“สายน้ำมันไม่ไหลกลับ ถ้าทำอะไรแล้วเราไม่เต็มที่กับมัน ผ่านไปวินาทีเดียว มันคืออดีตที่แก้ไขไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นทุกงานที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เราจะเป็นคนทำเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วก็ไม่เคยเหนื่อยกับงาน เพราะว่าเราคิดถึงเม็ดงานมากกว่าเม็ดเงินเสมอ”
เปิด Club รวมสีสันของชีวิต พร้อมแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลในในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่ตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับตัวแม่สุดสตรอง “อ้วน รีเทิร์น” เจ้าของฉายา กะเทยรวย 100 ล้าน คนแรกของไทย แต่กว่าจะกลายเป็นที่รู้จักและประสบความสำเร็จ ชีวิตของ อ้วน รีเทิร์น เคยลำบากมาก ต้องออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 13 ปี เข้ามาทำงานในกรุงเทพ รับจ้างทุกอย่าง และต้องประหยัดถึงขั้นไปเอาขนมจากศาลพระภูมิมากิน หลากหลายเรื่องราวของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจดี ๆ ได้ถูกแชร์เอาไว้แล้วในรายการ
ย้อนวัยเด็ก ของ อ้วน รีเทิร์น
“ตอนเด็กลำบากมาก ด้วยความที่แม่เป็นคนขายอาหารตามสั่ง เข็นรถขาย ส่วนเตี่ยเป็นช่างบัดกรี ฐานะไม่ดีหรอก เราไม่เคยมีบ้านอยู่ เช่าบ้านอยู่ตลอด ตอนนั้นอยู่ที่ ตำบล พุเตย อำเภอ วิเชียร มีพี่น้องที่เป็นพ่อแม่เดียวกัน 4 คน แล้วก็ต่างบิดามารดาอีก 2 คน รวมเป็น 6 คน เราเป็นลูกชายคนที่สอง ทุกคนตั้งความหวังไว้ว่าเราเป็นลูกชาย แต่สำหรับเราตั้งแต่จำความได้ก็ชอบใส่กางเกงในที่เป็นลายเงาะของผู้หญิงมาตั้งแต่เด็ก แต่พอโตขึ้นมาหน่อย เตี่ยก็อายคน เราก็เลยต้องทำตัวเป็นผู้ชาย พอออกนอกบ้านค่อยเอาลิปสติกของแม่มาทา แต่แม่ไม่เคยว่านะ แม่เป็นคนที่บอกว่าสีนี้จืดไป เอาสีแดง ๆ แม่เค้าสนับสนุนเรามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
ตัวตน กับการยอมรับจากคนในครอบครัว
“เมื่อก่อนเตี่ยอยากให้มีเมีย เตี่ยเคยเอาผู้หญิงยัดเข้าไปในห้องตอนเป็นวัยรุ่น คือเค้าไปเอาผู้หญิงที่ทำงานแบบนั้น แล้วก็บอกผู้หญิงคนนั้นว่าจัดการเลยนะ เพราะเตี่ยเค้าเชื่อว่า ถ้าเรามีอะไรกับผู้หญิง แล้วความตุ้งติ้งของเรามันจะหาย แล้วเตี่ยก็เอาผู้หญิงคนนั้นยัดเข้าไป พอเข้าห้องปุ๊บ เราก็เลยบอกว่า เธอเขียนคิ้วไม่สวยเดี๋ยวช่วยเขียนให้ เราก็จับเค้าแต่งหน้าทาปาก พอเสร็จก่อนจะออกจากห้องเราก็บอกว่า บอกเตี่ยด้วยนะว่าเราเรียบร้อยกันแล้ว ทุกวันนี้จนเตี่ยตายไป เตี่ยยังไม่รู้เลยว่าฉันไม่ได้มีอะไรกับผู้หญิงคนนั้น
ที่เราตุ้งติ้งเตี่ยก็มีอายคนนะ เพราะสมัยก่อนที่ทำสีผมครั้งแรกในประเทศไทยที่เรารู้จักคือโรงเรียนเสริมสวยลาลิตย์ แล้วเราจะย้อมผมเลียนแบบโรงเรียนเสริมสวยลาลิตย์ ก็เอาสีผสมอาหารผสมกับไฮโดรเย่น แล้วเอามาหมักผมไว้ พอผมเป็นสีม่วง เตี่ยก็บอกว่า เวลาเจอฉันที่ไหน อย่ามาเรียกฉันเตี่ยนะ ฉันอายคน เป็นแบบนี้ตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ แต่แม่ไม่อะไรเลย เค้าแล้วแต่เราเลย”
จุดพลิกที่ทำให้ชีวิตได้รู้จักคำว่า “ลำบาก”
“ตอนที่พ่อกับแม่เลิกกัน ตอนนั้นลำบากมาก ซึ่งเรามารู้ตอนหลังว่าเตี่ยเจ้าชู้ เค้าเป็นนักรักพเนจร เป็นคนที่มีเสน่ห์ ผู้หญิงมาหาที่บ้านตลอด เราจำได้ว่าแม่ร้องไห้หนักมาก และจำเป็นที่จะต้องแยกทางกัน แล้วแม่เอาน้องไปอยู่สระแก้ว 2 คน ส่วนเตี่ยก็เอาเรากับพี่ชายไว้ 2 คน ที่ลำบากเพราะว่าตอนที่แม่ไม่อยู่ เราอยู่กับเตี่ย ปรากฏว่าตอนนั้นเตี่ยเกิดอุบัติเหตุโดนยิงเข้าปากแล้วทะลุท้ายทอย แต่ว่าไม่ตาย ต้องไปนอนเป็นคนไข้อนาถาอยู่ที่โรงพยาบาลพระบาท สระบุรี ตอนนั้นชีวิตเรามันไม่มีอะไรกิน เตี่ยก็ไม่อยู่ เราก็ยังเด็กตอนนั้นยังไม่ 10 ขวบ เราก็ต้องไปรับจ้างตามบ้านคน ไปเก็บกวาดเช็ดถู กรอกเกลือแลกข้าวกินเพื่อเอาตัวรอด ใครจ้างอะไรก็ทำ ได้เงินก็เก็บใส่ลิ้นชักไว้ อยู่แบบนั้น 2 ปี เตี่ยก็ออกมามาจากโรงพยาบาล ตอนนั้นเตี่ยเหมือนซากศพ คือเหลือแค่หนังหุ้มกระดูก ตาโปน แล้วก็ฟันไม่มี ผมร่วง ผอมแบบไม่มีแรงเดิน เราก็ตกใจกลัวเตี่ยมาก 2-3 วันที่ไม่กล้าเข้าใกล้แก แกก็นั่งร้องไห้เพราะแกกลับมาจากโรงพยาบาลบ้านก็ไม่มีน้ำไม่มีไฟ เงินก็ไม่มีติดตัว จนเราก็ไปจับแก แล้วแกก็ดึงไปกอด เค้ากอดเราด้วยความรักและความโหยหา มันคือสัมผัสแห่งความสุข ก็กอดเตี่ยด้วยความสงสาร แล้วเราก็ไปเอาเงินมาให้เค้า 2,000 บาท เป็นเงินที่เราตั้งใจเก็บใส่ลิ้นชักไว้ เอามาต่อชีวิต ไปซื้อสังกะสี ซื้อตะกั่ว เพื่อให้เตี่ยทำบัดกรีต่อ เพราะว่ามันเป็นอาชีพเดียวที่เตี่ยทำได้ แกก็เอามาซื้อถ่าน ซื้อตะกั่ว ซื้อน้ำกรด เอามาทำบัดกรีต่อ แล้วเตี่ยเค้าเป็นคนมีฝีมือ คนก็มาจ้างทำรางน้ำ ทำโน่นทำนี่ ก็พอได้เงินมาใช้”
ไม่อยากเป็นช่างบัดกรี สุดแฮปปี้กับการเป็นช่างเสริมสวย
“ด้วยความที่เตี่ยเป็นช่างบัดกรี เตี่ยก็จะบังคับให้ปีนขึ้นไปทำรางน้ำ แบกรางน้ำ ซึ่งมันไม่ใช่เรา แล้วตอนนั้นเราเห็นเพื่อไปเรียนเสริมสวย เห็นเค้าทำผม เราก็ไปแอบดูเค้า ไปช่วยเค้าทำนั่นทำนี่ แล้วเรามีความรู้สึกว่า อาชีพทำผมมันมีความสุขจัง ก็เลยตั้งเป้ามุ่งมั่นเข้ามาในกรุงเทพเลย พอเข้ามาก็ลำบากนะ เพราะว่ามาอยู่ร้านทำผม อยู่นานเป็นปี ๆ เลย ไม่ได้เงินนะ เราก็ช่วยเก็บกวาดเช็ดถู ทำเล็บ ซักผ้า ล้างเล็บลูกค้า จนเริ่มสระผมนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็เก็บทิปจากลูกค้า สมัยก่อนลูกค้าก็ให้ทิป 10 บาทก็เยอะมากแล้วนะ ถ้าให้ 20 บาทนี่แทบก้มลงไปกราบที่ตัก แต่ตอนนั้นเราเป็นคนไม่ใช้เงิน ก็กินนอนอยู่ในร้าน จนเก็บเงินได้ 4,500 บาท ถือว่าเยอะมากนะในสมัยนั้น เราเลยเอาเงินนั้นไปสมัครเรียนเสริมสวยเกศสยาม”
ได้เรียนโรงเรียนเสริมสวย แต่ต้องประหยัดจนต้องกินของไหว้ศาลพระภูมิ
“ชีวิตตอนเรียนเกศสยามก็หนักมากนะ เพราะช่วงที่เรียนมันจะต้องจ้างหัวหุ่น วันหนึ่งโดยประมาณ 30 บาท มาเป็นแบบแต่งหน้าทำผม แล้วก็ต้องมีเลี้ยงข้าวอีกประมาณ 10 บาท รวม ๆ ก็ต้องใช้เงินวันละ 40 บาท แต่เราไม่มีเงินเลย ไม่มีอะไรกินตอนกลางวัน เวลาไปโรงเรียนเพื่อนออกไปกินข้าวกัน เราก็เดินเตร็ดเตร่ผ่านร้านข้าวแกง ที่เค้าจะมีถังน้ำตั้งไว้ เราก็ไปขอน้ำเค้ากิน แล้วก็กลับไปเรียน พอกลับไปถึงร้านตอนเย็น ข้างหลังร้านก็จะมีศาลพระภูมิที่คนเอาขนมไปไหว้ เราก็ไปเก็บขนมที่ศาลพระภูมิกินทุกวัน จนคนข้างร้านมันบอกเลยว่า เด็กนี่โตขึ้นมาเพราะขนมศาลพระภูมิ คำพูดนั้นมันฝังใจเรามา 50 ปีแล้วนะ
ตอนนั้นร้องไห้บ่อยมาก แต่พอตื่นเช้าขึ้นมามันต้องเข้มแข็ง มันต้องสู้ มันต้องทำ แล้วก่อนจะมาจากเพชรบูรณ์ ฉันก็ไปจุดธูปอยู่ที่แม่น้ำป่าสัก ขอให้ฉันเจริญรุ่งเรือง ขอให้ฉันมีเงิน ขอมีบ้านให้เตี่ยฉันสักหลัง มีเงินให้แม่ฉันกินใช้ แล้วฉันบนว่ามาเอาชีวิตฉันไปเลยนะ ขอให้พ่อกับแม่ได้อยู่ได้กิน เราอยากมีบ้านมาก คนอื่นเค้ามีบ้านกันหมด แต่เราไม่มีบ้านต้องเช่าบ้านอยู่ บางทีเค้ามาเก็บค่าเช่าบ้านแล้วเตี่ยไม่มีให้ เราก็แอบร้องไห้สะเทือนใจ พอมากรุงเทพถามว่าร้องไห้ไหม อ่อนแอไหม บอกเลยว่าอ่อนแอมาก ร้องไห้แต่ไม่เคยร้องไห้ให้ใครเค้ามาดูถูกเหยียดหยาม หรือว่าให้ใครเค้ามาสงสาร เราเป็นกะเทยที่อดทนถ้าไม่มีฉันก็ไม่กิน กล้าพูดเลยว่าในชีวิตไม่เคยขอเงินคน ฉันอดอย่างเสือจริง ๆ นะ แล้วพอเรียนเกศสยามได้เงิน 400 บาท ก็ตัดสินใจกลับไปหาแม่เลย ขึ้นรถเมล์ไปหาแม่ เพราะคิดถึงแม่มาก 10 ปีที่ไม่เจอหน้าแม่เลย ตอนเจอแม่ ตอนนั้นแม่กำลังผัดก๋วยเตี๋ยวขายอยู่ พอแม่เห็นเราแม่ทิ้งกระทะแล้วเข้ามากอดเราเลย แล้วก็ตัดสินใจอยากจะอยู่ช่วยแม่ขายของ ปรากฏว่าศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพไทยญี่ปุ่น เค้าเปิดรับสมัครครูสอนทำผมแต่งหน้าพอดี แล้วปีนั้นผู้ชาย หรือกะเทยที่ทำผมได้ มันไม่ค่อยมี มีแต่ผู้หญิง พอไปสมัคร เราก็เป็นช่างตัดปัตตาเลี่ยนได้ แต่งหน้า ซอยผม เกล้าผม ทำได้หมดก็เลยได้เป็นครูที่นั่น จากเงิน 400 บาท ตอนนั้นเริ่มมีเงินเดือนจากการเป็นครูที่ศูนย์ฝึกอาชีพเดือนละ 4,500 บาท แล้วก็ทำงานอยู่ที่สระแก้วมา 5 ปี”
จากอาชีพครู สู่การเดินทางไกลไปทำงานที่ญี่ปุ่นครั้งแรก
“ตอนเป็นครูอยู่สระแก้ว ตอนนั้นมีเพื่อนคนหนึ่งที่เรียนเกศสยามด้วยกัน เค้าแต่งงานกับคนญี่ปุ่น แล้วก็เปิดร้านที่ญี่ปุ่น ข้างล่างเป็นร้านอาหาร ส่วนชั้น 2 เป็นร้านทำผมแต่งหน้า แล้วเค้าชวนไปทำงานด้วย ซึ่งตอนอยู่สระแก้ว เราผ่อนที่ วันละ 80 บาท เป็นที่ 50 ตารางวา เรากับแม่ช่วยกันผ่อน แล้วก็มีเงินสร้างบ้านเป็นอิฐบล็อก มีบ้านหลังแรกในชีวิต มันก็มีความสุขมาก แต่อยู่หลายปีมันก็ไม่รวย ทีนี้พอมีคนบอกว่าให้ไปทำงานที่ญี่ปุ่น เราก็ไปยื่นวีซ่าแล้วปรากฎว่าวีซ่าผ่าน ก็ตัดสินใจบินไปญี่ปุ่นคนเดียวครั้งแรก พอลงเครื่องที่นาริตะ ก็รู้สึกว่าทำไมบ้านเมืองเค้ามันใหญ่แบบนี้ ฉันจะไปยังไงต่อ ก็ลากกระเป๋าเข้าไปตรงตำรวจ เค้าก็มาเปิดกระเป๋าตรวจตรงนั้นเลย แล้วบังเอิญว่าเหมือนเค้าเอามือล้วงเข้าไปแล้วไปเจอครีมทาผิวเหนียว ๆ เค้าก็ชี้ให้เราไปรอตรงจุดตรวจ แล้วตอนนั้นเพื่อนที่มารับก็รออยู่ประมาณ 4-5 ชั่วโมงแล้ว เค้ากำลังจะกลับอยู่แล้ว เพราะว่าสมัยก่อนมันติดต่ออะไรไม่ได้ เพราะไม่มีโทรศัพท์ จังหวะที่เค้าหันมามองกล้องวงจรปิดแล้วเห็นเรา เค้าก็เลยหยุดรอเรา แล้วพอเดินออกไปเจอเพื่อน เราร้องไห้เลย คิดในใจว่ารอดตายแล้ว
พอไปเจอเพื่อนวันแรกก็ทำงานเลย เราเป็นคนขยันมาก เช็ดถูล้างส้วมแล้วก็เริ่มมีลูกค้าเข้ามา ได้เริ่มเสริมสวยให้ลูกค้า พอทำงานอยู่อาทิตย์เดียวก็รับโทรศัพท์เป็นภาษาญี่ปุ่นได้เลย เพราะเราจะจดเวลามีคนโทรเข้ามา จดว่าคำนี้พูดแบบนี้นะ แล้วด้วยความที่เราชอบบริการ ตอนนั้นได้ทิปวันละประมาณ 3,500 บาท แล้วเรากินข้าวในร้าน กินไข่ต้มกับน้ำปู ไม่เคยออกไปเที่ยวไหนเลยเพราะว่าเราตั้งใจว่า เตี่ยรอฉันก่อนนะ ฉันจะซื้อกับข้าวดี ๆ ให้กิน แม่ต้องรอฉันก่อนนะ ฉันจะซื้อมอเตอร์ไซค์ให้แม่ แล้วความที่เรามุ่งมั่นมาก เราก็เก็บเงินส่งมาให้แม่ แล้วก็ส่งมาให้เตี่ยซื้อบ้านได้ 300,000 กว่าบาท บ้านหลังนั้นยังอยู่เลยนะตอนนี้”
ก้าวแรกสู่วงการบันเทิง
“เราทำงานที่ญี่ปุ่น 2 ปี พอกลับมาเมืองไทย ด้วยความที่เราเป็นศิษย์เกศสยาม ก็มีอาจารย์คนหนึ่งที่เป็นอาจารย์ทำผม ท่านชวนไปทำงานที่บริษัทชิฟูเร่ รุ่นแรกของประเทศไทย เป็นบริษัทเครื่องสำอาง แล้วก็เป็นร้านทำผม แล้วก็เริ่มมีการมาเอาช่างตามไปแต่งหน้าข่าว ไปแต่งหน้าตามปกหนังสือ เริ่มมีหนังสือเรียกเราไปแต่งแฟชั่น แล้วตอนนั้นก็เริ่มมีชื่อเสียง เพราะได้เริ่มไปแต่งหน้าให้พวกดาราใหญ่ ๆ ถ่ายหนังสือ พอเสร็จเราก็เป็นคนรูปร่างสูง ก็เริ่มได้ถ่ายแบบ แล้วก็มีไปเล่นหนังสมัยก่อน เริ่มมาเล่นเป็นพระเอก MV จนเรามีความรู้สึกว่า การอยู่หน้าจอมันสนุก แต่มันได้เงินน้อย เล่นหนังเรื่องหนึ่งได้ 700 บาท
ทีนี้มันอยู่ไม่ไหวมันกดดันมากก็กลับ แล้วหลังจากที่ออกจากวงการตอนนั้นมีเพื่อนคนนึงเค้าแต่งหน้าอยู่ในอาบอบนวด แล้วพ่อของเค้าป่วย เค้าชวนให้เราไปทำงานแทน ไม่อย่างนั้นเค้าจะโดนไล่ออก เราก็เลยไปแทนเค้า ไปแทนเค้าวันแรกได้ทิป 4,000 – 5,000 บาท ก็ตกใจว่าทำไมได้เยอะขนาดนี้ ไปแทนเค้าอาทิตย์เดียวเหมือนทำงานครึ่งปี ก็เลยพยายามหาทางไปเป็นช่างเสริมสวยในอาบอบนวด จนกระทั่งมีเงินเลี้ยงพี่เลี้ยงน้องเลี้ยงลูกหลานได้ แล้วช่วงนี้เตี่ยตายด้วย ลูกหลานก็เลยไหลเข้ามาอยู่ในกรุงเทพหมด ตอนไปแต่งหน้าอาบอวบนวดก็มีเงินส่งเสียลูกหลานเรียนหนังสือ 10 คน แล้วความที่เราเป็นคนที่ไม่ใช้เงิน ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่ซื้อแบรนด์เนม ไม่สุรุ่ยสุร่าย ตอนนั้นก็มีเงินอยู่ประมาณ 2-3 แสน”
ขายตึกพลิกชีวิตให้มีเงินล้านในบัญชี
“ตอนนั้นมีคนรู้จักชื่อน้องแมว เค้าก็มาบอกว่าพี่อ้วนตึกหลังนี้สวยไปดูไหม เราก็ไปดูปรากฎว่าคงไม่มีปัญญาซื้อ เพราะมันคือตึกแบบยกแท่นขึ้นไปเลย 5 ชั้น แล้วมีลิฟท์อยู่ในบ้าน ตึกนี้อยู่ตรงหลังการบินไทย เราก็ถามว่าตึกนี้ขายเท่าไหร่ เค้าบอกว่า 6.5 ล้าน เราเลยคิดว่าจะเอาเงินจากตรงไหน เค้าก็บอกว่าพี่อ้วนตอนนี้เค้ายื่นกู้แบงค์กันแล้ว เราก็ไปทำเรื่องยื่นกู้ จนแบงค์อนุมัติให้ นายอนันต์ เสมาทอง กู้ 7.5 ล้าน ตอนนั้นเป็นหนี้ 7.5 ล้าน แต่ได้ตึกมาหลังหนึ่ง แล้วด้วยความที่เรามีเลือดนักสู้ เราก็อยากเปิดร้านขายกระเป๋า ขายรองเท้า ขายน้ำหอม เปิดร้านทำผม ขายเสื้อผ้าอยู่ตรงนั้น ก็ทำห้องขึ้นมาแล้วก็ตกแต่งจนเสร็จ แต่ไม่มีคนมาขอซื้อสักที เราก็เลยเอาป้ายไปแปะขาย ปรากฏว่าอาทิตย์เดียวมีคนเข้ามาขอซื้อ 15 ล้าน พอขายตึกหลังนั้น เราก็มีเงินในบัญชี 7.5 ล้าน ตอนนั้นเราเอาสมุดบัญชีมานอนกอดแล้วร้องไห้อยู่ 3-4 วัน ต่อไปนี้ฉันจะไม่จนอีกแล้ว ชีวิตฉันจะไม่ลำบากอีกแล้ว พ่อแม่พี่น้องลูกหลานฉันต้องมีกิน มีเงินไปโรงเรียน ไม่ต้องมองคนไปโรงเรียนแล้วร้องไห้เหมือนเราอีกแล้ว
หลังจากนั้นเราก็เดินมาที่ซอยนาทอง เจอห้องหนึ่งที่พ่นสีไว้ว่าขาย เราเลยอยากซื้อ ตอนนั้นราคา 3.4 ล้าน เป็นตึกสองคูหา เราก็ไปนั่งนับเลยว่าวันหนึ่งมีรถผ่านไปผ่านมากี่คัน คนเดินกี่คน เราก็เห็นคนผ่านไปผ่านมาเยอะ ก็เลยซื้อตึกนั้น และคิดว่าจะทำเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยว ขายข้าวแกง เวลาลูกหลานมาอยู่ด้วย ก่อนไปโรงเรียนจะได้กิน พอซื้อเสร็จก็ยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง เพราะเราต้องวิ่งงานเหมือนเดิม ก็เลยไปทำตู้กระจกขึ้นมา รับเสื้อผ้า รับน้ำหอม กระเป๋า รองเท้ามาวางขาย แล้วขายดี ก็ตัดสินใจทำแบรนด์เองดีกว่า กลายเป็นแบรนด์ อ้วน รีเทิร์น ตั้งแต่วันนั้น”
เปิดที่มาของฉายา “กะเทย 100 ล้าน คนแรกในประเทศไทย”
“แบรนด์ อ้วน รีเทิร์น เราทำเครื่องสำอาง ตอนแรกที่อยากมีแบรนด์ก็คิดว่าถ้าเราเปิดเอง ทำเอง จะต้องทำยังไง ก็หาโรงงานทำครีมตั้งแต่ตอนนั้น พอเริ่มจำหน่ายก็มียอดสั่ง 5,000 กระปุก ซึ่งมันหนักมาก เราขับรถไปถึงเชียงใหม่ ไปอีสาน กลาง ใต้ เพื่อคุยกับลูกค้า จนกระทั่งเครื่องสำอางขายได้ แล้วก็ทำโฆษณาเป็นรุ่นบุกเบิกของไทยรัฐ ช่องเริงรมย์มณี ที่ทุกคนเห็นในประเทศไทย แล้วก็ไปลงหนังสือคู่สร้างคู่สม ของ พี่ยอด ดำรง พุฒตาล แล้วก็ไปลงทีวีพูล ของพี่ติ๋ม ทีวีพูล ลงโฆษณาเล่มหนึ่งขายได้ 7-8 หลัก จนกระทั่งกลายเป็นเครื่องสำอางดัง ใครก็ต้องใช้ ตอนนั้นก็เริ่มมีรายการทีวีติดต่อเข้ามาเยอะมาก มีละครติดต่อเข้ามา มีหนังติดต่อเข้ามา ได้ไปออกรายการสุริวิภา ซึ่ง พี่แหม่ม สุริวิภา เค้าพูดดันว่านี่คือ กะเทยร้อยล้านคนแรกของประเทศไทย ก็เลยกลายเป็นกะเทยที่ดัง เป็นกะเทยคนแรกที่ขายของถล่มทลายจนทั่วประเทศรู้จัก”
ถ้าอยากเป็นนกอินทรี ต้องไม่ตีกับนกกระจอก
“ความเป็น LGBTQ+ ไม่เคยมีผลกับการทำงาน ถ้าอยากจะเป็นนกอินทรี ฉันจะไม่ตีกับนกกระจอก ฉันจะไม่คุยอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น กับเรื่องที่มันไร้สาระในชีวิต พอเริ่มเป็นที่รู้จัก ก็ได้สัมภาษณ์หนังสือเล่มใหญ่ ๆ ในประเทศ เป็นกะเทยที่แหวกแนวที่สุด จนทุกคนในประเทศสงสัยว่ากะเทยคนนี้เป็นใคร ทำไมรายการทีวีทุกรายการเราได้ออกหมด ตอนนั้นเราออกทุกรายการ ได้เข้ามาในวงการบันเทิงอีกครั้ง มีหนังใหญ่เรื่องหนึ่งตั้งแต่ พี่โจอี้ บอย เป็นเด็กวัยรุ่นเรื่องนั้น พี่โจอี้ บอย เป็นพระเอก เค้าก็มาเชิญเราไปเล่นเรื่องนี้ด้วย ก็ลองไปเล่นดู ปรากฎว่ามันก็สนุกดี เราก็เล่นตั้งแต่ตอนนั้น จนกระทั่งปัจจุบันนี้”
เปิดหัวใจ ส่องรักต่างวัย ของ อ้วน รีเทิร์น
“หมอย้ง เราขอใช้คำว่ารักแรกพบ แล้วเราก็แก่กว่าเค้า 20 กว่าปี ไปเจอเค้าครั้งแรกหัวใจมันสั่นระรัวไปหมด คือตอนนั้นเราไปขายที่ที่พัทยา แล้วพ่อของเค้าเป็นนายทุนซื้อที่ ระหว่างคุยกันหมอย้งก็เดินเข้ามา ตอนนั้นเราปากสั่นจนพูดไม่เป็นคำ เหมือนสมองมันชา แล้วสุดท้ายหมอย้งบอกว่า เดี๋ยวผมพาไปกินข้าว เราก็คิดว่าเค้าต้องมีใจแน่เลย จนพอได้มาคบกัน เค้าบอกว่าวันนั้นเค้าไม่ได้คิดอะไรกับเรานะ เค้าก็คือเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เค้าไม่ได้คิดอะไรกับเราเลย ที่จับมือคือเค้ากลัวเราล้ม แต่เรามีความรู้สึกว่าเรารักเค้า หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์เราโทรไปบอกเลยว่าฉันรักเธอนะ ฉันไม่ได้รักแบบผู้ใหญ่กับเด็กนะ ฉันรักแบบผัวเมีย แบบผู้หญิงรักผู้ชาย
เราไปทำของใส่เค้าด้วยนะ หาวันเดือนปีเกิดแล้วไปให้อาจารย์ท่านหนึ่งทำพิธีเร่งให้เค้ามาหาเราเร็ว ๆ ซึ่งเค้ารู้นะ เราก็ถามว่าเอาออกไหม เค้าบอกว่าไม่ต้อง เค้ามีความสุขอยู่แล้ว เค้าเป็นคนไม่ค่อยเชื่อ
เค้าไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวเราตลอด 1 ปี จนเราร้องไห้ เค้าก็สุภาพ จนเราคิดว่านี่เรารักเค้าข้างเดียวเหรอ พอเห็นเราร้องไห้เค้าก็ตกใจว่าเป็นไร เราก็บอกว่า เธอไม่รักฉันเหรอ ทำไมเธอไม่โดนตัวฉัน ทำไมเธอไม่จับมือฉัน แก้มฉันมันไม่สวยเหรอ เค้าก็บอกว่าไม่ใช่อย่างงั้น เค้าทำไม่เป็น ไม่รู้จะทำยังไง เริ่มต้นยังไง หลังจากนั้นเราก็สอนหนูให้รู้จักรัก เริ่มสร้างความเคยชินในการแสดงออกเรื่องความรัก แล้วก็บอกรักกัน ตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งวันนี้ ยังไม่มีวันไหน วาเลนไทน์ไหน ที่เค้าไม่บอกรักเรา หรือเอาของขวัญมาให้เรา แล้วตั้งแต่รู้จักกันมา ยังไม่มีปีไหนที่เค้าไม่ให้เงินเราไปเที่ยว
ทุกคนก็ถามว่าทำไมหมอย้งรักพี่อ้วนมากมาย หมอย้งเค้าบอกว่า เค้าจะดูแลเราไปตลอดชีวิต ถ้าเกิดว่าเปรียบเทียบว่าเค้ารักเราขนาดไหน เค้าบอกว่าเค้ารักเราเท่าแม่เค้าเลย แล้วไม่ต้องกลัว เค้าจะเป็นคนดูแลเราเองจนหมดลมหายใจ แล้วพ่อแม่ของเค้าก็รักเราด้วย”
สายน้ำมันไม่ไหลกลับ ถ้ามีโอกาสต้องทำให้เต็มที่
“สิ่งที่ทำให้เรามีทุกวันนี้ คือ ขยัน อดออม พี่อ้วนจะพูดเสมอว่า เวลาเราจน เรานอนมันไม่หายจน แต่ถ้าเราไปทำงานเหนื่อย ๆ กลับมานอนเราหายเหนื่อย แล้วเราก็คิดเสมอว่า สายน้ำมันไม่ไหลกลับ ถ้าทำอะไรแล้วเราไม่เต็มที่กับมัน ผ่านไปวินาทีเดียว มันคืออดีตที่แก้ไขไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นทุกงานที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เราจะเป็นคนทำเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วก็ไม่เคยเหนื่อยกับงาน เพราะว่าเราคิดถึงเม็ดงานมากกว่าเม็ดเงินเสมอ
แล้วที่ทุกคนเห็นว่า ทำไมพี่อ้วนไม่ติดแบรนด์เนม ไม่กินไม่เที่ยวกับคนอื่น คือมันมีเหตุผลนะ เพราะว่าตอนซื้อตึกซื้อบ้าน เราเป็นหนี้อยู่หลายสิบล้าน แล้วเราก็ไม่เที่ยว ไม่ซื้อแบรนด์เนม ไม่ออกไปสังสรรค์ ทำงานเสร็จกลับบ้านเพื่อใช้หนี้ก้อนนี้ให้มันหมด เราไม่อยากพลาดอีกแล้วในชีวิต ถ้าเกิดเราพลาดมันอาจจะล้มเป็นโดมิโน่ ถ้าเรามัวใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ เราไม่พร้อมจะสโลว์ไลฟ์ เราจะทำแบบนี้ก็ต่อเมื่อฉันตายไปแล้ว ไปนอนสบายอยู่ในหลุม ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาทำแบบนั้น เวลาของฉันคือสร้างตัว เพราะฉันจะต้องจนเป็นคนสุดท้ายของครอบครัวเท่านั้น”
ความสุขของเรา คือการเห็นครอบครัวมีความสุข
“ทุกวันนี้ความสุขของเรา คือการเห็นคนในครอบครัวมีความสุข เราอยากให้ลูกหลานประสบความสำเร็จ เลี้ยงแม่ให้มีความสุข ถ้าเกิดเค้ามีความสุข นั่นหมายถึงสิ่งที่เราทำงานมาตลอดชีวิต มันคุ้มค่าแล้ว มันเป็นสิ่งที่เราเลือกแล้ว และมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง” – อ้วน รีเทิร์น
พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์
ดูรายการย้อนหลัง