“ทุกคนอยากถึงเส้นชัยในการวิ่งแข่งเหมือนกันหมดแหละ ไม่ว่าใครจะถึงก่อนหรือหลัง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ อย่าหยุดวิ่ง แม้เราจะถึงเส้นชัยทีหลังคนอื่น แต่ถ้าเราค่อย ๆ เดิน ค่อย ๆ วิ่ง ในที่สุดมันก็จะถึงเส้นชัยอย่างสวยงาม”
ยังคงเป็นพื้นที่สร้างแรงบันดาลใจ และเป็น Club ที่ทำให้ได้เรียนรู้ทุกเฉดของชีวิตของเหล่าตัวแม่ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญสุดปัง “บุ๊คโกะ ธนัชพันธ์” เจ้าหญิงผู้เปลี่ยนความฝัน ให้เกิดขึ้นจริง สู่พิธีกรสุดแซ่บ นางแบบสุดเลิศ นักแสดงสุดบรรเจิด นางงามในดวงใจ พร้อมได้แชร์ทริคมูมงลงสไตล์บุ๊คโกะเอาไว้ในรายการด้วย
เปิดที่มาของฉายา “เจ้าหญิงแห่งวงการวิทยุ”
“ต้องบอกว่าหนูเป็นเอ็กซ์ตร้ามาตั้งแต่เด็ก ๆ เคยเป็นคนจัดรายการทีวีเล็ก ๆ น้อย ๆ จนวันหนึ่ง พี่ฉอด พี่เล็ก พี่นก และพี่ตั๋ง เรียกหนูมาทำเดโม่ ด้วยตอนนั้นคาแรกเตอร์ของหนูมันจัดจ้านมาก อาจจะไม่ดูเหมาะกับคาแรกเตอร์ แต่ว่าเอไทม์เค้าให้โอกาสคนที่มีคาแรกเตอร์ เค้าบอกว่า คุณจะมาแบบไหนก็ได้ขอให้มาทำเดโม่ก่อน แล้วหนูมั่นใจมาก วันที่มาทำเดโม่หนูก็เดินไปบอกพี่เล็กว่า หนูรู้สึกว่าหนูจะได้เป็นดีเจแน่นอน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าที่หนูจะมา พี่เล็กเค้าหาคนมาเยอะมากเลย ซึ่งหนูได้เข้ามาทำงานดีเจคู่กับ พี่ต้นหอม พอสิ้นปีทีมงานก็โทรมาบอกว่า เราทำเต็มที่แล้ว ถึงแม้ว่าจะได้ไม่ได้เป็นดีเจก็ไม่เป็นไรหรอก แล้วตอนนั้นหนูก็ยังอยู่ในกรมทหาร เพิ่งเรียนจบ ยังไม่ได้รับปริญญาเลย ก่อนวางสายหนูก็บอกว่าขอบคุณมากเลย ไม่เป็นไรค่ะพี่ แต่ปลายสายเค้าบอกว่า ดีใจด้วยได้ร่วมงานกัน ตอนนั้นหนูกรี๊ดแล้วร้องไห้เลย นั่งอยู่หน้าคอมแล้วกรี๊ด จนแม่นึกว่าไฟดูด ตั้งแต่วันนั้นมาถึงบัดนี้ก็ได้เป็นดีเจมายาวนานเลย ก็ต้องขอบคุณเอไทม์มาก ๆ ค่ะ
เจ้าหญิงแห่งวงการวิทยุ ฉายานี้หนูตั้งขึ้นมาเองเลย คือตอนที่หนูมาเป็นดีเจ ทีมงานก็จะมีการรวบรวมข่าวประจำปี แล้วก็จะมีเจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิงคือ พี่แอน ทองประสม เจ้าหญิงวงการตลก พี่ตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้าน แล้วก็มีเจ้าหญิงวงการนั้นวงการนี้ แล้วหนูก็มาช่วงสิ้นปีพอดี หนูก็คิดว่า เจ้าหญิงวงการวิทยุมีไปรึยัง พอไปหาข้อมูลดูก็ยังไม่มี หนูก็นึกในใจตอนนั้นหนูก็นึกถึงพี่ฉอด ให้พี่ฉอดเป็นราชินีเถอะ เราเป็นตัวลูกเค้า ก็เป็นเจ้าหญิงแล้วกัน แล้วก็ใส่แฮชแท็กว่า #เจ้าหญิงแห่งวงการวิทยุ ทำซ้ำ ๆ มา 25 วัน หลังจาก 25 วัน คนก็ติดฉายานี้เลย หลังจากนั้นก็ได้เป็นเจ้าหญิงแห่งวงการวิทยุมายาวเลย 16 ปีแล้วค่ะ”
มูอย่างไรให้ปัง ตามแบบฉบับของบุ๊คโกะ
“ต้องบอกก่อนว่ามันเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ใครเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าใครเชื่อแบบไหนเราก็ไม่ไปลบหลู่เค้า แต่ตามแบบฉบับของบุ๊คโกะ ชีวิตหนูเกิดมากับคนในครอบครัวข้าราชการ ครอบครัวคนพุทธที่ผูกพันกับการขอหวย การลูบต้นไม้ การไปถูหลังเต่า แล้วก็ลุ้นวันหวยออก เพราะฉะนั้นหนูอยู่กับสิ่งเหล่านี้ เราชอบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาก แต่บุ๊คโกะจะบอกทุกคนเสมอเลยเวลาเจอกันแล้วถามว่าทำไมปังจังเลย งานแน่นจังเลย หนูก็จะบอกว่า อย่างแรกเลยคือพระในบ้าน พ่อกับแม่ต้องกินอิ่มนอนหลับมีความสุขนะ ถ้าเกิดพ่อแม่อด ๆ อยาก ๆ ไปมูข้างนอกก็ไม่สำเร็จหรอก พ่อกับแม่กินอิ่มนอนหลับให้เงินพอใช้รึยัง เราต้องบูชาพระในบ้านก่อน
หลังจากนั้นมันเป็นความเชื่อส่วนบุคคล เราก็จะออกไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไหว้พญานาค หรือเราอยู่วงการบันเทิงก็ไหว้พระพิฆเนศ แล้วก่อนที่เราจะไปขอ เราต้องให้ด้วย หนูเคยไปวัดหนึ่งทางภาคเหนือ ซึ่งหนูก็จะมีลูกสาวตามจังหวัดต่าง ๆ ก่อนไปหนูก็จะบอกลูกสาวว่า เธอไปวัดนี้ให้หน่อย ลองถามซิว่าวัดนี้เค้าขาดแคลนอะไร แล้วก็ถามว่าจุดบูชาที่เค้าจัดดอกไม้มีทั้งหมดกี่จุดในวัดนี้ ลูกสาวก็บอกว่ามี 10 จุดค่ะ หนูก็ไปสั่งจัดดอกไม้เลยทั้ง 10 จุด พอหนูไปถึงวัด ดอกไม้ก็จะไปวางเรียงรายสวยงาม หนูก็เข้าไปขอ หนูบอกว่าวันนี้หนูขอสิ่งนี้นะ แต่ว่าก่อนที่หนูจะมาหนูได้เอาความสวยความงาม เอาดอกไม้กลิ่นหอม ๆ มาถวายท่านเพื่อบูชาท่านก่อน เพื่อให้เห็นความตั้งใจว่าเราศรัทธาจริง ๆ อันนี้ก็คือความเชื่อส่วนบุคคล พอเราทำแล้วสบายใจ มันคือกฎแรงดึงดูดที่ฝรั่งเค้าเขียนหนังสือที่ว่า ถ้าจิตใจเราเชื่ออะไร เหมือนที่สมัยก่อนหนูกับแม่ตัดรูปบ้าน ตัดรูปรถ แปะรวมกันไว้ มันเป็นการทำให้เราคิดในใจว่า ถ้าฉันอยากมีแบบนี้ ฉันต้องทำงาน ฉันต้องลงมือทำ ถ้าบุ๊คโกะขอแล้วนอนอยู่บ้านเฉย ๆ รอให้ฝนตกมาเป็นเงิน มันก็ไม่มีทางเป็นจริง แล้วเราก็เอาความสามารถที่เรามี คือตอนนั้นเรารู้สึกว่าเราตลก เรารู้สึกว่าเรามีความสามารถ เราก็เอาสิ่งเหล่านี้ไปแลกกับงานที่เค้าจะจ้างงานเรา มันก็เลยทำให้เราได้ในสิ่งที่เราอยากได้
หนูยังมีลูกเทพอยู่นะ ทุกวันนี้หนูไปที่ไหน หนูจะเอาไปหมด แต่ว่าหนูไม่ค่อยเปิดเผยมาก กลัวคนล้อเลียน แต่หนูก็ยังมีอยู่นะ หนูไปนิวซีแลนด์ หนูก็อุ้มลูกเทพไปด้วย จนซีเอ็นเอ็น บินมาทำข่าวหนู มาทำข่าวลูกเทพ แต่ในตอนนั้นหนูก็ขอพรได้จริง ๆ นะ เพราะหนูมีความเชื่อไง หนูถึงบอกว่า ใครจะบูลลี่หนู หรือใครจะว่าหนูยังไงก็แล้วแต่ หนูไม่สนใจ เพราะว่าหนูทำแล้วหนูได้ แล้วหนูไม่เคยเลี้ยงตามกระแส ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ น้องชื่อ วันใส ก็ยังถวายน้ำแดงอยู่ตลอดเวลา น้องอยู่ในห้องพระนั่งอยู่ตรงพื้นนี่แหละ แล้วหนูอยู่คอนโดคนเดียว บางทีหนูอยู่ห้องพระ หนูสวดมนต์ก็มีผวาอยู่เหมือนกันนะ”
สิ่งที่ทำให้บุ๊คโกะ ประสบความสำเร็จจนถึงวันนี้
“คือหนูรู้สึกว่าหนูมีความอ่อนน้อมถ่อมตน บางทีหนูเป็นคนที่เหมือนกล้านะคะ แต่ก็ไม่กล้าในบางเรื่อง แล้วเวลาเราเจอใครก็แล้วแต่ เราจะแบบยกมือไหว้บ่อย ๆ ไม่ใช่เราประดิษฐ์นะ แต่เรากลัวเค้าไม่เห็น ถ้าเกิดสมมติว่าเราสวัสดีไปแล้ว แต่คนที่เราสวัสดีทำธุระอยู่ แล้วเค้าอาจจะไม่เห็นหนู หนูก็เลยจะพยายามทักทายและสวัสดีบ่อย ๆ
อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ บุ๊คโกะสู้ บุ๊คโกะอดทน คนที่เก่งกว่าเราก็มี คนที่ดีกว่าเราก็มี แต่ว่าเวลาที่ผู้ใหญ่เค้าเลือก เค้าเลือกจากหลายองค์ประกอบ เค้าต้องมองว่าคุณสามารถอยู่กับส่วนรวมได้ไหม คือเรามองหลายองค์ประกอบ มันเลยทำให้รู้สึกว่า วันนี้เราอยู่ตรงนี้ได้ 16 ปี ก้าวสู่ปีที่ 17 เราไม่ใช่คนดีร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว มันต้องมีคนทั้งชอบเรา และไม่ชอบเรา อยู่ที่ว่าคนที่เค้าพูดถึงเรา เค้าจะพูดถึงในมุมไหน บางวันเราอาจจะกำลังร้อนมากเครียดมาก แล้วเราไม่ยิ้ม แต่ดันมีคนทักเราในวันนั้นพอดี อันนั้นเราก็ต้องกราบขอประทานโทษ คือคนเราเป็นมนุษย์ เราไม่ใช่ AI เรามีอารมณ์แบบนั้นจริง ๆ แต่หนูโชคดีที่เวลาคนเจอตัวจริง มักจะบอกว่าน่ารักจังเลย น้อยครั้งมาก ๆ ที่เราจะชักสีหน้า หรือว่าเราจะปฏิเสธการถ่ายรูปกับแฟนคลับ มันจะน้อยครั้งมากสำหรับบุ๊คโกะ
เมื่อก่อนหนูจัดรายการแทนคนอื่นบ่อยมาก บางครั้งแทนจนได้งานนั้นไปเลยก็มี เพราะเมื่อก่อนเวลาเราจ้างช่างแต่งหน้า เราเสียเงินแล้ว บุ๊คโกะก็จะให้ช่างมารอที่ตึกแกรมมี่ มาแต่งตั้งแต่ 7 โมงเช้า เข้ารายการแฉข่าวเช้าตอน 8 โมง พอ 10 โมงจัดรายการเสร็จก็ไปวิ่งงาน เพราะเวลามันเหลือ สมัยก่อนหนูก็เอาที่นอนไปปูรอในสตูดิโอเลย แล้วมันเหมือนฟ้าประทาน คือต้องมีคนที่ลืมคิวบ้าง รถติดบ้าง แล้วหนูเสียบแทนตลอด หนูจะเป็นมือเสียบอันดับ 1 ใครลาปุ๊บหนูจะเสียบทันที เพราะหนูถือคติว่าเราแต่งหน้าทำผมแล้ว เราพร้อมทำงาน พร้อมออกหน้ากล้องเสมอ”
ย้อนเรื่องราวสุดอบอุ่น ของครอบครัวบุ๊คโกะ
“ที่เห็นครอบครัวบุ๊คโกะรักและผูกพันกันมาก ๆ เพราะว่าสมัยก่อนเรามีกันแค่นี้ เรามีกันแค่ 4 คนแม่ลูก ก็คือ บุ๊คโกะ แม่ แล้วก็น้องสาวอีก 2 คน เราผ่านเรื่องราวมาเยอะมาก มันเคยหนักหน่วงมาแล้ว บางครั้งหากชีวิตเจอเรื่องที่มันหนักหน่วง เราจะย้อนกลับไปมองข้างหลังว่า ที่ผ่านมาเราเคยหนักมากกว่านี้ เราเคยทรมานมากกว่านี้ เราเคยนอนอยู่รวมกันในบ้าน เพราะว่าน้ำไฟโดนตัด เราก็ต้องมานอนรวมกันชั้นล่างบ้านพักข้าราชการ แล้วโดนตัดไฟมา 2 ปี เวลาจะเสียบปลั๊กต้องไปขอเสียบกับข้างบ้าน ดังนั้นครอบครัวเราจะคุยกันทุกเรื่อง เรานอนร้องไห้ เรานอนหัวเราะ เราทำด้วยกันทุกเรื่อง ณ ปัจจุบันแม้ทุกคนมีงานการที่ดี คุณแม่มีความสุขในบั้นปลายชีวิต แล้วเราสามารถที่จะอยู่กับคุณแม่ไปได้นาน ๆ อันนี้คือสิ่งที่ทำให้บุ๊คโกะมีความสุข มันจะทำให้เราสนิทกัน เวลามีเรื่องอะไรเราไม่เคยปิดบังกันได้เลย ต่อให้มีเรื่องปิดบังกันก็ได้แค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น สุดท้ายทุกคนก็รู้กันหมด เพราะว่าถ้าเราไม่โทรไปบอก เดี๋ยวผู้จัดการก็จะโทรไปบอกน้องสาว โทรไปบอกแม่ของหนูเอง เราไม่สามารถปิดเรื่องอะไรได้ เวลาทะเลาะกันแรงแค่ไหนก็แล้วแต่ ครึ่งวันก็ดีกัน
ต้องบอกว่าของขวัญชิ้นใหญ่ที่สุดในชีวิตบุ๊คโกะคือการปลดหนี้ให้แม่ เพราะหนี้มันเกิดจากพวกเรานั่นแหละ มันเกิดจากแม่ส่งเราเรียน ทำให้ต้องกู้ทั้งในระบบ และนอกระบบ เราเคยโดนเจ้าหนี้มายืนด่าหน้าบ้าน เคยไปขอยืมเงินคนอื่น นั่งรอตั้งแต่ 9 โมง ถึงเที่ยงเค้ายังไม่ให้ก็มี เราเคยมาทุกอย่างแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่บุ๊คโกะรู้สึกว่าเราจะทำได้ก็คือเราปลดหนี้ ก็พยายามเก็บเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้ แต่โชคดีที่พอเข้ามาเป็นดีเจที่ EFM ปีแรก ก็มีคนรู้จักบุ๊คโกะเยอะมาก ตอนนั้นเราก็ตกใจเหมือนกัน มีหลงระเริงไปบ้าง โชคดีที่มีผู้จัดการดึงลงมา คอยตักเตือนเรา ว่าทุกคนเค้ามีบุญคุณกับเรานะ ถ้าเค้าเรียกชื่อเธอได้แสดงว่าเค้าดูทีวี เค้าต้องเสียเงินค่าน้ำค่าไฟมาดู จนเรานึกขึ้นได้แล้วเวลาเราจะลืมตัว เราก็โดนดึงลงมาตลอด พอมันได้เงินจากการทำงานมา เราก็เอาไปใช้หนี้ให้แม่
แล้วหนูไม่ค่อยชอบให้แม่ยืมเงินใคร เพราะว่าหนูเคยให้คนอื่นยืมเงิน แล้วการที่จะได้เงินคืนมันยาก แล้วเราไม่ใช่คนร่ำคนรวย เราก็พอมีพอกิน แล้วแม่เป็นคนใจอ่อน ชอบให้คนโน้นคนนี้ยืมเงิน เราก็บอกแม่ว่า เวลาเราจะให้ยืม อย่าลืมนะ เอ็นดูเขาเอ็นเราขาดนะ เราไม่ได้ร่ำรวยนะ ก็ต้องเตือนเค้า แล้วแม่ชอบเก็บสะสมของค่ะ สมมติว่าไปเมืองนอก ไปกินน้ำยี่ห้อนึงแล้วขวดเป็นขวดแก้วแข็ง ๆ แม่ก็จะชอบเก็บมาล้างเก็บไว้ แล้วเราไม่รู้ด้วยนะ จะรู้อีกทีตอนที่หิ้วกระเป๋ากลับ ก็สงสัยว่าทำไมน้ำหนักกระเป๋ามันเกิน เปิดมาก็ตกใจมาก กระเป๋ามีแต่ขวดน้ำ อย่างเวลาหนูซื้อกาแฟแล้วเค้าเขียนแก้วให้ แม่ก็เก็บไว้ จนหนูมาถามว่าแม่เก็บไว้ทำไม แม่บอกว่าเพราะเค้าเขียนอวยพรลูกไง คนรักลูก แม่เลยอยากเก็บไว้”
“พลาสติกแฟมิลี่” จากคำบูลลี่ สู่เอกลักษณ์สุดปัง
“ตอนแรกมันเหมือนเป็นคำบูลลี่นะ ว่าบ้านเราเป็นพวกพลาสติกแฟมิลี่ เป็นพวกเสพติดศัลยกรรม แล้วช่วงนั้นหนูกับน้องกำลังจะหาคำที่เอามาตั้งแฮชแท็กที่คนจดจำ หนูก็เลยเอาคำนี้มาเป็นแฮชแท็กในการทำบริษัทเอเจนซี่ เลยตั้งเป็น บุ๊คโกะเอเจนซี่โดยพลาสติกแฟมิลี่ หนูไม่เคยอายเลยนะเพราะรู้สึกว่า ตัวเองชอบการศัลยกรรม เพราะตอนเด็ก ๆ หนูชอบนั่งดูรายการเดอะสวอน ที่มันจะปิดกระจก พอศัลยกรรมออกมาแล้วหน้าสวยจนแขกรับเชิญร้องไห้ นั่นเป็นแรงบันดาลใจให้รู้สึกว่า ถ้าโตขึ้นมาแล้วหนูมีเงิน หนูอยากทำศัลยกรรม อยากทำทั้งตัวเลย พอโตขึ้นมาหนูก็ทำจริง ๆ แล้วพอมาเปิดบุ๊คโกะเอเจนซี่ หนูรู้สึกว่า ถ้าคนจะมั่นใจในเรา เราต้องศัลยกรรมกันทั้งครอบครัว ก็เลยพาแม่ไปทำเลย แล้วตอนนั้นแม่อายุเกือบจะ 70 แล้ว หนูก็พาไปตรวจร่างกาย ปรึกษากับหมอว่าทำได้ไหม พอหมอบอกว่าทำได้ ก็เลยตัดสินใจให้แม่ทำ พอกลับมาคนอึ้งเลย เพราะว่าแม่หนูทำหมดทั้งหน้า เลาะฟันออกหมดปาก ทำฟันใหม่ ครอบฟัน ใส่เหล็กฟัน ทำตา ทำหน้า ทำใหม่หมดเลย แล้วก็กลายเป็นว่า เวลานึกถึงพลาสิติกแฟมิลี่ คนก็จะนึกถึงครอบครัวของบุ๊คโกะ ก็เลยเอาแฮชแท็ก #พลาสติกแฟมิลี่ มาใช้ พอคนเสิร์ชก็จะขึ้นครอบครัวเรา เราภูมิใจมากเพราะว่าลูกค้าที่มาก็เพราะเค้าเสิร์ชเจอ แล้วลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาก็จะเป็นรุ่นแม่เรานี่แหละ
แล้วสิ่งที่พระเจ้ามอบให้หนูคือ เวลาทำศัลยกรรมแล้วแผลหนูจะหายไว แล้วหนูเป็นคนที่ชอบฉีดหน้า ชอบทำหัตถการมาก อะไรที่มาใหม่หนูทำหมด ศัลยกรรมครั้งแรกที่เกาหลี พอหนูผ่าตัดเสร็จ หนูไปเรียกพยาบาล แล้วร้องเพลงให้เค้าฟัง พยาบาลปรบมือ คือหนูเมายานอนหลับ แล้วหนูก็ร้องเพลงให้เค้าฟังไปด้วย”
“เดินแบบ” ความฝันที่เป็นจริงของ บุ๊คโกะ
“เดินแบบคือความใฝ่ฝันของหนูเลย ทุก ๆ ปี หนูจะมีเป้าหมายในชีวิตเลยว่า ปีนี้หนูจะทำอะไรบ้าง เราจะไม่อยู่กับที่ เพราะถ้าเกิดเรามีคอนเทนต์ เรามีอะไรใหม่ ๆ คนก็จะรู้สึกว่าเราใหม่ตลอดเวลา แล้วบุ๊คโกะก็ตั้งเป้าว่าปีนี้อยากจะไปเดินแบบ แต่ก็ไม่ได้คิดถึงว่าตัวเองจะได้ไปถึงนิวยอร์คแฟชั่นวีค
ใช่ต้องบอกก่อนว่า นิวยอร์คแฟชั่นวีค เป็นตลาดแฟชั่นที่ใหญ่มาก ๆ แล้วหนูก็ได้เดินแบบครั้งแรกเมื่อสองปีที่แล้ว ตอนนั้นได้เดินของ บุญเหลือนิวยอร์ค ก็คือน้องคนนี้ไปเรียนต่อที่นิวยอร์ค แล้วเป็นไทยดีไซเนอร์ เค้าทำชุดให้หนูใส่ตั้งแต่เค้ายังไม่ดังที่เมืองไทย แล้วก็ใส่ไปงานพรมแดงตลอด จนวันหนึ่งเค้าได้ไปอยู่นิวยอร์ค แล้วเค้าได้ออกแบบแฟชั่น ด้วยความที่รู้จักกันน้องเค้าก็ทักมาถามว่าเราสามารถไปเดินแบบให้เค้าได้ไหม บุ๊คโกะก็บอกว่าสามารถที่จะไปช่วยได้นะเพราะมันก็เป็นความฝัน แต่มันต้องมีหนังสือรับรองจากทางกระทรวงพาณิชย์ จากทางนิวยอร์คให้เป็นเรื่องเป็นราว เค้าก็หายไปประมาณ 3-4 วัน แล้วก็มีจดหมายปั๊มตราครุฑมาว่า ขอเชิญ คุณธนัชพันธ์ บูรณาชีวาวิไล มาช่วยงานประเทศ แล้วท่านทูตกระทรวงพาณิชย์ ประจำมหานครนิวยอร์ค เค้าก็ดีมาก เค้าบอกกับบุ๊คโกะให้คิดไว้ว่า เรามาช่วยงานประเทศนะ มันเป็น Soft Power แล้วพอได้ไปเดินแบบ หนูก็คือรู้สึกภาคภูมิใจมาก แล้วเหมือนจุดเริ่มต้นให้เราได้เดินแบบ พออีกปีเค้าก็เชิญไปอีก ซึ่งที่นิวยอร์ค มีดีตรงที่ไม่ว่าคุณจะเชื้อชาติไหน สูงต่ำดำขาว คุณจะมาแบบไหนก็แล้วแต่ ขออย่างหนึ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณต้องมีคือ ความมั่นใจ พอเราทำเต็มที่เค้าก็เห็นผลงานของเราแล้วบอกกันปากต่อปาก ท่านทูตก็บอกว่าจงภูมิใจไว้เลยว่า หนึ่งคือเราได้มาเพราะความสามารถของตัวเอง สองคือเรามาช่วยประเทศ สามคือตอนนี้ทุกคนรู้จักบุ๊คโกะแล้ว เราก็รู้สึกว่าภาคภูมิใจในตัวเองมาก ๆ
พอปีล่าสุดก็ได้ไปอีก คราวนี้ได้เดิน 3 แบรนด์เลย มันคือความฝันของเด็กคนหนึ่ง นางงามเราเป็นแล้ว เราอยากทำเราทำเต็มที่ วันนี้เราได้เดินแบบ เราก็รู้สึกว่าเป็นความภาคภูมิใจ เราได้เดิน Bangkok International Fashion Week 2024 ของแบรนด์ทเวนตี้เซเว่นฟรายเดย์ ก็ดีใจมาก ๆ เราก็ทำเต็มที่ และรู้สึกว่าเราคงต้องเอาดีทางด้านนี้แล้วแหละ”
จากนางงามในดวงใจ สู่ผู้จัดการกองประกวด
“จุดเริ่มต้นเลยคือบุ๊คโกะชอบประกวดนางงาม หนูได้ตำแหน่งนางสาวเชียงใหม่ในดวงใจมา แล้วบุ๊คโกะก็ไปประกวด UNIVERSE IS U ปีแรกบุ๊คโกะติดท็อป 10 มันก็ค้างคาใจว่าฉันอยากได้มง แล้วบุ๊คโกะเป็นคนที่ชอบท่องเที่ยวทั่วโลก เราจะไปเที่ยวหลาย ๆ ที่ และได้รู้จักผู้ใหญ่เยอะ จนได้รู้จักกับ แม่แดงฟอริด้า แล้วเราก็บอกท่านว่าหนูจะลงประกวด UNIVERSE IS U อีกปี อยากให้แม่มาร่วมสนับสนุนหนูหน่อย โดยมีพี่อีกคนชื่อ พี่กิ๊บ ที่เค้าเป็นแฟนคลับเรา กลายเป็นพี่สาวอีกคน เค้าทำธุรกิจที่ประเทศไทย ทำธุรกิจโรงแรม พอเรามาเจอกันที่เมืองไทย ก็เลยได้รู้จักผู้ใหญ่กลุ่มนี้ เค้าก็เลยชักชวนว่าไหน ๆ เค้าก็มาสปอนเซอร์บุ๊คโกะแล้ว บุ๊คโกะมาช่วยแม่หน่อย แม่อยากส่งนางงามมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ในนามของจังหวัดมหาสารคาม บุ๊คโกะมาเป็นผู้จัดการกองประกวดให้แม่หน่อยมีพี่กิ๊บกับแม่แดงเป็น City Director ซึ่งแม่แดงเค้าอยู่ฟอริด้า เค้าไม่สามารถจะบินมาได้ จะมาได้คือวันที่ประกวด กับวันที่มาดูตัว ซึ่งปีที่ผ่านมาเราก็เลยรู้สึกว่า เราเฟ้นหาคนที่มีคาแรกเตอร์ที่เหมาะกับเรา แล้วเราสามารถที่จะพูดคุยได้ จนได้ ป๊อปปี้ บุญยิสา จันทราราชัย ซึ่งเคยเป็นรองอันดับหนึ่งมิสซุปร้า และปีนี้ก็มาเป็นตัวแทนจังหวัดมหาสารคาม บุ๊คโกะก็ไปช่วยดูแลน้องเรื่องความพร้อมต่าง ๆ จนน้องได้รองชนะเลิศอันดับที่สามมา ก็ถือว่ามีมงของตัวเอง ส่วนบุ๊คโกะก็ได้ตำแหน่งเดียวกับป๊อบปี้ รองชนะเลิศอันดับ 3 เหมือนกันก็เลย ทำให้เรารู้สึกว่านี่คือเกียรติยศของเรา เราได้ทำในสิ่งที่เรารัก พร้อมกับสานฝันให้กับป๊อบปี้ด้วย แล้วก็ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีทุก ๆ คนในชีวิตเลยที่ให้โอกาส ไม่ว่าจะเป็นแม่แดง พี่กิ๊บ หรือพี่สาวทุก ๆ คน แล้วก็ขอบคุณ ป๊อบปี้ ด้วยที่เชื่อมือเรา ขอบคุณตัวเราด้วยที่เสียสละเวลาอันมีค่าในการทำงาน รวมถึงเอไทม์ก็น่ารักทุกงานเลย ไปประกวดก็ต้องลา ทุกรายการทีวีอย่างรายการแฉของแม่มดดำนี่ก็ยิ่งต้องขอบคุณเลย เค้าก็ให้เราลาไปทำในสิ่งที่เราฝัน ซึ่งพอเราทำได้แล้ว เรารู้สึกว่ามันสะใจ พอเราทำได้แล้วก็อยากส่งต่อสิ่งดี ๆ ให้กับ ป๊อบปี้ ส่วนอนาคตจะเป็นยังไงต้องรอดูอีกที ว่าเราจะยังทำหน้าที่ผู้จัดการกองประกวดอีกไหม”
ความฝันต่อไปของ บุ๊คโกะ ธนัชพันธ์
“หนูอยากลองเป็นผู้จัดซีรี่ส์วาย แล้วหนูคิดว่าหนูทำได้ดีแน่ ๆ มันเป็นอะไรที่ท้ายทาย และหนูเคยคิดว่าถ้าไม่ได้เป็นดารา หนูจะเป็นผู้จัดการดารา หนูจะเป็นเอเจนซี่ หาดาราเข้าสังกัด แล้วปั้นให้ดัง หนูมั่นใจว่าหนูมองใครก็ขาด อย่าง น้องเจเจ กฤษณภูมิ หนูเห็นตั้งแต่น้องอายุ 14 เห็นตั้งแต่รับบริจาคน้ำท่วมตรงเซ็นทรัลเวิลด์ ว่าเด็กคนนี้หล่อ โตมาต้องดังแน่เลย จนดังจริง ๆ ก็เลยรู้สึกว่าจากความสามารถในการเป็นแมวมองของฉัน ฉันสามารถที่จะปั้นเด็กซีรี่ส์ได้นะ ฉันอยากทำซีรี่ส์วาย ซีรี่ส์ยูริ จริง ๆ หนูมีคุยบ้างแล้ว ตอนนี้คือกำลังรวบรวมหลาย ๆ อย่าง คิดว่าถ้ามีโอกาสจริง ๆ ปีหน้าได้ดูแน่เลย รอติดตามกันนะคะ”
สีสันแรงบันดาลใจ จาก บุ๊คโกะ ธนัชพันธ์
“หนูรู้สึกว่าอยากขอบคุณความพยายามของตัวเอง เพราะเมื่อก่อนหนูเป็นคนที่มีไม่เหมือนคนอื่น ขนาดตอนเข้ามหาวิทยาลัยหนูมีเงินติดตัว 150 บาท แต่เพื่อนในกลุ่มก็ไม่เคยทิ้งหนู หนูก็เลยรู้สึกอยากขอบคุณความพยายามของตัวเอง ที่มันทำให้เรากัดฟันสู้มาถึงวันนี้ บุ๊คโกะเชื่อว่าเวลาที่เราวิ่งแข่ง ทุกคนอยากถึงเส้นชัยหมดแหละ แต่อยู่ที่ว่าใครจะวิ่งถึงก่อนหรือหลัง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออย่าหยุดวิ่ง อย่าหันหลังกลับไป ถ้าเราวิ่งต่อมันต้องถึงเส้นชัย อย่างต้นทุนของบุ๊คโกะไม่เหมือนคนอื่นเลย ก็เลยบอกตัวเองว่าฉันจะตั้งใจวิ่ง แม้ว่าฉันจะถึงทีหลังคนอื่น แต่ฉันเชื่อว่า ถ้าฉันค่อย ๆ เดิน ค่อยๆ วิ่ง มันจะถึงเส้นชัยอย่างสวยงาม”
พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์
ดูรายการย้อนหลัง