เปิดชีวิตกว่าจะเบ่งบานงดงาม ของ “บลอสซั่ม ชนัญชิดา” กับมุมมอง LGBT บนเส้นทางการแสดง

Club Pride Day Recap

เปิดชีวิตกว่าจะเบ่งบานงดงาม ของ “บลอสซั่ม ชนัญชิดา” กับมุมมอง LGBT บนเส้นทางการแสดง

25 ก.ย. 2024

“เวลาที่ทำอะไร เรามักจะใช้ความชอบเป็นตัวนำ แต่โลกทุกวันนี้ก็ไม่ได้หันความชอบมาให้เราอย่างเดียว ถ้าบางครั้งโอกาสเข้ามาก็ต้องลองดูก่อน วันนี้เราทำได้ไม่เก่ง แต่วันข้างหน้ามันต้องมีวันที่เราทำได้แน่นอน”

 

เปิด Club ที่ทำให้ได้เรียนรู้ทุกเฉดของชีวิต พร้อมแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ ของเหล่าตัวแม่ในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้ต้อนรับแขกรับเชิญสุดปัง “บลอสซั่ม ชนัญชิดา” หนึ่งในผู้ที่เข้าแข่งขันรายการ The Face Thailand 3 แต่ถึงแม้จะโดนคัดออก และไปไม่ถึงฝัน แต่เธอก็เป็นหนึ่งในตัวเต็งที่หลายคนจับตามอง เพราะเธอมีรูปร่างหน้าตาที่เป๊ะปัง และความสามารถที่พกพามาอย่างเต็มตัว จนกลายเป็นหนึ่งในไอดอลของสาวประเภทสองหลายคน เพราะนอกจากจะสวย และเก่งแล้ว เธอยังมีความพยายาม และมุ่งมั่นตั้งใจอีกด้วย ซึ่งภายหลังจากจบรายการ เธอก็มีงานแฟชั่น และงานเดินแบบอยู่ตลอด และล่าสุดเธอก็ได้ร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกวง 2021ราตรี สีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจดีดี ได้ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการ

 

 

ย้อนวัยใส กับเรื่องราวฝังใจในโรงเรียนชายล้วน

“หลายคนชอบอยากย้อนไปตอนเด็ก เพราะมองว่า ตอนเด็กเจ็บสุดก็แค่หกล้ม แต่สำหรับหนูไม่อยากย้อนไป เพราะตอนเด็กหนูโดนหลายอย่างมาก ด้วยความที่หนูเรียนในโรงเรียนประจำที่มีแต่ผู้ชาย หนูมามีความสุขเต็มที่ คือช่วงหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย ต้องเล่าก่อนว่าเมื่อก่อนผู้ปกครองที่คิดว่าลูกจะเป็นสาวประเภทสอง หรือเป็นทรานส์เจนเดอร์ เค้าจะชอบส่งไปเรียนโรงเรียนประจำชายล้วน ด้วยความคิดที่ว่าไปอยู่กับผู้ชายเยอะ ๆ แล้วจะได้เปลี่ยนเป็นผู้ชายด้วย แต่หนูรู้สึกว่ามันกลับกัน การไปเรียนโรงเรียนชายล้วนทำให้หนูผ่านการโดนคุกคามทางเพศมาด้วย เล่าตอนนี้มันอาจจะตลก แต่ว่าตอนนั้นมันทุกข์ทรมานมากกับชีวิต

ตั้งแต่ ม.1 ด้วยความที่เรามีลักษณะตุ้งติ้ง คือหนูไม่จับลูกบอลเลย จับแต่หนังยาง และชอบอยู่กับผู้หญิง แล้วเหมือนแม่ก็เห็น เลยจับเราไปเรียนโรงเรียนประจำชายล้วน ที่กลับบ้านได้แค่เดือนละครั้ง ซึ่งเวลาโดนคุกคามทางเพศ หนูเคยร้องขอความช่วยเหลือแล้ว ซึ่งคุณครูก็ให้ความช่วยเหลือในระดับหนึ่ง แต่ต้องเข้าใจก่อนว่า ครูในหอพักจะมีแค่ 1-2 คนเอง แล้วในหอพักหนึ่งต้องดูแลนักเรียนกว่า 200-300 คน มันอาจจะเป็นการดูแลที่ไม่ทั่วถึง ตอนที่โดนคุกคามทางเพศ ตอนนั้นที่บ้านไม่รู้ เพราะว่าหนูไม่กล้าบอก กลัวที่บ้านเสียใจ แต่มันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ครูน่าจะเอาเรื่องไปบอกให้แม่เราฟัง ทำให้ที่บ้านรับรู้ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ หนูว่าตอนนี้ไม่มีแล้วค่ะ”

 

 

ความเป็นตัวตน กับการยอมรับของคนในครอบครัว

“ในตอนเด็กหนูกดดันถึงขั้นเคยไม่อยากจะเป็นตุ๊ดแล้ว อยากเลิกดีกว่า อยากเป็นผู้ชายดีกว่า แต่พอได้เรียนรู้จากการรับสื่อต่าง ๆ หนูจึงมองว่า ถ้าผู้ปกครองไม่ยอมให้เราได้เป็นตามที่เราอยากจะเป็น มันก็จะมีปัญหาครอบครัวเกิดขึ้นเยอะมากมาย อย่างเช่น เรื่องที่ผู้ชายไปแอบคบกับผู้ชายแต่ก็ต้องแต่งงานกับผู้หญิง มันก็จะกลายเป็นปัญหาครอบครัวไปอีกในอนาคต

ตอนที่เปิดตัวกับที่บ้าน หนูจำได้ทุกอย่าง มันเหมือนซีนในละครเลย ตอนนั้นหนูผมสั้นแบบนักเรียนเลย แต่หนูเลือกต่อผมแบบโป๊ะ ๆ แล้วเดินเข้าบ้าน แล้วก็นั่งกินข้าวของหนูปกติ หลังจากนั้นแม่ก็เข้ามากอด มันเป็นซีนใหญ่มาก หนูจำกลิ่นได้ จำเหตุการณ์ได้ทุกอย่างเลย ที่ตัดสินใจเปิดตัว เพราะหนูรู้สึกอึดอัดมาก ที่เวลาจะเข้าบ้านทีหนึ่งก็ต้องลบหน้า ต้องเปลี่ยนกระโปรงเป็นกางเกง ทำอยู่แบบนั้นจนหนูรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ซึ่งในใจหนูคิดว่า พ่อแม่ของคนที่เป็นทรานส์เจนเดอร์ เค้ารู้อยู่แล้วว่าลูกเค้าต้องการที่จะเป็นอะไร อยู่ที่ว่าเค้าจะพูด หรือเราจะพูดตอนไหนมากกว่า แล้วตอนนั้นหนูคิดว่าหนูทำไปเลย ไม่ต้องพูด เลือกให้เค้าเห็นไปเลยว่าหนูอยากจะเป็นผู้หญิง

หลังจากเราได้พูดคุย ได้เป็นตัวเองเต็มที่ หนูรู้สึกว่าบ้านมันกลายเป็นบ้านอีกครั้ง ก่อนหน้านั้นหนูไม่อยากจะกลับบ้านเลย ต้องหาเรื่องไปอยู่หอ ซึ่งแม่ก็ไม่ให้ไปอยู่หอด้วย หนูก็พยามบอกแม่ว่ามีทำโครงงาน มีติวหนังสือ แต่สุดท้ายพอพ่อกับแม่ยอมรับแล้วเปิดใจ มันเหมือนทำให้บ้านได้กลับมาเป็นบ้านอีกครั้ง

ส่วนคนรอบข้าง ก็มีบ้างที่เค้าพยายามจะพูดถึงเรื่องเพศเรา เพราะบางครั้งเค้าจะชอบชมเรา แต่เป็นการชมในเชิงเปรียบเทียบ สำหรับหนูคิดว่า ถ้าจะชมใครสักคน หนูอยากให้ชมว่าเค้าหน้าตาดี สวย หรือหล่อไปเลย เราไม่ต้องไปบอกว่า อุ๊ยหล่อเหมือนผู้ชายเลย หรือสวยเหมือนผู้หญิงเลย หรืออย่างประโยคที่ว่า สวยจนดูไม่ออกเลย เพราะหนูคิดว่า จริง ๆ ก็ดูออกแหละ ถ้าเกิดดูไม่ออกจะพูดได้ยังไงว่าดูไม่ออกเลย

หนูรู้สึกว่า ถ้าวันนั้นหนูไม่ต่อผมเข้าบ้าน ไม่พูดคุยกับครอบครัว มันจะเหมือน Butterfly Effect   หนูอาจจะไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ อาจจะไปทำอย่างอื่นเลยก็ได้ บางทีหนูอาจจะแต่งงานกับผู้หญิงก็ได้ หนูก็เลยคิดว่าขอบคุณตัวเองมากที่ตัดสินใจทำในวันนั้น

สำหรับน้อง ๆ ที่อยู่ในช่วงทางโค้ง บางทีน้องอาจจะรู้สึกว่ากำลังถูกรุกล้ำบางอย่างในชีวิต แต่การที่บ้านกลับมาเป็นบ้านอีกครั้ง มันทำให้ทุกอย่างดีขึ้น และชีวิตหนูก็จะดีขึ้น บลอสซั่มคิดว่าบ้านทุกบ้านรู้อยู่แล้วว่าเราเป็นอะไร ไม่ว่าจะเป็น LGBTQ+ เค้ารู้อยู่แล้วว่าลูกเป็นอะไร แต่อยู่ที่ว่าเราจะกล้าเข้าไปเปิดตัวกับเค้ารึเปล่า เราคิดว่าครอบครัวสมัยนี้ง่ายกว่าครอบครัวสมัยก่อนเยอะ ถ้าเราอยากจะเป็นอะไร เค้าพร้อมที่จะสนับสนุนเต็มที่อยู่แล้ว”

 

 

เช็คลิสต์ความฝัน ของ บลอสซั่ม ชนัญชิดา

“เรื่องความฝัน หนูคิดว่ามันเป็นไปตามช่วงวัยต่าง ๆ หนูเคยมีฝันหนึ่ง ที่ไม่กล้าจะฝันด้วยซ้ำ นั่นคือ หนูอยากเป็นนักร้อง ตั้งแต่เด็ก ๆ หนูชอบภาษาไทย และชอบอ่านร้อยแก้ว หนูเคยแข่งขันได้ที่ 1 ของประเทศ แล้วตอนนั้นก็มีความฝันว่า อยากเป็นผู้ประกาศ เพราะฉันแข่งได้ที่ 1 ประเทศมาแล้ว แต่ความฝันตั้งแต่เด็กที่ไม่เคยทิ้งเลยคือ หนูอยากเป็นนักร้องมาก ๆ มันเป็นฝัน ที่คิดอยู่แล้วว่าคงเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าตอนนั้น LGBTQ+ แทบจะไม่มีจุดยืนเลยด้วยซ้ำ ตอนที่หนูฝึกงานก็จะเห็นศิลปินที่ต้องทำตัวเป็นผู้ชายทั้งหมด แล้วพวกหนูยังอยู่เบื้องหลังกันอยู่เลย และตอนนั้น พี่ป๋อมแป๋ม หรือ พี่ก็อตจิ ก็ยังอยู่เบื้องหลังกันหมดเลย

ครั้งหนึ่งหนูเคยเป็น ดีเจ อันนี้ก็เป็นอาชีพที่เซอร์ไพรส์เหมือนกัน เพราะตอนที่เรียนนิเทศศาสตร์ ที่ ศิลปากร เราชอบจัดวิทยุ จนได้มีโอกาสไปจัดอยู่ที่คลื่น 97.5 FM มันเป็นความฝัน ที่หนูได้ทำจริง ๆ แล้วมันสนุก และหนูชอบทำ ซึ่งในหลาย ๆ ความฝัน ถ้าเช็คลิสต์ดู หนูทำได้เกือบหมดแล้ว หนูเคยคิดด้วยว่า ตายได้แล้ว เพราะได้ทำตามฝันเกือบจะหมดแล้ว และตอนนี้หนูเป็น Content Creator หนูทำทุกอย่างที่จะได้เงิน และอีกความฝันที่หนูอยากทำ ในเมื่อหนูมาอยู่เบื้องหลังแล้วคือ การเล่นภาพยนตร์ เพราะรู้สึกว่าเป็นศาสตร์ที่มันมากกว่าละคร เหมือนกับมันพูดน้อยกว่า มันแอคติ้งมากกว่า มันลึกกว่า และตอนที่หนูเรียน หนูไม่ได้เรียนการแอคติ้ง หนูเรียนเรื่องประวัติศาสตร์ภาพยนตร์เป็นส่วนใหญ่ ถ้ามีโอกาสก็อยากเรียนแอคติ้งมาก”

 

กว่าจะเป็น บลอสซั่ม The Face Thailand 3

“ตอนที่ประกวด The Face หนูก็เคยประกวดนางงามมาก่อน เคยไปทำงานประจำมาเยอะมาก แล้วหนูรู้สึกว่าการตอกบัตรไม่ใช่ชีวิตหนู การทำอะไรเป็น Routine หนูทำไม่ได้ เพราะว่าหนูค่อนข้างมีความเป็นอาร์ทติสในตัวเองสูง การที่ต้องเข้างาน 9 โมง แล้วทำอะไรเดิม ๆ หนูไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แล้วตอนนั้นก็คือได้รู้จัก พี่อเล็กซานดุล ที่เป็นช่างผมชื่อดัง พอพี่เค้าเห็นเราเค้าก็ถามว่าสนใจจะไปแข่ง The Face ไหม เดี๋ยวพี่ส่งเอง และจะช่วยแต่งหน้าทำผมให้

ประจวบเหมาะกับตอนนั้นกระแส LGBTQ+ ในการออกรายการกำลังมา แล้วรายการ The Face เหมือนอยากให้ทรานส์เจนเดอร์ได้ลองประกวดด้วย เพราะรูปลักษณ์ของเราก็เป็นผู้หญิง หนูก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นโอกาสของเราแล้ว แต่พอไปแข่งจริงต้องบอกก่อนเลยว่าตอนแรกไม่ได้เข้ารอบ รอบนั้นเป็นรอบพรี จัดที่ สยามพารากอน มี ป้าตือ เป็นกรรมการ แล้วเค้าจะให้เข้าไปในห้องทีละเซ็ท เซ็ทละ 10 คน หนูยอมรับเลยว่าตัวเองก็เดินไม่ได้เก่ง แล้วพอเดินเข้าไปใครไม่โดดเด่นเค้าก็จะคัดออก ซึ่งหนูก็อยู่เซ็ทกลาง ๆ เป็นเซ็ทที่กรรมการเริ่มเบื่อ เริ่มเล่นมือถือแล้ว พอเดินเข้าไปหนูก็ตกรอบ ตอนนั้นใจหายมาก แล้วมีเพื่อนในเซ็ทนั้นไม่ยอม เค้าก็เหมือนเอารูปเราไปโพสในทวิตเตอร์ แล้วคนก็มารีทวิตเยอะมาก เกือบแสนคน จนมันก็จะมีการแข่งขันอีกรอบหนึ่ง รอบนี้เหมือนโปรดิวเซอร์เค้าก็ต้องหาประวัติว่าใครน่าสนใจที่จะเข้ารอบ

ซึ่งหนูก็เรียนที่นิเทศศาสตร์มา ก็จะรู้ว่าด้วยเนื้อหารายการ ถ้าเอาแต่นางแบบเข้าไปหมด รายการเรียลลิตี้มันก็จะไม่มีความสนุก มันต้องมีนางเอก มีตลก มีตัวร้าย คนดูถึงจะอยากติดตามรายการ สุดท้ายหนูก็ได้เข้ารอบ ตอนนั้นโปรดิวเซอร์ก็ได้มาพูดคุยถามว่าเรียนจบที่ไหน ตอนเด็กใช้ชีวิตเป็นยังไง แล้วหนูก็เล่าเรื่องที่หนูเรียนโรงเรียนชายล้วน จนได้เข้าไปแข่งขัน

การประกวด The Face ให้อะไรกับหนูเยอะมาก เพราะว่าหนูเรียนนิเทศศาสตร์มาก็จริง แต่หนูอยากอยู่เบื้องหลัง ตอนเรียนหนูชอบการเป็น Switcher ชอบการเป็นตากล้อง ชอบเขียน Script แต่วันดีคืนดีได้มีพี่เลี้ยงที่เค้าเห็นหนูว่ามีความสามารถพอที่จะประกวดนางงามได้ เลยได้ฝึกศักยภาพของตัวเองในอีกด้านหนึ่งด้วย”

 

 

จากความฝัน สู่ก้าวแรกบนเส้นทางนักร้อง กับวง 2021 ราตรี

“ตอนนั้นหนูก็มาที่ตึกแกรมมี่นี่แหละค่ะ มาแคสเป็นการร้องเพลง ซึ่งเค้าก็ถามก่อนเลยว่า สนใจไหม โปรเจกต์นี้จะเป็นการเอาเพลง จีนี่จ๋า มาคัฟเวอร์ใหม่ ตอนนั้นหนูดีใจมากที่ถูกชวน และเราไม่รู้ว่าถ้าทำออกมาแล้วจะดีหรือไม่ดี หรือว่าจะโดนด่าโดนวิจารณ์ไปในทิศทางไหน แต่เรารักพี่ ๆ 2002 ราตรี มาก เราก็รู้สึกว่าถ้าเรารับโปรเจกต์นี้เราอยากจะทำผลงานที่เชิดชูพี่ ๆ และถ้าเกิดเอากลับมาทำใหม่ มันก็อาจจะเรียกกระแสให้พี่ ๆ 2002 ราตรี กลับมาดังอีกครั้งก็ได้ จนหนูได้มาเป็นหนึ่งในสมาชิกวง 2021 ราตรี

หลังจากออกผลงาน ก็เจอเรื่องคำคอมเมนต์ หรือ คำวิจารณ์ลบ ๆ แต่หนูเคยผ่านมาแล้ว ตอนที่ประกวด The Face หนูเลยรู้สึกว่าอยากอ่านแต่พออ่าน อ่านของคนที่ส่งมาให้กำลังใจดี ๆ แต่ที่มันกระทบจิตใจหนูมาก ๆ คือการที่เพื่อนหนูนี่แหละเอาไปโพส แล้ววิจารณ์แรงมาก เราก็เสียใจแต่ก็บอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไรมันผ่านมาแล้ว หนูเข้าใจในมุมมองของแฟนเพลงนะ เค้าอาจจะรักเพลงนี้มาก ๆ เหมือนที่หนูรัก หลายคนก็อาจจะคิดว่า เพลงจีนี่จ๋า เลยนะ เป็นเพลงระดับตำนานมาก ๆ ทำไมถึงเอามาทำให้เสียของแบบนี้ แต่หนูก็รู้สึกว่า หนูก็ทำเต็มที่ของหนูที่สุดแล้ว เค้าให้ทำอะไรก็ทำตามอย่างสุดความสามารถของหนูแล้ว อย่างตอน The Face ก็โดนหนัก หนูโดนด่าว่าไม่เก่งเลย มารายการได้ยังไง ทำไมถึงร้องไห้ตลอดเลยอ่อนแอมาก อยู่ไม่ไหวก็ออกไปเถอะ แต่หนูก็รู้สึกว่าตัวเองก็ทำเต็มที่ที่สุดแล้ว เลยเลือกที่จะก้าวผ่านมันมา”

 

 

วิธีเปลี่ยนสิ่งที่ไม่ชอบ เป็นสิ่งที่ชอบ ในแบบฉบับ ของ บลอสซั่ม

“หนูรู้สึกว่าอะไรที่หนูไม่เก่งหนูจะไม่ชอบ ตอนแข่ง The Face ตอนนั้นหนูเดินไม่เป็นเลย หนูเดินเก้ ๆ กัง ๆ จนมีช่วงที่รายการพักกองประมาณ 4 เดือน หนูก็เลยตัดสินใจไปเรียนเดินแบบ  แล้วพอเรียนคลาสหนึ่ง ด้วยความที่หนูอาจจะโชคดีที่เป็นคนเรียนรู้ไว หนูไปเรียนแค่คลาสเดียว หนูรู้เลยว่าการเดินต้องเป็นแบบไหน จัดระเบียบร่างกายยังไง พอเรียนเสร็จก็กลับมาถ่ายรายการต่อ แล้วหนูโดน ป้าตือ ชม ตอนนั้นเป็นแคมเปญที่ต้องเดินเป็นเลข 8 บนทางแคบ ๆ  แล้ว ป้าตือ บอกว่า บลอสซั่ม เดินสวยมาก เดินดีมาก เราก็เลยรู้สึกว่าเราก็ทำได้นะ จากตอนแรกเราไม่ชอบเดินแบบเลย เพราะว่าการเดินแบบเป็นสิ่งที่เราทำไม่เป็น เราโดนด่ามาตลอดว่าเราเดินไม่ได้ เวลาเดินชอบห่อตัว แล้วพอแบบไปเรียนเค้าก็จะให้ตั้งไหล่ขึ้น แล้วก็จะต้องเดินไปแล้วมองตรง เหยียดขาตรงเท่านั้น เราก็เลยเก็บทุกรายละเอียด เพราะเรารู้อยู่แล้วว่า รายการ The Face ต้องการหาคนเดินแบบ หลังจากนั้นหนูชอบเดินแบบเลยเพราะรู้สึกว่าเราทำได้ดีแล้วคนชม แต่หนูก็ไม่ได้บอกใครว่าหนูไปเรียนมานะ”

 

มุมมองเรื่อง LGBTQ+ บนเส้นทางการแสดง

“หนูรู้สึกว่า เราขำได้ ตลกได้นะ แต่ว่าไม่ใช่ตัวตลก แล้วการเป็น LGBTQ+ ในวงการสมัยนี้ หนูดีใจมาก ๆ เลยนะ ที่เพื่อนหนูอย่าง แก๊งหิ้วหวี ที่เค้าส่งตัวเองจนมาถึงทุกวันนี้ ทำให้คนมอง LGBTQ+ เปลี่ยนไป พวกเราทั้งทำเพลงเองได้ ทำรายการเองได้ ทั้งทำทุกอย่างเองได้ หนูรู้สึกว่าสมัยนี้ถ้าโอกาสไม่มาหาเรา เราก็ต้องทำให้มีโอกาสเกิดขึ้นให้ได้

หนูวิเคราะห์ว่า ที่หนูเป็น Content Creator แล้วมีคนดูคลิปหนูเยอะ เพราะหนูอาจจะไม่ได้ทำแค่เรื่องบิวตี้อย่างเดียว หนูชอบเล่นติดตลกด้วย เป็น Content ติดตลก ไม่ใช่ขายสวยอย่างเดียว แต่บางทีมันก็ไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ หนูว่าการเล่นตลกยากมาก ถึงเพื่อนจะบอกว่าหนูเป็นคนตลก แต่ถ้าไปทำตลกจริง ๆ มันไม่ค่อยตลก และสิ่งที่ยากที่สุดที่หนูเคยเรียนมาคือการเล่นซิทคอม”

 

 

เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ บลอสซั่ม ชนัญชิดา

“ความรักตอนนี้หนูโสดค่ะ แต่ว่าไม่ 100% หนูชอบการมีคนคุย แล้วตอนนี้หนูแฮปปี้มากกับชีวิตโสด หนูคิดว่าคนที่หนูจะเลือกคบจริง ๆ หนูค่อนข้างที่จะกรองแล้ว แล้วคนที่หนูคบทั้งหมดที่ผ่านมา เค้าจริงใจหมด เพราะหนูค่อนข้างที่จะมีจิตวิทยากับคนเหมือนกัน หนูเป็นคนชอบมองคนก่อนที่จะคบ ถ้ารู้สึกว่าใครไม่จริงใจ หนูก็จะไม่คุยตั้งแต่แรก

เวลาเจอปัญหาความรัก หนูคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ชอบเก็บปัญหาเอาไว้ เช่นเวลาเราไม่พอใจ เราจะไม่พูดเลย จนถึงวันที่หนูทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ หนูก็จะเดินออกไปจากความสัมพันธ์ อีกอย่างคือ เวลาหนูมีปัญหาความรัก หนูจะฟัง Club Friday แล้วจะพิมพ์ใน Pantip เพื่อดูว่ามีใครเจอปัญหาเหมือนเรื่องของเรารึเปล่า หนูไม่รู้จะถามใครเพราะว่าถามแฟน แฟนก็จะให้คำตอบไม่ได้ หนูก็เลยมักจะถามคนรอบข้างว่าหนูแปลกไหม ที่ชอบหาคำตอบในอินเตอร์เน็ตแล้วก็ถามคนในโซเชียลมากกว่าคนข้าง ๆ เวลาอกหักหนูชอบไปทะเลคนเดียว หนูเป็นคนที่ให้คำปรึกษาความรักทุกคนได้หมดเลย แต่หนูไม่สำเร็จในความรัก

หนูเป็นคนที่เวลาเลือกใครแล้วมันไม่ใช่ มันจะรู้สึกไม่เอาแล้ว มันเหนื่อย ไม่อยากมีความรัก  อยากอยู่คนเดียว อยากใช้ชีวิตให้มีความสุข แต่สุดท้ายหนูก็รู้สึกว่า การมีคนคุย มันก็เป็นการทำให้เราชุ่มชื่นหัวใจเหมือนกัน อย่างที่พี่อ้อยเคยพูดว่า ช่วงเวลาที่จีบกันนั่นแหละ เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด หนูเลยรู้สึกว่าอยากรักษาตรงนี้ไว้สักพักหนึ่ง อย่างคนก่อน ๆ หนูดูใจกันเร็วมากประมาณ 3 เดือน ก็คบเป็นแฟนแล้ว หลังจากนั้นหนูก็เลยรู้สึกว่าอยากคุยให้รู้เลยว่าคนนี้ใช่ไหม ถ้าผ่านไป 5-6 เดือนแล้วยังรู้สึกโอเคกับเค้าอยู่ เราก็อยากจะเป็นแฟนกับเค้าจริง ๆ

หนูชอบไปเกาหลีมาก เหตุผลหลักมาจากผู้ชายด้วย หนูรู้สึกว่าผู้ชายเกาหลีหล่อ และโรแมนติกมาก ๆ แต่ส่วนใหญ่ที่หนูเจอคือ จะโรแมนติกแค่คืนเดียว เหมือนคุยกันโรแมนติกดีมาก ๆ แค่คืนเดียว แต่ว่าหลังจากนั้นเค้าก็หายไปเลย ซึ่งตอนนี้หนูคิดว่าตัวเองจะมีคนคุยหรือไม่มีก็ไม่สำคัญแล้ว ตอนนี้หนูรู้สึกว่าเรามีเพื่อนเยอะมาก มีกิจกรรมอะไรที่เรายังไม่ได้ทำเยอะมาก สิ่งที่อยากทำอย่างหนึ่งเลยคือ การเที่ยวรอบโลก และช่วงนี้เหมือนหนูกลับมามีแพชชั่นใหม่ ในการได้เริ่มทำอะไรใหม่ ๆ ตอนนี้หนูก็กำลังจะทำ Live กำลังจะทำกิจการของตัวเอง และสนุกกับสิ่งที่ตัวเองอยากทำค่ะ”

 

 

“คำนำหน้า” ความเท่าเทียม ที่อยากผลักดัน

“ความเท่าเทียมตอนนี้ เรามี สมรสเท่าเทียม เรียบร้อยแล้ว หนูรู้สึกว่าอีกอย่างหนึ่งที่หนูอยากให้เกิดขึ้น มันอาจจะดูขอมากไป แต่สำหรับหนูคิดว่ามันจำเป็นมาก คือ การเปลี่ยนคำนำหน้า อย่างเพื่อนหนูที่ไปอเมริกาจนได้สัญชาติแล้ว เค้าก็จะสามารถเปลี่ยนคำนำหน้าตามที่เค้าอยากจะใช้ได้ แล้วเวลาหนูไปต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ก็จะชอบดูพาสปอร์ต แล้วมองหน้าเราแปลก ๆ จนบางครั้งถูกเอาไปสัมภาษณ์ในห้องเย็น เพราะเพศสภาพไม่ตรงกับหน้าพาสปอร์ตและมีบางครั้งในบางประเทศที่เราเข้าไม่ได้

ในเรื่องความเท่าเทียม หนูคิดว่าทุกคนรู้ดีว่าตัวเองอยากจะเป็นอะไร แต่ทุกคนแคร์เสียงของคนรอบข้างมากเลย หนูอยากให้ทุกคนเชื่อมั่นในตัวเอง แล้วก็คิดว่าตัวเองเป็นอะไรแล้วมีความสุข เพราะชีวิตหนึ่งเราเกิดมาครั้งเดียว อยากใช้ชีวิตอย่างไรใช้เลย โดยที่ต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ถ้าคุณอยากจะเป็นเพศอะไร หรืออยากจะเป็นอะไรก็ตาม หนูคิดว่าเป็นเลย ยังไงคนรอบข้างเค้าก็ต้องเข้าใจเราอยู่ดี หนูคิดว่าทุกคนรู้หมดว่าเราเป็นอะไร แล้วเราอยากจะเป็นอะไร”

 

สีสันแรงบันดาลใจ จาก บลอสซั่ม ชนัญชิดา
“สำหรับคนที่อยากทำ Content หนูรู้สึกว่าทำไปเลย ทำในสิ่งที่ตัวเองรักและทำได้ดี สมมติว่าถ้าเราไม่ได้รัก แล้วเราฝืนทำ เดี๋ยวมันจะกลับมาสู่จุดเดิม เพราะเราจะท้อ แล้วก็ไม่อยากทำไปเอง ถ้าชอบแต่งหน้าแต่งเลย ชอบร้องเพลงร้องเลย ชอบเดินแบบเดินเลย หนูเคยเห็น Content Creator บางคนที่เดินแบบอย่างเดียว แล้วเค้าก็ดัง มีชื่อเสียงไปเลย หนูคิดว่าถ้าใครเก่งด้านไหนทำไปเลย ตอนนี้มันไม่จำกัดแล้วว่าคุณเป็น ชาย หญิง หรือ LGBTQ+ ทุกคนเท่ากันหมด แล้วก็สามารถทำ Content ของตัวเองได้ แต่ก่อนหนูแคร์คนอื่นมากเลย จนบางทีเจอบางคอมเมนต์ที่เป็นใครก็ไม่ รู้เราไม่รู้จักเลย แต่มันทำให้เรานอยด์ไปทั้งอาทิตย์ นอยด์ไปทั้งเดือน จนบางครั้งช่างมันบ้างก็ได้” - บลอสซั่ม ชนัญชิดา

 

 

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day  คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ”  ได้ในทุกสัปดาห์

 

ดูรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1