว แล้วพี่สาวก็งงว่าเราเล่นกับใคร หนูก็บอกว่านี่ไงคะเพื่อนหนูเต็มบ้านเลยไม่เห็นเหรอ เพื่อนหนูใส่สังวาลคาดแบบสองข้าง นุ่งโจงกระเบนสีส้มออกทอง ๆ แล้วมีคนใช้เต็มบ้านไปหมด ซึ่งพี่สาวก็งง เพราะว่าไม่เห็นใครเลยนอกจากเรา จนมารู้ตอนโตว่าที่บ้านเลี้ยงกุมารทอง แล้วคุณลุงเค้าก็จะซื้อบริวารไปตั้งไว้ให้ด้วย

คือครอบครัวฝั่งคุณพ่อจะมีเซ้นส์กันหมดเลย ยกเว้นคุณป้าคนเดียว ส่วนพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ทุกคนมีเซ้นส์หมดเลย รวมถึงหนูแต่ของหนูมันพิเศษตรงที่ หนูเหมือนได้เซ้นส์จากฝั่งคุณแม่มานิดนึง คือทวดของฝั่งคุณแม่ท่านมีเซ้นส์ในการจับพระเครื่อง จับวัตถุมงคลแล้วหนูไม่เคยรู้มาก่อน พอคุณแม่มาเห็นหนูจับพระให้คนอื่น แล้วดันเป็นท่าเดียวกับคุณปู่ของเค้า แม่ก็เลยตกใจถามหนูว่าทำเป็นได้ยังไง แม่ก็เลยเล่าให้ฟังว่าฝั่งแม่ก็มี แต่หลัก ๆ เซ้นส์จะมาจากคุณพ่อ คุณพ่อจะเห็นผี และรู้ตั้งแต่ก่อนหนูจะคลอดออกมาว่าเด็กคนนี้จะมีเซ้นส์ คนนี้จะพิเศษกว่าคนอื่น เด็กคนนี้จะมีชื่อเสียงในอนาคต ทำให้คนที่บ้านจะคอยกล่อมมาตั้งแต่เด็กว่าต้องใช้ชีวิตให้ดีนะ ทำตัวดี ๆ นะ โตไปเธอต้องนิสัยดีนะ เพราะเธอจะมีชื่อเสียงมาก ๆ หนูก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่านี่หนูจะเป็นดาราเหรอ หน้าตาหนูก็ไม่ได้ดี ก็คิดว่าเดี๋ยวเราคงไปเป็นนักร้องมั้ง ก็คิดมั่ว ๆ ไปเรื่อย ๆ แต่พอถึงเวลาจริง ๆ มันมีจุดพลิกที่ทำให้เรามาอยู่ในจุดที่มีคนรู้จักจริง ๆ ก็เลยเข้าใจในสิ่งที่เค้าบอกมาตั้งแต่เด็ก ๆ ที่เค้าพยายามประคบประหงมให้เราอยู่ในร่องในรอย เพราะพอหนูโตขึ้นมันเป็นตามที่เค้าบอกหมดเลย

เวลาหนูเห็นผี หรือสัมผัสวิญญาณในตอนเด็ก ๆ  คุณพ่อจะเป็นที่ปรึกษาแรก และเป็นที่ปรึกษาเดียวด้านเซ้นส์มาตลอดตั้งแต่เด็กจนโต ท่านจะให้นั่งสมาธิ และพ่อก็จะคอยปรามคอยเตือนว่าเวลาเห็นอะไรอย่าทักไปเรื่อย ให้มันเป็นความลับของเรา เราเห็นกันสองคน ห้ามบอกใครข้างนอกว่าเราเห็น จะเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กค่ะ”

 

 

มองเห็นผี แต่เป็นคนกลัวผี

“หนูกลัวผีมาก อย่างเรื่อง ธี่หยด หนูเคยไปเจอผีหน้าโรงหนัง ที่เค้าแต่งตัวแล้วเดินมาหา ด้วยความที่คำว่าคนเห็นผีมันค้ำคอ หนูก็ต้องทำเป็นว่าหนูไม่กลัว แต่จริง ๆ คือหนูกลัว ทำไมแต่งเหมือนขนาดนี้นะ ที่กลัวเพราะในชีวิตจริงผีที่ส้มเห็น มันไม่มีเพลงหรือจังหวะที่เร้าใจดังมาก่อนเหมือนในหนัง มันไม่ได้มีสัญญาณเตือนว่าผีกำลังจะมา ในตอนเจอมันจะไม่รู้ตัว แต่ว่าหลังจากเจอเสร็จแล้ว มันจะรู้ตัวว่า นี่เราโดนผีหลอกเหรอ แต่ในหนังมันเร้าอารมณ์ หนูเลยมองว่าผีในหนังมันน่ากลัว มันมีความเร้าอารมณ์

ซึ่งผีที่หนูเห็นในชีวิตจริงมีหลายรูปแบบมาก บางทีหนูเรียกว่าศพเดินได้ มันมีทั้งสวย ทั้งเป็นเทวดา ทั้งเป็นวิญญาณตายโหง แล้วบางตนก็มาสื่อสารเพื่อให้เราช่วยเหลือ แล้วก็พยายามทำให้เรารู้ถึงความทรมานที่เค้าเป็น ซึ่งไม่ใช่ทุกเคสที่หนูจะช่วยเค้าได้ แล้วบางวิธีการที่เค้าอยากให้เราช่วย บางครั้งมันไปกระทบกับเรื่องของคดีความ หรือมันไปกระทบกับบุคคลอื่น ๆ ซึ่งหนูไม่สามารถมีอำนาจอะไรที่จะไปช่วยเค้าได้ มันก็เลยทำได้แค่บอกว่า เดี๋ยวหนูทำบุญให้นะ แล้วจบลงแบบนี้เกือบทุกครั้งไปค่ะ”

 

 

เมื่อการเห็นสิ่งลี้ลับ เริ่มมีผลกับการใช้ชีวิต

“การเห็นผีมันเริ่มมีผลกับการใช้ชีวิตก็ตอนช่วงเรียนมหาวิทยาลัยแล้วค่ะ มันเป็นยุคที่เรากำลังใช้ชีวิตสนุกสนาน แล้วเราอยากเป็นคนธรรมดา เป็นวัยรุ่นที่ใช้ชีวิตเต็มที่ แต่การเห็นผีมันทำให้เราถูกเพื่อนบอยคอต ทำให้เรารู้สึกว่าเราผิดแปลก แล้วก็ทำให้เพื่อนมองว่าเราบ้า เพื่อนจะบอกว่าเราเพ้อเจ้อ รวมถึงคุณแม่ของเราเอง คุณแม่ถือว่าเป็นคนสุดท้ายในชีวิตเลย ที่เชื่อหนู

แม่เป็นคนที่นอกจากไม่เชื่อแล้วยังแอนตี้ด้วย แล้วคุณแม่ก็เคยพาหนูไปโรงพยาบาลทางจิตเวชเพื่อไปคุยกับหมอว่าลูกฉันบ้า ตอนนั้นหมอนั่งคุยกับหนูอยู่ชั่วโมงครึ่ง แล้วหมอก็หันไปหาคุณแม่บอกว่า น้องไม่ได้ผิดปกตินะคะ แต่คุณแม่กำลังพยายามยัดเยียดให้น้องผิดปกติ น้องแค่เซนซิทีฟ น้องเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหว น้องอาจจะมีสมาธิสั้น แล้วน้องเป็นเด็กที่มีแผลในใจ ปมในใจเยอะมาก ๆ เอาตรง ๆ คือคุณแม่ก็เหมือนผิดหวังที่คุณหมอไม่ได้บอกว่าเราบ้า เพราะคุณแม่ฟันธงมาแล้วว่าเราบ้า เพราะว่าเราชอบพูดในสิ่งที่มันพิสูจน์ไม่ได้ แต่หนูก็เข้าใจนะว่าคุณแม่ก็คงรัก อยากให้เราเป็นคนปกติธรรมดาที่สุด แล้วคุณหมอน่ารักมาก คือคุณหมอก็บอกว่าไม่เป็นไรนะลูก แม้หนูจะไม่มีใคร แต่หนูมีตัวหนูเอง ไม่มีใครเชื่อหนูไม่เป็นไร แต่หนูต้องเชื่อในสิ่งที่หนูเป็นนะ”

 

 

สุดหลอน! ประสบการณ์โดนผีสาววิ่งตามมอเตอร์ไซค์

“วันนั้นหนูไปเดินถนนคนเดินแถวมหาวิทยาลัย แล้วตอนกลับมันก็ดึกแล้ว ประมาณเที่ยงคืน ซึ่งพี่ที่เป็นรูมเมทกันเค้าเป็นคนขี่มอเตอร์ไซค์แล้วเราก็ซ้อน วันนั้นไม่รู้อารมณ์ไหน เค้าขี่ช้ามาก แล้วระหว่างทาง หนูได้ยินเสียงเหมือนสุนัขตะกุย มันคงมีเล็บยาวมาก ๆ เพราะมันมีเสียงเล็บข่วนถนนกำลังวิ่งตามมาแบบติดเทอร์โบ ตอนนั้นก็นึกว่าโดนสุนัขวิ่งไล่ เลยบอกรูมเมทว่าไปเร็ว ๆ หน่อย พี่เค้าก็มองทาง เค้าก็บอกว่าไม่มีอะไรนะ ถนนโล่งเลยลองหันไปดูสิ หนูก็เลยหันไป พอหนูหันไป หนูก็เห็นเป็นผู้หญิงผมกระเซิง ๆ ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นตัวใหญ่ ๆ ลายสก็อต แล้วก็ใส่ผ้าถุง ใบหน้าเค้าเหมือนโดนของแข็งฟาดมา ตาถลน มือเค้าก็เลือดออกไปหมด แล้วเค้าก็ตะกายตามเราแบบน่ากลัวมาก เห็นอย่างนั้นหนูก็เลยบอกพี่ขี่เร็ว ๆ หน่อยหนูกลัว เค้าก็ตกใจว่ากลัวอะไร จนรถไปถึงจุด ๆ หนึ่งที่หนูหันไปเจอศาลพระภูมิของบ้านหลังหนึ่งริมถนน หนูก็อาราธนาเลยว่า พระภูมิเจ้าที่ถ้ามีจริงช่วยหนูด้วย ขอให้กั้นอาณาเขตให้หนูที หนูไม่ได้ทำอะไรเค้า หนูไม่เกี่ยวกับเค้านะคะ พอหันหลังกลับไปหนูเห็นผู้หญิงคนนั้นเอามือคว้าข้อเท้าหนู แล้วมันวืดไป เหมือนเค้าคว้าเอาไว้ไม่ได้ มันเหมือนมีกระจกมาบังเค้าไว้ แล้วเค้าพยายามตะกายกระจกเหมือนสุนัขที่ยืนสองขาตะกายกำแพง มันไม่ใช่ท่าทีหรือกิริยาของคน หนูก็เลยบอกพี่รูมเมทว่าอยู่หอตัวเองไม่ได้แล้ว ไปห้องเพื่อนก่อน ก็เลยพากันไปหอเพื่อน พอไปถึงเพื่อนก็เล่าเรื่องผีให้ฟังว่า เมื่อเช้ารู้ข่าวไหม มีคนตายตรงสี่แยกนี้ สี่แยกที่พวกแกผ่านมา เห็นอะไรรึเปล่า ตอนนั้นหนูก็ยังไม่พูดอะไร หนูก็ถามว่าทำไมเหรอ มีอะไรเหรอ เพื่อนก็บอกว่าเมื่อเช้ามีพระบิณฑบาตแล้วเงยหน้าไปเจอศพผู้หญิงถูกแขวนคออยู่บนต้นไม้ใหญ่ แล้วใบหน้าก็คือเละหมดเลย หนูก็เลยถามว่า ผู้หญิงคนนี้ท้องมั้ย เพื่อนบอกว่าท้อง หนูเลยถามว่าแต่งตัวแบบนี้ไหม แล้วเล่าไปตามที่หนูเห็น เพื่อนก็ตกใจบอกว่า แกไปดูมาเหรอ เราบอกว่าเปล่า มันวิ่งตามมอเตอร์ไซค์มา แล้วตอนที่เล่าเราก็นั่งพับเพียบอยู่ จู่ ๆ เพื่อนก็ถามขึ้นมาว่า ไปโดนใครบีบข้อเท้ามา มันเป็นรอยเหมือนโดนข่วน เพื่อนก็ตกใจ หนูก็นึกได้ว่าผู้หญิงคนนั้นเค้าคว้าขาหนู แล้วนี่เป็นครั้งแรกที่ผีทั้งหลอก ทั้งจะเอาชีวิต ทั้งทำร้ายร่างกายเรา หนูก็เลยกลัวแบบฝังใจเลย ทั้ง ๆ ที่หนูไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับเค้าเลย แต่หนูคิดว่าเค้าน่าจะอาฆาตทุกคนที่ผ่านไปผ่านมา เพราะเห็นเพื่อนบอกว่า เค้าเป็นต่างด้าวแล้วทะเลาะกับสามี ซึ่งตอนนั้นเค้าตั้งครรภ์อยู่ แล้วเหมือนกับว่าสามีเค้าเผลอพลั้งมือบีบคอ จึงพยายามอำพรางศพด้วยการทุบหน้า แล้วก็เอาแขวนบนต้นไม้ ให้เหมือนผู้หญิงคนนี้ฆ่าตัวตาย หนูก็เลยคิดว่ามันเป็นความแค้นที่เค้ามี

บอกเลยว่านอกจากต้องการให้เราช่วยเหลือ บางครั้งเค้าอยากท้ายทายเราก็มี อย่างหนูไปถ่ายรายการ ก็จะมีหลาย ๆ เคสที่เราไปช่วย แล้ววิญญาณที่นั่นไม่ได้ต้องการให้เราเข้าไปก้าวก่าย หรือบางดวงวิญญาณไม่ได้รู้สึกดีที่เจอเรา และไม่อยากให้เราเข้าไปยุ่ง เพราะว่าบางดวงวิญญาณเค้าอาจจะมีอิทธิพลกับคนในบ้านอยู่แล้ว เค้าได้เครื่องเส้นไหว้อยู่แล้ว หรือบางดวงวิญญาณเค้าอยู่ตรงนี้มานาน เค้าไม่ยอมไปไหน ซึ่งดวงวิญญาณส่วนใหญ่เค้าจะรู้ว่าคนไหนเห็นหรือไม่เห็นเค้า เพราะคนที่เห็นมันจะมีออร่า ซึ่งบางทีหนูก็พยายามไม่มองเค้า หนูจะทำตัวปกติมาก ไม่ทอดสายตาไปที่เค้า แต่เค้าก็จะรู้อยู่ดีว่าเราเห็น”

 

 

คนอื่นไม่เชื่อไม่เป็นไร ขอแค่คุณแม่เข้าใจก็พอ

“หนูว่าปมในชีวิตหนู ที่ทำให้หนูรู้สึกแย่กับตัวเอง คือคุณแม่ ที่ไม่ใช่แค่ไม่เชื่อว่าเราเห็นผีหรือมีเซ้นส์ แต่เป็นความไม่เชื่ออะไรเลยในตัวเรา เช่น ไม่เชื่อว่าเราทำได้ ไม่เชื่อว่าเราไม่ได้ทำ ไม่เชื่อว่าเราไม่ผิด ไม่เชื่อว่าเราเป็นคนดีกว่าที่เค้าคิดนะ หนูเชื่อว่าการที่ตัวเองเห็นผี มันเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้คุณแม่รู้สึกว่าเราไม่น่าเชื่อถือ

มันจะมีคำหนึ่งที่คุณแม่พูดกับหนูบ่อยมาก ๆ ตั้งแต่เด็กจนโต คือคำว่า เพ้อเจ้อ เป็นคำด่าที่จี๊ดใจที่สุด ใครเดินมาพูดเพ้อเจ้อใส่หน้าหนู หนูร้องไห้ได้เลยนะ เป็นแผลในใจกับคำนี้มาก เพราะหนูรู้สึกว่าเราไม่ได้เพ้อเจ้อ เราเห็นจริง ๆ ทำไมไม่เชื่อเรา แล้วตั้งแต่เด็กจนโต เราเก็บความกดดันนี้เอาไว้ หนูเป็นคนที่ไม่ได้แชร์อารมณ์ ความคิด ความรู้สึกของตัวเองกับคนรอบข้างเลย จนได้มารักษาตัวกับคุณหมอที่โรงพยาบาล ถึงได้เริ่มกลับมาพลิกตัวเองใหม่หมดเลย เปลี่ยน Mindset เปลี่ยนวิธีการคิด เปลี่ยนกระบวนการการใช้ชีวิต ตั้งเป้าไว้เลยว่าฉันจะไม่เป็นคนที่รู้สึกแย่กับแม่ตัวเอง ทั้ง ๆ ที่แม่ทำทุกอย่างเพราะรักเรา แล้วทำไมสิ่งที่เราได้รับ มันคือความเจ็บปวด จนได้มีการจับเข่าคุยกับคุณแม่ว่า จากวันนี้ไป หนูจะไม่เป็นคนที่พูดตามใจแม่ จะไม่เป็นคนที่พูดในสิ่งที่แม่อยากฟังอีกแล้ว เพราะที่ผ่านมาหนูเป็นอย่างงั้นตลอด เราเอาใจเค้ามาตลอด จนวันนึงเราต้องเอาใจตัวเองบ้าง เราต้องเอาความรู้สึกตัวเองเป็นที่ตั้ง เราต้องเอาความสุขของตัวเองมาก่อน อันนี้คือคำที่คุณหมอบอก ไม่อย่างนั้นหนูจะไม่หายจากโรคนี้ ต้องบอกว่าการตัดสินใจว่าฉันจะต้องไปหาหมอ และรับยา มันเป็นเรื่องที่ก้าวข้ามยากมาก เพราะเรามีความฝังหัวว่า คนที่ไปหาหมอจิตเวชคือคนบ้า รับยามากินยังไงก็บ้า หนูต้องรวบรวมความกล้าเยอะมากแต่หนูก็ทำมันได้

มันมีสองเหตุการณ์ที่หนูรู้สึกว่าแม่เริ่มยอมรับในสิ่งที่เราเป็น เหตุการณ์แรก คือเป็นวันที่คุณยายของหนูจะเสีย วันนั้นเป็นวันพระใหญ่ แล้วหนูบอกแม่ว่า หนูขอพูดอะไรที่แม่ไม่เชื่ออย่างหนึ่งได้ไหม ซึ่งแม่เค้าก็เหมือนทำใจไว้แล้ว ก็เลยบอกว่าพูดมาแม่จะฟัง หนูก็บอกว่า หลังวันพระใหญ่สามวัน ตอนแสงสีทอง ยายจะไม่อยู่แล้วนะ แล้วหลังจากนั้นผ่านไปสามวัน คุณยายก็เสียจริง ๆ ตอนแสงสีทองพาดผ่านหัวคุณยายขึ้นไปบนฟ้า ซึ่งแม่ก็เพิ่งเห็นและเชื่อว่าน้องส้มมีเซ้นส์จริง ๆ แม่พูดแบบนี้ในรถกับหนูครั้งแรก แล้วหนูก็ตกใจ

กับอีกเหตุการณ์คือ พี่โน้ส อุดม แต้พานิช เป็นคนที่แม่ชื่นชอบ แต่แม่ไม่เคยรู้เลยว่า เฮียเค้าก็เชื่อเรื่องนี้เหมือนกัน แล้วหนูก็ได้มีโอกาสไปทำงานกับเฮีย หนูก็เล่าให้แม่ฟังว่า เฮียเค้าถามเรื่องความเชื่อ เรื่องดวง เรื่องผี กับหนูด้วยนะ แล้วเฮียเอาเรื่องที่หนูเห็นผีไปเล่าในเดี่ยว ทั้งเดี่ยว 13 แล้วก็เดี่ยว 14 ตั้งแต่นั้น พอแม่เค้าได้เข้าไปฟังด้วยตัวเองว่าเฮียพูดถึงลูกเค้า แม่ก็เลยเริ่มเชื่อ เพราะแม่เค้ารู้สึกว่า ขนาดคนที่เค้าเห็นเป็นไอดอลยังเชื่อลูกเค้าเลย จากนั้นมันก็จะเริ่มมีดารา หรือคนใหญ่คนโตที่แม่ก็รู้จัก หรือเห็นตามทีวีบ่อย ๆ มาดูดวงกับเรา แล้วแม่เห็นวิธีการของหนูว่าไม่ได้พาคนงมงาย แม่ก็เลยเชื่อจนทุกวันนี้ เวลามีอะไร จะเปิดร้าน จะทำอะไร แม่ก็คือปรึกษาหนูทุกเรื่อง จนกลายเป็นที่พึ่งของแม่ไปแล้ว”

 

 

จากคนเห็นผี สู่การเป็นหมอดูที่ดังชั่วข้ามคืน

“การดูดวง ต้องบอกก่อนว่าหนูทำเพราะมันเป็นเหมือนกับการโดนบีบบังคับจากสิ่งที่เรามองไม่เห็น เท่าที่หนูนับไว้ หนูเคยทำอาชีพมา 32 อย่าง ในช่วงอายุแค่ 23 ปี แต่ก็ยังไม่เจอทางที่เราจะทำอาชีพไหนแล้วประสบความสำเร็จ จนวันหนึ่ง พี่บอย สินเจริญ เอาเรื่องของส้มไปเล่าในรายการเดอะโกสท์เรดิโอ แล้วมันทำให้ส้มกลับมามีชื่อเสียง แต่ช่วงก่อนหน้านั้น ส้มเริ่มรับดูดวง เพราะส้มไม่รู้ว่าส้มจะทำงานอะไร เราสมัครอันนี้ไปเราไม่ถึงเดือนเราก็ลาออก มันเหมือนเราอยู่ไม่ได้สักที่เลย

ที่อยู่ไม่ได้เพราะบางที่ถูกเอาเปรียบ บางที่คุยอย่างหนึ่งแต่ให้ทำอีกตำแหน่งหนึ่ง บางที่เข้าไปแล้วเรารู้สึกไม่โอเคกับงานเราก็ลาออก จนเริ่มสงสัยว่าเป็นความเหลาะแหละ หรือว่าเป็นความไม่เอาไหนรึเปล่า จนพี่บอย สินเจริญ พูดถึงส้มในรายการ หลังจากนั้นคนรู้จักส้มมากขึ้น คิวดูดวงส้มมากขึ้น กลายเป็นหมอดูที่ดังในชั่วข้ามคืน

ที่หนูมายึดกับการดูดวงเพราะว่ามันเป็นอาชีพที่หนูทำแล้วหนูรู้สึกว่าหนูได้ช่วยคน ต่อให้หนูได้เงิน แต่เงินนั้นหนูจะแบ่งบางส่วนเอาไปช่วยเหลือสัตว์พิการ สัตว์ยากไร้ คนยากไร้ หรือช่วยตามวัด ตามโรงพยาบาล โดยที่เราไม่ได้เอามาป่าวประกาศว่าเราทำอะไร หนูจะทำของหนูเงียบ ๆ

ส้มดูดวงผ่านเซ้นส์เลย แต่หนูอาจจะมีตัวช่วยคือ ชื่อ นามสกุล และอายุปัจจุบัน เพื่อบอกอัตลักษณ์ เพราะว่าบางคนหนูเห็นหน้าหนูพูดได้เลย บางคนดวงไม่เปิด หนูต้องขอชื่อนามสกุลและอายุปัจจุบันเค้า เพื่อให้เป็นอัตลักษณ์ว่าเป็นดวงของคนนี้จริง ๆ

การดูมี 3 แบบเลยค่ะ ทั้งโทรศัพท์ได้ยินแต่เสียง แล้วก็มี VDO CALL มีดูดวงแบบเจอตัว แล้วก็มีดูสถานที่ แต่ดูสถานที่หนูจะไม่ได้ดูฮวงจุ้ยนะคะ หนูจะดูเป็นพลังงานว่า ที่นี่เจ้าที่เป็นยังไง วิญญาณเป็นยังไง เราอยู่ร่วมกับเค้าได้ไหม เราต้องจัดการยังไง เราต้องทำยังไงถึงจะอยู่ร่วมกับวิญญาณเหล่านี้หรือพลังงานเหล่านี้ได้”

 

 

ดวง คืออะไร ถ้าอยากดวงดี ต้องทำยังไง?

“ดวง คือผลของการกระทำ เค้าเรียกว่ากรรมนั่นแหละ กรรมมันเหมือนก้อนหินสัก 1 ก้อน แล้วคนเราทำกรรมหลาย ๆ กรรมรวมกัน จนเกิดเป็นถนนหนึ่งเส้น ซึ่งถนนเส้นนี้เรียกว่าดวง เราจะอ่านดวงได้จากกรรมที่เราทำไปแล้ว ซึ่งดวงไม่ใช่ถนนเส้นตรงนะคะ ดวงเป็นทางแยก ทางแยกนี้มีไว้ให้เราใช้กรรมใหม่ในปัจจุบัน คือการตัดสินใจของเรา และการเลือกของเรา พอเราเจอทางแยก เราอาจจะไปเจอถนนที่มันดีกว่า จากถนนหินเป็นถนนลาดยาง ซึ่งการแยกไป มันจะเป็นการเลือกใหม่ของตัวเราเอง

หนูเชื่อว่าถ้าคนเราเชื่อเรื่องดวง เราต้องเชื่อเรื่องการกระทำของตัวเองด้วย เพราะถ้าเราเชื่อแต่หมอดู เราเชื่อแต่สิ่งลี้ลับ เชื่อแต่ดวง เราจะกลายเป็นคนไม่มีแก่น แล้วเราจะใช้ชีวิตไม่เป็น เราจะใช้ชีวิตสะเปะสะปะ สุดท้ายเราก็จะโทษหมอดู หรือจะโทษคนนั้นคนนี้

ถ้าอยากดวงดี ควรทำดี เพราะว่าดวงคือผลของการกระทำ ดวงมันไม่ได้มีอะไรวิลิศมาหรา ไม่มีอะไรไปแต่งเติม ดวงมันไม่ได้เป็นสิ่งอื่นเหนือธรรมชาติ มันอยู่กับวัฏจักรทั่วไป แต่เราไปนิยามและเรียกมันว่าดวง

อย่างคนที่มาดูดวงกับส้มหลาย ๆ คน จะพูดว่า ส้มไม่เหมือนหมอดู ส้มเหมือนคนไกด์ไลน์ชีวิต เวลาดูดวงให้ใคร ส้มจะไม่ได้บอกว่า พี่ต้องทำอันนี้ แต่ส้มจะบอกว่า พี่ไม่ต้องรู้นะว่าทำไมพี่ต้องเจอเรื่องนี้ เพราะกรรมอะไร พี่ไม่ต้องรู้ แต่พี่ต้องรู้ว่าพี่จะแก้ยังไง รับมือกับมันยังไงดีกว่า เพราะว่าบางคน ถ้าอดีตชาติไม่ได้สัมพันธ์ หรือไม่ได้จำเป็นกับเค้า หนูก็ไม่บอกให้เค้ารู้”

 

 

จงเชื่อมั่น และอย่ารังเกียจในสิ่งที่ตัวเองเป็น

“หลายคนต้องเห็นผี แต่อาจจะไม่แฮปปี้กับสิ่งที่เห็นอยู่ หนูจะบอกว่าให้เชื่อมั่นในสิ่งที่เป็น และอย่าไปรังเกียจในสิ่งที่เราเป็น เหมือนคุณเป็นต้นมะละกอ คุณตั้งใจเป็นมะละกอที่ออกผลได้อร่อยที่สุดดีกว่า คุณอย่าไปรังเกียจตัวเอง

ส้มเคยอยู่ในจุดที่รังเกียจสิ่งที่ตัวเองเป็นแล้วก็ไม่ยอมรับ แล้วส้มรู้ว่าเป็นการกระทำ และการตัดสินใจที่พลาดและโง่ที่สุดในชีวิต คนอื่นไม่ให้เกียรติเรา ไม่เชื่อเรา หนูว่ามันเจ็บนะคะ ดังนั้นเราต้องเชื่อตัวเอง เราต้องให้เกียรติตัวเอง ในเมื่อเรามีพรสวรรค์แล้ว ให้เราหาจุดดีของมันให้เจอ ไม่มีเรื่องไหนที่มันมีแต่ข้อดี หรือมีแต่ข้อเสียหรอก ทุกเรื่องมันมีสองด้าน หรือมากกว่าสองด้านทั้งนั้น หามาสักมุมหนึ่งที่เรารู้สึกสบายใจกับการเห็นเรื่องราวนั้น ๆ แล้วเราจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุด และไม่สะเปะสะปะกับการตามหาตัวเอง

บางคนมีแก่นมาอยู่แล้ว เหมือนส้มเองที่มีเซ้นส์มาอยู่แล้ว แต่ส้มเคยแอนตี้เซ้นส์ตัวเอง แอนตี้แก่นของตัวเอง แล้วก็ไปไขว่คว้าอยากเป็นแม่ค้า ไขว่คว้าอยากเป็นพนักงานราชการ เพื่อเอาใจคุณพ่อคุณแม่ สุดท้ายแล้วส้มก็อยู่กับมันไม่ได้เลย สุดท้ายหนูไม่มีความสุขเลย

อย่างการดูดวง มันไม่ใช่ว่าจะไม่มีความทุกข์ เพราะมันเป็นงานที่รับความทุกข์ของคนแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ใครมีเรื่องทุกข์ใจก็มาหาเรา แต่ส้มก็ยังเลือกที่จะทำ เพราะหนูรู้สึกว่าหนูได้ช่วย บางทีหนูได้ช่วยคน บางทีหนูได้ช่วยประเทศชาติด้วยซ้ำ ในคำทำนายที่หนูให้เค้าไป หนูสามารถดึงให้คนไม่โกงกินบ้านเมืองได้ ซึ่งหนูรู้สึกว่าหนูแฮปปี้แล้ว”

 

สีสันแรงบันดาลใจจาก ส้ม มัลนิการ์

“สิ่งที่หนูอยากให้ทุกคนมีคือ ไม่ต้องฟุ้ง ไม่ต้องคิดเผื่อ ไม่ต้องไปแคร์ตัวเองในอดีต หรือไม่ต้องไปแคร์อนาคตเกินไป วันนี้ ตอนนี้ มีค่าที่สุดแล้ว คำว่าปัจจุบันของเรา มันสั้นกว่าการดีดนิ้วอีก เพราะฉะนั้นเราอย่าไปโฟกัสกับคำว่า อดีต ปัจจุบัน อนาคต หรืออะไรมากมาย แค่ทำให้มันเป็นกิจวัตรประจำวัน ทำให้มันเป็นสิ่งที่เราทำอยู่จริง ๆ

อย่างบางคนอยากเป็นนักบิน แต่ปัจจุบันขายข้าวแกงอยู่ แล้วทำไมเราไม่ทำข้าวแกงที่อร่อย ๆ หรืออย่างส้มไม่อยากให้คนเรียกว่าหมอดูเลย จนสุดท้ายส้มได้เจอตัวเองว่า เป็นหมอดูแล้วทำไม เราจะเอาคำที่คนอื่นตัดสินเรา ความคิดคนอื่นที่ไม่รู้จักเรา และเค้าตัดสินเราผ่านประสบการณ์ของตัวเค้าเอง จะเอาความคิดเหล่านั้นมาตัดสินตัวเราทำไม นั่นไม่ใช่ตัวเราสักหน่อย เราก็แค่ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น แล้วก็หาจุดที่มีความสุขกับมันให้เจอ เกมหาความสุขนี้หนูเล่นกับมันมาได้หลายปีแล้ว จนหนูรู้สึกว่ามันทำให้ชีวิตในแต่ละวันของเรามีความสุขนะ ต่อให้วันหนึ่งเราไปทำรายการผี แล้วโดนคอมเมนต์ไม่ดี ซึ่งจริง ๆ แล้วคนทำอาจจะไม่ได้แย่ด้วยซ้ำ แต่เค้าอาจจะพิมพ์ไปเพราะมีเหตุผลบางอย่าง ซึ่งแค่คำพูดมันแย่ แล้วเราจะไปแคร์ทำไม มันก็แค่การพิมพ์ ใคร ๆ ก็ทำได้ ส้มอยากให้อยู่กับสิ่งที่เรามีตรงหน้า แล้วมันเป็นปัจจุบันจริง ๆ มากกว่า” – ส้ม มัลนิการ์

 

 

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day  คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ”  ได้ในทุกสัปดาห์

 

ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1