“เตยเชื่อว่าความสวยงามของชีวิต จริง ๆ มันคือการเดินระหว่างทาง ไม่ใช่จุดหมาย เพราะฉะนั้น จุดหมายของเตยเปลี่ยนได้ทุกวัน และเตยอยากให้มนุษย์
มีความฝันมากกว่า 1 อย่าง เพราะมันจะทำให้ชีวิตสนุกมากขึ้น”
เปิด Club ส่งต่อแพชชั่น จากสีสันของชีวิต พร้อมแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดฮีลใจ “เตยยี่ ประภัสสร” ศิลปินที่เชื่อว่า ศิลปะไม่ทำให้เราอดตาย จนกลายมาเป็นศิลปินที่ให้กำลังใจผู้คนผ่านถ้อยคำ เธอเชื่อว่า ภาษาไทยจะสามารถกลายเป็น ศิลปะ ที่เข้าถึงอารมณ์ผู้คนได้ กว่าจะมีวันนี้ เธอผ่านหลากหลายเรื่องราวของชีวิต และได้แบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจไว้ในรายการด้วย
“นักเล่าเรื่อง” กับนิยามความเป็น เตยยี่
“เตยรู้สึกว่า ตัวเองเป็นนักเล่าเรื่อง เตยเป็นคนที่มีความเชื่อในศิลปะ ซึ่งมันอยู่ที่ว่าช่วงไหน หรือเวลาไหนที่เรารู้สึกว่า เราอยากถ่ายทอดอินเนอร์ความเป็นมนุษย์ ผ่านกระบวนการไหนก็ตาม เมื่อก่อนเตยอาจจะถนัดในเรื่องของการเป็นครูสอนการแสดง เตยก็เลยเลือกวิธีสอนการแสดงเพื่อสื่อสารจิตวิญญาณของเรา ผ่านมาช่วงหนึ่งเตยเลือกเล่าเรื่องผ่านการจัดละครเวที ทำ Exhibition บ้าง แต่ ณ วันนี้เราเลือกสื่อสารความเป็นมนุษย์ผ่านคำเขียน
อย่างรายการ Teayii Talk ก็เกิดจาก Exhibition ที่ชื่อว่า A HEART TO BE HEARD เพราะหัวใจทุกดวงมีคุณค่าในรูปแบบของตัวเอง ซึ่งพอได้จัด Exhibition วันนั้นเตยคิดอย่างเดียวเลยคือ อยากให้รู้ว่าจริง ๆ แล้วมนุษย์มีหลายฤดูกาลความรู้สึก เราไม่ได้มีแค่ความสุข เราไม่ได้มีแค่ความสวยหรู เราไม่ได้มีแค่ความฝัน ทุกคนผ่านฤดูกาลต่าง ๆ มาแล้ว หลังจากนั้น เตยก็เลยเชิญคนในวงการต่าง ๆ มานั่งสัมภาษณ์กับเรา แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการคุยแบบ Deep Talk เป็นคำถามที่ไม่ได้เน้นมีม จะเน้นแค่ว่าวันนี้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเตยเค้ามีอะไรมาพูดคุยกัน”
เตยยี่ กับวิธีทำความเข้าใจ “ทุกข์”
“ย้อนกลับไปตั้งแต่เด็ก เตยได้ทุกอย่างมาจากคุณแม่ คุณแม่จะเป็นคนที่ไม่ให้เสพความทุกข์เลย ตอนเด็ก ๆ เตยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองเรื่องความโชคดี สมมติว่าสอบตก เตยไม่เคยต้องมานั่งขอโทษแม่ แล้วแม่จะบอกว่า สอบตกก็แค่ซ่อม แม่จะให้ไปคิดเอาเองว่า ชอบเรียนอะไรก็ตั้งใจให้เต็มที่ มันทำให้ทุกอย่างผ่านไปไวมาก ไม่ชอบเรียนวิชานี้ก็แค่เปลี่ยนวิชา แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้รู้สึกว่า จริง ๆ เราเป็นคนที่ชอบเจาะลึกด้านอารมณ์ แล้วชอบเสพแค่ความสุขด้วย จนวันหนึ่งมันมีความเศร้าเข้ามา ซึ่งพอเราเศร้ามาก ๆ เราไม่มีทางออก เตยก็เลยเลือกเขียน เพื่อให้เราได้ยินเสียงของตัวเอง
ชีวิตมันเลือกไม่ได้ เตยมีหน้าที่เดียวคือไม่ผลักใสความทุกข์ แล้วก็ทำความเข้าใจ เมื่อก่อนเตยเป็นคนที่ยอมไม่ได้เลย ถ้ามีคนมาทักว่าเตยเศร้าอะไร เราจะตอบทันทีว่าไม่เป็นไร แฮปปี้มาก แล้วแสดงออกแค่ด้านบวกอย่างเดียว ซึ่งทำมาโดยตลอด จนถึงอายุ 30 เลยนะ เตยไม่เข้าใจความทุกข์ด้วยซ้ำ จน ณ วันหนึ่งที่เรารู้สึกว่าทุกข์เกินไปจนต้านไม่ไหวแล้ว มันมีเรื่องที่เราไม่เข้าใจเยอะอยู่ แล้วเรื่องพวกนั้นพอทบทวนดู สุดท้ายมันคือเรื่องความรัก เพราะว่าเวลาเรารัก เราจะรู้สึกว่าเค้าต้องรักเราสิ แล้วความรักมันต้องสวยงามสิ แต่บางทีเราเจอความรักที่มันไม่สวยงาม ซึ่งเราทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากทำความเข้าใจ
โดยวิธีที่ง่ายที่สุดคือ คุยกับตัวเองให้เป็น อาจจะไม่ต้องพูดกับกระจกก็ได้ บางคนเขียน หรือบางคนอัดเสียงแล้วมาเปิด เพื่อเช็คว่าตอนนี้รู้สึกยังไง สะท้อนความคิดตัวเองให้ได้ อย่างวันนี้ ก่อนมารายการ เตยมีอารมณ์เหงา คือเตยเป็นคนขี้เหงามาก แล้วเตยเหงาอยู่ประมาณ 20 นาที ซึ่งเตยมีวิธีการคือพูดกับตัวเองเยอะมากว่า ข้อดีในชีวิตเราเยอะมากนะ อย่างน้อยเรามีน้ำสะอาดให้อาบ เรามีสบู่ที่เพิ่งไปออกงานอีเว้นท์มา แล้วเราได้ฟรี เรามันเก่งจัง ที่หาสบู่ฟรีใช้ได้ แล้วเตยเลยรู้สึกว่า สุดท้ายแล้วจุดสังเกตที่ดีที่สุดคือ หาวิธีคุยกับตัวเองให้เป็น โดยที่ต้องไม่หลอกตัวเองด้วย”
เมื่อชีวิตรู้สึก “กลัวความเหงา”
“นอกจากกลัวความเศร้าแล้ว เตยกลัวความเหงา เพราะรู้สึกว่าความเหงาเป็นเรื่องที่น่าอาย แล้วช่วงนี้เป็นช่วงที่ปรับตัวเยอะมาก เพราะอยู่ในช่วงที่เพิ่งขอแฟนแต่งงาน เราเปลี่ยนเอเนอร์จี้มามีคนหนึ่งคนข้าง ๆ เราเปลี่ยนเอเนอร์ของการออกงาน การทำงาน การกลับบ้าน การไปรับไปส่ง จนสุดท้ายมันมีความคิดขึ้นมาว่า มันมีความเหงาอยู่ในนั้นเหมือนกันนะ เพราะก่อนหน้านี้เราใช้ชีวิตหลังจากอกหัก เราฝึกทำความเข้าใจอารมณ์เรามาอย่างดีแล้วว่าอยู่คนเดียวเป็นยังไง เราใช้ชีวิตเพื่อตัวเองมาสักพักใหญ่ ไปออกงานเพื่อตัวเอง ไปปาร์ตี้เช้าจรดเย็นเพื่อตัวเอง แล้ว ณ วันนี้ พอเรามีคน ๆ นี้อยุ่ข้าง ๆ ช่วงเวลาที่เคยเป็นของเรา วันนี้เราควรจะแบ่งเวลาส่วนหนึ่งเพื่ออยู่กับเค้า เตยว่าความเหงามันมาพร้อมความสนุกด้วย ณ วันนี้ เตยมาหาความสุขคือเวลาเราอยู่กับแฟนในห้องสองคนแล้วเราสนุกยังไง ซึ่งคำตอบคือ มันเป็นความสนุกอีกรูปแบบหนึ่ง และความเหงาของเตย ไม่ได้เกิดขึ้นในเวลาที่เราอยู่กับแฟนนะ มันเกิดขึ้นจากการที่เสียงสังสรรค์ การปาร์ตี้สุดเหวี่ยงรอบข้างมันลดลงเฉย ๆ ซึ่งเราแค่ยังไม่ชิน
ณ วันนี้ เตยรู้สึกว่าตื่นมามีความสุขทุกวัน แต่แค่อย่างวันนี้ที่เกิดความเหงากับเรา 20 นาที มันคือเหงาแป๊บเดียว เรารู้ตัวเองว่าเราเหงา อย่างตอนอกหัก เตยไม่ให้ตัวเองอกหักเกิน 10 วัน ซึ่งจริง ๆ แล้ว ความเศร้ามันห้ามไม่ได้นะ แต่เตยมีสิทธิ์ที่จะกำหนดให้ตัวเองไม่ทุกข์ยาวนาน เพื่อหลังวันที่ 10 ตัวเองต้องทำงานได้แล้ว เรามีไทม์ไลน์กำหนดไว้ เพื่อไม่ให้ชีวิตเราดิ่งเฉย ๆ แต่ความเศร้ามันห้ามไม่ได้จริง ๆ”
ในความกลัว...มันจะมีความกล้าซ่อนอยู่เสมอ
“จุดหนึ่งเตยพาตัวเองไปดูงานศิลปะทุกรูปแบบ ไปเดิน Exhibition ไปดูละครเวที ไปดูคอนเสิร์ต ไปดูงานอาร์ท ไปดูทอล์ค เตยมองว่ารอบตัวคืออาร์ทหมดเลย ซึ่งในการจะทำอะไรสักอย่าง มันจะมีกล่องความคิดอยู่ 2 กล่อง คือกล่องความอยาก และกล่องความกลัว แต่เตยคิดว่าถ้ากลัวแล้วต้องทำ อย่างการนั่งสัมภาษณ์คนดัง เตยกลัวมากนะ เพราะเตยเป็นคนที่ชอบอยู่เบื้องหลัง แล้วพอออกหน้ากล้อง ตอนแรกเราจะไม่ค่อยสะดวก และไม่ค่อยถนัด แต่เตยก็พยายามดูให้เยอะที่สุด และถ้ากลัวอะไรให้ทำ เพราะสุดท้าย ความกลัวมันจะมีความกล้าซ่อนอยู่เสมอ”
อยากให้ลายเซ็นเตยยี่ เป็นพื้นที่ปลอดภัย
“ส่วนใหญ่แล้ว Exhibition ที่หลายคนได้สัมผัสคือ เราจะเห็นงานแสดงภาพถ่าย งานปั้น งานอาร์ทหลายรูปแบบ แต่วันนี้ เตย เป็นคนหนึ่งที่บอกว่า ตัวอักษรภาษาไทยเป็นงานศิลปะ ซึ่งมันเกิดความเห็นต่าง และมันมีกระแสอยู่แล้วที่จะบอกว่า เขียนคำแล้วเป็นงานศิลปะได้ยังไง วิธีการรับมือตอนแรก ๆ เตยหงุดหงิด เพราะว่าบางทีคำในอินเตอร์เน็ตมันโหดเหี้ยมมาก ใจร้ายมาก พอเราโดนก็เลยมาหาอีกสเต็ป แล้วพบว่าการคุยกับคนเยอะ ๆ ช่วยได้ ซึ่งคนที่อยู่ในวงการก็จะพูดว่าให้ปล่อย โดยการปล่อยของเตย เราจะทำความเข้าใจก่อนว่าศิลปะที่เราทำอยู่ มันมีหน้าที่ทำให้คนรู้สึก ถ้าใครไม่รู้สึก อย่าบังคับเค้า แล้วเราไม่มีสิทธิ์ไปบอกว่า นี่งานฉัน ทำไมไม่มองเป็นศิลปะ
เตยคิดไว้ตั้งแต่แรกเลยว่า เตยอยากให้ลายเซ็นตัวเอง กลายเป็นพื้นที่ปลอดภัย ใครสะดวกมาเสพให้เสพ ใครไม่สะดวกอย่างน้อยเลื่อนผ่านก็ได้ ไม่ต้องโจมตี เพราะว่ามันเครียดนะ จนปัจจุบันเตยรู้สึกว่า สุดท้ายแล้วช่วงนี้คนเอาคำภาษาไทยมาใช้เป็นงานอาร์ทเยอะมาก เราได้เปิดประตูโลกใหม่ที่มันมีมาอย่างยาวนานแล้ว และเตยรู้สึกว่า ภาษาไทยสวยมาก ทำไมเราถึงไม่มี คำภาษาไทยในงานอาร์ท เหมือนที่เมืองนอกบ้าง เราก็เลยมาทำของเราเอง
ตอนที่เตยเรียนในธรรมศาสตร์ มีวิชาหนึ่งที่เตยชอบมาก ชื่อวิชาว่า Art Management คือเป็นนักศิลปะยังไงที่ไม่อดตาย ซึ่งเค้าสอนแม้กระทั่งทำ Presentation ขายสปอนยังไง แล้วเตยรู้สึกว่าขอบคุณมากที่เตยได้เรียน แล้วมันเป็นจุดเปลี่ยนของเตยที่รู้สึกว่า Art ไม่จำเป็นต้อง For Art มันสามารถกลายเป็น Art For Business ได้ และมันสวยงามเหมือนกัน มันมีช่วงหนึ่งที่เตยโดนโจมตีว่าคนนี้เขียนเพื่อเงิน คำตอบคือใช่ บางอย่างเราเขียนเพื่อเงิน บางอย่างเราเขียนเพื่อฮีลใจตัวเอง บางอย่างเราเขียนเพื่อฮีลใจเพื่อนรอบข้าง เพราะฉะนั้น ศิลปะมีหน้าที่หลายรูปแบบ”
การมีหลายความฝัน มันทำให้ชีวิตสนุกขึ้น
“ที่เตยมองว่ามนุษย์ควรมีความฝันมากกว่า 1 อย่าง เพราะว่าเตยเคยมีความฝันอย่างเดียวแล้วเจ็บปวด และเตยรู้สึกว่าจริง ๆ แล้วมนุษย์ควรสนุกกับชีวิต ตอนแรกเตยมีความฝันอยากเป็นครู พอทำไปแล้ววันหนึ่งมันถึงจุดอิ่มตัว ซึ่งมนุษย์ Burn Out ได้ แล้วถ้าถึงจุดนั้น สิ่งที่เราทำได้คือการสะสมระหว่างทางใหม่ เตยเชื่อว่าความสวยงามของชีวิต มันคือการเดินระหว่างทาง ไม่ใช่จุดหมาย เพราะฉะนั้นจุดหมายของเตยสามารถเปลี่ยนได้ทุกวัน และมนุษย์ควรจะมีความฝันมากกว่า 1 อย่าง เพราะว่ามันทำให้ชีวิตสนุกขึ้น”
จากฝันอยากเป็นครู สู่ Rhythm Of Arts Creative Space
“Rhythm Of Arts Creative Space เป็นโรงเรียนที่เกิดจาก Pain Point ของเตย คือเรารู้สึกว่าเราไม่มีที่ยืนให้กับความฝันของเราเอง เราชอบงานศิลปะมาก แต่วันหนึ่งอาจจะต้องเข้าไปเรียนวิทยาศาสตร์ เรียนคณิตศาสตร์ เรียนภาษาอังกฤษ แล้วเตยมีคำถามที่ลึกมากคือ เตยรู้สึกว่าเราใช้เวลา 12 ปีตั้งแต่ป.1 ถึง ม.6 ไปกับการเรียนไทย อังกฤษ สังคม วิทยาศาสตร์ แล้วทำไมไม่ฝึกให้เรากลายเป็น Artist เลย แล้วเตยก็ได้ไปเจอเพื่อน ๆ ที่เค้าเรียนโรงเรียนโรงเรียนอินเตอร์ ที่เค้ามีเรียนแบบซ่อมรถ เตะบอล และล้างฟิล์ม
เตยโชคดีที่รู้ตัวเอง และได้เข้าเรียน ศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วได้ไปหมกมุ่นอยู่กับศิลปะ มันเป็นจุดใหญ่เหมือนกันที่ทำให้เราได้รู้ว่า การที่วันนี้เราตื่นมาแล้วได้เดินเข้าไปโรงเรียนที่เราอยากเรียน มันมีความสุขมากเลย
ถามว่าศิลปะกับเด็กไทยเป็นยังไงบ้าง เตยว่า ปัจจุบันเด็กมีโอกาสเยอะ เพราะเห็นจาก Art Exhibition ที่มีการจัดเยอะมาก เดือนนี้ประมาณ 40 งานทั่วกรุงเทพ เตยว่ามันเป็นโอกาสที่ให้คนได้เห็นงานใหม่ ๆ และสมัยนี้ศิลปะมันเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะมีตัวอย่างคนที่ประสบความสำเร็จจากอาชีพนี้มากขึ้น และล่าสุดเตยเพิ่งเจอใน Tiktok มีคนสอนรำพระพิฆเนศ แล้วมีคนลงคลาสเต็มเลย ทุกวันนี้มันวาไรตี้มาก และงานอาร์ทอยู่ทุกที่
และในวันที่เราเปิดโรงเรียน ผลตอบรับดีมาก ตอนนั้นเป็นช่วงที่จับพลัดจับผลู เหมือนเราลาออกจากงานประจำ แล้วเราก็รู้อย่างเดียวว่าเราชอบกำกับ แต่การจะกำกับได้ เตยต้องเริ่มจากไปเป็นอาจารย์สอนการแสดงตามสถาบันก่อน แล้วก็ไปแคสที่สถาบันหนึ่งที่ดังมาก ๆ แล้วไม่ผ่าน จากนั้นก็เลยพลังจากแม่มา แม่บอกว่าเตยแคสไม่ผ่านก็เปิดเองสิ เราก็เลยเปิดโรงเรียนเอง ณ วันนั้นวิชาแรกที่สอนชื่อค่ายว่า ติสท์แตก เป็นค่ายที่รวมนิเทศศาสตร์ เอารุ่นน้อง นิเทศจุฬา, ศิลปกรรม ธรรมศาสตร์, การแสดง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มารวมกัน แล้วก็ทำให้พื้นที่นั้นมีแต่เรียนการแสดง และเด็กจะได้เรียนกับพี่แต่ละมหาวิทยาลัยที่แตกต่างกัน เพื่อให้ได้รู้ตัวเองว่าจริง ๆ เราชอบอะไร ซึ่ง ณ วันนั้น เราประสบความสำเร็จ เนื่องจากว่ามันใหม่ด้วย ที่เป็นค่ายเน้นปฏิบัติ และเป็นปฏิบัติที่แนะแนวด้วย และเตยกล้าพูดเลยว่า เตยเป็นครูที่อนุญาตให้เด็กพูดคำว่าไม่ชอบ เพราะเตยรู้สึกว่ามนุษย์มีสิทธิ์ที่จะไม่ชอบ แล้วถ้าเข้ามาใน Rhythm Of Arts Creative Space ของเรา คุณก็มีหน้าที่เดียว ก็คือ ค้นหาตัวเอง แล้วสนุกกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
อย่าง เตย ตอนเป็นผู้กำกับ จากที่เราเรียนจบกำกับการแสดงมา แต่พอในมาใช้ชีวิตจริง สมัยนั้นประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่เราจะหาเงินได้ด้วยการทำละครเวที สมัยนี้อาจจะดีขึ้นแล้ว ซึ่งสมัยเตย เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้กำกับละครเวทีที่หาเงินไม่ได้ ไม่ตอบโจทย์ แล้วมันไม่ใช่แค่เรา คนรอบข้างในวงการละครเวทีสมัยนั้นก็มีปัญหาแบบเดียวกัน จนเรารู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ศิลปะที่เราถนัด เพราะถ้าเราถนัด เราจะหาข้อดีจนเราทำต่อไปได้ เตยก็เลยเลือกที่จะไม่ทำละครเวทีแล้ว”
เมื่อรักที่ผิดหวัง ทำให้เกิดเพจสุดฮีลใจ teayiiartsworks
“ถ้าถอดบทเรียนจากตัวเอง เตยว่า ความรักที่ผิดหวังของเรา เกิดจากวินาทีที่เราไม่ห้ามใจ เรารู้ดีว่าบางความสัมพันธ์เราไม่ควรเข้าไป บางความสัมพันธ์มันจะเป็นพิษทีหลัง แต่ด้วยความที่เราไม่ห้ามใจ แล้วพอเอาตัวเองเข้าไปในความสัมพันธ์ กลายเป็นเหมือนรอวันที่เราจะโดนเผา แล้วคนที่จุดไฟเผานั้นไม่ใช่ใคร แต่คือตัวเราที่จุดไฟเผาตัวเอง เตยว่าสุดท้ายแล้ว อย่าหลอกตัวเองดีกว่า ความผิดหวังเกิดจากการที่เราพยายามปิดบังมัน แล้วการปิดบังนั้นส่วนใหญ่มันคือสิ่งที่เรารู้อยู่แก่ใจ หลายต่อหลายเคสที่เราเห็นเป็นกองเพลิง แต่เราก็ชอบ อยากลองลุยไฟ แม้เคยมีคนเตือนว่าเตยยี่เธออย่าเข้าไปหาคนนี้นะ แต่เราตัดสินใจเดินเข้าไปเลย
teayiiartsworks มันเกิดจากที่เตยชอบเอาคืนความทุกข์ บางคนอาจจะบอกว่าทุกข์แล้วมีคุณค่า แต่เตยว่าทุกข์แล้วต้องเอาคืน เพราะเราเสียเวลาร้องไห้กี่วันกี่เดือนกี่ปี เตยก็เลยรู้สึกว่าทุกความทุกข์ของเตย เตยจะจดไว้เสมอว่าทุกข์แล้วเตยได้ยินเสียงอะไร เช่นมีอยู่เคสหนึ่งพิมพ์หากันเช้าจรดเย็น แล้วอยู่ ๆ หายไป จนเรารู้สึกว่า มันจะมีการพิมพ์แบบไม่มีสถานะ เหมือนที่เด็กสมัยนี้ชอบรายงานกัน ณ วันนั้นเตยจดไว้เลยว่า เอเอ็มทูพีเอ็มไม่อยากพิมพ์หาเธอแล้ว เตยก็เลยเอามาทำเป็น Exhibition ชื่อว่า AM Till PM ไม่อยากพิมพ์หาเธอแล้ว จากความรู้สึกอึดอัดในวันที่เราเหมือนโดนบังคับให้พิมพ์หาอยู่ได้ ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้อยาก หรือบางวันเกิดคำถามว่า เราอยู่ในสถานะไหนนะ เราเป็นใครทำไมเราต้องไปพิมพ์หาเค้า เตยก็เลยสะสมความอึดอัดแต่ละช่วงเวลา ในความรู้สึกที่เราเจอแต่ละเคสมา แล้วก็เอาคืนมันโดยการทำ Exhibition
ตอนเปิดเพจแรก ๆ พอโพสต์ภาพไป เรายังต้องบังคับให้เพื่อนรอบตัว 50 คนมาช่วยกดไลค์ให้หน่อย และช่วงแรก ๆ เตยจะเขียนอะไรที่เราควรจะรู้สึก มันจะดูฟุ้งซ่านไปหน่อย เพราะเราไม่อยากทุกข์ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเขียนสิ่งที่เราทุกข์จริง ๆ หรือเกิดขึ้นในวันนั้นจริง ๆ มันทัชใจคน และเริ่มมีคนชอบผลงานเรามากขึ้นจนถึงทุกวันนี้
เตยอยากบอกว่า ความรักมันน่ากลัว เพราะความรักมันจะมาพร้อมอารมณ์ที่หลากหลายมาก ทั้งความคาดหวัง การตั้งคำถาม ความเจ็บปวด แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ความรักให้เราได้เสมอคือความจริง มนุษย์มีหน้าที่เผชิญหน้ากับความจริง สุดท้ายแล้วสิ่งที่ทำให้เตยเดินผ่านความเจ็บปวดจนมาถึงคำว่าความรัก เพราะเตยเป็นคนไม่ทอดทิ้งความจริง เวลาเศร้า เตยเศร้าจริง ๆ เวลาเค้าไม่รัก เตยยอมรับจริง ๆ ว่าเค้าไม่รักเตยแล้ว เค้าปฏิเสธเตย เตยยอมรับว่าเค้าปฏิเสธเตย แต่สิ่งหนึ่งที่ความจริงที่มันพรากเตยไม่ได้คือ เราไม่ใช่มนุษย์ที่ไม่มีค่า เราเป็นมนุษย์ที่ควรได้ความรัก แล้วความรักนั้นควรจะเริ่มจากการที่เราปรับปรุงตัวเองก่อน ตราบใดที่เราไม่ปรับปรุงตัวเอง หรือไม่เผชิญหน้ากับความจริง เราจะไม่ได้สัมผัสความรักที่แท้จริง”
จากรักที่สมหวัง สู่ Exhibition ที่เคารพในความรักที่ตามหามาตั้งนาน
“ความรักครั้งล่าสุด เราเจอกันในแอพพลิเคชั่นหาคู่ของลูกค้าค่ะ เป็นแอพที่ลูกค้าเคยจ้างเตยให้ไปเขียน แล้ว CEO เค้าก็เคยถามว่า เตยยี่สนใจใช้แอพไหม ตอนนั้นเราก็บอกว่ายังไม่อยากใช้เพราะมีแฟนแล้ว หลังจากนั้นเราคิดยังไงก็ไม่ที่ตัดสินใจสมัครแอพแล้วก็ออนไว้ และได้คุยกับคนประมาณ 2-3 คน แต่ก็ไม่ถูกใจ เลยลองปรับขยายช่วงอายุของคนที่เรากำลังมองหาดู จนมีวันหนึ่งเค้าก็ทักมา ตอนนั้นเราก็ยังคิดว่าจะขอคุยใน IG ได้ไหม แต่เค้าไม่เล่น IG แอคเคาท์ของเขาเป็นเหมือนหญิงสาวปริศนา เราก็เลยตัดสินใจให้ Line เค้าไป แล้วก็ได้เห็นหน้าจนรู้ว่าคนนี้มีตัวตน แล้วไม่กี่วันหลังจากนั้นก็เริ่มอยากเจอหน้า เพราะจะได้รู้ไปเลยว่า คุยต่อหรือไม่คุย ก็เลยนัดเจอกัน พอได้เจอกันต้องบอกว่าความรักครั้งนี้มันเกิดขึ้นไวมาก เหมือนวันนั้นเค้ามาซบตรงไหล่ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันเลย เหมือนเค้าเหนื่อย เราก็เลยให้ซบ แล้วเราก็เกร็ง ตัวแข็งขึ้นมา คิดกับตัวเองว่าทำไมเราให้ผู้หญิงคนนี้ซบ อ้อมกอดในวันนั้น เป็นความรู้สึกเหมือนเราเคยกอดเค้ามาแล้ว และพอได้มาคุยกับแฟนเตย เค้าก็บอกว่า เค้าเองก็ไม่ได้ใจเต้นกับเตยเหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน
2 วันถัดมา เราก็โทรไปหาเค้า บอกก่อนว่าแฟนเตยโสดมา 5 ปี มันไม่แปลกเลยที่เค้าจะมีคนที่เค้าคุยเทียวไปเทียวมาอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ ส่วนเราโสดประมาณ 5 เดือน พอถึงเวลาเตยก็เลยพูดกับเค้าไปว่า ถ้าวันนี้ยังคุยกับคนอื่นอยู่ เตยปล่อยให้คุยนะ เพราะเราไม่ได้เป็นไรกัน เค้าก็พูดหยอดขึ้นมาว่า ก็ถ้าเป็นแฟน เค้าจะเลิกคุย ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นไรกัน เค้าจะยังไม่เลิก แล้วพอได้คุยกันต่อก็มีจังหวะที่เค้าหลุดพูดขึ้นมา เหมือนเค้าเรียกเราว่าที่รัก เราก็ช็อค เพราะคนมันเจอกันไม่กี่วัน มันไม่มีใครเรียกว่าที่รักหรอก จนเริ่มมืด เริ่มมีบรรยากาศของการจุดเทียน ดื่มไวน์นิดนึง ก็เริ่มมองหน้าเค้าแล้วรู้สึกว่า เราไม่อยากซ่าต่อแล้ว อยากลองมีความรักอีกครั้ง ก็เลยหันไปพูดกับเค้าว่า ที่รักเป็นแฟนกันมั้ย แล้วเค้าก็ตัวแข็ง เหมือนกันเค้าก็ช็อค เตยเองก็ช็อค เค้าก็ถามว่าจริง ๆ ใช่มั้ย เตยบอกจริง งั้นเป็นแฟนกันแล้วนะ จากนั้นด้วยความที่ว่าเราขอเค้าเป็นแฟนก่อนที่เราจะเปิด Exhibition วันนั้นเราก็เปิดตัวเลย ซึ่งเพื่อนรอบข้างยังไม่เชื่อเลยว่าเราคบกัน ทุกอย่างมันไวมาก
มีคำพูดจากเค้าที่เตยชอบ เค้าพูดกับเตยว่า ความรักเราไม่มีคำว่าพลาดนะ ซึ่งเมื่อก่อนเราเคยอยู่ในความสัมพันธ์แบบ Open Relationship ด้วยซ้ำ ความรักที่ผ่านมาของเตยมันไม่ได้จำเป็นต้องมีสองคน แล้ววันนี้เรามาเจอใครสักคนที่แบบเราเห็นเค้า แล้วเราอยากเชื่อในสัญชาตญาณตัวเอง เราอยากเชื่อในอ้อมกอดเค้า เราอยากเชื่อในวันที่บอกรักเค้าวันแรก แล้วเราอยากเชื่อแม้กระทั่งว่า วันนี้มันจะเป็นความรักที่ไม่ทำร้ายหัวใจเรา และจากรักที่สมหวัง เตยก็ได้มี Exhibition ชื่อว่า เหมือนอยู่ในความฝันที่ฉันไม่ได้ฝันแต่เพียงผู้เดียว
ปกติ Exhibition ของเตยยี่ เมื่อก่อนจะเขียนว่า Exhibition นี้ เคารพในรักที่เป็นไปไม่ได้ เคารพในความคิดถึง มันจะมีคำว่าเคารพ และ Exhibition นี้ เตยเขียนว่า Exhibition นี้ เคารพในความรักที่ตามหามาตั้งนาน เป็นงานแรกที่เราทำด้านความรัก เพื่อเป็น Exhibition ที่ขอแฟนแต่งงาน
ที่ผ่านมามันจะมีช่วงหนึ่งที่เตยคุยกับคนเยอะมาก ๆ เตยไม่มีช่วงว่างให้ตัวเองเลย จนก่อนทำ Exhibition ชื่อว่า EMSPHERE x TEAYII ช่วงนั้นมันมีเวลาว่าง 1 สัปดาห์ที่เตยอยู่เฉย ๆ ก็พูดว่า ไม่อยากคุยกับใครแล้ว เป็นช่วงที่เราล้างเอ็นเนอร์จี้ตัวเอง หลังจากนั้นเราก็พูดกับตัวเองว่าความรักที่ดีไม่ได้เกิดจากคนอื่นเลยนะ เกิดจากตัวเราที่เปลี่ยนเอเนอร์จี้ตัวเรา ถ้าเราเชื่อว่าเรามีคุณค่า มันจะทำให้เราเจอคนที่ชัดเจนกับเรา แล้ว ณ วันนั้น พอเตยเปลี่ยนเอนเนอร์จี้ตัวเอง เตยก็ได้เจอแฟนคนปัจจุบันที่เตยขอเค้าแต่งงานคือ คุณลูกปัด เราเลยรู้ว่า พอเราเปลี่ยนอินเนอร์ข้างใน เราก็เลยได้เจอคนที่พร้อมจะจริงจังแล้วก็จริงใจกับเราเหมือนกัน”
เป้าหมายต่อไป จากความตั้งใจของ เตยยี่
“การจัด Exhibition เตยเชื่อว่า ปัจจุบันมันยาก เพราะมีความคาดหวังที่มากขึ้น มันยากเพราะว่าเราไม่ได้ต้องดีลแค่ความต้องการตัวเอง แต่เราต้องดีลกับความต้องการของผู้คนที่มาเดินใน Exhibition ด้วย ดังนั้นเตยเลยรู้สึกว่า ถ้าจะเริ่มทำ Exhibition จริง ๆ ควรเริ่มจากสิ่งที่เราอยากเล่า แล้วจากนั้นค่อยหาคอนเซ็ปต์ว่า วันนี้เราอยากเล่าอะไร
Exhibition ต่อไป เตยอยากให้มาจากห้วงอารมณ์ เช่น ความเหงา อยากทำ Exhibition ชื่อว่า โตขึ้นแล้วเหงาจริง ๆ ด้วย เตยว่ามันเกิดจากอารมณ์ ณ ช่วงเวลาหนึ่งที่เรารู้สึกแล้ว แล้วก็บันทึกเก็บไว้ แล้วค่อยมาพัฒนาเป็น Exhibition ค่ะ
อีกหนึ่งความฝัน เตยอยากเป็นดีเจเตยยี่ค่ะ ไม่ใช่ดีเจจัดวิทยุนะ อยากเป็นดีเจเปิดแผ่น อยากสแครชแผ่นแล้วยิงคำของตัวเองขึ้นจอ เปิดเพลงแบบโจ๊ะ ๆ ท่ามกลางปาร์ตี้”
สีสัน แรงบันดาลใจ จาก เตยยี่
“เตยว่าศิลปะเป็นพื้นที่ที่ไม่ตัดสินใครเลย เตยจึงมองว่าศิลปะเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับทุกคน เตยจำคำหนึ่งของครูได้คือ ศิลปะไม่มีคำว่าผิด มีแค่คำว่าชอบ หรือไม่ชอบ เตยว่าวันใดวันหนึ่งที่เราอาจจะรู้สึกว่าเศร้า หรือเหงา ลองกลับมาหาคำว่า Art Therapy ซึ่งไม่จำเป็นต้องเข้าคลาสอย่างเดียว อาจจะเป็นช่วงที่เราอาบน้ำ แล้วก็ปิดไฟจุดเทียน เปิดเพลงสักเพลงหนึ่ง ที่ไม่ต้องมีเนื้อก็ได้ แล้วเราชอบฟัง แล้วก็อยู่กับวินาทีที่น้ำสัมผัสตัว เตยว่านี่ก็คือ Art รูปแบบหนึ่ง เตยว่าสุดท้ายแล้ว ศิลปะเป็นพื้นที่ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนได้เป็นมนุษย์” – เตยยี่ ประภัสสร
พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์
ติดตามชมรายการย้อนหลัง