เปิดเบื้องหลังศึกชิงวิมาน ของ “เจฟ ซาเตอร์” และ “อิงฟ้า วราหะ” ความรัก ขวากหนาม บนความไม่เท่าเทียม

Club Pride Day Recap

เปิดเบื้องหลังศึกชิงวิมาน ของ “เจฟ ซาเตอร์” และ “อิงฟ้า วราหะ” ความรัก ขวากหนาม บนความไม่เท่าเทียม

05 ก.ย. 2024

 

เปิดคลับให้ได้เรียนรู้วิธีคิด พร้อมฟังสีสันของชีวิต รับแรงบันดาลใจในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับสองนักแสดงนำจากภาพยนตร์กระแสแรง “วิมานหนาม” นั่นคือ “เจฟ ซาเตอร์” และ “อิงฟ้า วราหะ” ที่ล่าสุดขึ้นแท่นหนังไทยทำรายได้ทั่วประเทศ 100 ล้านบาท!

 

วิมานหนาม เป็นภาพยนตร์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากความไม่เท่าเทียม ผ่านการเล่าเรื่องราวของ ทองคำ (เจฟ-วรกมล ซาเตอร์) และ เสก (เต้ย-พงศกร เมตตาริกานนท์) คู่รักหนุ่มชาวสวนที่ช่วยกันปลูกบ้าน และทำสวนทุเรียนบนที่ดินของเสกที่ติดจำนองอยู่ ทองคำใช้เงินก้อนใหญ่ทั้งหมดในชีวิตไถ่ถอนที่ดินให้เสก จนได้มาซึ่งโฉนดที่ดินอันเปรียบเสมือนทะเบียนสมรสของคนทั้งคู่

แต่แล้วเสกเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต บ้านและสวนจึงต้องตกเป็นของ แม่แสง (สีดา พัวพิมล) แม่ของเสก ผู้มีสิทธิตามกฎหมาย และ โหม๋ (อิงฟ้า วราหะ) ลูกสาวบุญธรรม ที่เข้ามาถือสิทธิ์ครอบครองวิมานแห่งนี้ พร้อม จิ่งนะ (เก่ง หฤษฎ์) น้องชายของโหม๋ ที่เข้ามาเพื่อเรียนรู้วิธีการทำสวนทุเรียน ความขัดแย้งในเรื่องของกรรมสิทธิ์จึงเริ่มต้นขึ้น

ซึ่งกว่าจะมาเป็นภาพยนตร์กระแสแรงแบบนี้ ต้องผ่านหลากหลายกระบวนการ จากการทุ่มเทแรงกายแรงใจของนักแสดง และทีมงานทุกฝ่าย สีสันแรงบันดาลใจ พร้อมมุมมองข้อคิดดี ๆ ถูกส่งต่อไว้แล้วในรายการ

 

 

เปิดเสน่ห์ของ วิมานหนาม หนังที่ดูรอบเดียวไม่พอ!

เจฟ : “ผมว่าซาวด์ในเรื่องมันมีเสน่ห์อย่างหนึ่ง เนื่องจากเค้าถ่ายโดยมีความเป็นต่างจังหวัด  แล้วซาวด์ที่เค้าใช้ มันเป็นการอัดจากเครื่องดนตรีที่เป็นพื้นบ้านจริง ๆ มันก็ทำให้เรารู้สึกว่า เราได้อยู่ที่นั่นจริง ๆ โดยเราใช้เครื่องสายของภาคเหนือ มันเลยมีเสน่ห์มากครับ”

 

อิงฟ้า : “ทุกคนที่ได้ดูหนัง เค้าจะรู้สึกว่าดูรอบเดียวไม่พอ เพราะว่าส่วนมากฟีดแบ็คที่เราได้รับจากรอบกาล่า เหมือนทุกคนรู้สึกว่าต้องกลับมาดูอีกรอบนึง แล้วใน 2 ชั่วโมงที่หนังดำเนินเรื่องไป บางทีคนอาจจะคิดว่า วิมานหนามมันคือมาแย่งชิงสมบัติกันอย่างเดียวรึเปล่า แต่จริง ๆ แล้ว ตั้งแต่ต้นเรื่องมันนำเสนอเรื่องราวหลายอย่าง มันมีความสวยงามอยู่ในนั้น โดยเฉพาะจังหวัดที่เราเลือกไปถ่ายคือ แม่ฮ่องสอน เพราะผู้กำกับเค้าก็เลือกว่าจะถ่ายจังหวัดไหนดี แล้วพบว่า แม่ฮ่องสอน มีรายรับทางเศรษฐกิจน้อยอันดับต้น ๆ ของประเทศไทยเลย แล้วความโชคดีก็คือ วันที่เราฉายวันแรก ก็มีข่าวดีของจังหวัดแม่ฮ่องสอนด้วย ที่สามารถปลูกต้นทุเรียนได้ ก็เลยกลายเป็นว่า มันเป็นซอฟท์พาวเวอร์อีกหนึ่งอย่าง ที่เราก็รู้สึกว่า Complete และเราก็ภูมิใจกับเรื่องนี้มาก ๆ

หนูว่า 2 ชั่วโมงที่เข้าไปอยู่ในโลกของวิมานหนาม จริง ๆ ตัว Trailer ที่ทุกคนเห็น อาจจะเห็นแค่ความเข้มข้น หรือความรุนแรง ซึ่งนั่นมันแค่จุดเล็ก ๆ เพราะในเรื่อง สิ่งที่คนยังไม่ได้เห็นคือความสวยงามของความสัมพันธ์ที่เราจะค่อย ๆ ไต่ระดับอารมณ์ไป หลายคนฟีดแบ็คกลับมาว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้เลย และหนูเชื่อว่า ถ้าได้ไปดูรอบนึง ยังไงก็ต้องกลับไปหาคำตอบให้ได้อีกรอบนึง

แล้วก็ปกติ GDH เค้าจะทำฟีลกู๊ดใช่มั้ย แต่นี่ก็จะเป็นฟีลกรี๊ด และมันมีการกรี๊ดหลายและอีกหนึ่งอย่างที่อยากให้ไปดูก็คือฝีมือการแสดงของนักแสดงเรื่องนี้ เพราะว่าเราตั้งใจกันจริง ๆ ตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่เราไปถ่ายทำกัน แต่ละจังหวัดที่เราไป หรือแม้กระทั่งนักแสดงทุกคน มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เราได้มาทำงานร่วมกัน จนมันออกมาเป็นวิมานหนาม ที่ทุกคนห้ามพลาดจริง ๆ แล้วห้ามไปดูคนเดียวด้วยค่ะ”

 

 

การเล่นหนังครั้งแรก ยากง่ายขนาดไหน?

เจฟ : “ก่อนหน้านี้ผมเคยเล่นละครเวทีมา มันจะเป็นไดอาล็อคที่ไม่ได้ร้องเพลง และเป็นซีนต่อซีน แล้วก่อนหน้านั้นก็เคยเล่นซีรี่ส์มา ซึ่งซีรี่ส์น่าจะใกล้เคียงกับความเป็นภาพยนตร์ที่สุด เพราะว่ามันจะเล่นแบบนิดเดียวเพราะกล้องมันจับที่หน้าเรา เพราะฉะนั้นเราจะไม่สามารถโกงความรู้สึกได้ และเราต้องรู้สึกจริง ๆ ในทุกซีน แล้วสำหรับผมเอง ผมไม่สามารถคิดไปก่อนว่าเข้าไปแล้วเดี๋ยวจะเล่นตาประมาณนี้ เพราะมันคิดไม่ทัน ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือ เราทำการบ้านไปก่อน เตรียมตัวกับตัวละครทองคำให้มันแบบแน่นไปก่อนเลย เขียนประวัติที่เรารู้สึกว่าทองคำต้องเป็นแบบไหน

แล้วกลายเป็นว่าเล่นภาพยนตร์เรื่องแรก มันตื่นเต้นเป็นกังวลไปหมดเลย กังวลอยู่ครึ่งปีกว่าจะถ่ายทำ มันกังวลว่าเราจะทำออกมาได้ดีไหม เพราะว่ามันมีความกดดันหลายอย่าง แล้วตอนแรกเราปฏิเสธไปแล้วด้วย แต่พอได้คุยกับพี่บอส แล้วผมรู้สึกว่า ถ้าสมมติเราได้เล่นเรื่องนี้ มันน่าจะพาเราออกไปจากความเป็นคอมฟอร์ทโซนของการเป็นนักแสดงได้อีกขั้นหนึ่งเลย ซึ่งก็ทำแบบนั้นได้จริง ๆ

ทองคำ กับ เจฟ มุมหนึ่งเหมือนกันมาก อย่างเช่นแบบความเป็นคนที่โดนหลอกง่าย แต่ในอีกมุมนึง เค้าเป็นคนที่สู้ชีวิตกว่าเราเยอะมาก เท่าที่ผมเขียนประวัติไว้ ตัวทองคำมันมีความต้องใช้ทุกวิถีทาง เพื่อให้ตัวเองดิ้นรนออกไป เพราะว่าชีวิตไม่ได้โตมาบนกองเงินกองทอง เพราะฉะนั้นเค้าก็จะมีความเป็นนักสู้สูงสุด ซึ่งการจะเล่นเป็นทองคำเลยยาก ก็ต้องใช้วิธีการไปลองทำสวน ไปเวิร์คช็อปอยู่ในสวนทุเรียนจริง ๆ และมันเป็นเรื่องของจิตวิทยาด้วย เราเคยเจอเคยผ่านเรื่องอะไรมาก็ต้องเอาออกมาใช้ให้หมดหน้าตัก”

 

อิงฟ้า : “เล่นหนังเรื่องแรก ใช้คำว่าอ่วมค่ะ แต่การตัดสินใจรับเล่นเราใช้เวลาไม่นานเลยค่ะ เพราะว่าเราดูองค์รวมหลาย ๆ อย่าง ดูจากผู้สร้างก็คือ GDH เราก็รู้อยู่แล้วเพราะว่าเราเป็นแฟนคลับภาพยนตร์ของเค้า แล้วผู้กำกับก็เป็นพี่บอสด้วย รวมถึงนักแสดงร่วมที่แต่ละคนจะได้เล่น จนมาถึงวันรันทรู ได้ลองเล่นด้วยกันแล้วมันอิน แค่เราอ่านบท เราก็รู้สึกอินไปแล้ว ขนาดเรายังไม่ได้กระโจนลงไปเล่นจริง ๆ แล้วก็ไปทราบสถานที่ที่เราจะได้ไปอีก ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรที่จะต้องคิดมากเลย เรารู้สึกว่ามันท้าทาย แล้วถ้าเราทำถึง หนูว่ามันจะเป็นภาพยนตร์ที่คนไทยยังไม่ได้มีแนวนี้มากมาย และก็น่าจะต่อยอดให้กับเราได้เช่นเดียวกัน

สำหรับเราเองก็มีความกดดันค่ะ แต่ความโชคดีของหนูก็คือ พี่บอสเค้าดีมาก ๆ ในการที่จะพรูฟเราว่า ในแต่ละฉากมันจะต้องไปแบบไหน แล้วเค้าก็ไม่เคยกดดันหนูเลยว่าจะต้องเล่นแบบนี้ นะ เค้าจะให้หนูลองดีไซน์ออกมาก่อน แล้วเวลาหนูลองดีไซน์ออกไปแล้วพี่บอสเค้าชอบ

แล้วหนูคิดว่า หนูจะเล่นเป็นตัวโหม๋ขนาดนั้นไม่ได้ ถ้าหนูไม่ได้เจอทองคำในเวอร์ชั่นที่เป็นเจฟ เพราะรู้สึกว่าพอมันไปด้วยกัน และความเป็นศิลปินทั้งคู่ เจฟก็เป็นคนที่ชอบทำงาน เราเองก็เป็นคนที่ชอบทำงาน แล้วมันเหมือนเคมีที่มีเอเนอร์จี้เยอะ อยากให้งานมันออกมาดี มันเลยพุ่งไปสุด เธอมาขนาดนี้ ฉันจะต้องขนาดนี้ เพราะว่าหนูเชื่อว่า การแสดงถ้าคนส่งดีเราก็จะเล่นได้ดีด้วย ก็เลยออกมาเป็นวิมานหนามที่แบบเดือดมากและสนุกมาก”

 

 

ความทุ่มเทของ อิงฟ้า กับบทบาท “โหม๋”

อิงฟ้า : “หนูเพิ่งรู้ว่า การร้องไห้ มันไม่ได้เกิดจากการเสียใจแค่อย่างเดียว มันมีหลายอย่างมาก โดยเฉพาะการที่มาเล่นหนังกับพี่บอส อย่างเช่น มันมีดีใจหลายแบบ เสียใจหลายแบบ โกรธหลายแบบ ทำให้รู้สึกว่าการแสดง มันไม่ใช่แค่กระดาษหน้าเดียว บางทีมันมีหน้าหลังด้วย และทำให้เราท้าทายตัวเองมาก แล้วเรื่องนี้หนูก็ทุ่มสุดตัวเหมือนกัน

กับบ้านที่เราถ่ายทำ มันเป็นความรู้สึกผูกพัน เพราะว่าบ้านหลังนี้ ปกติเวลาหนูไปถ่ายงาน เราก็จะไปกลับ แต่เรื่องนี้คือเราไปใช้ชีวิตกันที่นั่น นอนที่จังหวัดนั้นเลย แล้วบ้านหลังนั้นก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ เรารู้สึกผูกพันกับสถานที่ตรงนี้ แล้วพอเราจะต้องกลับจริง ๆ เรารู้สึกว่าฉันขอบคุณเธอนะ โหม๋ ที่มันมีตัวตนขึ้นมาจริง ๆ หนูรู้สึกว่ามันมี โหม๋ อยู่บ้านหลังนี้จริง ๆ มันมี ทองคำ มันมี แม่แสง มันมีทุกคนอยู่ตรงนี้ แล้วพอวันที่เราจะต้องกลับไปเป็นอิงฟ้า เราก็รู้สึกขอบคุณ แล้วก็รู้สึกผูกพันกับตัวละคร และเชื่อว่าวันหนึ่งคนจะรู้จักเธอมากขึ้น”

 

 

เจฟ กับการเรียนรู้จากบทบาทของ “ทองคำ”

เจฟ : “ผมพูดเรื่องความไม่เท่าเทียมมาตลอด ทั้งเรื่องกฎหมาย หรือว่าเรื่องอะไร แต่พอเราได้รู้จัก ทองคำ จริง ๆ มันกลายเป็นว่า เราเข้าใจเรื่องนั้นอย่างลึกซึ้งมากขึ้นไปอีก ทองคำ เป็นตัวแทนของคนที่ถูกกระทำมา ซึ่งกฎหมายก็จะผ่านแล้ว แต่กฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง เลยยิ่งทำให้รู้สึกว่าเราอินกับตรงนี้มาก ๆ แล้วพอเข้าไปเล่น ได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่จริง ๆ ได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสวนทุเรียน กับความเป็นอยู่แบบต่างจังหวัด มันก็สอนให้ผมเรียบขึ้น มีความสุขแบบง่าย ๆ และพี่บอสจะเป็นคนคอยบอกว่า หันไปมองบ้าน เนี่ยบ้านเรา หันไปมองสวน เนี่ยสวนเรานะ เค้ากำลังจะทำอะไรกับสวนเรารึเปล่า ยิ่งทำให้เรารู้สึกผูกพันกับบ้าน ผูกพันกับสวน แล้ว ทองคำ เค้าก็สอนเราในหลายเรื่องมาก แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เค้าสอนให้เราเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้น และเป็นมนุษย์มากขึ้น”

 

 

การร่วมงานกับนักแสดงมากฝีมือ "สีดา พัวพิมล" และ “เก่ง หฤษฎ์”

เจฟ : “เวลาเข้าฉากด้วยกัน เค้าเรียกตัวเองว่าน้องสีดา และเค้าจะโกรธถ้าเรียกเค้าว่าพี่ หรือป้า ห้ามเลยครับ ต้องเรียกน้องสีดา เหมือนเพิ่งเดบิวต์การแสดงใหม่”

อิงฟ้า : “หนูรู้สึกว่าแม่คือระดับปรมาจารย์ของหนูเลย เค้าจะคอยสอนตลอดว่า เวลาเราจะร้องไห้ ขอให้รู้สึกจริง จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราร้องไห้จนตาเราเริ่มแห้งแล้ว น้ำตาเริ่มมายากแล้ว เค้าก็จะถามว่า ให้แม่ช่วยมั้ย แล้วเรารับส่งให้กันก่อนเข้าฉาก ซึ่งในกองนี้ดีอย่างหนึ่งคือนักแสดงทุกคนช่วยเหลือกันดีมาก มันเลยออกมาดี ตัวแม่สีดาเอง หนูเชื่อแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่าเค้าคือแม่แสงจริง ๆ มันเลยอินกันมาก ๆ”

เจฟ : “จริง ๆ ไม่ต้องเข้าบทเลย แค่เดินเข้ามาในซีนก็เชื่อแล้ว มันมีซีนหนึ่งที่ผมเล่น ซึ่งมันจะเป็นซีนที่สำคัญมาก ๆ ซึ่งมันแค่ต้องนั่งฟังเค้า แต่กลายเป็นว่าซีนนั้นน้ำตามันไหลออกมาเอง ด้วยความที่เค้าเล่าเรื่องแล้วมันถึง มันเข้าใจตอนนั้นเลยว่า นี่เราไปอยู่ในเรื่องแบบ 100% เลย แล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาเอง ยอมรับเลยว่าแม่ทำถึงมาก”

อิงฟ้า : “สำหรับตัวน้องเก่งเอง วันที่เราเวิร์คช็อปกัน ตอนแรกเหมือนเราก็ยังหากันไม่เจอ ยังหาความเป็นพี่น้องไม่เจอ ด้วยความที่ตัวละครมันต้องมีแบ็คกราวด์ที่มากกว่า 20 ปี หนูก็เลยเล่าเรื่องอะไรสักเรื่องที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่าเราอยากให้เค้ารู้ว่าเราไว้ใจเค้า ก็เลยเล่าให้เค้าฟัง น้องเก่งก็เลยรู้สึกว่าเหมือนเราเปิดที่จะให้ จิ่งนะ ยอมรับว่า โหม๋ คือพี่ของเค้าจริง ๆ แล้วน้องเก่งก็เปิดใจด้วย แล้วหลังจากเวิร์คช็อปไป ทุกอย่างมันราบรื่น แล้วตอนถ่ายทำ เราก็พยายามชวนน้องไปกินข้าวเพื่อที่เวลาเราเข้าฉากมันจะได้ไม่เกิดความเกร็งกันเกิดขึ้น ซึ่งตัวน้องเองเป็นเด็กที่น่ารักมาก ๆ แล้วหนูรู้สึกว่าเค้าก็เหมือนน้องเราจริง ๆ และความยากของ โหม๋ และ จิ่งนะ ก็เยอะ โดยเฉพาะเรื่องของภาษา ที่ต้องใช้ภาษาไทใหญ่ในการสื่อสาร แล้วมันต้องไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งน้องก็ทำออกมาได้ดีมาก ๆ”

 

ความ(ไม่)เท่าเทียม ที่มีอยู่ในหนัง “วิมานหนาม”

อิงฟ้า : “ถ้าเป็นเรื่องของความเท่าเทียม หนูมองว่าอาจจะหนักในเรื่องของเพศสภาพ ของ  ทองคำ แต่ว่าตัว โหม๋ ก็จะหนักไปทางการเลี้ยงดูและความเป็นคนในสังคมมากกว่า ที่ในชีวิตประจำวันของแต่ละคนมันเหมือนการต่อสู้เพื่อเรียกร้องแต่ละอย่างของตัวเอง มันก็เลยออกมาเป็นรูปแบบของการสะท้อนสังคม หนูว่ามันมีเรื่องเหล่านี้ในสังคมจริง ๆ แต่แค่อาจจะไม่ได้ถูกตีแผ่ออกมาเป็นลักษณะภาพยนตร์ที่มันชัดเจนขนาดนี้”

เจฟ : “ผมว่ามันน่าจะเป็นเรื่องของความสุข และความรัก ความรักที่มันไม่เท่าเทียมกัน ความสุขที่มันไม่เทียบเทียมกัน เราจะได้เห็นคนที่เจอความสุขมาจนชิน ได้รับความรักจนเคยชินแล้วรู้สึกว่าเจอแบบนี้ก็ไม่ได้มีความสุขอะไรมาก แต่คนที่เค้าไม่เคยได้รับความรักมาเลย กลายเป็นว่าแค่ได้ความรักนิดเดียว เค้าก็รู้สึกว่ามันมากแล้ว ซึ่งเราจะได้เห็นผ่านสายตาของ แม่สีดา และ โหม๋ หรือ ทองคำ ทำทำให้เราให้คุณค่ากับความธรรมดา ความรู้สึกที่มันง่าย ๆ มากขึ้น”

 

 

เบื้องหลังกว่าจะเป็นซีนปาลูกทุเรียนที่หลายคนสนใจ

อิงฟ้า : “ฉากที่ทุกคนเห็นที่โยนทุเรียนกัน ฉากนั้นเราถ่ายตั้งแต่ 4 ทุ่มจนถึงเกือบ 6 โมงเช้าของอีกวันนึงก็ยังไม่สำเร็จ มันคือจุดพีคของหนังที่จะเป็นจุดไคลแม็กซ์อะไรหลาย ๆ อย่าง ในโมเม้นท์ตรงนั้น แล้วความเป็นพี่บอส เค้าจะไม่ปล่อยผ่านเลย เค้าจะต้องทำออกมาให้มันสมบูรณ์ที่สุด บวกกับทีมงานทุกคนก็เซฟแล้วแหละ แต่มันก็จะต้องมีเหตุการณ์ที่เราไม่ได้คาดคิดเกิดขึ้น  ซึ่งซีนนั้นเรียกได้ว่าเราถ่ายกันหลายรอบกว่าจะออกมาดีที่สุด ที่ทุกคนจะได้ดูในโรงภาพยนตร์”

เจฟ : “มันเป็นทุเรียนที่มีทั้งทุเรียนจริง และทุเรียนที่ม็อกอัพขึ้นมาเพื่อให้มันเป็นความเซฟตัวละคร แต่บางทีมันก็มีบางจังหวะที่พลาด แต่ผมว่าที่ฉากนั้นมันยาก เพราะด้วยความที่มันต้องระวังเยอะ แล้วในจังหวะนั้นคือเราทั้งคู่เหนื่อยมากแล้ว คือผมตื่นตั้งแต่ตี 5 แล้วถ่ายถึงประมาณตี 2 ซึ่งพี่บอสก็บอกว่าให้เล่นไปก่อนนะ ผมก็เล่นไปโดยที่ตอนนั้นหัวโล่งละ เพราะไม่รู้ว่าจะต้องเล่นยังไง ผมเลยปล่อยไหล จนพี่บอสบอกว่า เมื่อกี๊มันเมจิคมากเจฟ เค้าปล่อยให้ตัวละครได้นำพาเราไปในจุดที่ไม่ต้องคิดก่อนว่าจะเล่นยังไง”

 

 

“เหมือนวิวาห์”…แค่มีเธอ อยู่ที่ไหนก็เหมือนงานวิวาห์ของเรา

 

“ยามเมื่อฝน เทลงมา เดาว่าฟ้านั้นอวยพร

ให้ความรักเราทั้งสองครองคู่ไปนิรันดร

ฮักเจ้าหลาย ฮักเจ้าหลาย จงยื่นมือให้ฟ้าท่านเถิด

ฝนที่เทลงบนมือเราดั่งงานวิวาห์

หากวันใด เจอพายุ คงไม่กลัวสักเท่าไหร่

ต่อให้ฝนสาดดวงใจ รักจากเธอนั้นปลอบฉัน

ฮักเจ้าหลาย ฮักเจ้าหลาย จงเต้นรำยามฟ้ากระหน่ำ

ขอแค่มีเธอทุก ๆ วัน ก็เป็นเหมือนวิวาห์”

 

เจฟ : ตอนบรีฟเพลงนี้เค้าไม่ได้บรีฟอะไรนะครับ พอเค้ารู้ว่าเราอยากมีเพลง แล้วผมก็เอากีต้าร์เข้าไป แล้วไปนั่งเล่นให้เค้าฟัง แล้วผมก็เล่าให้เค้าฟังว่า เดี๋ยวท่อนแรกมันจะเป็นพิณนะครับ แล้วก็ท่อนฮุคก็จะประมาณนี้ ลองเล่นให้เค้าฟัง แล้วเค้าก็ซื้อเลย จำได้ว่าดราฟแรกส่งไปก็คือเอาเลย

เพลงที่ผมแต่ง กับเพลงประกอบเรื่องนี้ แตกต่างมากเลยครับ เพราะหลาย ๆ เพลงที่ผ่านมา ผมก็จะอิงจากตัวบทของหนังเป็นหลัก ฟิลลิ่ง เนื้อหาเพลง อย่างเช่นเพลง เหมือนวิวาห์ มันก็จะมีความเป็นภาคเหนือ ฟังแล้วนึกถึงความคันทรี่ไซด์ ความเป็นสวน แล้วก็แบบอยากให้มันสื่อสาร สมมติเราดูภาพยนตร์จบ แล้วพอกลับมาฟัง เราก็ยังได้อยู่ในโลกนั้นอยู่ ผมว่าเพลงประกอบที่ดีคือ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราฟัง เราจะนึกถึงวันนั้น ซึ่งตัวหนังก็จะเป็นมวลที่เป็นโลกที่เค้าสร้างขึ้นมาซึ่งหาจากไหนไม่ได้แล้ว และผมว่าภาพยนตร์ที่ดี คือเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเข้าไปในโลกนั้น พอออกมา เราจะหาโลกที่เหมือนกันไม่ได้ วิธีเดียวก็คือกลับไปดูใหม่เพื่อให้เราได้ Mood นั้น หรือไม่ก็ฟังเพลงประกอบ

เพลง เหมือนวิวาห์ ผมจำได้ว่าใช้เวลา 3 วัน เริ่มจากขึ้นมาเป็นโครงก่อน แล้วก็เพลงนี้ มี วีวี่ ช่วยเขียนด้วย ก็คือผมขึ้นมาเป็น ยามเมื่อฝนเทลงมา....ฮักเจ้าหลาย ฮักเจ้าหลาย...แล้วก็เว้นว่างไว้ให้ช่วยกันเขียน ก็แยกมุมกันไปเขียนแล้วก็กลับมาเจอกัน แล้วถึงได้คอนเซ็ปต์ว่า มันคือความรักที่ บางทีฝนที่เราเจอ มันอาจจะเป็นอะไรที่แบบแย่สำหรับใครบางคน แต่ในเวลาเดียวกัน พอเราได้อยู่กับคนที่เรารัก เราก็แค่เอ็นจอยกับฝน บางครั้งการที่ฝนตกมันกลายเป็นเหมือนคำอวยพรจากฟ้า ไม่ว่าอยู่ที่ไหน แค่มีเธออยู่ มันเหมือนงานวิวาห์ของเรา ซึ่งไม่ต้องมีงานวิวาห์จริง ๆ ด้วยซ้ำไป”

 

 

ผลตอบรับจากคนที่ได้ดู “วิมานหนาม”

อิงฟ้า : “ผลตอบรับดีเกินคาดค่ะ แล้วก็ดีใจที่คนเห็นในสิ่งที่เราตั้งใจอยากให้เค้าเห็นจริง ๆ ซึ่งกระแสดีตั้งแต่ช่วงวันกาล่าก่อนที่ภาพยนตร์จะฉาย ก็รู้สึกดีใจที่เห็นหลาย ๆ คนเปิดใจให้กับเรามากขึ้น แล้วก็มองเราถึงเรื่องของความสามารถจริง ๆ แค่นี้หนูก็แบบหายเหนื่อยแล้ว

หลายคนพูดถึงเรื่องที่หนูหน้าสดในหนังว่าทำไมไม่แต่งหน้าสวย ๆ หนูว่าความสวยสุดท้ายเดี๋ยวเราก็เบื่อ แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เราอยู่ได้นาน มันคือความสามารถ ที่จะทำให้คนจำได้จริง ๆ เพราะหนูเชื่อว่า ผู้หญิง แค่เรามีความมั่นใจ ต่อให้จะเป็นหน้าสดหรือจะเป็นแต่งหน้า ทุกวันนี้หนูโอเคกับตัวเองมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าสดหรือหน้าอะไร ทุกคนมีสแตนดาร์ดความสวยงามเป็นของตัวเอง ตัวเราเองโอเคแล้ว พอเรามาเล่นเรื่องนี้ หนูรู้สึกว่ามันก็เป็นศิลปะอีกอย่างหนึ่ง นี่คือ โหม๋ มันไม่ใช่ อิงฟ้า เราจะทำยังไงให้คนรู้สึกว่านี้ไม่ใช่อิงฟ้าเลย แล้วก็นั่นคือสิ่งที่เราได้รับกลับมาหลังจากที่ภาพยนตร์ฉายไปว่า จำไม่ได้เลยว่านี่คืออิงฟ้าตัวจริง เพราะคนก็เห็นเราในพาร์ทการเป็นนางงาม แต่งตัวชุดเดรส รองเท้าส้นสูง แต่เรื่องนี้มันจะไม่เห็นเลย ซึ่งนั่นคือจุดที่หนูอยากให้คนเห็นมากที่สุด และวันนี้ก็คอมพลีทแล้วค่ะ”

เจฟ : “แล้วถ้า โหม๋ ใส่ส้นสูงกับผ้าซิ่น จะเข้ากันไหม อย่างที่เราเจอคำถามบ่อยว่า ไม่ห่วงสวยห่วงหล่อเหรอ  ผมแค่รู้สึกว่า จริง ๆ แล้วมันก็สวยงามแหละแต่ด้วยสแตนดาร์ดไหนล่ะ ถ้าคุณเอาบิวตี้สแตนดาร์ดของตัวเองมาวัด มันก็มีได้หลายแบบ ผมว่ามันก็มีความสวยงามของมัน ความไม่เพอร์เฟ็ค มันคือความเพอร์เฟ็ค ในบางที ความสวยงามไม่จำเป็นต้องเอาไม้บรรทัดของใครก็ไม่รู้มาวัดว่าอันนี้สวยหรือไม่สวย ผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันถ่ายทอดความสวยงามในแบบนี้แหละ  ฉะนั้นดูด้วยความรู้สึกที่ว่า เราเป็นทองคำรึเปล่า อิงฟ้าเป็นโหม๋รึเปล่า แล้วก็ไปเอ็นจอยกับความบิวตี้ของเค้า บิวตี้ของความเป็นธรรมชาติตรงนั้นดีกว่า”

อิงฟ้า : “ติดใจการเล่นหนังนะคะ ตอนแรกยอมรับว่ามีบ้างที่คิดว่าทำไมมันเหนื่อยขนาดนี้ สำหรับบางฉากที่มันยากมาก ๆ แต่พอเราได้มาเห็นผลงาน วันที่ได้ดูตัวเองครั้งแรก เห็นชื่อตัวเองอยู่ในจอภาพยนตร์ เราก็ไม่คิดว่า จากปกติเป็นคนธรรมดาที่เราเข้าไปดูคนอื่น วันนี้จะมีผู้คนมากมายเข้ามาดูเรา ได้เห็นชื่อเรา ได้รู้จักเรา ได้เห็นผลงานเรา ก็รู้สึกว่าอยากมีแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ให้คนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเรา ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวเรา องค์กร หรือว่าแฟนคลับที่เค้าผลักดันกว่าเราจะมาถึงวันนี้ ให้เค้าได้ภูมิใจไปกับเราอีกเรื่อย ๆ”

เจฟ : “มันมีความรู้สึกที่ผมหาที่ไหนไม่ได้เลยยกเว้นการถ่ายภาพยนตร์ คือช่วงเวลาที่นับ 3 2 1 สปีดแอ็คชั่น แล้วช่วงนั้นมันจะเงียบมาก ซึ่งมันเป็นความเงียบที่มีเสน่ห์มาก เพราะว่าช่วงเวลานั้นแหละจะเป็นช่วงเวลาที่เราสลัดความเป็น เจฟ ซาเตอร์ ไปสู่อีกตัวละครหนึ่งอย่างสิ้นเชิง แล้วส่วนมากผมก็จะไม่ได้เล่นเลย ผมจะรอแป๊บนึงแล้วค่อยเล่น เราเอ็นจอยกับช่วงเวลาที่มันเงียบขนาดนั้น มันก็เลยรู้สึกว่ายิ่งเรามาดูภาพเพลย์แบ็ค มันยิ่งรู้สึกว่าเราชื่นชอบการแสดง มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นของพวกเราเอง แต่พอทำเสร็จแล้วรู้สึกว่าเรายังอยากทำสิ่งนี้อยู่ มันเป็นการเล่าเรื่องในแบบที่หาไม่ได้จากที่ไหน การร้องเพลงมันก็เป็นการเล่าเรื่องอีกแบบนึง แต่การถ่ายภาพยนตร์มันก็เป็นการเล่าเรื่องอีกแบบนึง ซึ่งสุดท้ายการเล่าเรื่องไม่ว่ารูปแบบไหนมันมีเสน่ห์สำหรับผมเสมอครับ”

 

 

วิมานหนาม สู่การได้รับเลือกฉายในเทศกาลหนัง โตรอนโต

อิงฟ้า : “ก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะทางผู้ใหญ่ก็แจ้งมาว่า หนังไทยเราไม่ได้ถูกเลือกไปฉายประมาณ 10 กว่าปีแล้ว ดีใจที่ผลงานของเรามันจะได้ออกไปสู่สายตาของชาวโลก คือเรื่องนี้มันไม่ใช่แค่นักแสดงอย่างเดียว ทุกคนที่อยู่ทั้งเบื้องหน้า และเบื้องหลังของเรื่องนี้ เราผูกพันแล้วเราก็รักกันมาก ๆ เพราะว่าการถ่ายเรื่องนี้มันมีอุปสรรคเยอะ จะบอกว่าไม่เหนื่อยไม่ลำบากก็ไม่ใช่ มันมีทั้งความลำบากจริง ๆ มีทั้งความเหนื่อยจริง ๆ แล้วก็อยากให้สิ่งที่เราพยายามมันไม่สูญเปล่า แล้วเราก็อยากเป็นตัวแทนของคนไทยที่บอกให้โลกรู้ว่า หนังไทยเราไม่แพ้ชาติใดในโลก คนไทยก็เก่งเหมือน”

 

มุมมองความรัก จาก เจฟ ซาเตอร์

เจฟ : “ผมมองความรักเท่ากันหมดไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ตาม ผมพูดอยู่เสมอว่า ไม่ควรจะมีคน ๆ ไหนถูกด้อยค่าในความรัก แล้วทุกความรักควรจะถูกปกป้องด้วยกฎหมาย เพราะว่าสุดท้ายมันไม่มีใครมารับผิดชอบความรู้สึกเราเมื่อไม่มีกฎหมาย เหมือนอย่างเรื่องนี้เลย พอผมผ่านเรื่องราวของทองคำ มันกลายเป็นว่าเรายิ่งเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า เป็นมนุษย์เท่ากัน ทำไมกฎหมายถึงปกป้องไม่เท่ากัน อย่างน้อยในการที่เราได้ผ่านเรื่องราวเหล่านี้มา เราก็เข้าใจมากยิ่งขึ้น และอยากสื่อสารสิ่งนี้ออกไปเพื่อให้คนได้รู้ว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไร คุณไม่ควรจะถูกด้อยค่าในความรัก ด้วยรูปแบบใดก็ตาม”

 

 

ก้าวต่อไป ของ อิงฟ้า และ เจฟ

อิงฟ้า : “ช่วงนี้เรียกว่าทำหลายอย่างเหมือนกัน เสร็จสิ้นการถ่ายทำเรื่องแรกเลยก็คือ วิมานหนาม แล้วก็ตามมาด้วย บางกอกคณิกา แล้วตอนนี้กำลังถ่ายทำซีรี่ส์ หยดฝนกลิ่นสนิม รวมถึงจะมีละครแล้วก็ซีรี่ส์ตามมาอีก เพื่อให้ทุกคนได้ติดตามกัน”

เจฟ : “ส่วนของผมก็มี วิมานหนาม แล้วก็จะมีเพลง เหมือนวิวาห์ แล้วผมก็จะมีซีรี่ส์ที่ผมเป็นคนทำเองครับ เป็นคนโปรดิวซ์เอง แล้วก็เล่นเองด้วย แล้วก็ทำเพลงประกอบเอง ทำกราฟฟิคเองด้วย ฝากติดตามกันครับ”

 

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์

 

 

ติดตามชมรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1