“การที่เราเลือกจะเป็นแม่คน นั่นหมายความว่ามันต้องมีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ เพราะเมื่อไรที่เราเลือกเป็นแม่แล้ว อาชีพแม่มันลาออกไม่ได้ ฉะนั้นใครที่อยากจะมีลูก ให้ถามตัวเองก่อนว่าพร้อมไหม”
เปิดคลับให้ได้เรียนรู้วิธีคิด พร้อมฟังสีสันของชีวิตรับแรงบันดาลใจในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญตัวมัม “ต้นหอม ศกุนตลา เทียนไพโรจน์” สาวแซ่บที่เริ่มเข้าวงการในฐานะผู้ประกาศข่าวกีฬา ก่อนจะมีโอกาสได้ขยับมาเป็นพิธีกรรายการฟุตบอล จนได้มีโอกาสก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง จนปัจจุบันเธอเป็นทั้งพิธีกร นักแสดง และดีเจที่มีชื่อเสียงโด่งดัง นอกจากการเป็นตัวแม่ในวงการบันเทิงแล้ว เธอยังกลายเป็นมนุษย์แม่ในชีวิตจริงที่รักลูกมาก ๆ สีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจถูกส่งต่อเอาไว้แล้วในรายการ
ต้นหอม กับความฝันอยากเป็นดารามาตั้งแต่เด็ก
“ถ้านับตั้งแต่ก้าวเข้ามาเป็นเด็กแคสติ้งเลย หอมว่าน่าจะ 10 กว่าปีแล้วในวงการบันเทิง เพราะตอนนั้นตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ที่เริ่มแคสติ้งโฆษณา ก็เมือนเด็กที่ไม่มีชั่วโมงบิน เริ่มจากการต้องเก็บชั่วโมงบินไปเรื่อย ๆ จำได้ว่าโฆษณาแรกที่ได้ เป็นโฆษณาที่ต้องขี่มอเตอร์ไซค์ยี่ห้อดังมาก จำได้ว่าได้ค่าตัว 3,600 บาท ยังไม่หักโมเดลลิ่ง แต่ตอนนั้นคิดว่านี่แหละคือจุดที่มันจะแจ้งเกิด เพราะเราอยากเป็นดารามาโดยตลอด แล้วได้โอกาสแต่พอถ่ายโฆษณา กลับต้องใส่หมวกกันน็อค อดเกิดเลย แต่ก็เป็นเหมือนใบเบิกทางว่าเรามีงานทำตั้งแต่ตอนที่เราเรียนอยู่ ซึ่งตอนเด็กหอมอยู่จังหวัดตาก แล้วตอนนั้นคนต่างจังหวัดจะไม่ค่อยยอมรับอาชีพนี้เท่าไหร่ เพราะเค้าบอกว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวเกินไป แล้วหอมอยู่ในสังคมที่บ้านเป็นข้าราชการ เค้าก็จะมองว่านี่ไม่ใช่อาชีพที่ถูกต้อง อาชีพที่ดีต้องเป็นอาชีพข้าราชการ ครู ทหาร ทนาย หรือหมอ แล้วถ้าเราบอกว่าอยากเป็นดารา เราคงจะโดนตี ลองคิดว่าถ้าจะต้องไปอยู่วงการข้าราชการ หอมก็น่าจะเป็นครู
แต่ดาราคือฝันของหอม หนูซ้อมบทอยู่หน้ากระจก ซ้อมบทตอนรับรางวัล ซ้อมบทตอนเล่นละคร แต่ถ้าที่บ้านรู้ก็จะโดนตีเพราะว่าชอบซ้อมกลางดึก แล้วบ้านต่างจังหวัด กลางดึกมันเงียบ แล้วเราอยู่ข้างบนคนเดียว พอที่บ้านได้ยินเราเค้าก็จะถามว่าเราคุยกับใคร คิดว่าเราเจอผี เค้าก็เลยตีเพราะเค้าก็กลัวเหมือนกัน คนต่างจังหวัดกลัวผีมาก กลัวแม้กระทั่งผีหลอดไฟ ผีสังกะสี กลัวไปหมด แล้วมันทำให้หอมมีความคิดฝังหัวไปเลยว่าผีน่ากลัว แล้วกลายเป็นคนกลัวผีไปเลย”
ต้นหอม กับก้าวแรกสู่วงการบันเทิง
“ถ้าเป็นโฆษณาที่ทำให้คนรู้จักหอมน่าจะเป็นโฆษณายาสีฟัน ตอนนั้นผมสั้น แล้วก็คนก็ติดภาพจากโฆษณานั้น หลังจากนั้นหอมก็มาทำงานในแวดวงกีฬา ทำงานกับ พี่ป๋อง ซึ่งก่อนหน้านั้นเราทำรายการกีฬามาสักพักหนึ่ง ก็เลยมีความรู้เรื่องกีฬาอยู่บ้าง แล้วพอเราได้ฟังรายการพี่ป๋อง เรารู้สึกว่ามันเป็นรายการที่นอกกรอบสุด ๆ ตอนแรกเราก็ถามผู้ใหญ่ว่า ให้เราทำตัวยังไง เพราะเราเป็นผู้ประกาศข่าวมาโดยตลอด ผู้ใหญ่ก็พูดว่า หอมก็แค่เป็นตัวของตัวเอง แล้วพอเป็นตัวของตัวเองเท่านั้นแหละ มันเหมือนเขย่าแชมเปญ แล้วเปิดจุก มันสนุกมาก แล้วก็จำได้ว่ารายการออกอากาศครั้งแรก คนด่า 50 คนชม 50 ซึ่งเรารอรายการนี้กันมานาน คนฟังก็งงว่านี่คือรายการอะไร จนออกอากาศได้อาทิตย์เดียวรายการดังเลย เพราะว่าตอนนั้นใครที่ดูกีฬา ต้องดูอยู่ช่องเดียว ต้องช่องนี้เท่านั้น มันยังไม่ได้มีหลายช่องเหมือนทุกวันนี้ แล้วเป็นการจ่ายเงินดู ฉะนั้นทุกคนที่เป็นคอกีฬาก็จะรวมตัวอยู่ที่นี่ รายการมันก็เลยดังในหมู่ของคนที่ดูกีฬาก่อน
แล้วพอเค้าบอกให้เราเป็นตัวของตัวเอง ด้วยความที่เราอยากเล่นละคร อยากเป็นดารามาตั้งแต่เด็ก เราก็เลยเล่นละครสั้นก่อนเข้าข่าวกีฬา หรือวันหนึ่ง Wonder Girls ดัง หอมจำได้เลยว่า หอมนั่งรถไปซื้อผ้าที่สำเพ็ง แล้วเอามาให้พี่ป๋องใส่เป็นชุด Wonder Girls ทำเกาะอกสีทอง ให้เค้าไว้ผมม้า สวมรองเท้าบูท แล้วให้พี่ป๋องเต้นตามหอม หรือมีวันหนึ่งที่ หลินปิง ดังมาก หอมก็ไปเช่าชุดมาสคอตมาให้ทุกคนใส่เป็นชุดหมี แล้วทำรายการกีฬา ก็กลายเป็นว่ามันไม่ใช่แค่คนกีฬาที่มาดูกีฬา แต่คนบันเทิงก็ดูด้วย หลังจากนั้นก็เริ่มมีดารามาขอออกรายการ เริ่มจาก ดีเจภูมิ ก่อน แล้วดีเจภูมิเค้าก็เกรียนมาก ก็ทำให้รายการยิ่งเกรียน จนช่วงที่ดังที่สุด น่าจะเป็น พี่ตูน บอดี้สแลม แล้วรายการมันก็ดังมาเรื่อย ๆ ก็เลยทำต่อมา 5 ปี”
จุดเริ่มต้นบนเส้นทางดีเจ EFM
“หลังจากที่หอมทำรายการกีฬา แล้ว พี่เล็ก โปรดิวเซอร์ EFM เป็นคนที่ดูกีฬาเหมือนกัน แล้วเค้าอยากชวนเรามาทำรายการบันเทิง เค้าก็เริ่มให้เรามาโฟนอินในรายการของ Atime Media โฟนอินเรื่องฟุตบอลก่อน สักพักก็เริ่มได้โฟนอินเรื่องกฎหมาย แล้วคนที่แบบฟัง EFM ก็เริ่มสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้คือใคร ตลกจังเลย จนตอนที่หอมได้มาจัดรายการที่ EFM คนฟังเค้าก็บอกว่าติดตามมาตั้งแต่ตอนโฟนอินนะ ก็เลยเหมือนเป็นการแจ้งเกิดให้มาทำรายการบันเทิงของ EFM แล้วอยู่มานานมาก
พุธทอล์คพุธโทร มีมาประมาณ 6 ปีแล้วค่ะ ความตั้งใจคือเราจะทำรายการให้รู้สึกเหมือนว่าเวลาเพื่อนโทรเข้ามาปรึกษา แล้วถ้าคนนี้เป็นเพื่อนเรา เราจะให้คำแนะนำยังไง ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าเป็นเพื่อนหอม มันก็จะโดนฉีดยาแรงอยู่แล้ว ใครที่รับไม่ได้กับการแรงของเรา เค้าก็จะบอกก่อนเลยว่า พี่หอมขอเบา ๆ นะคะ หรือถ้ามันหนักเกินไปหรือเริ่มแรงเกินไป หอมจะถามว่ายังไหวอยู่ไหม ถ้าไหวจะไปต่อ แต่ถ้าไม่ไหวจะเบาให้ หรือบางทีเราด่าจนเจ็บคอก็มี เพราะว่าเป็นเคสที่เคยให้คำแนะนำไปแล้วสุดท้ายไม่เลิก แล้วก็โทรกลับมาอีกว่าชีวิตตอนนี้มันหนักกว่าเดิม เหมือนเตือนแล้วไม่ฟังแล้วปัญหามันหนักกว่าเดิม
ต้องบอกว่า Atime Media เป็นเหมือนโรงเรียนฝึกดีเจ ฝึกพิธีกรเยอะมาก แล้วสมัยก่อน ดีเจพิธีกรของ EFM จะออกรายการทีวีเยอะมาก จนเค้าก็เริ่มอยากได้คนที่เป็นหน้าใหม่ ตอนนั้น ต้นหอม บุ๊คโกะ นุ้ย ดังมาก จน พี่ไก่ วรายุทธ เอาไปเล่นละคร ค่อย ๆ มีคนเอาไปเล่นละคร ส่วนหอมจะมีงานพิธีกรมากกว่าละคร ตอนนั้นคนที่ได้เล่นละครบ่อยก็จะเป็นน้องบุ๊คโกะ แล้วพอได้เล่นละคนหอมก็ชอบนะ เพียงแต่ว่า พอช่วงหลัง ๆ ถ่ายละครมันใช้คิวเยอะ แล้วเราก็จะรับบทเดิม ๆ เริ่มรู้สึกเบื่อ แต่พอได้เล่นละครที่มันเป็นบทดราม่า ที่อยากเล่นมานานแล้ว แต่เมื่อก่อนมันไม่มีใครให้เล่น มี พี่แอน ทองประสม ให้โอกาสหอมได้เล่น ก็เล่นให้เค้า ตอนนั้นดีใจมาก และบอกพี่แอนเลยว่า หนูจะทำทุกโอกาสที่พี่ให้อย่างคุ้มค่า หนูจะทำให้ดีที่สุด
ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าหอมเฟดออกจากวงการบันเทิง แต่ไปไม่รอดนะคะ ไม่ถึงเดือนกลับมาแล้ว ดังนั้นเวลาให้สัมภาษณ์ หอมจะบอกเลยว่า นี่เป็นคำสัมภาษณ์ ณ วันที่นี้ แล้วความคิดหอมเปลี่ยนได้ตลอดเวลาแล้วแต่ปัจจัยภายนอก บางทีไปไม่รอดเราก็กลับมา คือหอมเกรงใจผู้จัดเวลามาตามไปเล่นละคร เพราะเราไม่สามารถเล่นให้เค้าได้ทั้งหมด แล้วผู้จัดบางคนสนิทกัน แล้วพอเราปฏิเสธเค้าไปหลาย ๆ ครั้ง หอมก็เลยเกรงใจ แล้วพูดไปว่าหอมเฟดนะคะ ยกเว้นถ้าบทดี ๆ ที่เราอยากเล่นมาก เราอาจจะเปลี่ยนใจ ซึ่งบทที่อยากเล่นคือ ดราม่า ดีพแบบลึก ๆ เลย ถ้าใครให้เล่นก็อยากเล่น”
เมื่อคนกลัวผี ต้องมาเล่นหนังผี
“หอมเป็นคนกลัวผีมาก แต่ตอนเล่นมันไม่กลัว แต่พอกลับมาดูที่บ้านแล้วกลัวมากเลย เพราะตอนเล่นเราก็จะรู้อยู่แล้วว่าเราต้องเจออะไรบ้าง ต้องเข้าฉากกับใคร แล้วเราก็เห็นเค้านั่งแต่งตัว แม้จะแต่งเป็นผี แต่เราเห็นอยู่แล้ว
ซึ่งการเล่นซีรีส์ผี มันต้องใช้อินเนอร์แบบสุด ๆ ถ้าตอนที่เล่น อังคารคลุมโปงซีรีส์ ซีซั่น 1 หอมจะถือว่า อังคารคลุมโปงเป็นครูสอนการแสดงของหอมเลย ตอนซีซั่น 1 ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้ว่าหอมจะเล่นอังคารคลุมโปงได้ไหม แต่โจทย์คือ ด้วยความเป็นงานของบริษัท มันเลยต้องเอาดีเจในบริษัทไปเล่น เพราะตอนนั้นไม่รู้ว่าซีรีส์จะทำกำไรไหม แล้วบทที่หอมเล่นมันเป็นบทหลักเลย เค้าก็ไม่มั่นใจว่าหอมจะเล่นได้ไหม ซึ่งตอนซีซั่น 1 หอมเล่นเป็นแม่ที่มีลูกแล้ว แต่ไม่เลี้ยงลูก จนมีช่วงที่หาเงินได้จากการไลฟ์แล้วเอาลูกมาเลี้ยง แต่ก็เลี้ยงแบบสไตล์เรา แล้วลูกก็ชอบเถียง เราก็โมโหใส่ลูก จนความสัมพันธ์แม่กับลูกก็ไม่ดี แล้วลูกก็ดันอยู่ ๆ พูดภาษาเขมรออกมา แต่ความเป็นแม่ก็ต้องเครียดที่เห็นลูกในสภาพนั้น จำได้ว่าตอนถ่าย Acting Coach ต้องคอนประกบเพราะกลัวเล่นไม่ได้ แล้วหอมก็เพิ่งรู้ว่าการที่เล่นบทอินเนอร์แรง ๆ อินเนอร์ต้องถึงก่อน แล้วค่อยวิ่งไปเล่น คือเค้าจะบอกว่า หอมฉากนี้หอมต้องวิ่งขึ้นไปหาลูกนะ ไม่รู้ลูกอยู่ไหน หอมต้องใช้พลังทั้งหมดที่มี จำได้ว่า หอมยืนกรี๊ดตรงบันไดตอนตี 3 แล้วตี 4 เราเริ่มถ่าย เค้าให้เรากรี๊ดอยู่แบบนั้นถ้าพร้อมค่อยวิ่งขึ้นไปเล่น เพื่อให้การหายใจหือทุกอย่างมันต่อกับฉากก่อนหน้า หลังจากนั้นพอมาเล่นดราม่าของคนอื่นเลยไม่กลัวแล้ว เพราะเคยผ่านงานยากมาแล้ว ร้องไห้ตั้งแต่ 6 โมงเช้า ยัน 6 โมงเย็น ก็เคยทำมาแล้ว พอมาถึง อังคารคลุมโปง เอ็กซ์ตรีม เราก็รู้แล้วว่าแนวทางมันจะต้องเป็นยังไง เพียงแต่ว่าเรื่องนี้อาจจะรับบทไม่หนักเท่ากับนักแสดงหลัก แต่มันน่ากลัวมากเลย เค้าทำดีด้วย ตัดต่อดีมาก แล้วเราเป็นนักแสดง รู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวผีจะเดินมา แต่ในการนำเสนอ ทั้งไฟแสงสี ต้องทำให้คนรู้สึกว่าลุ้น และตื่นเต้นไปกับเรา ซึ่งมันยากมากเลย และอยากให้ติดตาม มันน่ากลัวมาก แล้วมันเล่นกับอารมณ์ความความรู้สึกคนดูด้วย”
เริ่มทำธุรกิจบาร์โฮส เพราะหมอดูทัก!
“ก็หมอดูเค้าบอกว่า เค้าเห็นสัญลักษณ์ของอวัยวะเพศชายในตัวหอม หนูก็ไม่รู้เค้าเห็นยังไง แต่พอเค้าพูดปุ๊บมันมีความชื่นใจทันทีเลย เหมือนเรารักสิ่งนี้ แล้วเราเคยไปบ้าน พี่ชูชัย ซึ่งเค้านับถือศิวลึงค์ พอเราเข้าไปแล้รู้สึกอิ่มเอม แล้วพอหมอดูเค้าทักเรื่องนี้ เค้าก็อยากให้เรามีสิ่งนี้ติดตัว เป็นเครื่องราง แล้วเค้าก็บอกว่า ถ้าทำธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องของบาร์โฮส หรือประกบผู้ชาย จะดีมากนะ ซึ่งตอนที่เค้าพูด มันเป็นสองอย่างที่หอมไม่มีอยู่ในหัว และไม่คิดจะทำ เพราะตอนเด็ก ๆ เราเคยทำงานกลางคืนมาแล้ว เรารู้ว่าความทรมานของการไม่ได้นอนมันเป็นยังไง หอมจะไม่แตะกับงานกลางคืนแน่นอน แล้วก็บังเอิญเมื่อไม่นานมานี้พอมันมีโอกาสได้ทำ คือทำเพราะอยากได้เงินนี่แหละ เพราะถ้าเกิดเราเอาเงินแช่ไว้มันคงไม่งอกเงย เลยลองเอาไปแตะหุ้นนิดหน่อย แต่หลัง ๆ พอได้ทำมันก็รู้สึกสนุกกับงาน ดีกว่าเอาเงินไปแช่ไว้ ซึ่งธุรกิจนี้ที่รวยมากน่าจะเป็นเด็ก ๆ มากกว่า แล้วก็ขึ้นอยู่กับสถานที่ด้วย ความที่ร้านหอมเป็นร้านเล็ก ๆ อาจะจะไม่ได้รวยอะไรมาก ถ้าเป็นร้านใหญ่ ๆ เค้าอาจจะทำกำไรได้เยอะ แต่ถ้าในส่วนของหุ้นส่วน หรือการที่เราเป็นเจ้าของ เราได้เงินไม่ได้เยอะ เพราะว่ารายได้มาจากอาหารแล้วก็เครื่องดื่มแค่นั้นเอง
พอได้ทำธุรกิจนี้ก็รู้สึกสนุกกับมัน ด้วยความที่เราเคยทำงานกลางคืนตอนเด็ก ๆ มาก่อน เราจะเข้าใจลูกค้า แล้วธุรกิจเกี่ยวกับความเหงา ปัจจุบันคนเราเหงาเยอะจริง ๆ สมมติเราอยากไปเที่ยวแต่เพื่อนไม่ออกไปมันก็เที่ยวไม่ได้ แต่ถ้าเป็นบาร์เอ็นเตอร์เทน ถ้าเราเหงา เราสามารถออกไปคนเดียวได้เลยเพราะคนในนั้นเรารู้จัก ทุกคนก็คือพร้อมที่จะดูแล มันก็เหมือนแบบคลายเหงาได้ แล้วต้องบอกว่าบาร์โฮสไม่ได้ขายบริการ มันเหมือนเราไปเที่ยวผับ เพียงแต่ว่าเรามีสิทธิ์ในการเลือกว่าจะให้ใครมาดูแล มาชงเครื่องดื่มให้เรา มานั่งคุยกับเรา ซึ่งตอนนี้หอมมี 4 สาขา แล้วสาขาที่ 5 กำลังทำอยู่ และเราก็อาจจะมีโปรเจคใหม่ ๆ ที่เริ่มทำอีก”
จากเป็นตัวแม่ในวงการ สู่การเป็นคุณแม่ในชีวิตจริง
“หอมจะไม่พูดคำหยาบกับลูก จะสอนให้เค้าเรียกคุณแม่ครับตลอด แล้ว ปกป้อง เป็นเด็กที่พูดเพราะมาก แล้วก็เป็นเด็กที่โรแมนติกมาก ๆ ด้วยความที่เค้าจะได้ตรงนี้จากหอมไป สมมติว่าเราพาเค้าไปเที่ยวที่โรงแรม แล้วมีรถบักกี้ขับรถมาส่งเค้า เค้าก็จะบอก ขอบคุณนะครับที่มาส่ง หรือเค้าจะพูดแบบอ้อนกับเราว่า ขอบคุณนะครับที่วันนี้คุณแม่มาเรียนกับปกป้อง ขอบคุณนะครับที่คุณแม่มาส่ง ขอบคุณนะครับที่วันนี้คุณแม่น่ารักจังเลย
หอมอยากมีลูกตั้งแต่อายุสิบกว่า แต่คือความคิดที่ผิด โชคดีมากที่ตอนนั้นเราไม่มีแฟน แต่หอมอยากมีลูกมาโดยตลอด แล้วน้องชายก็อยากให้มี พอน้องชายมีลูก เค้าก็อยากให้เรามี ด้วยความที่เราสองคนขาดความรัก เพราะพ่อแม่เลิกกัน มันเป็นความรู้สึกที่พอคนหนึ่งมีลูก ก็อยากให้อีกคนได้ลองมีลูกเหมือนกัน แล้วพอหอมมี ปกป้อง ความสุขมันบังเกิดก็จริง แต่มันมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ เพราะเมื่อไหร่ที่เราเลือกเป็นแม่แล้ว อาชีพแม่มันลาออกไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อไหร่ก็ตาม ใครที่เห็นคนอื่นเค้ามีลูกแล้วน่ารักจังเลย ให้ถามตัวเองก่อนว่าพร้อมไหม อย่างหอมเนี่ย เวลาไม่พร้อมหอมจะใช้เงินในการแก้ปัญหา ใช้เงินเลี้ยงลูก จนทำให้ลูกอาจจะมีพัฒนาการที่ช้าบ้างในบางที
ตอนที่ต้องเริ่มเลี้ยงลูก ตอนนั้นจำได้ว่านักข่าวสัมภาษณ์แล้วหอมพูดอะไรก็ไม่รู้ เราพูดไม่รู้เรื่องเลย หอมใช้เวลาอยู่ปีนึงเต็ม ๆ คนเป็นแม่จะเข้าใจเลยว่า เวลาที่เรานอนอยู่ สักพักเดี๋ยวเราจะตื่นขึ้นมาแล้วก็เอามืออังจมูกลูก อังอยู่ตลอดเวลา เพราะต้องดูว่ายังมีชีวิตอยู่ไหม ลูกเป็นสิ่งมีชีวิตที่มันแปลกใหม่มากสำหรับเรา แล้วเรากังวลไปหมด ตอนแรกหอมคิดว่าหอมเป็นอยู่คนเดียว แต่พอหอมไปเจอในฟีด คนอินเดียเป็นเหมือนกัน ที่จะเด้งขึ้นมาแล้วอังจมูกลูก เหมือนทุกคนเป็น 1 ปีที่เราเป็นแบบนี้ เราพูดไม่รู้เรื่อง เพราะว่าเราหลับไม่สนิทเลย จนพอเค้าผ่านช่วงขวบกว่า ๆ ที่เค้าหลับยาว เราก็เริ่มได้หลับสนิทจริง ๆ
ชื่อ “ปกป้อง” มันมาจากเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่เค้าเสียชีวิตไปแล้ว เค้าเคยฝันว่าหอมได้ลูกชาย แล้วหอมตั้งชื่อว่าปกป้อง ซึ่งชื่อเพราะมากเลย ถ้ามีลูกชาย หอมตั้งชื่อว่าปกป้องนะ ซึ่งเราคิดว่าไม่เอา เราอยากได้ลูกผู้หญิง จนพอวันหนึ่งที่เค้าไม่อยู่แล้ว ก็จับผลัดจับผลู น้องของหอมก็มีลูกชายขึ้นมา ก็เลยไม่ได้เตรียมชื่อลูกชายเอาไว้เลย มีแต่ชื่อลูกผู้หญิง ก็เลยให้ชื่อ ปกป้อง เพราะว่าตอนที่เราฟัง เราก็รู้สึกว่าเราชอบชื่อนั้น แล้วเราก็จะได้นึกถึงเพื่อนด้วย
ตอนนี้กำลังจะ 6 ขวบ ติดแม่มาก แล้วเวลาไปทำงานเค้าก็จะเริ่มพูดประโยคว่า ถ้าไม่มีคุณแม่ปกป้องจะอยู่ยังไง คุณแม่ช่วยกล่อมนอนก่อนได้ไหมครับ หอมนี่อยากลาออกจากพุธทอล์คเลยนะ แต่กลัวไม่มีกิน แล้วตอนนี้อย่าพูดว่า เกาหลี ให้ปกป้องได้ยิน เพราะว่าตอนไปทำหน้าที่เกาหลี ตอนนั้นไปนานเกิน เพราะทีแรกคิดว่าไปสัก 10 วัน แต่กลายเป็นว่าอยู่เกือบเดือนเพราะว่าแผลมันไม่หาย แล้วเราก็ไม่กล้ากลับ แต่ด้วยความที่คิดถึงลูก ก็ต้อง Face Time ด้วยหน้าช้ำ ๆ แล้วเค้าตกใจ ตอนแรกไม่กล้าเข้ากล้องเลย เค้าก็ถามว่าแม่เป็นอะไร เราก็บอกว่าแม่แต่งฮาโลวีน พอมันเลยวันฮาโลวีนไปแล้ว เค้าก็ถามว่าทำไมแม่ยังแต่งฮาโลวีนอยู่ แล้วเหมือนเค้ากลัวคำว่าเกาหลีเลย เวลาใครพูดว่าเกาหลีปุ๊บ เค้าหันเลย ล่าสุดเจอ จียอน ไม่คุยด้วย ห้ามพูดเกาหลีหรือถ้าบอกว่าไปเกาหลี เค้าจะลนลานทันที เคยให้ Face Time กับจียอน แล้วบอกว่า น้าจียอนเป็นคนเกาหลีนะ เค้าไม่คุยเลย มันฝังใจ”
ความคาดหวัง จากหัวอกของแม่
“หอมอยากให้ลูกเป็นหมอค่ะ หอมพูดกับเค้าทุกวัน ซึ่งตอนเด็ก ๆ เค้าบอกว่าเค้าอยากเป็นพยาบาล จนล่าสุดอยากเป็นเชฟ เพราะชอบทำอาหาร ช่วงนี้ชอบดการ์ตูน แล้วเวลาดูการ์ตูนเรื่องไหน เค้าจะเป็นตัวการ์ตูนในเรื่องนั้น สมมติว่าเราดูโดราเอม่อน เราก็ถามว่าลูกชอบตัวอะไร ปกป้องเค้าชอบซึเนโอะ อย่างเรื่องมินเนี่ยน ปกป้องอย่างเป็นบ๊อบ เค้าชอบฉีก ครั้งหนึ่งเคยชอบตุ๊กตาในการ์ตูนชื่อว่ามิวมิว มันเป็นหมีแพนด้า แล้วเป็นตัวผู้หญิง ซึ่งคาแรกเตอร์มิวมิวคือชอบติดกิ๊บ ช่วงนั้นปกป้องติดกิ๊บทุกวัน แล้วก็พูดค่ะเหมือนมิวมิว แล้วก็จะบอกว่าตัวเองชื่อมิวมิวค่ะ เพราะว่าชอบมิวมิว
ซึ่งคนที่มาช่วยเลี้ยง ปกป้อง ส่วนมากเป็น LGBTQ+ ทั้งนั้นเลย อย่าง ลุงแข เค้าจะรัก ปกป้อง มาก ครั้งหนึ่ง ปดป้อง ก้าวร้าวมาก เค้างอแงไม่ยอมใส่รองเท้าเอง พอเราปรึษาแข เค้าจะมีการ Compromise ที่ดีมาก เค้าบอกให้ปกป้องใส่ข้างนึงนะครับ แล้วคุณแม่ใส่ข้างนึง แล้วปกป้องยอมทำ แขเค้าจะสอนดีมาก คือหอมรู้สึกว่าพื้นฐานแขเป็นคนที่จิตใจดี แต่ความเป็นแข ระบบความคิดอะไรต่าง ๆ มันไม่ได้ลงล็อคทั้งหมด แต่จิตใจดีมาก และหอมมองตรงนี้เป็นพื้นฐานมากกว่า
ถ้า ปกป้อง จะเป็น LGBTQ+ ก็ปล่อยให้เค้าเป็นไป แสดงว่าการที่เค้าเลือก เป็นเพราะเค้ามีความสุขกับทางนั้นแล้ว ซึ่งการเป็นพ่อเป็นแม่ต้องการอะไรเห็นความสำเร็จของลูก หรือความสุขของลูก และบ้านหอมคือ ความสุขของลูกต้องเป็นที่หนึ่ง เราทำให้เค้าเกิดมาแล้ว เค้ามาอยู่กับเราแล้ว เรามีหน้าที่เลี้ยงดูเค้าทั้งตามกฎหมาย หรือตามพฤตินัยของเรา ฉะนั้นวันนี้ชีวิตยังเป็นของเค้า เพราะเค้าเลือกเกิดไม่ได้ ถ้าสมมติเราเป็นพ่อแม่ที่ห่วยแตกมาก แล้วมีโอกาสถามเด็กว่า คุณอยากเกิดมาในบ้านนี้ไหม เด็กอาจจะตอบว่าไม่ได้อยากเกิดมาในบ้านนี้ก็ได้ ซึ่งหอมยังรู้สึกขอบคุณ และยังพูดกับปกป้องว่า ขอบคุณนะที่เกิดมาเป็นลูกแม่ อยากเป็นไรก็เป็นถ้านี่คือความสุข หอมจะเข้าไปก้าวก่าย็ต่อเมื่อ คุณมีตรรกะและความคิดที่เป็นภาระต่อสังคม หรือหรือทำให้คนอื่นเดือดร้อน
หอมว่าสังคมเพื่อนมีผลมากกว่าพ่อแม่ หอมไม่เคยว่าลูกเวลาลูกเอาเท้าปิดพัดลม เพราะเราก็เอาเท้าปิดพัดลมเหมือนกัน แต่ก็จะบอกเค้าว่า ก็ทำแค่ในบ้านนะ คือในมุมมองของหอม หอมก็รู้สึกว่าเรื่องสรีระ การก้มกับการใช้เท้า การใช้เท้าช่วยเรื่องสรีระได้ดีกว่า หอมจะเลี้ยงลูกโดยใช้ชีวิตบนพื้นฐานของความเป็นจริง แล้วลูกก็ดีนะ ลูกไม่เคยพูดคำหยาบ ต่อให้เพื่อนหอมมาบ้าน หอมพูดคำหยาบ เค้าก็ไม่ได้พูดตาม เค้าก็ยังเรียกคุณแม่ครับเหมือนเดิม หอมคิดว่าถ้าเค้าจะพูดคำหยาบ อาจจะมาจากเพื่อน”
เปิดหัวใจ ส่องมุมมองความรัก หลังจากมีลูก
“มุมมองความรักเปลี่ยนไปเยอะมาก เพราะรู้สึกวันนี้ ปกป้อง มาเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่หอมตามหา สมัยก่อนหอมจะตามหาความรัก ว่าใครจะมาเป็นจิ๊กซอว์ให้กับชีวิตหอมนะ แต่พอมีปกป้อง ในที่สุดหอมได้ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ความรักที่บริสุทธิ์ ความรักที่ไม่ได้เห็นแก่ตัว แล้วเราคือโลกทั้งใบของเค้าจริง ๆ มันกลายเป็นว่า ภาพของหอมมันสมบูรณ์แบบไปแล้ว แต่ถ้าใครสักคนจะเข้ามาเป็นกรอบเฟรมให้หอมได้เลย แต่หอมไม่ได้คาดหวังว่า คุณจะต้องเป็นภาพทั้งใบของหอม เพราะว่ามันสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ถ้าวันนี้คุณเข้ามาแล้วมันทำให้ภาพนี้สวยขึ้นคุณเข้ามาได้เลย แต่ต่อให้ไม่มีคุณ ภาพนี้ก็ยังสมบูรณ์อยู่ดี ฉะนั้นความคาดหวังของหอมมันลดน้อยลงมาก แล้วก็หลังจากที่เลิกกับแฟนต่างชาติไป หอมก็รู้สึกว่าหอมได้โตขึ้น ไม่งี่เง่า เพราะแฟนต่างชาติเค้าจะตรงไปตรงมา แล้วเวลาเค้ารัก เค้าก็จะพูดเลยว่ารัก แล้วเค้าก็จะดูแลแฟนดีมาก แล้วเรารู้สึกว่า เรามีวิชาตรงนี้ และใครจะเป็นผู้โชคดี ที่เราเองก็ร้อนวิชาเหมือนกัน แต่คนนั้นมันก็ต้องคู่ควรเหมาะสมกับสิ่งที่ฉันกำลังจะมอบให้ แต่ถ้าไม่มีใครมาเลย ก็อย่างที่หอมบอก ภาพนี้มันสมบูรณ์อยู่แล้ว หอมไม่ได้รู้สึกขาด ใครที่เข้ามาแปลว่าเหมือนเป็นรางวัลให้หอมนะ มันไม่ใช่สิ่งที่หอมขาด เพราะถ้าหอมขาดหอมจะตามหา แต่นี่หอมไม่ขาด หอมก็เลยไม่เคยตาม ซึ่งสเป็กที่ทำให้ใจเต้น ก็ยังคงเป็น Bad Boy อันนี้คือความหวือหวาที่ทำให้ใจเต้น แต่หลัก ๆ หอมชอบผู้ชายฉลาด ไม่ชอบผู้ชายหลงตัวเอง ขี้เก๊ก ชอบผู้ชายที่มีความเป็นธรรมชาติ ถ่อมตัว สุภาพ แล้วพอมีลูก การที่จะมีใครเข้ามาในชีวิต มันมีสิ่งที่ต้องคิดมากขึ้นกว่าปกติ เพราะว่าแพคเกจของเรามันไม่ใช่ตัวคนเดียว คุณก็ต้องเข้าให้ได้กับลูกเราด้วย ซึ่งผู้ชายอาจจะเข้าได้ ที่เข้าไม่ได้คือปกป้อง เพราะเค้าตั้งป้อมอยู่แล้ว เค้าหวงไม่อยากให้แม่มีแฟน
ถ้าหอมจะเลือกใครสักคน หอมจะหาแค่ข้อดี แต่ครูเงาะบอกว่าไม่ใช่ ให้มองข้อเสียเค้าว่าข้อเสียของเค้าไปแตะข้อเสียเรื่องใหญ่ของเรารึเปล่า ถ้ามีแปลว่าคนนี้ไม่ใช่ และจะได้ไม่ต้องเสียเวลา ซึ่งข้อเสียที่หอมรับไม่ได้แน่ ๆ ก็คงเป็นเรื่องนอกใจ หอมก็เลยคิดว่า หอมเหมาะกับคนต่างชาติมากกว่า เพราะเค้าจะตรงมากเวลาพูดคุยในทุก ๆ เรื่อง แล้วเราสามารถพูดคุยกับเค้าได้โดยที่เราไม่ต้องเกรงใจ มันรู้สึกว่าอยู่แล้วสบายตัวมาก หอมก็เลยชอบวิถีชาวต่างชาติ
ตอนนี้หอมมีความสัมพันธ์แปลก ๆ คือเราชอบกันมาก แต่เราไม่สามารถเป็นแฟน หรือคบกันเป็นแฟนได้ เพราะเป้าหมายเราคนละแบบ เป้าหมายของเธอเป็นแบบนี้ เป้าหมายของฉันเป็นแบบนี้ แล้วมันโคตรจะคู่ขนาน ไม่สามารถบรรจบกันได้เลย แต่เราชอบกันมาก หนูอยู่กับเค้ามาเป็นปี และความสัมพันธ์เราก็เริ่มแบบสนิทกันมากขึ้น เราสบายใจในการอยู่ด้วยกัน แต่เราต้องห้ามใจกัน ต้องมีสเปซว่าเราจะไม่ใช่แฟนกัน เค้าก็เป็นคนที่เด็ดเดี่ยวพอสมควร การที่เค้าอยู่กับหอมเป็นปีโดยที่ไม่มีอะไรกันคือเค้าใจแข็งพอสมควรนะ แต่กับคนอื่นเค้ามีนะ เราเคยถามว่าทำไมกับคนอื่นเค้าถึงมี เค้าบอกว่า กับคนอื่นมีแล้วเค้าก็เคลียร์ได้เลย เค้าอยู่กับคนอื่นเค้าแค่พึงพอใจในร่างกาย เสร็จแล้วก็คือก็แยกย้ายกัน แต่กับเราเค้าไม่ได้อยากแยกย้าย เค้ากลัวเคลียร์ไม่ได้ กลัวหอมวุ่นวาย ซึ่งถ้าสมมติมีคนโทรเข้ามาปรึกษาในพุธทอล์คพุธโทร แล้วเจอปัญหาเดียวกับหอมเลย หอมก็จะแนะนำว่า ถ้ารู้สึกว่าอยู่ตรงนี้มีความสุข แล้วไม่ได้เจ็บ ก็อยู่ต่อไป อยู่กับปัจจุบัน แต่เราก็ไม่ได้ปิดโอกาสตัวเองนะ
ถ้ามองอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า หอมต้องเป็นผู้หญิงที่ยังคงแก่ช้า คงความสวย เด็กกว่าวัย แล้วก็ร่ำรวยไปแล้ว ตอนนั้นคงเป็นผู้บริหาร เป็นนักธุรกิจ ต้องอยู่บนกองเงินแล้วไม่งั้นจะเครียดค่ะ” - ต้นหอม ศกุนตลา
พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์
ติดตามชมรายการย้อนหลัง