“ดวงชะตาคือสิ่งที่เรากำหนดเองว่าวันนี้หรือพรุ่งนี้เราจะทำอะไร สิ่งนี้ขโมยกันไม่ได้ กรรมคือการกระทำ ทำอย่างไรมันก็ต้องมีผล เพราะเรามีหน้าที่สร้างเหตุ แล้วผลมันเป็นอย่างไร มันมีปัจจัยอะไรที่ทำให้มันเปลี่ยนก็ค่อยว่ากันไป ทุกอย่างมันอธิบายได้”
เรียนรู้วิธีคิด ผ่านชีวิตของแขกรับเชิญในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับ “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ” เจ้าของเพจ งมงายสไตล์หมอบี ผู้ที่คอยนำเสนอเรื่องราวดี ๆ ในเชิงธรรมะให้คนเข้าใจและเข้าถึงได้ง่าย พร้อมดำรงตนอยู่บนความไม่งมงาย และยังอุทิศตนเป็นทูตธรรมแห่งวัดพระบาทน้ำพุ โดยในรายการได้มีการถามตอบข้อสงสัยให้ได้เห็นมุมมองแนวคิดในเรื่อง วิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์ ผี กับความเป็น LGBTQ+ ไว้อีกด้วย
ย้อนวันที่คนเริ่มรู้จัก หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ
“ผมเป็น หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ มาน่าจะ 10 ปีแล้ว และยังคงพูดเสมอว่า ทุกอย่างมันต้องมีเหตุ มีผล มีปัจจัย ไม่ใช่เราอ้างขึ้นมามั่ว ๆ อะไรที่มันพิสูจน์ไม่ได้เลย ผมก็จะไม่บอกให้คนเชื่อ และเราไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความเชื่อใด ๆ ทั้งสิ้น
เมื่อก่อนเราเป็นที่รู้จักจากการไปออกรายการนี่แหละ ครั้งแรก ๆ ก็คือมาตึกแกรมมี่นี่แหละ มาเข้ารายการสด แล้วเราก็พูดทักตามที่เราเห็นจนมันตรงแล้วมันเกิดไวรัล ซึ่งผมมองว่าทุกวันนี้ มันสะท้อนให้เห็นถึงสังคมอ่อนแอ คนไม่มีที่พึ่ง แล้วก็ไปพึ่งอะไรสักอย่างที่สามารถให้คำตอบเร็ว ๆ แต่ไม่เข้าใจตรรกะ ไม่เข้าใจเหตุผล ไม่เข้าใจเรื่องเหตุปัจจัย ก็เลยไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว มนุษย์อยากได้อะไร ซึ่งการจะทำอะไร มันต้องมีเหตุปัจจัยของมัน ไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ พูดขึ้นมาว่าอยากได้อะไร แล้วไปไหว้ ๆ ไปขอ ๆ แล้วสำเร็จเลย สมหวังตอนนั้นเลย แบบนั้นมันทำไม่ได้”
หมอบี กับการสื่อสารกับวิญญาณ
“คำว่า ทูตสื่อวิญญาณ มันเกิดจากพี่คนหนึ่งตั้งชื่อให้ครับ เหมือนตั้งชื่อให้มันดูเท่ห์เฉย ๆ ส่วนคำว่าวิญญาณในความหมายของผม วิญญาณ คือ 1 ในขันธ์ 5 ซึ่งประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่ง วิญญาณ แปลว่า การรับรู้ความรู้สึก เช่น รู้สึกว่าหิว รู้สึกว่าง่วง นั่นแหละคือวิญญาณ
ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองมีคนอื่นเค้าเรียกว่าเซ้นส์รึเปล่า แต่เราเจออะไรก็พูดไปตามนั้น หลายคนก็จะให้ผมทักเค้าว่ามีอะไรอยู่รอบตัวรึเปล่า แต่เราจะทักก็ต่อเมื่อมันมีผลจริง ๆ ถ้าบอกแล้วต้องเป็นสิ่งที่มันไม่เกินกรรม บอกแล้วสามารถนำพาเค้าให้เปลี่ยน พัฒนา หรือปรับปรุงได้ แล้วทำให้เค้าดีขึ้น หรือถ้ารู้สึกว่าจะทำให้สิ่งไม่ดีที่จะเกิดขึ้น แต่ถ้าเราทักแล้วมันจะไม่เกิด ถ้ามันไม่เกินไป เราก็จะบอก
ตั้งแต่เด็ก ๆ เราก็เข้าใจว่าทุกคนก็คงเห็นเหมือนเรา ซึ่งเวลาเจอหน้าเพื่อนผมชอบทักประมาณว่าเดี๋ยวช่วงนี้ คุณจะต้องเจอเรื่องผิดปกติแบบนี้นะ ซึ่งตอนนั้นเพื่อนก็ไม่เชื่อ แต่พอถึงเวลา เค้าก็เจอเหตุการณ์นั้นจริง ๆ เหมือนกับว่าอยู่ดี ๆ ทำไมฉันเห็นความตาย เห็นผี เห็นสิ่งลี้ลับ แล้วเค้าก็จะมาบอกกับเรา และถามเราว่าต้องทำยังไงดี บางคนเค้าก็จะคิดว่าเค้าบ้า
คนที่บ้านรู้ครับว่าเราสัมผัสได้ เค้ารู้มาตั้งแต่เราเด็ก แต่เค้าก็พยายามไม่ได้ให้ค่า แต่พอโตขึ้นเค้าก็พยายามเช็คอยู่ว่าสิ่งที่เราทำมันต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ต้องไม่นำพาผู้คนไปในทางที่ไม่ดี แค่นี้เค้าก็สามารถภูมิใจในการที่ลูกมีสัมผัสแปลก ๆ ได้ มันก็โอเคแล้ว
หลายคนก็จะถามว่าสื่อสารกับผี ต้องใช้ภาษาอะไร ต้องบอกว่าไม่เกี่ยวครับ มันคือใจของเรา ในบางทีถ้าเรารักกันเรามีความปรารถนาดีต่อกัน เรายิ้มแย้มต่อกัน ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้ภาษาพูดเลย แต่เรารับรู้ความต้องการสิ่งที่จะสื่อสารได้ เวลาสื่อสารกับผีก็ใช้หลักการเดียวกันแหละครับ”
โลกใบนี้มีผีจริงไหม?
“มันขึ้นอยู่กับว่า เรานิยามคำว่าผีว่าอะไร ถ้าเราบอกว่าเราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง พอตายปุ๊บ วิญญาณลอยขึ้นไปเป็นเหมือนผีแคสเปอร์ แล้วก็คอยทำโน่นทำนี่ อันนี้ไม่จริง ตามหลักจริง ๆ คือ เวลามนุษย์เสียชีวิตจะไปทันทีเลย ไม่มีสภาวะกลาง ๆ ถามว่าไปไหนคือ ไปที่ชอบที่ชอบ ตอนมีชีวิตอยู่เค้าทำตัวอย่างไร ตายแล้วเค้าต้องเป็นอย่างนั้น ไม่สามารถจะไปยัดเยียดคุณงามความดีให้ได้ หลายคนคิดว่าเวลาคนจะตายต้องให้จิตคิดแต่เรื่องดี ๆ ซึ่งในความเป็นจริงมันทำไม่ได้ ถ้าคนมันชั่วมาทั้งชีวิต อยู่ดี ๆ ตอนตายจะมาให้คิดดี มันคิดไม่ได้ ส่วนคนที่คิดดีมาตลอด เวลามีชีวิตมีบุญกุศลตลอดเวลา ช่วยเหลือผู้อื่นตลอดเวลา พอจะตายบอกให้คิดเรื่องแย่ ๆ ให้เห็นแก่ตัว มันก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นคุณต้องประกอบด้วยคุณงามความดีมาแต่แรกอยู่แล้ว มันไม่มีใครช่วยเอาบุญไปยัดใส่มือใครอีกคนได้
ถามว่าไปไหนต่อ เช่น เค้าอยากจะกลับมาฝึกฝนเรียนรู้ เพื่อเป็นมนุษย์อีกครั้ง เพื่อที่จะได้พัฒนาตัวเอง เรียนรู้ ชีวิตต้องดีขึ้น แย่ลง เพราะอะไร เหตุปัจจัยคืออะไร เค้าก็จะได้เป็นมนุษย์อีกครั้ง ซึ่งเป็นภพภูมิที่ประเสริฐที่สุด แต่สมมติว่าเค้าเสพแต่ความสุข จิตใจอยู่ในสมาธิอย่างเดียว อิ่มเอมอย่างเดียวไม่รับรู้เรื่องอะไร ก็จะกลายเป็นเทพเป็นพรหม ส่วนคนทำชั่วตลอดก็อย่างที่เราเรียนรู้ว่าไปนรกก็ว่าไป เพราะฉะนั้นเสวยความสุขเยอะ ๆ เพราะทำความสุขมาเยอะก็ไปเสวยความสุข ทำความทุกข์มาเยอะ จิตใจก็เสวยความทุกข์ ก็แค่นั้นครับ
จริง ๆ แล้ว ถ้าเราคิดไม่ออกว่า ผี มันคืออะไร ให้นึกถึงเวลาเราโกรธใครมาก ๆ อาฆาตแค้นใครมาก ๆ จิตใจเราจะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งนั้น บางทีกินไม่ได้นอนไม่หลับ สมมติว่าร่างกายมันเน่าเปื่อยสลาย แต่จิตใจมันยังอบอวลไปด้วยความรู้สึกเคียดแค้น สภาพความยึดติดนั่นแหละเค้าเรียกว่าผี ส่วนมันจะไปอยู่ในรูปร่างรูปแบบไหนก็อีกเรื่องนึง
โดยธรรมชาติเราไม่ต้องไปบอกว่าเธอต้องไปสักที ไม่ต้องยึดแน่น เพราะว่าไม่มีใครในโลกนี้มีสิทธิ์ที่จะอยู่ต่ออยู่แล้ว เพราะทุกคนไม่อยากตาย แต่เวลาตายเสร็จแล้ว เราจะมาบอกว่าฉันไม่ไป ฉันจะอยู่ต่อเพราะฉันห่วงลูก ฉันห่วงเมีย ฉันห่วงที่ดิน ฉันไม่อยากไปไม่ได้ ถ้าทุกคนมีสิทธิ์แบบนี้หมด โลกมันต้องรกรุงรังเต็มไปด้วยผี ทุกคนไปมันก็ต้องไปด้วยเหตุปัจจัย ก็ต้องไปทันทีแบบที่เค้าเรียกว่า จุติ เพราะ จุติ แปลว่า ตาย แล้วไปปฏิสนธิเป็นสิ่งอื่นใหม่ทันทีเลย ไม่มีทางที่จะมีสภาวะกลาง ๆ การเสียชีวิตก็เป็นปกติ คำว่า เสียชีวิตปกติ แปลว่ารู้ตัว คนที่เสียชีวิตแล้วเป็นปกติ ก็จะไม่ยึดติดอะไร นอกจากคนเสียชีวิตไม่ปกติ เช่น ฆ่าตัวตาย หรือ เกิดอุบัติเหตุ ที่ภาษาไทยเค้าเรียกตายโหง ตายไม่รู้ตัว อันนี้น่ากลัว เราต้องไปทำอะไรสักอย่างเพื่อกระตุ้นให้รู้ตัวว่าเค้ากำลังทำอะไรอยู่
เวลาสื่อสารกับผี ส่วนมากผมก็คุยปกตินี่แหละ มีครั้งหนึ่งผมไปทางภาคใต้ แล้วศาสนาหนึ่ง เค้าก็มีความเชื่อว่า เพราะเค้าทำตัวไม่ดี เค้าก็เลยถูกฝังไว้ที่นั่น ไปไหนไม่ได้ ก็ยึดติดอยู่ตรงนั้น พอเราไปเห็นก็เลยงงว่าทำอะไรกัน ผีก็บอกว่าเค้าไปไหนไม่ได้ เราเลยบอกว่าไปได้สิ คุณอยู่เกาะนี้ใช่ไหม ไหนคุณลองไปเกาะโน้นสิ ลองกระโดดไป 1 ครั้ง แล้วพอเค้ากระโดดไปได้ เค้าก็งงว่า ตัวเองทำอะไรอยู่นี่มาทำไมตั้งนาน พอเค้ารู้ว่าจริง ๆ ไม่ได้ติดอะไร เค้าก็ไป
ส่วนผีจะขอให้เราไปเคลียร์กับคนไหม มีครับแต่น้อย อย่างที่บอกว่าผีคือความยึดติด และเขาจะไม่ยึดกับเรา เขาจะไปยึดติดกับสามีของเขา เพราะฉะนั้น เค้าอยากจะไปคุย ไปเคลียร์ มันไม่เกี่ยวไรกับเรา มันเลยค่อนข้างยากที่เค้าจะมาบอกว่าช่วยหน่อย ส่วนใหญ่ต่อให้มี เราก็จะบอกว่า มันไม่ใช่เรื่องของคุณเพราะคุณไปแล้ว มันอยู่คนละโลกกัน คุณจะมาทำแบบนี้ไม่ได้
ผีพวกนี้ต้องทำความเข้าใจ เหมือนมันมีคลาสที่หมายถึง วิธีการ หรือ สิ่งในการยึดติดในจิตใจมันต่างกัน เช่นบางคนโกรธเกลียดเคียดแค้น บางคนละโมภโลภมาก บางคนมีความหลงงมงายมันคนละเรื่องกัน เหมือนบ้านเรา หรือคอนโดเราอยู่ด้วยกัน เรายังไม่รู้จักห้องข้าง ๆ เลย มันเลยไม่ได้แปลว่าผีทุกตัวจะต้องมาเจอกัน หรืออยู่ในยูนิเวิร์สเดียวกัน มันก็ไม่ใช่ครับ
ถามว่าการไปช่วยสื่อสารกับผี เป็นการท้าทายระบบไหม ต้องบอกว่าแต่ก่อนผมเป็นแบบนั้น นิสัยไม่ดี บางทีเราไปจัดการบางเรื่องแล้วเหมือนไปบิดเรื่องราวที่มันไม่ควรจะเป็น แต่ท้ายที่สุดแล้ว กรรมใครกรรมมัน โยกไม่ได้ กรรมคือการกระทำ แล้วใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น เหมือนบุญบาป แต่ความลำบากเดือดเนื้อร้อนใจที่เราดันไปทำให้ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่มันไม่ควรจะเป็น ความลำบากใจมันก็จะเป็นบาป หรือความไม่สบายใจที่เกิดขึ้นกับเรา เค้าเรียกว่ามันเป็นการสร้างบาปอันใหม่ขึ้นมา แต่อย่าไปโยงว่า เป็นการเอาบาปของเค้า มาใส่ให้เรา อันนี้ไม่ถูกครับ
แล้วบุญคืออะไร สร้างอย่างไร บุญคือความสบายใจ สบายใจแปลว่าไม่หวงหน้าพะวงหลัง ทำอะไรแล้วมันก็เคลียร์ โล่ง โปร่ง สบาย นี่คือบุญ แล้วบุญมันทำง่ายมาก เช่น ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เวลามีอุทกภัยน้ำท่วม มีน้ำจิตน้ำใจ นั่นคือการทำหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ ทำแล้วก็โล่ง โปร่ง สบาย บุญเกิดได้กับเรื่องแค่นี้เอง ทำหน้าที่ของตัวเองให้ถึงพร้อม หน้าที่เป็นพ่อ หน้าที่เป็นแม่ หน้าที่เป็นลูก หน้าที่เป็นสามี หน้าที่เป็นภรรยา ถ้ามันทำถูกต้องตามหน้าที่ของตัวเองจะสบายใจ เกิดแต่เรื่องดี ๆ นี่แหละบุญ อย่างการเข้าวัดมันก็เรื่องดี แต่เข้าไปทำอะไร ไปไหว้แล้วก็ขอนั่นนี่เยอะมาก แล้วมันสบายใจตรงไหน พอมันไม่สบายใจ แล้วคุณจะเอาบุญจากไหน มันไม่มีทางได้บุญ”
การเป็น LGBTQ+ เกี่ยวกับบุญบาปหรือไม่?
“เราจะเป็นเพศไหนเราก็เป็นคนเหมือนกันหมด เรามีความสุข ความทุกข์ มีความอยากได้ มีความเสียใจ แล้วมันต่างกันตรงไหน การที่เรามีความรัก มีความปรารถนาดี แล้วอยากให้คนอื่นมีความสุข อยากได้คน ๆ นั้นมาอยู่ข้าง ๆ แล้วมีความสุข มันเกี่ยวอะไรกับเพศ เพราะฉะนั้นอย่ามาอ้างว่ามันเป็นเรื่องบุญเรื่องบาป
แต่การยึดติด และพยายามจะบอกว่า ฉันเป็นอย่างงี้ มีสิทธิ์อย่างงั้น พอยึดติดแล้วมันทุกข์ การกอดความทุกข์เอาไว้มันเป็นบาป เพราะบาปคือความไม่สบายใจ ดังนั้นมันไม่ได้เกี่ยวกับว่าคุณเป็นเพศอะไร หรือระบุว่าตัวเองเป็นเพศอะไร แต่ต้องทำความเข้าใจ และยอมรับตามความเป็นจริงให้ได้ว่า ก็ฉันเป็นเพศนี้ ฉันมีความรักกับคนนี้ เท่านั้นพอ
ส่วนใครเป็นเพศไหน ถ้าเป็นผีก็จะมีเพศสภาพแบบนั้น เพราะเราก็แสดงออกตามสิ่งที่เราจำได้ จากที่เราเคยส่องกระจกว่า เราเป็นอย่างนี้นะ ก็จะแสดงให้คนอื่นเห็นแบบนั้นเช่นกัน”
ทำไมเดือนตุลาคม ถึงมักมีเรื่องไม่ดี?
“มันเป็นปกติครับ ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติว่า การเกิด การตาย เป็นปกติ การตกทุกข์ได้ยาก การพลัดพรากสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักเป็นปกติที่ทุกวันก็มี แต่เราให้คุณค่ามันกับมันจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต แต่สุดท้ายแล้วเราจะเห็นความน่ากลัวของการเกิด การเกิดน่ากลัว ความตายไม่น่ากลัว และการเกิดเป็นมนุษย์น่ากลัวที่สุด เพราะมันต้องเกิดเรื่องราวต่าง ๆ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็เจ็บไข้ได้ป่วย พลัดพรากบุคคลอันเป็นที่รัก สุดท้ายก็ต้องตาย ซึ่งมันคำนวณไม่ได้
เรื่องภัยธรรมชาติ ผมก็พูดบ่อย ซึ่งมันไม่ได้เป็นเรื่องพิสดาร ไม่ใช่เรื่องดวง มันเป็นเรื่องปกติ แต่มันเป็นธรรมชาติที่คำนวณได้ มันมีเหตุปัจจัยทางธรรมชาติที่คุมได้ก็มี คุมไม่ได้ก็มี แล้วสิ่งที่คุมได้ ทำไมไม่คุม ทำไมไม่ช่วยลดเหตุปัจจัยให้มันแย่น้อยลง เราต้องเข้าใจในบริบททั้งหมด อย่าไปโทษธรรมชาติอย่างเดียว อย่างเรื่องน้ำท่วม เดี๋ยวมันแย่แน่นอน แล้วมันก็จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก เรื่องนี้มันควบคุมได้ หากสามารถบริหารจัดการน้ำให้มันดีขึ้นกว่านี้”
ขโมยดวงสามารถทำได้จริงไหม?
“ขโมยจากไหนครับ ถ้าเราเข้าใจดวงก่อน ว่าดวงมันคืออะไรสักอย่างที่เป็นการเคลื่อนที่เคลื่อนย้ายจากเรา เป็นสิ่งที่บอกว่าอนาคตจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ พรุ่งนี้จะเป็นยังไง ในอดีตเคยเป็นแบบไหนมาก่อน ถามว่าสิ่งนี้ใครจะมาขโมยเราได้ด้วยเหรอ พรุ่งนี้จะกินข้าวกับอะไร ขโมยได้ด้วยเหรอครับ เรากินมากกินน้อย อิ่มแล้วอยากผอม อยากอ้วน อร่อยมาก อร่อยน้อย เราก็ตัดสินใจเอง แล้วคนอื่นเค้าขโมยได้ด้วยเหรอ แค่คิดก็ไม่มีอะไรที่มันจะมาสนับสนุนเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
ถ้าเราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แล้วเรามีความเข้าใจ เราจะรู้สึกเลยว่า ทำไมเราต้องมาพึ่งอะไรกับเรื่องพวกนี้ด้วย ดูดวง สะเดาะเคราะห์ ถามว่าเคราะห์มันสะเดาะยังไง กุญแจที่ใช้สะเดาะคือยังไง หลายคนรับขันธ์ ยังไม่รู้เลยว่าขันธ์ไหน คนชอบอ้างว่างเรื่องพวกนี้ทำแล้วสบายใจ ไม่เดือดร้อนใคร เราไม่คิดเหรอว่าจริง ๆ แล้ว การกระทำของเรา หรือผลที่มันเกิดจากทุกวันนี้ สมมติว่าเราอ้วน เราไปสะเดาะเคราะห์ แล้วเราหายอ้วนไหม ถ้าเราเข้าใจเรื่องธรรมชาติ ว่ากรรมคือการกระทำ ทำอย่างไรมันก็ต้องมีผลมากน้อยว่ากันไป เพราะเรามีหน้าที่สร้างเหตุ แล้วผลจะเป็นยังไง มันมีปัจจัยอะไรบางอย่างมาทำให้มันเปลี่ยนแปลงก็ว่ากัน ถ้าชีวิตมันแย่มาก ๆ อยากจะมีชีวิตที่ดีก็เปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนคำพูด รักษาความเป็นปกติของมนุษย์ ชีวิตมันก็เปลี่ยนแปลง มันก็ดีขึ้นได้ มนุษย์ไม่ได้พูดได้ตั้งแต่เกิด ธรรมชาติของมนุษย์คือ เกิดมา ศึกษา เรียนรู้ มีคนสอน เริ่มเดินเป็น แล้วถึงค่อย ๆ พูด ความเป็นมนุษย์มีแค่นี้ ไม่มีใครมาดลบันดาล มาเสกแล้วโรคหายเลย เคยทำอะไรไม่ดีมาเอาน้ำมนต์ใส่แล้วหาย หรือไปลอดโน่นลอดนี่ นอนในโลงศพแล้วหาย มันไม่ใช่ ทุกอย่างมันมีอุบาย และมันมีเหตุผลของมัน การไปนอนในโลง ก็เพื่อให้เราระลึกว่าสุดท้ายคุณตายแล้ว คุณเอาอะไรไปไม่ได้เลย คุณต้องไปอยู่ในโลงเล็ก ๆ คุณจะยากดีมีจนแค่ไหนก็ตาม คุณทำอะไรมาก็ตาม สุดท้ายเอาอะไรไปไม่ได้เลย พอเราระลึกถึงความตายได้ ก็จะเกิดความไม่ประมาท มีสติรู้ตัว แล้วมันเกิดการพัฒนาในชีวิต เหตุผลมีแค่นี้”
ถ้ารู้ว่าดวงจะเป็นยังไง เราสามารถแก้ดวงได้ไหม?
“ต่อให้คน ๆ นั้นดูดวงแม่นมาก รู้ทุกอย่าง สมมติผมก็ได้ ผมไปรู้เรื่องราวมากมาย คำถามคือ รู้แล้วยังไงต่อ ต้องไปซื้อคอร์สนะ ต้องทำพิธีนะ แบบนี้เหรอ แล้วทำไมเราต้องทำอะไรอย่างงั้นด้วย ซึ่งถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ เราก็จะตกเป็นเหยื่อแบบนี้เรื่อยไป
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยการกระทำของเราล้วน ๆ ไม่มีเรื่องพวกนั้นหรอก แต่เวลาเราไปให้คุณค่า ก็จะหมกมุ่นเรื่อย ๆ แล้วสิ่งนั้นจากไม่มี มันก็เลยมี เพราะเราไปให้คุณค่ามัน จากที่ทุกอย่างเป็นปกติ พอมีคนให้บางสิ่งมาบูชา สิ่งนั้นก็เลยมีคุณค่าขึ้นมา ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ให้ทั้งความสุข และความทุกข์กับเราได้ แล้วพอมันมากขึ้น เราก็จะจมดิ่งไปเรื่อย ๆ คราวนี้ก็เริ่มเชื่อทุกอย่าง สุดท้ายชีวิตก็พินาศ แล้วคนที่มีโมหะมาก ๆ คือมีความหลงผิดมาก ๆ มีอวิชามาก ๆ ดึงยังไงก็ไม่ขึ้น ใครพูดให้ตายก็ไม่ฟัง ก็ยังเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ คือสังคมเราอ่อนแอมาก แทนที่เราจะพึ่งพาตัวเอง กลับต้องไปพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งในพุทธศาสนาไม่มีคำว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราจะศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยการกระทำของเรา การโทษกรรมเก่า คิดว่าชาติที่แล้วดวงไม่ดี หรือเทพไม่ช่วย นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าประณาม มันไม่ถูก
ขอทำไมครับ สมมติเราอยากมีแฟน เราต้องสร้างเหตุปัจจัย เริ่มจากตัวเราก่อน ให้มีองค์ประกอบครบก่อน แล้วมันยากตรงที่ว่าเราสร้างคนเดียวไม่ได้ มันต้องมีอีกคนหนึ่งสร้างไปด้วยกัน ปรับไปด้วยกัน มีความเชื่อเสมอกัน มีความเป็นปกติของมนุษย์เหมือนกัน มีปัญญาประมาณเดียวกัน มีความสละ มีจิตใจ มีน้ำใจเหมือนกัน ประกอบด้วยศีล จาคะ ปัญญา ศรัทธา ถ้ามันเสมอเสมือนแล้วสมานกัน มันก็ค่อยสร้างมาเป็นคู่กันได้ กลับกัน ไม่สร้างอะไรมาเลย แล้วไปขอกับรูปปั้น แล้วคิดว่าเค้าให้คู่คุณได้ พอเราเชื่อแบบนี้ สังคมก็เป็นแบบนี้ แล้วก็โดนหลอกแบบนี้ไปเรื่อย ๆ อยากได้คู่ ก็ต้องสร้างเหตุปัจจัยครับ”
เราควรทำตามความเข้าใจ ด้วยเหตุปัจจัย
“เราทำตามความเข้าใจด้วยเหตุปัจจัย เช่นสวดมนต์ เราต้องรู้ว่าการที่เราสวดเรามีสติไหม เกิดสมาธิไหม เกิดความสบายใจไหม และเกิดมีปัญญาเข้าใจในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนรึเปล่า ถ้าไม่ก็ไม่รู้จะสวดทำไม ร้องเพลงเอาก็ได้ สมาธิ คือ การตั้งมั่นจิต ใจเราตั้งมั่นอยู่ตรงไหน โฟกัสอยู่กับสิ่งตรงหน้า ถ้าเรารู้ตัวพร้อม รู้สึกตัวตลอด เวลาเราทำอะไร เราพูดอะไร ควรพูดหรือไม่ควรพูด นี่ก็คือ สมาธิ ส่วน ภาวนา แปลว่า พัฒนา เราสามารถภาวนาได้ทุกเวลา แต่บางคนสวดมนต์โดยไม่รู้ความหมาย แล้วมันก็เละเทะไปใหญ่ คิดว่าสวดแล้วชีวิตจะดีขึ้น ปรับภพภูมิได้ ความคิดนี้มาจากไหน ใครมาสอนเรื่องไรพวกนี้ไม่มี สวดแล้วมันต้องเกิดสติ เกิดสมาธิ จิตใจตั้งมั่น สวดแล้วมันสบายใจ มีปัญญารู้เข้าใจได้ว่าความหมายคืออะไร
เวลาสวดมนต์ ที่ต้องเริ่มต้นด้วย นะโม ตัสสะ เพราะเป็นการบูชาบุคคลที่เอาเรื่องราวความจริงในโลกมาบอกเรา เป็นหนึ่งในมงคล ซึ่งมงคลในชีวิตมี 38 ประการ อยู่ดี ๆ มีคน ๆ หนึ่งมาบอกว่าชีวิตคืออะไร ความสุขความทุกข์คืออะไร อะไรคือเหตุปัจจัยความสุขความทุกข์ จะทำยังไงให้ชีวิตดีขึ้นหรือแย่ลง ทำยังไงให้ไม่เกิดทุกข์อีก เราก็แค่บูชา ข้าพเจ้าขอนอบน้อมบูชาคน ๆ นั้น คนที่เก่งมาก รู้ได้เองแล้วมาบอกต่อเราด้วย
แล้วเวลาเราไปขอองค์เทพ แล้วขึ้นด้วย นะโม ตัสสะ มันเหมือนเอาความเชื่อสองอย่างที่มันขัดกันมารวมกัน เพราะพระพุทธเจ้าสอนเรื่องเหตุปัจจัย ทำอะไรกระทำด้วยตัวเอง แต่ตอนขอองค์เทพ คุณตั้งนะโมขึ้นก่อน มันเหมือนว่าคุณบูชาคนที่บอกว่าทำด้วยเหตุปัจจัย เพียรพยายามด้วยตัวเอง แล้วคุณก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปพึ่งสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ต้องพึ่ง มันก็เลยเหมือนขัดกัน
แม้กระทั่งการจุดธูป คนก็บอกว่าการจะไหว้มันต้องจุดนะ แต่เราก็รู้ว่าจุดแล้วมันก็มีปัญหาเรื่องp.m. 2.5 แต่เรายังไม่รู้เลยว่า ความหมายของธูป 3 ดอกคืออะไร เราก็จุดไปเรื่อย เทพองค์นั้นจุด 9 ดอก องค์นี้ 7 ดอก เทพมาบอกคุณตอนไหนว่าจุดกี่ดอก ดอกไม้ต้องสีนี้ เพราะว่าองค์นั้นชอบสีนี้ ถามว่าแล้วเค้าจะไม่ชอบสีอื่นเหรอ เค้าไม่เบื่อเหรอ เพราะฉะนั้นเราทำอะไรต้องมีปัญญานิดนึง คนยังเข้าใจอยู่เลยว่าธูป 3 ดอก คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งจริง ๆ แล้ว ธูป 3 ดอก คือ พระพุทธคุณ พระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ
หรือบางคนเข้าใจคำผิด ๆ เช่นเวลาไปเที่ยวอินเดีย ไปเที่ยวสังเวชนียสถาน ไปแล้วเกิดความสังเวช เศร้าโศกเสียใจ จริง ๆ แล้ว สังเวช แปลว่า เอาเป็นเครื่องระลึกให้กระตุ้นใจเราว่า มัวทำอะไรอยู่ พระพุทธเจ้าสอนเรามาสองพันกว่าปีแล้ว ให้เราเกิดความฮึกเหิม ไม่ใช่มัวแต่เศร้าโศกเสียใจ
ดังนั้นเราต้องศึกษา มนุษย์มีหน้าที่ศึกษาเรียนรู้ พูดอะไรผิดพลาดไปก็ศึกษาเรียนรู้ เราก็จะเก่งขึ้น พัฒนาขึ้น ครูบาอาจารย์ถึงบอกให้เราภาวนา เพราะภาวนาแปลว่าพัฒนา มนุษย์เราพัฒนาได้ตลอดเวลา ถ้าไม่อยากโง่ ไม่อยากหลงผิด ไม่อยากเป็นเครื่องมือของไสยศาสตร์ ไม่อยากมีโมหะ คุณก็ศึกษาทำความเข้าใจว่า ชีวิตคืออะไร เกิดมาทำไม ธรรมชาติของสรรพสิ่งคืออะไร แล้วปฏิบัติให้มันตรง และสอดคล้องกับธรรมชาตินั้น”
ไสยศาสตร์ คือเหตุปัจจัยที่เกี่ยวกับเราไหม?
“คำว่า ไสยศาสตร์ คือศาสตร์ของคนโง่ เพราะ ไสยะ คือ ความโง่ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของคนที่พึงพาในสิ่งที่ไม่ควรพึ่งพิง ฉะนั้นคุณต้องยอมรับสิ่งที่ตัวเองได้ทำขึ้นมา ไม่มีทางลัดใด ๆ ในโลกอยากได้อะไรแล้วเสกดลบันดาลเอา มันไม่มี หากเราพิสูจน์ไปเรื่อย ๆ เราจะรู้เองว่าไม่มี เราทำอะไรรู้ว่าสิ่งที่ทำมันได้มาจากความพากเพียร ความพยายามของเรา ซึ่งสิ่งที่มันผิดพลาดไป หรือมันเป็นเหตุปัจจัยอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเรา เช่นเราพยายามทำดี เราขยันทำมาหากิน แต่คนรอบข้างไม่ดี เศรษฐกิจไม่ดี สิ่งแวดล้อมไม่ดี เราควบคุมมันไม่ได้ เพราะมันคือปัจจัย เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนเรื่องเหตุและผล ท่านสอนเรื่องเหตุและปัจจัย เราสร้างเหตุไว้แบบนี้ มันมีปัจจัยอย่างอื่นเข้ามาทำให้ผลไม่ได้แบบนั้น แต่มันอธิบายได้ แล้วมันเข้าใจได้”
ต้องทำอย่างไร ให้หายจากความทุกข์
“ต้องเข้าใจก่อนครับ เวลาใครมาคุยกับผม ผมไม่เคยปลอบประโลมให้คิดบวก เพราะพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้เราคิดบวก เราต้องอยู่บนความเป็นจริง รู้เห็นตามความเป็นจริงในทุก ๆ เรื่อง เราจะรู้ว่าความทุกข์เป็นเรื่องปกติเพราะความสุขมันไม่มีจริง เกิดมาเรามีแต่เรื่องทุกข์ หาสาเหตุของมันแล้วจะรู้ว่าเรื่องบางเรื่องแก้ได้ บางเรื่องก็แก้ไม่ได้ แต่มนุษย์ไม่ได้มีหน้าที่ทุกข์ ที่เราทุกข์เพราะเราไปยึดเป็นตัวกู และของกู เมื่อไหร่ก็ตามเป็นตัวกู และของกู เราทุกข์ทันที แต่ทุกอย่างเป็นไปด้วยเหตุปัจจัย มันจะทุกข์โดยธรรมชาติ เช่น โดนมีดกรีด รู้สึกเจ็บ ร่างกายมันจะทุกข์ แต่ใจเราไม่มีความจำเป็นต้องไปยึดติดว่ามันทุกข์ หากเรารู้ว่าเหตุปัจจัยของความทุกข์ ก็คือการยึดเอาไว้ ยึดจนทำให้ตัวเองทุกข์ จริง ๆ แล้วไม่เคยมีใครทำให้เราทุกข์ได้ ยกเว้นตัวเราเอง”
ตัณหา ทิฐิ มานะ 3 สิ่งนี้อยู่ที่ไหนก็เกิดปัญหา
“คนเรามันมีความรู้สึกว่า อยากได้ อยากมี อยากเป็น ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น สิ่งนี้เรียกว่า ตัณหา พอเรามีตัณหา เริ่มรบราฆ่าฟันกัน อย่างที่สองก็คือ สิ่งที่เราคิดว่าต้องเป็นอย่างงี้ ต้องเป็นอย่างงั้น ไม่น่าเป็นอย่างงี้ ไม่น่าเป็นอย่างงั้น เค้าเรียกว่า ทิฐิ อย่างที่ 3 คือการที่เราเปรียบเทียบคนอื่น เราดีกว่าคนนั้น เราด้อยกว่าคนนี้ เค้าเรียกว่า มานะ ตัณหา ทิฐิ มานะ 3 ตัวนี้ไปอยู่ที่ไหน พังทุกที่มีปัญหาตลอด”
ศาสนา คือที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
“ศาสนา แปลว่า ทางรอด ทุกคนมีทางรอดของตัวเอง ไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่ไม่มีศาสนา อยู่ที่ว่าเราเอาอะไรเป็นศาสนา บางคนทางรอดคือพระพุทธเจ้า บางคนทางรอดคือพระเจ้า บางคนทางรอดคือเบคอน บางคนทางรอดคือจุลินทรีย์ หรือบางคนทางรอดคือตัวเราเอง คนที่บอกว่าเราเป็น Atheist เราไม่นับถือศาสนาเลย ไม่จริง คุณนับถือในความเชื่อของตัวเอง เพราะฉะนั้นคุณก็มีศาสนาของตัวคุณเอง แต่ถามว่ามันรอดไหม ถ้ามันไม่รอด หรือมันไม่ตอบในทุก ๆ บริบท ก็อาจจะต้องมีใครสักคนที่เป็นกูรู แล้วคุณอาจจะเชื่อเค้า รู้สึกว่าคน ๆ นี้เป็นที่พึ่ง แต่ต้องหาทางที่มันเป็นแก่นจริง ๆ เค้าสอนอะไรเรา บอกอะไรเรา ชี้นำเราไปตรงไหน เราค่อย ๆ ทำความเข้าใจ ค่อย ๆ ศึกษา ด้วยสติปัญญา รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร เท่านั้นเลยครับ” – หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ
พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์
ดูรายการย้อนหลัง