เปิดเส้นทางชีวิต ที่ถูกลิขิตมาเป็นคู่หู ของ “หยิ่นวอร์” มิตรภาพของผู้เสิร์ฟความฟิน สะเทือนวงการซีรีส์วาย

Club Pride Day Recap

เปิดเส้นทางชีวิต ที่ถูกลิขิตมาเป็นคู่หู ของ “หยิ่นวอร์” มิตรภาพของผู้เสิร์ฟความฟิน สะเทือนวงการซีรีส์วาย

04 ต.ค. 2024

“เราโชคดีมาก ๆ นะที่เราไม่ได้สนิทกันเพราะว่าต้องทำงาน แต่เราสนิทกันเองเพราะว่า
มันเป็นเรื่องส่วนตัว มันเป็นเรื่องนิสัย ผมก็เลยรู้สึกว่าการเป็น คู่หู มันยั่งยืนมาก ๆ”

“มันคือความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองทั้งคู่ตั้งแต่ต้น มันทำให้ทุกวันนี้เราสบายใจมาก
ในการทำงาน เราไว้ใจกันได้ตลอด เล่นซีรีส์แทบจะไม่ต้อง เวิร์กชอปกันเลย
เพราะว่าเรารู้จักกันทั้งหมดจากความจริง”

 

Club นี้มีสีสันของชีวิต Club นี้มีข้อคิดแรงบันดาลใจ มาแบ่งปันให้กันให้ทุกสัปดาห์สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญที่เป็นคู่หูผู้เสิร์ฟความฟิน “หยิ่น อานันท์ หว่อง” และ “วอร์ วนรัตน์ รัศมีรัตน์” สองนักแสดงที่โด่งดังจากซีรีส์วาย โดยชื่อของพวกเขามักจะติดเทรนด์ทวิตเตอร์อยู่บ่อยครั้ง หลังจากทั้งคู่มีผลงานการแสดงคู่กันครั้งแรกในเรื่อง ‘Love Mechanics กลรักรุ่นพี่’ ด้วยเคมีที่เข้ากัน ความละมุน และเสน่ห์อันล้นเหลือ ทำให้ทั้งคู่สามารถเรียกแฟน ๆ เข้าด้อม มาได้อย่างยาวนาน ล่าสุดพวกเขาได้หวนกลับมาแสดงคู่กันอีกครั้งในซีรีส์เรื่อง “Jack & Joker ทำไมต้องเป็นเธอทุกที” ที่ทั้งคู่รับทั้งบทบาทของการเป็นผู้จัด รวมถึงการเป็นนักแสดงเองอีกด้วย สีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดพลังใจดี ๆ ถูกแชร์เอาไว้แล้วในรายการ

 

 

หยิ่นวอร์ กับบทบาทของการเป็นผู้จัดซีรีส์

วอร์ : “ผมรู้สึกดีใจที่กระแสตอบรับดีมาก ๆ เพราะว่าตัวเราเป็นนักแสดง และทีมงานทุกคนตั้งใจมาก ๆ กับซีรีส์เรื่องนี้ แล้วพอมันมีกระแสตอบรับไปในทางบวก ผมก็รู้สึกว่าการที่เราทุ่มเทกับเรื่องที่เราทำ แล้วท้ายที่สุดมันสัมฤทธิ์ผล มันดีต่อใจมาก ๆ”

หยิ่น : “จริง ๆ ผมว่า ภาพผู้จัดมันอาจจะดูยิ่งใหญ่มาก แต่สำหรับผมขอใช้คำว่าเป็นผู้จัดที่ช่วยระดมทุนดีกว่า และเราก็ทำหน้าที่แสดงเหมือนเดิมอย่างเต็มที่ที่สุด อย่างเรื่องนี้เราถ่ายกันอาทิตย์ละ 4 วันเลยครับ เพราะต้องออนแอร์ให้ทัน ทีมงานทุกคนตั้งใจทำงานมาก แล้วสุดท้ายพอผลตอบรับออกมาดี จนผมรู้สึกว่ามันเหมือนเราเป็นทีมเดียวกันเลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่าเราทำมาเพื่อขายให้คนดู แต่กลายเป็นว่าคนดูกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ ผมก็เลยรู้สึกดีใจมากครับ”

วอร์ : “ที่มาของซีรีส์ Jack & Joker ทำไมต้องเป็นเธอทุกที มันเกิดจากที่เราไปถ่ายคอนเซ็ปต์ในคอนเสิร์ตเฉย ๆ ครับ เป็นการถ่ายเพื่อนำมาคั่นในคอนเสิร์ต โดยเราถ่ายในเรื่องราวเกี่ยวกับการโจรกรรมต่าง ๆ เพราะคอนเสิร์ตจะเป็นธีม PARTNER IN CRIME แล้วมันเกิดกระแสการตอบรับที่ดี คนอยากเห็นเราเอามาทำเป็นซีรีส์ ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของซีรีส์เรื่องนี้ครับ

พอเป็นผู้จัด การเสนอพล็อตก็มีบ้าง แต่ว่าทางทีมเค้ามีในใจแล้ว แต่ผมเองก็เคยเสนอไปว่า ลองทำเป็นซีรีส์เกี่ยวกับแนวประมงไหม เพราะว่าผมเป็นคนที่ชอบตกปลาอยู่แล้ว แล้วก็รู้สึกว่าถ้าเกิดเราทำซีรีส์แนวนี้ มันอาจจะส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศได้ แต่ไอเดียก็ถูกปัดตกไป ด้วยความที่ทีมเค้ามีพล็อตในใจอยู่แล้วว่าเรื่องนี้ต้องเป็นแอคชั่นประมาณนี้”

 

 

Jack & Joker ทำไมต้องเป็นเธอทุกที

วอร์ : “Jack & Joker ทำไมต้องเป็นเธอทุกที มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนสองคน โดยคนหนึ่งมีทุกอย่าง ครอบครัวดี ฐานะดี แต่ว่าขาดเรื่องความรักความอบอุ่น คือครอบครัวของโจ๊กเกอร์เค้ามีลูกสองคน โดย โจ๊กเกอร์ เป็นคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ แล้วอีกคนเป็นคนที่พ่อแม่ตั้งใจเลี้ยงมาก ๆ จน โจ๊กเกอร์ เริ่มโดนพ่อแม่กดดัน จนคิดอะไรผิด ๆ นั่นคือการไปปล้นคนที่ไม่ดี แล้วก็มาช่วยคนจน ส่วน แจ็ค ก็จะเป็นคนที่ครอบครัวไม่ได้มีฐานะ แต่ว่าเค้าได้รับความรักจากอาม่า แล้วเค้าก็จะมีแนวความคิดอยากจะเป็นนักเทควันโด เพื่อจะหาเงินมาใช้หนี้ แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ แจ็ค กับ โจ๊กเกอร์ ได้มาเจอกันในจังหวะที่ โจ๊กเกอร์ไปปล้นธนาคารพอดี แล้วแจ็คก็จะมาขอเงินกู้ เพื่อสร้างโรงเรียนสอนเด็กที่ขาดโอกาส

การแสดงเป็น โจ๊กเกอร์ คาแรกเตอร์มันมีการเปลี่ยนเยอะมากครับ ผ่านไป 3 EP. คนน่าจะได้เห็นประมาณ 10 ลุคแล้ว แล้วก็น่าจะมีประมาณ 4 ลุค ที่ได้เล่นแบบพูดตามบท ซึ่งความยาก มันยากมาตั้งแต่อ่านบทแล้วครับ ตอนที่อ่านบทผมท่องกับตัวเองว่าต้องทำให้ได้ ต้องทำให้คนดูเชื่อให้ได้ว่าเราเป็นโจรที่มีไหวพริบในการปลอมตัวจริง ๆ เรื่องจริต หรือประสบการณ์ต่าง ๆ ช่วงก่อนเข้าซีน ผมจะมีวิธีในการซิงค์ตัวละคร โดยเราต้องเป็นตัวละครนั้นให้ได้อย่างน้อยครึ่งชั่วโมงก่อนเข้าซีน ต้องพูดกับคนอื่นโดยลองใช้น้ำเสียงตามคาแรกเตอร์ ต้องทำผมแต่งหน้าเพื่อให้ทุกคนเชื่อให้ได้ก่อนพอเรามั่นใจแล้วค่อยไปเล่น

โดยคาแรกเตอร์ของผม กับ โจ๊กเกอร์ อาจจะไม่คล้ายในเรื่องการที่ต้องปลอมตัวเยอะ ๆ เพื่อไปโจรกรรม แต่ว่าสิ่งที่คล้ายกันคือ ผมเป็นคนชอบใช้ช่องโหว่ทางคำพูด ในการทำอะไรบางอย่าง อย่างเช่น แข่งเกม ที่กติกาบอกว่า ต้องเอาลูกโป่งแนบหน้าเราแล้ววิ่งไม่ให้ลูกโป่งตก แต่ผมกัดหัวลูกโป่งวิ่งเลย จะเป็นแบบนั้นครับ”

หยิ่น : “ผมว่าคาแรกเตอร์ของผมมีส่วนคล้ายกับ แจ๊ค ตรงที่ปกติผมเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว ส่วน แจ็ค ก็จะเป็นคนขรึม ๆ แต่ผมคิดว่า ที่เห็น แจ๊ค พูดเยอะ เพราะว่าเป็นนักแสดงนำ ก็เลยต้องพูดไปตามบท แต่ผมคิดว่า ถ้า Off Scene เค้าก็คงจะเป็นตัวที่นั่งเงียบ ๆ แล้วรอฟังเพื่อนพูดมากกว่า ซึ่งส่วนนี้ก็จะคล้ายคลึงกันกับตัวผม ผมว่าตัวเอง Introvert อยู่นะ”

วอร์ : “คือเค้าจะเป็นกับคนที่ไม่สนิท ถ้าเกิดเจอกันครั้งแรก คนภายนอกจะมองว่าเค้าดูดุมาก  ดูไม่ค่อยพูด แต่กับเราเค้าก็ไม่ Introvert นะ จะเป็นแค่บางช่วง บางอารมณ์ที่เค้าต้องการจะเซฟพลังงาน”

หยิ่น : “พื้นฐานผมเป็นคนคิดมากครับ มักจะกังวลว่า ถ้าเกิดเราเข้าไปคุยกับใครสักคน เค้าอยากคุยกับเรารึเปล่า สมมติว่าเราเพิ่งเจอใครคนหนึ่งได้ไม่นาน พอเค้าเข้ามาชวนคุย ผมก็จะคิดไปแล้วว่า เค้าจะอยากคุยกับเราไหม เค้าจะรำคาญเราไหม ผมจะกังวลแทน และไม่อยากไประรานใคร

แล้วในซีรีส์ แจ๊ค จะมี อาม่า ที่ต้องคอยดูแล แล้วก่อนหน้าที่ผมจะเข้าวงการ ผมก็ใช้ชีวิตกับยาย เพราะพ่อแม่ของผมทำงานอยู่ต่างประเทศ ผมก็เลยอยู่กับยายเป็นหลัก เพราะฉะนั้นมันก็สามารถดึงอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดมาได้เลย หรือแม้แต่เรื่องหนี้สินก็เหมือนกัน เพราะก่อนเข้าวงการครอบครัวผมก็มีปัญหาเรื่องหนี้สิน แล้วผมจะเข้าใจว่าแรงกดดันของตัวละครเป็นยังไง มันก็เลยสามารถนำมาถ่ายทอดในตัวละคร แจ๊ค ได้แบบที่เราไม่ต้องเขียนบทเพิ่มเรื่องขึ้นมา เราสัมผัสความรู้สึกตัวละครได้จริง ๆ ความจนตรอกบ้าง ความไม่มีทางเลือก มันก็เชื่อมโยงกับตัวผมได้ง่าย ๆ”

วอร์ : “เราเตรียมตัวเยอะกันเยอะมาก ๆ ต้องไปลงเรียนเทควันโด ที่ผมก็ตามติดไป แต่ หยิ่น เค้าจะเรียนหนักกว่าผม เพราะว่าในเรื่อง เค้าต้องแสดงเป็นนักเทควันโด แต่เราเองก็ต้องมีคิวแอ็คชั่นด้วย ก็เลยต้องไปเรียนพื้นฐานด้วยครับ”

หยิ่น : “ผมว่าเทควันโดยากนะ ศาสตร์นี้ถ้าเราไม่ได้เรียนตั้งแต่เด็ก เมื่อเราเส้นตึง หรือมีกล้ามเนื้อที่มันยืดไม่ได้แล้ว ผมว่ามันไม่มีทางที่จะเพอร์เฟกต์ได้เหมือนเด็ก ๆ แล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือต้องตัวอ่อน กล้ามเนื้อขาต้องแข็งแรง เพราะฉะนั้นก็ต้องเตรียมตัวมากพอสมควรเลย ซึ่งผมเองตัวแข็งมาก บวกกับมีปัญหาเกี่ยวกับอาการปวดหลังด้วย ต้องไปหาหมอเพื่อทำกายภาพอยู่บ่อยครั้ง เวลาเรียนผมก็พยายามยืดกล้ามเนื้อ แล้วก็มีซื้อกระสอบทรายไว้ที่บ้านเพื่อฝึกเตะ แล้วก็บางท่าก็ต้องคอยดูจากคลิปสอนในโซเชียลมีเดีย ที่จะมีการสอนเป็นสเต็ป ผมก็จะอัดหน้าจอมือถือไว้ แล้วก็ศึกษาว่ามันกระโดดแบบนี้ เตะแบบนี้ เพราะบางทีถ้าเราดูแค่ตาเปล่ามันไม่เข้าใจ แล้วพอมาถ่ายเราก็ต้องเตะ 3-4 รอบ เพื่อให้ภาพมันออกมาสวย ผมก็เลยต้องมานั่งวิเคราะห์อะไรหลาย ๆ อย่าง เพื่อเตรียมตัวในการเล่นซีรีส์เรื่องนี้

แล้วตัวละคร แจ็ค ต้องมีการพลิกคาแรกเตอร์ อย่าง EP.1 มันต้องย้อนไปเมื่อ 5 ปีก่อน ถ้าเทียบก็น่าจะอายุประมาณ 17-18 ปี ที่ยังดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้เลย ก็จะมีบุคลิกใส ๆ ด้วยความที่ตัวเค้าเป็นคนที่คิดบวกอยู่แล้ว แต่ว่าพอเจอเหตุการณ์ที่โจ๊กเกอร์ทำ เลยเป็นเหตุผลให้ แจ๊ค ต้องพลิกคาแร็กเตอร์ให้เป็นสายดาร์กขึ้น ก็จะมีความเย็นชาขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น เข้าใจว่าโลกเรามีเส้นสายนะ ถ้าเกิดเราไม่มีทุนเราก็แพ้อำนาจอยู่ดี หรือแม้กระทั่งตัวแจ๊คเกือบจะติดคุกด้วยซ้ำถ้าเกิดโจ๊กเกอร์ไม่รับแทน ซึ่งทั้งชีวิตเค้าใช้ชีวิตอยู่กับอาม่า ถ้าเกิดเค้าติดคุก แล้วไม่มีคนช่วย อาม่าของเค้าจะอยู่ยังไง ผมรู้สึกว่าเค้ารับความผิดหวังมาทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นคาแรกเตอร์มันก็ต้องเปลี่ยน

การกลับมาเล่นซีรีส์เรื่องนี้กังวลครับ เพราะว่าเราห่างหายจากการแสดงไปนานแล้ว แล้วเราเป็นพาร์ทเนอร์หยิ่นวอร์มานานแล้ว อะไรก็ตามที่มีชื่อในเทรนด์มานานประมาณหนึ่งแล้ว จะให้มันกลับไปพีคเหมือนเดิมค่อนข้างยาก และมันค่อนข้างน่ากังวล ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่าจริง ๆ แล้วเราทำเรื่องนี้เพื่อจะเอากำไรรึเปล่า แต่สุดท้ายผมมาสรุปกับตัวเอง แล้วก็รู้สึกว่า เราทำเพื่อแฟนคลับจริง ๆ เพราะถ้าถามหาผลกำไรที่จะกลับมา ผมยังมองไม่เห็นทางนะ เพราะว่าเรื่องนี้ใช้เงินค่อนข้างเยอะ ลองคิดภาพว่าเราลงทุนไปขนาดนี้ แล้วสุดท้ายเราไม่ได้อะไรกลับมา แต่ว่าเราได้ความสุขจากแฟน ๆ เพราะฉะนั้นก็คงพูดได้เต็มปากว่า เราทำให้แฟน ๆ”  

วอร์ : “เราคุยกันตลอดว่า ถ้าผลตอบรับมันไม่เป็นอย่างที่เราคิด เราจะไปทำอะไรต่อดี แต่ผมก็รู้สึกว่าเราทำเต็มที่มาก ๆ เต็มที่กว่าทุกครั้งที่ทำเลย แล้วก็มองเห็นทีมงาน มองเห็นนักแสดงทุกคนเต็มที่ ถ้าเกิดมันไม่ประสบความสำเร็จในเชิงที่มีกระแสตอบรับที่ดี อย่างน้อยมันก็เป็นซีรีส์ที่ดีมาก ๆ แล้ว ในใจของผม และในใจของทุก ๆ คน”

 

 

ซีรีส์ ที่ถูกเดิมพันด้วยการไปดูแสงเหนือ

หยิ่น : “จริง ๆ มันมีการเดิมพันเรื่องการไปดูแสงเหนือด้วยนะ ย้อนไปตอน PARTNER IN CRIME มันจะมีคีย์เวิร์ดที่ตัวละครสองคนพูดคุยกัน แล้วตัวละครหนึ่งในนั้นพูดว่า ไปดูแสงเหนือกัน แต่สุดท้ายแล้วตัวละครดันถูกตำรวจจับ ก็เลยเอากิมมิกตรงนี้มาคุยกับผู้จัดการว่า ไหน ๆ เราเป็นผู้จัดแล้ว เราก็ใช้เงินไม่ใช่น้อย ๆ นะ ผมก็เลยพูดออกไปในงานอีเว้นท์ว่าพี่ ๆ ครับ ถ้าเกิดซีรีส์เรื่องนี้สามารถติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 ของเทรนด์โลก 5 ครั้ง พี่ผู้จัดการจะพาเราไปดูแสงเหนือ หลังจากนั้นแฟน ๆ ก็เริ่มมีมิชชั่นในการทวิตข้อความ ไม่ใช่แค่ปั่นเทรนด์ไปลอย ๆ ก็รู้สึกไม่เสียใจที่ได้พูดไปนะ และจะได้ไปดูแสงเหนือจริงไหม ต้องคอยดูครับ”

 

“ซี่รีส์” บางทีไม่จำเป็นต้องครอบด้วยคำว่า “วาย”

วอร์ : “ที่ซีรีส์วายได้รับความนิยมมากขึ้น ผมรู้สึกว่าด้วยความที่โลกเรามันค้นพบในสิ่งที่มีอยู่แล้ว ซึ่งจริง ๆ แล้ว เรื่องนี้มันเป็นเรื่องธรรมชาติ เรื่องนี้มีอยู่แล้ว แค่เพียงแค่เรายังไม่ค้นพบ และเจาะลึกกับมันมากพอ แล้วในวันที่เราเริ่มค้นพบเรื่อย ๆ ว่ามันมีสิ่งนี้อยู่นะ มันก็เลยทำให้ซีรีส์เหมือนเป็น Soft Power เหมือนกัน คนเห็นมุมมองต่าง ๆ ได้มากขึ้น ยิ่งเราใส่อะไรในซีรีส์มากเท่าไหร่ คนดูก็จะเห็น แล้วก็ซึมซับไปด้วย”

หยิ่น : “ผมมองว่าซีรีส์วาย มันเปลี่ยนแปลงครับ ผมว่ามันมีการแตกแขนงนะ จนเรารู้สึกว่า ซีรีส์ บางทีมันไม่ต้องครอบคำว่า วาย เลยด้วยซ้ำ เพราะถ้าเกิดเรามองว่ามันคือเรื่องปกติ และโลกมันพัฒนาไปจนความรักของ ชายกับชาย หรือ หญิงกับหญิง หรือชายกับหยิง จะอะไรก็แล้วแต่มันกลายเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นคำว่า วาย ยังจำเป็นอยู่ไหม มันอาจจะเป็นแค่ซีรีส์ปกติก็ได้ แล้วผมรู้สึกว่า เรื่อง Jack & Joker ทำไมต้องเป็นเธอทุกที เรากำลังทำให้มันเป็นอย่างนั้นอยู่โดยผลลัพธ์ คือตอนตั้งต้นเราสร้างให้มันเป็นซีรีส์วาย แต่ว่าผลลัพธ์ที่ออกไป มีพ่อแม่ หรือกระทั่งเพื่อนผมที่ไม่ได้ติดตามซีรีส์วายเข้ามาดู ซึ่งดูเพราะว่าตัวเนื้อเรื่องมันเป็นเรื่องที่คนทั่วไปรับชมได้”

 

 

“คู่หู” อธิบายความเป็นเรามากกว่า “คู่จิ้น”

วอร์ : “คำว่า คู่จิ้น ผมก็ยังไม่เข้าใจความหมายนะว่ามันคืออะไร มันอาจจะมาจากแต่ก่อนที่มีซีรีส์แบบนี้ที่ใหม่มาก ๆ แต่ผมมองคำว่า คู่หู มันยั่งยืนกว่า มันเหมือนเป็นได้ทั้งเพื่อน ได้ทั้งพี่น้อง มันยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก แฟน ๆ หลายคนจะรู้ว่า ตอนที่เข้ามาในด้อมครั้งแรก หยิ่นวอร์จะไม่มีการเซอร์วิสแฟนคลับ และเราไม่สนิทกันเลย จนคนดูออกว่าเราไม่สนิท ซึ่งเราโชคดีมาก ๆ นะที่เราไม่ได้สนิทกันเพราะว่าต้องทำงาน แต่เราสนิทกันเองเพราะว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว มันเป็นเรื่องนิสัย ผมก็เลยรู้สึกว่า การเป็นคู่หูมันยั่งยืนมาก ๆ”

หยิ่น : “ผมว่าดีที่มันคือความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองทั้งคู่ตั้งแต่ต้น มันทำให้ทุกวันนี้เราสบายใจมากในการทำงาน เราไว้ใจกันได้ตลอด เล่นซีรีส์แทบจะไม่ต้องเวิร์กช็อปกันเลยเพราะว่ารู้จักกันทั้งหมดจากความจริง ไม่ใช่ว่าแบบ พี่ผมมาสนิทกับพี่ ผมขอจับมือหน่อย เพราะว่าผมอยากมีชื่อเสียง ซึ่งเราไม่เคยทำแบบนี้เลยตั้งแต่ต้น”

 

 

ย้อนก้าวแรกก่อนเข้าสู่วงการบันเทิงของ หยิ่นวอร์

หยิ่น : “การเข้าวงการบันเทิง ถ้าเป็นความคิดแบบจริงจังในตอนเด็กนี่ไม่มีครับ แต่ว่าช่วงอยู่ ม.ต้น ช่วงนั้นผมดู พี่วู้ดดี้ สัมภาษณ์หลาย ๆ คน แล้วบางทีสัมภาษณ์คนดังมากมาย ตอนไปโรงเรียนก็เลยพูดกับเพื่อนเล่น ๆ ว่า สักวันจะเราจะให้เค้ามาสัมภาษณ์ แต่พอเวลาผ่านไป จน ม.ปลาย เคยเจ็บมากบนเส้นทางนี้ ก็เลยล้มเลิกความคิด

จนถึงจุดที่ต้องวางแผนอาชีพ ว่าเราจะทำอาชีพอะไรที่มั่นคงในประเทศนี้ดี เพราะว่าฐานะที่บ้านก็ไม่ค่อยดี ถ้าเกิดเราทำอะไรที่มันไม่มั่นคง หรือไปทำตามฝันที่เคยมี แล้วถ้ามันไม่สำเร็จ เราจะใช้ชีวิตต่อยังไง ผมเป็นคนวางแผนชีวิตมาตั้งแต่เด็ก สุดท้ายก็เลยตัดสินใจเข้าเรียน วิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ดีกว่า เพราะผมคาดเดาว่าโลกอนาคต ใครที่มีความรู้ด้านไอทีมันใช้ชีวิตรอดได้แน่นอน ซึ่งก็จริงอย่างที่ผมคิด อย่างที่เห็นว่า AI ในยุคนี้มันกำลังมา มาแรงจนคนกลัวว่าจะกลายเป็นดราม่าว่า AI จะแย่งงานคนรึเปล่า ซึ่งผมเคยไปแนะแนวเด็ก แล้วผมพูดมาตลอดเลยว่า อะไรก็ตามที่ทางเข้ามันกว้าง ทางออกมันจะแคบมาก คุณจะแข่งกับชาวบ้านเยอะมาก แล้วท้ายที่สุดคุณอาจจะแพ้หุ่นยนต์ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นต้องมีสติ และคิดถึงอนาคตให้มาก ๆ

สิ่งที่ได้จากการเรียนวิศวกรรมศาสตร์ คือ วิธีคิด มีหลาย ๆ คนชอบทักผมว่าเป็นคนที่คิดแบบมี Logic อย่างที่เคยไปออกรายการ พิธีกรถามคำถามว่า ถ้าเกิดให้ปลอมตัวในชีวิตประจำวันได้ 1 อย่าง จะปลอมเป็นอะไร คนอื่นก็คิดไป ส่วนผมนั่งคิดว่าเราปลอมเพื่ออะไร เราปลอมทำไม ผมหาคำตอบไม่ได้ แล้วผมจะตอบคำถามนี้ยังไงให้มันถูกจุดที่สุด ทุกวันนี้ผมใช้ชีวิตแบบคิดหน้าคิดหลังคิดไปหมดว่าเราจะทำอะไร บางทีผมไปเปิดตู้เย็นไรแล้วก็คิดว่าหรือเราจะเดินไปรดน้ำต้นไม้ก่อนดี หรือจะเดินไปกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวรก่อนดี ผมมานั่งคิดว่า ถ้าเกิดผมกินน้ำก่อน เจ้ากรรมนายเวรจะไม่พอใจไหม ผมเลยเดินไปเปิดน้ำเพื่อไปกรวดน้ำ แล้วก็คิดว่าโอเคผมให้คุณก่อนแล้วนะ แล้วตัวผมค่อยกิน ผมคิดทุกการกระทำไปหมดเลย จนบางครั้งไม่รู้ว่าคิดมากไปรึเปล่า”

วอร์ : “ไม่มีในความคิดเลยครับสำหรับอาชีพนักแสดง คือตอนเด็ก ๆ มีอาชีพที่อยากเป็นเยอะมาก อย่างตอนเด็กมาก ๆ ก็จะอยากเป็นนักโบราณคดี อยากไปขุดไดโนเสาร์ เพราะชอบดูสารคดี ชอบดาราศาสตร์ แล้วก็ชอบวิทยาศาสตร์ บวกกับชอบวาดรูปด้วย พอช่วงที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก็เลยมองหาคณะที่มันกลาง ๆ ระหว่าง วิทยาศาสตร์ กับ ศิลปะ ก็เลยเลือก สถาปัตยกรรม แล้วเราก็เลยฝันอยากเป็นนักออกแบบมาตลอด ไม่ได้อยากเป็นอย่างอื่นแล้ว ใครมาชวนไปเข้าวงการก็ไม่ไป จนมีรุ่นพี่เค้ามาชวนอีกที ตอนที่จะเรียนจบแล้ว ก็เลยสงสัยว่าเค้าเห็นอะไรในตัวเรารึเปล่า เลยตัดสินใจว่าลองดูก็ได้ แล้วก็ลองมาจนถึงทุกวันนี้

ผมรู้สึกว่าการเรียนสถาปัตยกรรม มันไม่ได้เรียนเกี่ยวกับการออกแบบสักทีเดียว มันเรียนเกี่ยวกับการออกแบบความคิดมาก ๆ ผมรู้สึกว่าคนเรียนจบคณะนี้จะเป็นอะไรก็ได้ เพราะว่าเค้าเรียนองค์ประกอบการออกแบบความคิดมาแล้ว อย่างเช่นการแสดงผมก็ได้ใช้เกี่ยวกับการออกแบบ ในเรื่องการออกแบบตัวละคร ผมใช้วิชาจากการเรียนมาปรับใช้ เวลาเราจะออกแบบผลิตภัณฑ์ให้กับกลุ่มเป้าหมาย เราก็ต้องคิดเลยว่า คนอายุเท่าไหร่ ชอบอะไร สีอะไร วัสดุอะไรจนกลายเป็น Product ที่เราต้องการแค่หนึ่งอย่าง ซึ่งมันเหมือนการออกแบบคาแรกเตอร์ของผมเลย”

หยิ่น : “ผมเริ่มเข้าวงการบันเทิง ตอนที่ได้เจอ พี่ก็อตจิ ที่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ซึ่งมันเป็นช่วง Open House พอดี แต่ว่าคณะของผม จริง ๆ ต้องเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ แล้วนาน ๆ ที จะได้มางาน Open House แล้วมาเจอ พี่ก็อตจิ ถ่ายรายการอยู่ แล้วก็เข้ามาสัมภาษณ์ผม แล้ว พี่อั๋น ผู้จัดการคนปัจจุบันคงจะได้ดูรายการ แล้วก็ติดต่อผมมา ตอนนั้นบอกก่อนว่าผมเล่นโซเชียลไม่เป็น ก็เลยไม่รู้ว่ารายการมันเกิดไวรัลอะไรไหม แต่ว่าผู้จัดการเห็นเค้าก็เลยชวนเข้าวงการครับ ซึ่งจริง ๆ แล้วก่อนหน้านั้นก็มีคนมาชวนอยู่ประมาณหนึ่ง แต่ว่าผมให้สิทธิ์พี่อั๋นคนแรก อาจจะเพราะโชคชะตาด้วย เพราะว่าคำพูดที่เค้าชวนผมตอนนั้น เค้าบอกว่าถ้าเกิดมาตรงนี้จริง ๆ เราอาจจะมีงานรีวิวนะ แล้วบังเอิญว่าก่อนหน้านั้นมีเพื่อนของผมที่เป็นเดือนคณะเข้ามาคุยกับผมว่าไปรับงานรีวิวมา แล้ว 1 โพสต์ ได้ 500 บาท ผมทึ่งมากนะ อะไรคือการลงรูปในโซเชียลแล้วได้เงิน 500 บาท มันไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก แล้วผู้จัดการผมดันพูดเรื่องนี้พอดี ผมก็เลยตกลง ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยมีคนชวนแล้วเหมือนกัน แต่เค้าชวนเพื่อนผมที่เป็นเดือนคนนั้นแหละ แต่ไม่ได้ชวนผม แล้วพอผมพาเพื่อนไปเจอ เค้าก็พูดกับผมว่าไปอยู่กับพี่ด้วยก็ได้นะ แต่ความรู้สึกผมมองว่าคุณไม่ได้ชวนผมตั้งแต่แรก ก็เลยเบี่ยง ๆ แล้วบังเอิญว่ามาเจอพี่อั๋น ที่รู้สึกว่าเค้าอยากได้เราไปทำงานจริง ๆ โดยที่เห็นเรามีคุณค่า ที่ไม่ใช่สินค้า ผมก็เลยมีทุกวันนี้ครับ”

 

 

หยิ่นวอร์ กับข้อคิดที่ได้รับจากการแสดง

วอร์ : “ผมรู้สึกว่าวงการนี้ให้หลักคำสอนคือ โอกาสมันมาไม่ได้นาน และมันอยู่ไม่ได้นาน บางทีเราต้องมีศักยภาพก่อนที่จะคว้ามันตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ อย่างเช่นถ่ายงานมันมีเวลากำหนด 6 โมงถึง 4 ทุ่ม ซึ่งมันไม่สามารถทำให้นานกว่านั้นได้ เพราะมีทีมงานอีกหลายคน เราก็เลยต้องทำให้มันดีตั้งแต่คัทแรกไปเลย ไม่อย่างนั้นโอกาสมันอาจจะหลุดลอย ถ้าความสามารถของเรามันคว้าไว้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นมีอะไรต้องทำให้เต็มที่ไว้ก่อน”

หยิ่น : “การแสดงให้ทุกอย่างเลย ทำให้ชีวิตผมดีขึ้น และผมรู้สึกว่า จริง ๆ แล้วเราเป็นหนึ่งคนที่มีคุณค่า และเราจะส่งต่อพลังบวกให้ใครหลาย ๆ คนได้ มีแฟน ๆ หลายคนที่เค้าแท็กมาว่า เค้าป่วยนะ แต่เค้าดูเราแล้วเค้าหาย จนผมรู้สึกว่าในชีวิตนี้เราสามารถเป็นประโยชน์ขนาดนี้ได้จริง ๆ เหรอ โดยที่เราไม่ได้เจอกันด้วยซ้ำ และการแสดงเป็นงานที่มีความสุขนะ เราได้เจอเพื่อนที่สนิทกันตลอด แล้วยังสร้างคุณค่าให้ใครหลาย ๆ และผมค่อนข้างชอบนะที่เราเป็นประโยชน์ให้ใครหลาย ๆ คนได้”

วอร์ : “นักแสดงที่ดี ผมรู้สึกว่ามันคือการเอาประสบการณ์ที่เรามีอยู่มาใช้ อย่างเช่น ที่เราพบเจอ และสังเกตคนบ่อย ๆ เพราะว่าการเป็นนักแสดงมันไม่ได้แสดงเป็นตัวเราเอง แต่ว่ามันก็แสดงไปเป็นคนอื่นเลย 100% ไม่ได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือการสังเกตรายละเอียดของคนมากกว่า ผมรู้สึกว่าถ้าเกิดเรามีวัตถุดิบเยอะเท่าไหร่ เราจะยิ่งมีมุมมองที่กว้างมากขึ้นจนสามารถแสดงเป็นบุคลิกที่มันไกลตัวเราไปได้ หมั่นสังเกตบุคลิกคน หมั่นสังเกตการใช้ชีวิต แล้วคุณจะมีวัตถุดิบที่มากขึ้นแถมยังได้เข้าใจชีวิตคนอื่นมากขึ้นด้วย”

หยิ่น : “ผมว่าถ้าเราอยากเป็นนักแสดงที่ดี ควรมีเครื่องมือให้ครบดีกว่า เพราะว่าการเป็นนักแสดงก็เหมือนการเป็นช่างหนึ่งคน บางทีถ้าเกิดผมจะต้องเลื่อยโต๊ะนี้ แล้วผมไม่มีเลื่อย ก็กลายเป็นว่าเราก็ยังทำงานไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็อยากให้เตรียมเครื่องมือเอาไว้เยอะ ๆ แต่ผมว่าคนที่เป็นแบบนี้อาจจะเป็นคนที่มาพร้อมกับพรสวรรค์จริง ๆ เพราะว่าผมเทียบกับตัวเองที่แสดงเรื่องแรก ตอนนั้นเราเล่นแข็งมากนะ เพราะเป็นประสบการณ์ที่ใหม่มาก จึงมองว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับโอกาส แต่ถ้าเรามีเครื่องมือพร้อม เก็บชั่วโมงบินตัวเองให้ได้ เชื่อว่าผลงานมันก็จะดีเอง”

 

 

วอร์ กับข้อคิดที่ได้จากการปั้นเซรามิก

วอร์ : “ผมรู้สึกว่าการปั้นเซรามิกมันเป็นวิทยาศาสตร์มาก ๆ แล้วมันก็เป็นความมหัศจรรย์ของมนุษย์ที่จะคิดวิธีนี้ การเอาดินที่มันเหลว ๆ มาปั้นเป็นรูป แล้วก็ใส่ความร้อนเข้าไปให้มันแข็งตัวเปลี่ยนจากดินเหลว ให้กลายเป็นของที่ขึ้นทรงแล้วใช้งานได้ หรือการจะเอาสารเคมีมาหลอมละลายให้มันกลายเป็นสารเคลือบที่มันให้สี ผมรู้สึกว่าเวลาเราทำงานศิลปะในแขนงนี้ มันเหมือนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ไปด้วย และบางครั้งมันเกิดความผิดพลาด เราก็มักจะหาคำตอบได้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร แล้วมันทำให้เราเก่งขึ้นเรื่อย ๆ ศาสตร์นี้ผมรู้สึกว่าเรียนทั้งชีวิตมันก็ไม่รู้จบ ต้องเจาะลึกไปเรื่อย ๆ หลายคนบอกว่าฝึกสมาธิครับ แต่ว่าผมก็หัวร้อนเหมือนเดิม หลายคนบอกว่ามันฝึกให้เราเป็นคนใจเย็น แต่ถ้าผมไม่ได้รูปทรงตามที่ต้องการผมก็ทุบทิ้ง

ผมอยากมีงาน Exhibition ของตัวเองเกี่ยวกับเซรามิกด้วยครับ เพราะเรียนออกแบบมาก็อยากทำงานเกี่ยวกับออกแบบ แล้วผมรู้สึกว่ามันให้ข้อคิดที่บางทีไม่รู้ตัวด้วย เพราะการปั้นมันตรงกับปรัชญาคัมภีร์ห้าห่วง ของ มิยาโมโตะ มูซาชิ ที่เป็นซามูไร เค้าบอกว่า ก่อนอื่นคุณต้องมีความแข็งแกร่งในตัวเองก่อนเป็นพื้นฐาน แต่ว่าที่เหนือกว่าความแข็งแกร่งคือความอ่อนโยน มันก็เปรียบเหมือนดินก้อนที่แข็ง มันจะทำอะไรไม่ได้เลยถ้าเราไม่ผสมน้ำ ผมก็เลยรู้สึกว่าชีวิตเราควรมีความอ่อนโยน เพราะมันจะทำให้เราลื่นไหลไปได้กับทุกคน ไปเจอสังคมแบบไหนเราก็ปรับตัวตามแบบนั้น ปั้นไปด้วยก็คิดไปด้วยครับ”

หยิ่น : “ตอนที่ผมเห็นพี่วอร์ปั้นครั้งแรก ๆ ผมก็ทึ่งแล้วนะ แล้วตอนที่ผมมีงานแฟนมีตครั้งแรก  ทีมงานเค้าก็จะถามว่า ในพาร์ทตัวเองอยากจะโชว์อะไร โดยทั่วไปก็จะร้องเพลง แต่พี่วอร์เป็นคนเดียวที่เอาหม้อมาปั้น แล้วก็เปิดเพลงคลอไปด้วย พอมาวันนี้เค้ามีโอกาสได้ทำจริงจังจนเกิดเป็นไวรัล ผมดีใจนะที่สิ่งที่เค้าชอบ ทำให้ใครหลาย ๆ คนชอบ แล้วนี่ก็อาจจะเป็น Soft Power  ด้วย”

 

 

คู่หู หมูยอ และคำขอบคุณจาก หยิ่นวอร์

วอร์ : “สำหรับด้อมหมูยอ ผมบอกทุกครั้งว่าขอบคุณมาก ๆ เค้าเป็นเหมือนยักษ์ตัวใหญ่ ๆ ที่ให้ผมเกาะไหล่เค้าไป ยิ่งตัวใหญ่แค่ไหน ผมยิ่งมองโลกได้ไกลขึ้น คือการเข้ามาอยู่ตรงนี้แล้วมีคนสนับสนุนที่เยอะมาก ๆ มันทำให้ผมได้ไปเจอในโอกาสใหม่ ๆ ที่ในชีวิตนี้ผมไม่คิดว่าจะเจอด้วยซ้ำ อย่างการไปขึ้นเวที เห็นคนดูเยอะ ๆ แล้วเค้าได้รับอะไรกลับไปจากการแสดงของเรา จากการที่เราโชว์แล้วเค้ารับแรงบันดาลใจกลับไป หมูยอ สุดยอดมาก ขอบคุณยักษ์ตนนี้มาก ๆ ที่พาผมไปในทุกที่เลยครับ”

หยิ่น : “ผมจะบอกหมูยอตลอดเลยว่า อย่าเบื่อนะที่ผมจะขอบคุณ เพราะว่าผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เพราะว่าเราได้แรงสนับสนุนจากทุก ๆ คน มันเลยทำให้มีเราวันนี้ และเราก็อยากตอบแทนเค้ากลับไป จนกลายเป็นวัฏจักรวนไปแบบนี้เรื่อย ๆ แล้วก็แรก ๆ พี่วอร์เคยวาดรูปยักษ์แล้วเค้าเกาะอยู่บนไหล่ยักษ์ฝั่งหนึ่ง แล้วผมก็วาดรูปผมอยู่อีกฝั่งด้วย ขอเกาะไหล่ยักษ์ตัวเดียวกันไปด้วยกันครับผม”

วอร์ : “สำหรับหยิ่น ที่อยากจะพูดก็คือ เรื่องสุขภาพเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ยิ่งพออายุ 30 มันเห็นได้ชัดเลยว่า จากหลังไม่ปวดมันจะเริ่มมีก๊อกแก๊กแล้ว แล้วเวลาเตะบอลเกิดขาพลิกขึ้นมามันใช้เวลานานกว่าจะกลับมาปกติ แล้ว หยิ่น อายุยังไม่ 30 เลย แต่เค้ามีอาการเกี่ยวกับหลังก่อนผมแล้ว เป็นห่วงเรื่องสุขภาพ แล้วก็ขอให้อายุ 70 เรายังวิ่งได้เหมือนเดิม เตะบอลได้เหมือนเดิม และอยู่ด้วยกัน ไปทำกิจกรรมตั้งแต่ตอนนี้จนถึงตอนแก่เราก็ยังไปเที่ยวด้วยกันได้ครับ”

หยิ่น : “สำหรับพี่วอร์ ปีแรก ๆ เราจะพูดกันด้วยความลึกซึ้ง แต่ว่าพอหลัง ๆ เราพูดไปหมดแล้ว และเราทั้งคู่พูดออกมาจากใจจริง ๆ เพราะฉะนั้นก็อยากจะบอกว่า ทุกความหวังดี ผมพูดมาจริง ๆ ผมพูดมาตั้งแต่ต้น ต่อให้เราไม่ได้อยู่คู่กัน ต่อให้เราไม่ได้เล่นด้วยกัน ผมยังหวังดีกับคุณเสมอตลอดเวลา ซัพพอร์ททุกผลงาน มีงานอะไรก็จะเชียร์ ดันหลังกันไปกันมาตลอด แล้วก็จะบอกว่าขอให้ได้ทำตามฝันตัวเอง ทั้งเรื่องการเป็นนักแสดง แล้วก็เรื่องที่อยากจัดงานแกลอรี่ นอกจากงานปั้นแล้ว ผมก็อยากให้เค้าได้จัดงานภาพด้วย เพราะว่าเค้าเป็นคนที่วาดภาพได้ลึกซึ้ง แล้วผมก็ชอบงานภาพเช่นกัน ก็ขอให้ทำตามเป้าหมายของตัวเองได้ครับ”

 

 

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day  คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ”  ได้ในทุกสัปดาห์

 

ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1