เปิดมุมมองความสุข กับการได้เป็นตัวเอง ของ “เอิร์ธ Cooheart” นักแสดงซีรีส์วาย ที่เปิดตัวมากับความ ‘Queer’

Club Pride Day Recap

เปิดมุมมองความสุข กับการได้เป็นตัวเอง ของ “เอิร์ธ Cooheart” นักแสดงซีรีส์วาย ที่เปิดตัวมากับความ ‘Queer’

16 ส.ค. 2024

“ปกติหนูก็ไม่ได้เก่งรอบด้าน ซึ่งมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่หนูรู้สึกว่าทุกวันนี้ เราจะเป็นเหมือนเป็ดที่ทำได้หลายอย่างบ้างก็ได้ ขอแค่โฟกัสตัวเองให้ทำในสิ่งที่รัก และมีความสุข ค่อย ๆ บ่มเพาะ ลงแรงลงใจ แล้วมันจะทำให้เราเก่งเหมือนคนอื่นได้”

 

 

เปิด Club ส่งต่อแพชชั่น พร้อมแบ่งปันแรงบันดาลใจในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดคิ้วท์ “เอิร์ธ กัษมนณัฏฐ์” หรือ “เอิร์ธ Cooheart” อดีต Cute Boy จากแฮชแท็ก #ช้างเผือกอยู่ในป่า ที่เริ่มเข้าวงการบันเทิงด้วยซีรีส์เรื่อง ‘บังเอิญรัก’ ‘ด้ายแดง’ ตลอดจน ‘ลุ้นรัก 12%’ และได้กลายเป็นไอดอลด้านการแต่งตัวของผู้ติดตามในอินสตาแกรมกว่า 2.2 ล้านคน

ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ เอิร์ธไม่เคยปิดบังเรื่องเพศของตัวเอง และในขณะเดียวกัน ยังได้สะท้อนบางมุมมองของวงการบันเทิง และสังคมไทยที่มีต่อนักแสดง LGBTQ+ ได้มากทีเดียว สีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการ

 

‘Cooheart’ ชื่อนี้มีที่มา

“ต้องเกริ่นก่อนว่าตอนเด็ก ๆ เราจะเป็นเกมเมอร์นิดหน่อย สมัยก่อนชอบเล่นเกมปังย่าที่มันเป็นเกมตีกอล์ฟ แล้วมันจะมีตัวละครตัวหนึ่งที่หนูชอบคือ ตัวหนูคูล เค้าจะมีผมแกละ 2 ข้าง แล้วหนูก็อยากตั้งชื่อในเกม ก็เลยเอาชื่อ Cool มาไว้ข้างหน้า แล้วก็เอสชื่อเอิร์ธ ไปไว้ข้างหลัง แล้วเรียงตัวอักษรใหม่เป็นคำว่า Heart แล้วถ้าสลับตำแหน่งเอาตัวเอชไปไว้ข้างหลังสุด มันจะกลายเป็นคำว่า Earth พอหนูอ่านคำว่า Coolheart แล้วมันดูแบบเป็นเรา หนูรู้สึกว่าจริตนี้มันได้ เหมือนได้ยินคำนี้แล้วมันต้องเห็นหน้า ก็เลยเลือกใช้ชื่อนี้ไปตั้งชื่อ Instagram แล้วก็ใช้ชื่อนี้เรื่อยมา”

 

 

ย้อนความฝัน ของ ด.ช.กัษมนณัฎฐ์ นามวิโรจน์

“เท่าที่จำความได้ตั้งแต่ประถม เอิร์ธก็รู้สึกว่าเราเรียนเก่ง ได้เกรด 4.00 ตลอด ตั้งใจมากว่าฉันจะเป็นหมอ จน ม.1 เกรดเริ่มลดลง และรู้สึกว่าหมอไม่ใช่ทางละ พอ ม.ปลายเริ่มสนใจอาชีพเภสัชกร แต่ท้ายที่สุดก็ยังรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเรา แต่เราเรียนสายวิทย์ -คณิตมา แต่ก็ยังไม่ชอบก็เลยลองไปค้นหาตัวเอง ย้อนคิดว่าตั้งแต่เด็ก ๆ เราชอบทำอะไร ซึ่งก็ได้คำตอบว่าหนูชอบวาดรูปตามผนังบ้าน ผนังที่บ้านหนูเต็มไปด้วยรูปวาด  ทีนี้หนูก็เลยลองไปติวสถาปัตย์ดู เพราะไหน ๆ ก็เรียนวิทย์ - คณิตมาแล้ว พอไปติวก็รู้สึกว่าเป็นเรามาก เลยตัดสินใจมาเรียนสถาปัตย์ ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ซึ่งเรื่องอาชีพหนูรู้สึกว่า ด้วยยุคนั้นเค้าจะมองว่าอาชีพราชการมันจะมั่นคง แม่หนูก็เลยมองว่าอาชีพไหนที่ฐานเงินเดือนมันสูง แล้วก็ได้คำตอบว่า เภสัชกร เค้าก็เลยเชียร์เราให้ไปเรียนเภสัชศาสตร์สิ มันทำได้หลายอย่าง แต่สุดท้ายเราไม่ชอบ แต่พอแม่เห็นว่าหนูทำตรงนี้แล้วแฮปปี้ เค้าก็ปล่อยแล้วส่งไปเรียนเต็มที่ แม่หนูเป็นสายซัพพอร์ท”

 

กว่าที่คนในบ้านจะยอมรับตัวตนของ เอิร์ธ กัษมนณัฎฐ์

“ต้องบอกก่อนว่า หนูเกิดประมาณปลายยุค 90 ก็คือหนูเกิด 1996 ตั้งแต่เด็กหนูจะชอบดูการ์ตูน ชอบเจ้าหญิงดิสนีย์ แต่การ์ตูนฝั่งผู้ชายที่เค้าเล่นเราก็เล่น แต่เรารู้สึกว่าเราอยู่กับผู้หญิงตั้งแต่เด็กเพราะเป็นเซฟโซนของเรา แล้วเวลาอยู่กับเพื่อนหนูจะเป็นตัวเองอย่างเต็มที่ จนเราไปโรงเรียนแล้วเพื่อนคนอื่นก็จะเริ่มเรียกเราว่า นังตุ๊ด ซึ่งบางทีเราก็ไม่ค่อยชอบคำนั้น และเราก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมมาเรียกว่าตุ๊ด จน ม.1 ตอนนั้นวงเกิลส์เจเนอเรชันมาแรง แล้วหนูก็ได้ลองเต้นคัฟเวอร์ เริ่มมีแก๊งเพื่อนที่เต้นเหมือนกัน แล้วมันรู้สึกว่าตรงนี้เป็นพื้นที่ของเรา แล้วเรามีตัวตนขึ้นมา จากการที่ได้ทำในสิ่งที่เราชอบ เราเริ่มเข้าใจตัวเองจากการแสดงออกที่มันชัดขึ้นมา จนประมาณ ม.6 ที่เป็นจุดเปลี่ยนทำให้หนูอยาก come out เพราะว่าหนูเริ่มมีแฟนคนแรก เพราะก่อนหน้านั้นเราก็จะแค่ชอบคนนั้นคนนี้ แล้วมันยังไม่แบบยังไม่สมหวัง จนเริ่มจะเข้ามหาวิทยาลัย เราเริ่มรู้สึกว่าทำยังไงดี ตอนนั้นแฟนอยู่ต่างจังหวัด คุยกันผ่านแอพพลิเคชั่น แล้วเวลาเค้ามาเชียงใหม่ เราอยากพาเค้าไปเที่ยว แต่ว่าจะพาไปยังไงเพราะเราก็ยังไม่ได้โตพอ เราก็ต้องพึ่งทางที่บ้านด้วย เลยตัดสินใจจะบอกแม่ เพราะว่าหนูอยู่กับแม่สองคน แล้วเราก็บอกว่าเรามีแฟนเป็นผู้ชายนะ จากนั้นแม่เค้าก็อึ้ง นิ่งไปสักพัก แล้วหนูก็ทำตัวไม่ถูก คือจริง ๆ หนูว่าแม่เค้าก็รับรู้มาตลอด แต่เค้าก็จะบอกกับคนอื่นรอบตัวว่าลูกเป็นผู้ชายเรียบร้อยชอบเล่นกับผู้หญิง แต่ลึกๆ เค้าก็คงรับรู้ แต่ฝั่งพ่อหนูจำได้เลย ตอนนั้นหนูทำ Portfolio อยู่ประมาณ ม.5 พ่อเดินเข้ามาคุยว่า ไม่เป็นไร อยากเป็นอะไรเป็นได้เต็มที่ ทำได้เต็มที่เลยนะไม่ต้องกลัว พ่ออยู่ตรงนี้  แล้วพ่อก็เดินมาตบไหล่แล้วก็เดินไปเลย ตอนนั้นมันค่อนข้างปลดล็อคแล้วรู้สึกว่าอุ่นใจ ขนาดพ่อเรายังเข้าใจ

แต่เหลือด่านแม่ที่เราแบบสนิทมาก หลังจากที่หนูบอกแม่ แล้วแม่ก็ช็อคไป หนูทำตัวไม่ถูกก็เลยโทรหาพ่อร้องไห้หนักมากตอนนั้น แล้วบอกว่าพ่อมาเคลียร์ให้หน่อย แม่คงไม่เข้าใจว่าหนูจะอธิบายอะไร คืนนั้นหนูกับแม่ก็แยกกันนอน ปกติเราจะนอนด้วยกันตลอด ซึ่งแม่ก็คุยดีบอกว่าแม่ขอแยกกันนอนก่อนคืนนึงนะ พออีกวันหนูยังไม่ทันตื่นแม่ก็แบบมาลูบหัว แล้วพูดว่าแม่เข้าใจเรานะ อาจจะให้เวลาแม่หน่อย แต่เค้าก็ทำกับข้าวให้กินปกติ แต่สุดท้ายหนูว่ามันก็ต้องเดินหน้ากันต่อ ค่อย ๆ ใช้เวลาปรับกันไป จริง ๆ แล้วแม่หนูไม่ได้กลัวว่าหนูจะเป็นอะไร แต่เค้าแค่ห่วงว่าสังคมจะยอมรับได้หรือไม่ได้ เหมือนกลัวว่าเราจะไม่มีที่ยืนในสังคม หรือใช้ชีวิตลำบากกว่าคนอื่นรึเปล่าซึ่งเค้าค่อนข้างกังวล แต่พอโตมาเรื่อย ๆ พอเค้าเห็นว่าหนูทำได้ดีมาโดยตลอด แม่จะพูดกับหนูตลอดว่าแบบแม่ภูมิใจในตัวลูกมาก และรู้สึกว่าโชคดีที่แบบมีหนูเป็นลูก แล้วมันยิ่งทำให้เค้ารู้สึกว่าอยากทำอะไรก็ทำเลย เค้าแบบสบายใจแล้ว หนูก็รู้สึกว่าขอบคุณตัวเองนะ ว่าเราค่อนข้างมั่นใจมาโดยตลอด แล้วรู้สึกว่าอะไรหลาย ๆ อย่างที่เราคาดหวังไว้ บางทีมันอาจจะไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราก็รู้สึกว่าทำเต็มที่ แล้วเราก็มีแรงสนับสนุนที่ดีจากแม่ ซึ่งสถาบันครอบครัวก็สำคัญที่สุดแล้วจริง ๆ

หลังจากที่ได้ Come out ครั้งนั้นมันปลดล็อคขึ้นเยอะครับ ยิ่งช่วงนั้นอินเลิฟ มีแฟนคนแรก แล้วครอบครัวก็เริ่มเข้าใจ มีพาแม่ไปเที่ยว ช่วงแรก ๆ แม่ก็จะลองถามว่าถ้าเลิกกับแฟนคนนี้ จะลองมีแฟนเป็นผู้หญิงดูมั้ย ซึ่งเราก็พูดตรง ๆ ว่าแม่ มันไม่ได้เปลี่ยนง่าย ๆ มันเป็นเรื่องของความชอบและรสนิยมทางเพศ พอได้พูดทำความเข้าใจกัน หลัง ๆ แม่ก็บอกว่าไม่หวังอะไรแล้ว เอาแบบที่ลูกแม่มีความสุข จะเป็นอะไร ทำอะไร ก็เต็มที่ หลังจากนั้นหนูปลดล็อคมาก หนูรู้สึกว่าดีใจจังเลย ในที่สุดแม่เค้าก็เข้าใจ แบบเปิดใจจริง ๆ แล้ว”

 

 

ก้าวแรก สู่การเป็นนักแสดงซีรีส์

“ตอนนั้นช่วงที่เรียนประมาณปี 3 เมื่อก่อนหนูเป็นคนที่ไม่เล่นโซเชียล และจะค่อนข้างเก็บตัว แต่ว่าช่วงนั้นเค้าจะมีเพจ Cute Boy ชื่อ เพจช้างเผือกอยู่ในป่า แล้วช่วงนั้น เพื่อนหนูก็ชวนหนูไปถ่ายรูป เราก็ลองไปถ่ายดู แล้ว เพจช้างเผือกอยู่ในป่า เค้าเอารูปหนูไปลง กลายเป็นว่าพี่ ๆ ที่เค้าแคสซีรีส์เรื่องบังเอิญรัก เค้าก็เห็นว่าหนูมีคาแรกเตอร์ที่ใกล้เคียงกับคาแรกเตอร์ที่เค้าหา เค้าก็ทักหนูมาว่าลองมาแคสดูไหม แล้วตอนนั้นหนูก็ตัดสินใจมากรุงเทพคนเดียวเพราะอยากลองมาแคสดู

เรื่องแรกทักษะการแสดงเป็นศูนย์เลย หนูเครียดมาก จำได้เลยว่าได้แคสคิวแรก ถ้าใครกลับไปดูบังเอิญรักจะเห็นว่าหนูร้องไห้ไม่ได้เลย ตอนนั้นต้องใช้หอมหัวใหญ่ ในการทำให้ร้องไห้ มันทำไม่เป็น ไม่รู้ว่าการแสดงคืออะไร แล้วต้องเล่นดราม่าทั้งวัน ต้องทำให้ได้ในเรื่องของมุมภาพ ซึ่งสุดท้ายมันก็กลายเป็นการจับพลัดจับผลูสะส่วนใหญ่ เหมือนโอกาสมาแล้ว ต้องคว้าไว้ มันเป็นช่วงของการลองดู

ต้องบอกว่าก่อนหน้านั้นอาชีพนักแสดงไม่มีในหัวเลย ยิ่งตอนเด็ก ๆ เวลาส่องกระจกแล้วเราก็รู้สึกว่าเราคือหน้าธรรมดาแบบชาวบ้าน ไม่คิดว่าจะมีโอกาสที่ฉันจะได้มาอยู่ตรงนี้ ไม่เคยคิดว่าจะมาอยู่ในวงการบันเทิง มาแสดง มีคนมารักมาชอบ ภาพเหล่านี้ไม่มีในหัวเลย ภาพเดียวตอนเรียนที่มีคือ หนูรู้แค่ว่าฉันจะเป็นสถาปนิกสาว ฉันจะต้องออกแบบบ้านแบบสวย ๆ สกิลเรื่องดีไซน์ฉันต้องดี เกรดจะได้ดี ๆ แล้วหนูรู้สึกว่าเราทำเรื่องศิลปะได้ดีอยู่แล้ว ฉันไม่มองด้านอื่น แต่พอมาทางนี้ มาทางการแสดงปุ๊บ กลายเป็นว่าเราไม่อยากกลับไปอีกเลย

ตอนนั้นเค้าก็มีการเวิร์คช็อป แต่ด้วยความที่หนูเด็กมาก แล้วมันไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร โชคดีมากที่เรื่องบังเอิญรักดัง ดังมากเลยในยุคนั้น แล้วหนูเป็นตัวหลักรายชื่อที่ 8 แล้วพอเรื่องนี้ดังมาก คนก็รู้จักหนู ตอนนั้นมีงานแฟนมีตทั้งไทยและต่างประเทศตลอดเลย หนูโชคดีมาก กลายเป็นก้าวแรกที่ดีมากสำหรับหนู คาแร็กเตอร์แรกที่หนูต้องเล่นเป็นบทซึมเศร้าเลย เพราะตัวละครเหมือนผ่านเหตุการณ์หนึ่งที่เป็นปมในชีวิต แล้วหนูคือยังไม่เข้าใจเลยว่าอะไรคือปมในชีวิต ชีวิตฉันดีจะตาย แล้วต้องดึงเรื่องราวปมในชีวิตมายังไง เราไม่เข้าใจ อินเนอร์ หรือ เอ้าท์เตอร์ เราก็ไม่รู้จัก หนูจำได้เลยซีนแรกที่หนูถ่ายกับไตเติ้ล หนูถ่ายประมาณ 12-13 เทค แค่ลากกระเป๋าเข้าบ้าน จนผู้กำกับบอกว่า ทำไมเล่นไม่ได้สักทีวะ ตอนนั้นมันเกร็ง มันไม่ธรรมชาติ มันเกร็งไปหมด ตื่นกล้อง สุดท้ายก็จบที่หัวหอมที่เอามาเรียกน้ำตา แต่ว่าหนูก็ทำเต็มที่ที่สุดตอนนั้นแล้ว

 

 

วงการบันเทิง กับตัวตนที่ต้องถูกจำกัดให้อยู่ในกรอบ

“หนูรู้สึกว่าทุกวันนี้หนูก็ทำในสิ่งที่หนูชอบไปเรื่อย ๆ ไม่ได้มองว่าจะดังหรือไม่ดัง หนูยังชอบและรักในการแสดง แล้วอยากทำต่อ เพราะว่าล่าสุด เวลาไปไหว้พระที่ไหนก็ยังขอพรให้หนูได้ทำอาชีพนี้ต่อ หนูรักการแสดงมาก หนูอยากทำต่อ หนูอยากพัฒนาทักษะของตัวเองเพิ่ม

ในเรื่องการโดนเตือนก็มีบ้างในช่วงแรก ๆ ยุคนั้นหนูไม่โทษฝ่ายใด แต่ยุคนั้นมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ด้วยกรอบสังคม ตอนนั้นผู้จัดและทุกฝ่ายเค้าก็จะมีมากระซิบหลังบ้านว่าห้ามออกสาวนะ แล้วหนูก็คิดว่าทำยังไงดี ก็เครียดเลยเหมือนกัน แต่สุดท้ายมันก็ไม่เป็นเรา แล้วเราก็เลือกเชื่อมั่นตัวเอง หนูก็ยังแฮปปี้กับการแต่งตัว และเชื่อว่าตอนนั้นแฟนคลับทุกคนรู้ เพราะหนูเปิดตัวแฟนตั้งแต่ก่อนเข้าวงการแล้ว

หนูมองว่าสังคม แล้วก็แฟนคลับหลาย ๆ คน เค้าเปิดกว้างขึ้นเยอะมาก เค้าค่อนข้างแยกแยะชัดเจนว่า คุณเป็นนักแสดงมันคือเป็นอาชีพหนึ่ง พอสั่งคัทปุ๊บ คุณสามารถเป็นคน ๆ หนึ่งได้ เค้าให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนตัวของเรามากขึ้น ต้องขอบคุณสังคมมากเลย

สำหรับเรื่องคำบูลลี่ หรือคอมเมนต์ต่าง ๆ ยิ่งช่วงหลัง ๆ ที่หนูเปิดความเป็นตัวเองมากขึ้น ช่วงที่เล่นเรื่องด้ายแดง เป็นช่วงที่เราแฮปปี้ในการแต่งตัว เริ่มค้นหาตัวเองมากขึ้น แล้วพอโพสต์รูปออกไปคนก็ชอบ แล้วมันยิ่งเป็นพลัง เค้าเชียร์อัพเราตลอด ทำให้เรายิ่งอยากทำให้มันดีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ หนูไม่เคยพูดที่ไหนเลยว่าหนูเคยเครียดมาก ๆ หลายครั้งที่หนูจะถามว่า ที่หนูเป็นแบบนี้หนูผิดรึเปล่านะ มันออกสาวเกินไปไหม เพราะสุดท้ายเราอาจจะโกหกคนอื่นได้ แต่เราโกหกตัวเองไม่ได้ หนูเลยเลือกเชื่อมั่นในตัวเองดีกว่า แล้วก็ยึดถือแบบนั้นมาตลอด หนูเลือกทำในสิ่งที่หนูมีความสุข แล้วก็เดินต่อไป เพราะเราอยากทำให้คนอื่นมีความสุข แล้วสุดท้ายถ้าหนูไม่มีความสุข หนูจะส่งความสุขออกไปได้ยังไง

เรื่องการเป็นตัวตน แล้วมีผลกับงานไหม จริง ๆ แล้วหนูมองเป็น 2 แบบ คือด้านการแสดงกับงานโฆษณา ซึ่งงานแสดงหนูมองว่ามีผลนะ อย่างบางคนเค้าอาจจะไม่ได้รู้จักหนูมาก เค้าแค่เห็นภาพตามสื่อโซเชียลต่าง ๆ เค้าก็จะมองว่าเราจะมีความเฟมินีน ก็จะค่อนไปทางสาวหวาน ๆ เลย ซึ่งบางทีในบทที่ต้องการความบอย ดังนั้นเราอาจจะไม่ตอบโจทย์ขนาดนั้น แต่หนูรู้สึกว่าถ้าบทไหนมันใช่เราจริง ๆ จะไม่มีใครมาแสดงได้เท่าเราแน่นอน

ส่วนงานโฆษณา สินค้าไหนที่เป็นฝั่งผู้ชายก็อาจจะยากสำหรับเรา แต่ถ้าอันไหนเป็นฝั่งสกินแคร์ งานผิว ขายความสวยความงาม ลูกค้าก็จะบรีฟมาก่อนเลยว่า เล่นเป็นคุณเอิร์ธได้เต็มที่เลย แต่งตัวได้เต็มที่ เค้าค่อนข้างสนับสนุนมาโดยตลอด แล้วเวลาหนูเห็นบรีฟแต่ละครั้ง หนูรู้สึกว่ามันดีจังเลย ขอบคุณมากที่โลกใบนี้ยังมีพื้นที่ให้สำหรับเรา

หนูว่ายุคนี้มันไม่มีใครเดินมาถามเราแล้วว่าคุณเป็นอะไร คือถามว่าชอบอะไรอาจจะมี หนูรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้เพศมันมีความลื่นไหลมาก หนูดีใจมาก 7 ปีที่หนูอยู่ในวงการบันเทิง หนูรู้สึกว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา โลกเปิดกว้างมากขึ้นแบบก้าวกระโดดเลย แล้วยิ่งดีใจเรื่องที่ สมรสเท่าเทียม ผ่านแล้ว หนูรู้สึกว่าดีใจที่สุดเลย”

 

 

QUEER นิยามตัวตน ของ เอิร์ธ กัษมนณัฎฐ์

“หนูรู้สึกว่า QUEER ค่อนข้างตอบโจทย์สำหรับหนูในวันนี้ QUEER มันจะเป็นอะไรที่ค่อนข้างนอกกรอบ หลาย ๆ คนก็จะอธิบายว่ามันก็เหมือนเป็นร่มใหญ่ ๆ ที่อยู่นอกกรอบเหนือคำว่าเพศไปอีก ซึ่งเมื่อก่อน QUEER มันจะเป็นคำเหยียด ของต่างประเทศ   แต่กลายเป็นว่า LGBTQ+ เค้ายึดคืนมาใช้ แล้วทำให้มันมีความหลากหลายและความสนุกแบบไม่มีกำหนด ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีกรอบ มันต้องอิสระ จะชอบอะไร แสดงออกแบบไหนคืออิสระเลย”

 

จุดเชื่อมของ สถาปนิก กับ นักแสดง

“หนูรู้สึกว่ามันจะเป็นบางครั้งเรื่องการดีไซน์ซีน การเข้าถึงบทพูด บางทีมันต้องใช้จินตนาการ เพราะส่วนใหญ่ หนูมักจะคิดอะไรเป็นภาพ บางทีเวลาคิดแปลน หรือวางแบบบ้าน หนูจะคิดเป็น 3 มิติในหัว แล้วเราค่อยวาดออกมา การแสดงก็จะเหมือนกันที่บางครั้งเราเหมือนจะคาดหวังตั้งแต่ต้นจนจบ พอเราอ่านซีนเราจะมีภาพในหัว แล้วพอแสดงได้ไม่ตรงไหนกับที่คิดไว้หนูจะนอยด์ แต่ถ้าสำเร็จเกินกว่าภาพที่คิดไว้ก็จะแฮปปี้ แต่บางครั้งมันอาจจะเหมือนตีกรอบตัวเองไปนิดนึง ซึ่งความจริงแล้วการแสดงมันต้องโฟกัสแค่ปัจจุบันตรงนั้นเลย เราไม่จำเป็นต้องไปคาดหวังกับคนข้างหน้าว่ามันจะต้องเกิดอะไร เราไม่ต้องควบคุมอะไรทั้งนั้น ทำให้เต็มที่แล้วก็ปล่อยทุกอย่างให้มันดำเนินต่อไป เป็นตัวละครต่อไป”

 

 

ผลงานการแสดง ที่ เอิร์ธ ภูมิใจ

“ผลงานที่ผ่านมา ก็จะมีเรื่อง ด้ายแดง ที่หนูรู้สึกว่าภาคภูมิใจ แล้วก็รู้สึกว่าทักษะการแสดงของหนูค่อนข้างก้าวกระโดด เพราะต้องบอกเลยว่าซีนเปิดเรื่องมันเป็นซีนพูดไม่ได้ ซึ่งมันยาก แล้วในเรื่องตอนนั้นหนูได้เข้าฉากกับ อาหนิง นิรุตน์ แล้วก็ พี่ปั่น ดาราเบอร์ใหญ่กันทั้งนั้น แล้วหนูก็เกร็งแต่เรารู้สึกว่าพอเค้าส่งเอนเนอจี้มาให้เรา แล้วเราส่งกลับได้ แล้วทุกคนชอบ เรารู้สึกว่าดีใจมากที่ได้เล่นบทนี้ แล้วบทมันมีทั้งเฉดที่มีความสดใสน่ารัก แล้วก็มีดราม่าจัด ๆ ด้วย

เรื่องคู่จิ้น แต่ละคู่ก็จะมีความแตกต่างกัน ที่ผ่านมาก็จะมีเด็กบ้างโตบ้าง เป็นพี่เป็นน้องบ้าง แต่สุดท้ายเรารู้สึกว่ามันเป็นวัฒนธรรมที่น่ารัก แล้วรู้สึกว่ามันเป็นการซัพพอร์ตกันและกันที่ดี ซึ่ง จิ้น มันมาจากคำว่า Imagine ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าคือจินตนาการของแต่ละคน อยู่ที่ว่าเค้าจะไปได้ถึงไหน ซึ่งหนูรู้สึกว่าถ้าแฟนคลับเค้าซัพพอร์ต แล้วก็ยังรัก เรารู้สึกว่าขอบคุณแล้วก็ดีใจมาก ๆ

มุมมองเรื่องซีรีส์วายในปัจจุบันมันไปในทางที่ดีมากเลย หนูรู้สึกว่ามันบูมขึ้นเรื่อย ๆ มีการส่งออกต่างประเทศ กลายเป็น Soft Power ของเราได้เลย แล้วมันก็เหมือนได้สื่อสารบางอย่างออกไปที่ไม่ใช่แค่เรื่องความโรแมนซ์ อาจจะมีการพูดถึงสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียม มันจะทำให้มนุษย์ที่ใช้ชีวิตประจำมองเรื่องนี้เป็นธรรมดา  ชายหญิง หรือว่าเพศทางเลือกมีความเท่าเทียมกันมากขึ้น เพราะว่าสื่อมีผลมากเหมือนกัน แล้วหลังจากที่เราได้รับสื่อแล้วมันสร้างแรงกระเพื่อมถึงเรื่องความเท่าเทียมทางสังคม ซึ่งกลุ่มหลักของซีรีส์วายคือผู้หญิง สาววายเค้ามีแรงซัพพอร์ตดีมาก เค้าน่ารักกันมาก หนูบอกเลยว่าเป็นรักที่บริสุทธิ์มาก หลาย ๆ ครั้งเค้าให้อะไรเรามาแบบเยอะเกินกว่าคน ๆ หนึ่งจะให้ แต่เค้าให้ได้เรื่อย ๆ หนูรู้สึกขอบคุณแทนทุกความรักที่ส่งมาให้ไม่ใช่แค่กับหนูอย่างเดียวนะ แต่กับทุกคน มันเป็นแรงซัพพอร์ตที่สำคัญมากสำหรับคนที่ทำงานตรงนี้ มันเป็นความรักที่ถ้าไม่ใช่พ่อกับแม่ เราไม่รู้เลยว่าจะหาความรักแบบนี้ได้จากที่ไหนอีก ไม่เพียงแฟนคลับในประเทศ เพราะมีแฟนคลับต่างประเทศเกิดขึ้นกับเราด้วย ล่าสุดปีที่แล้วหนูเพิ่งไปแฟนมีตที่ ชิลี กับ บราซิล มา แล้วเราสัมผัสได้ว่าพวกเค้ารักเรามาก ๆ เค้ากรี๊ดดังมาก จนหนูสั่นไปทั้งตัวเลยตอนที่ขึ้นโชว์ แล้วรู้สึกว่า เค้ารักเราขนาดนี้เลยเหรอ นี่ขนาดเค้าไม่เคยเจอเรามาก่อนนะ มันดีใจมากเลย

ขอฝากถึงคุณพ่อ เพราะคุณพ่อเสียไปแล้วตั้งแต่หนูเรียนปี 1 แล้วตอนนี้หนูว่าคุณพ่อน่าจะดีใจ เพราะว่าพ่อเค้าก็ภูมิใจในตัวหนูมากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ส่วนคุณแม่ก็จะพูดตลอด เค้าจะพิมพ์เป็นข้อความมาในแชทหนูตลอด เค้าเป็นสายซัพพอร์ตที่ดีมาก หนูรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่หนูเสียใจ แล้วหนูเดินมาถูกทางมาก ๆ”

 

 

ความรู้ด้านสถาปัตย์ สู่การแต่งตัวแนว Queer Fashion

“หนูรู้สึกว่าดีใจแล้วที่เลือกเรียนสถาปัตย์ ถึงเรียนจบมาจะไม่ได้เขียนแบบเขียนแปลน แต่อย่างน้อยก็ได้มาเขียนอายไลน์เนอร์บนหน้า แล้วเรื่องการจับคู่สี หรือการแมชต์ชุด หนูได้ใช้องค์ประกอบด้านสถาปัตย์ที่เรามีมาใช้เยอะเลย

การแต่งตัวของหนูตอนนี้หนูสนใจสไตล์ Queer Fashion ที่มันแบบจะทะลายกรอบทุกอย่าง คนเรามีเพศจริง แต่เสื้อผ้ามันไม่ได้มีเพศ องค์ประกอบแต่ละอย่าง เช่น กระโปรง ส้นสูง มันอาจจะให้ความรู้สึกสวย ให้ความรู้สึกหวาน แต่หนูรู้สึกว่าพวกนี้มันเป็นองค์ประกอบ มันเป็นหนึ่งในงานศิลปะที่อยู่บนตัวเราได้ เราสามารถแบบครีเอทลุคในแต่ละวันของเราได้ และหนูเชื่อมากเลยว่าการแต่งตัวมันสามารถทำให้เราเป็นหรือไม่เป็นคนไหนในวันนั้น หนูมีความสุขในการที่ได้แต่งตัวในแต่ละวัน บางวันเราอยากเป็นคนน่ารัก เราก็จะแต่งตัวน่ารัก วันไหนเราอยากสวย เราก็แต่งตัวสวยได้ หรือวันไหนที่เราอยากเท่ห์ เราก็แต่งเท่ห์ขึ้นมาหน่อย หนูรู้สึกว่าไม่อยากให้มาตีกรอบว่ากระโปรงคือของผู้หญิงใส่นะ ซึ่งตามประวัติจริง ๆ แล้ว ทั้งกระโปรง และส้นสูง  ผู้ชายใส่มาก่อนด้วยซ้ำ แต่ความจริงยุคนี้ หนูไม่อยากให้กำหนดว่าต้องเพศไหนใส่ ทุกคนสามารถใส่ได้ตามอารมณ์ และความรู้สึกที่เราอยากนำเสนอในวันนั้นมากกว่า”

 

เปิดหัวใจ ส่องความรักของ เอิร์ธ กัษมนณัฎฐ์

“มีความรักกับแฟนคลับ แล้วคนคุยก็ต้องมีประปราย แต่ถ้าแฟนจริงจังยังไม่มีครับเมื่อก่อนประมาณ 3-4 ปีที่แล้ว เราก็จะตอบนักข่าวแบบกลาง ๆ ขอคนที่เข้าใจ แต่ยุคนี้ไม่ หนูขอคนหล่อ หนูชอบคนหล่อ จะชาติไหนไม่เป็นไรเดี๋ยวเราค่อยเรียนรู้กันใหม่แต่อย่างน้อยเดินมาขอแบบเห็นแล้วหล่อสำหรับหนู จบเลย

ครั้งก่อนสาเหตุที่ความรักต้องจบลง หนูว่าตอนนั้นมันจะมีเรื่องการทำงาน ทำให้เวลาพักผ่อนหรือเวลาเจอกันมันไม่ค่อยตรงกัน ตอนนั้นอยู่ไกลกัน เค้าอยู่เชียงใหม่ เราอยู่กรุงเทพ บางทีทำงานที่นี่เราเลิกเที่ยงคืนตีหนึ่งแล้วมันไม่ค่อยได้คุยกัน อยู่หน้าเซตก็ไม่ค่อยได้เล่นมือถือ บวกกับความตอนนั้นมันเด็กก็ไม่เข้าใจกัน กลายเป็นว่าห่างเหินแล้วก็เลิกรากันไป ซึ่งเวลาอกหักหนูหัวราน้ำ 7 วันเลยนะ แล้วพอหนูชอบเต้น หนูจะระบายความรู้สึกผ่านการเต้น แล้วช่วงหลัง ๆ หนูก็จะเริ่มชอบธรรมชาติ ชอบไปน้ำตก ไปภูเขา

กับเรื่อง สมรสเท่าเทียม หนูอยากบอกความรักมันเป็นหนึ่งในสมรสเท่าเทียม แต่มากกว่าความรัก มันคือ สิทธิมนุษยชน หนูไม่เคยคิดว่าหนูจะดีใจจนร้องไห้ได้ แต่พอวันที่มันเกิดขึ้นจริง หนูร้องไห้ด้วยความดีใจ แล้วกลายเป็นว่าไฟในชีวิตหนูเปลี่ยนไปเลย หนูจริงจังในชีวิตขึ้น หนูเข้าใจเลยว่ากฎหมาย และการรองรับจากสิทธิมนุษยชนมันสำคัญขนาดไหน หนูอยากให้มันเกิดขึ้นไม่ใช่แค่ในประเทศไทยอย่างเดียว อยากให้มันเกิดทุกที่ในโลก เพราะมันทำให้ความคิดอย่างเรื่องการจะมีแฟน หรือการจริงจังกับชีวิตในอนาคต การวางแผนครอบครัว ก่อนหน้านี้เรารู้สึกว่าช่างมัน ฉันจะดูแลตัวเองให้ได้ หาหนทางใช้ชีวิตในบ้านพักคนชรา แต่พอมันมีกฎหมายมารองรับ เราก็เริ่มจริงจัง เริ่มรู้สึกว่าฉันแต่งงานได้นี่นา เรารู้สึกจริงจังในชีวิตแล้วเราอยากก้าวต่อไปเรื่อย ๆ แล้วมันมีไฟขึ้นมาในชีวิตมากจริง ๆ”

 

 

การฝึกฝน มันไม่ได้ต่างกับการได้พรสวรรค์จากพระเจ้าเลย

“ทุกวันนี้ตัวหนูเองก็ไม่ได้เก่งรอบด้านอยู่แล้ว มันเป็นปกติ นี่มันคือธรรมชาติของมนุษย์ หลาย ๆ คนที่เค้า success หรือเค้าเก่งรอบด้าน อันนั้นเราก็ต้องยินดีกับเค้า บางทีมันเป็นพรสวรรค์บ้าง พระเจ้าให้มา หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่หนูรู้สึกว่าทุกวันนี้ไม่เห็นเป็นไรเลย เราจะเป็นเป็ดบ้าง ว่ายน้ำเป็น เดินบนบกก็ได้ ทำอะไรก็ได้กลาง ๆ แต่สุดท้ายแล้ว บางทีการที่เราทำได้กลาง  ๆ เราอาจจะทำได้ทุกอย่างแบบกว้าง ๆ แล้วทำได้หลาย ๆ อย่าง หนูรู้สึกว่าอยากให้ทุกคนโฟกัสที่ตัวเอง ให้กำลังใจตัวเองเยอะ ๆ ไม่มีใครอยู่กับตัวเราได้เท่าตัวเราเอง เราอยู่กับตัวเองตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องไปเทียบกับใครเลย แต่ละคนเกิดมาไม่มีใครที่มีภูมิหลังเท่ากัน อยากให้โฟกัสตัวเอง แล้วก็ทำในสิ่งที่ตัวเองรักและมีความสุขในแต่ละวัน หนูว่าเราทุกคนมันจะต้องมีสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราชอบ แล้วถ้าเราทำในสิ่งที่เรารัก เชื่อว่าวันหนึ่งมันจะพาเราไปสุดทางได้เอง ลองลงแรงลงใจ ประสบการณ์หลาย ๆ อย่างมันจะทำให้เราเก่งได้ หนูเชื่อว่าการฝึกฝนมันไม่ได้ต่างกับการที่ได้พรสวรรค์จากพระเจ้าเลย”

 

เปิดมุมมองความสุข ของ เอิร์ธ กัษมนณัฎฐ์

“หนูมีความสุขกับการได้ทำงานแสดงแล้วได้อยู่หน้ากล้อง หนูได้คำตอบแล้วว่านี่คือสิ่งที่หนูชอบ หนูชอบได้อยู่กองถ่าย ไม่ว่าจะเป็นกล้องใหญ่ กล้องเล็ก กล้องมือถือ กล้องเซลฟี่ หนูยังรักในการทำตรงนี้ แล้วได้ส่งความสุขตรงนี้ออกไป ยิ่งเวลาเราได้เล่นซีรีส์ หรือได้มอบความสุขให้กับคนดูหรือคนฟัง แล้วทำให้คนมีความสุข หนูรู้สึกว่าสิ่งนั้นเป็นความสุขของหนูมาก และอยากทำต่อไปเรื่อย ๆ

สำหรับบทที่หนูอยากเล่น หนูอยากเล่นในบทที่ค่อนข้างมีจริตออกสาวมากขึ้น หรือบทร้าย ๆ แซ่บ ๆ หนูก็อยากลอง เพราบางทีคนข้างนอกก็จะมองว่าหนูดูซอฟต์ ๆ ดูเล่นเป็นตัวเศร้า ๆ หรือแบบเป็นตัวน่าสงสาร แต่ความจริงหนูอยากเล่นเป็นตัวร้ายบ้าง หนูอยากเป็น กาสะลอง ซ้องปีบ เลย หนูอยากเล่นอะไรแบบนั้นดูบ้าง อะไรที่มันท้าทายในบทใหม่ ๆ หนูไม่ได้คิดว่าจะต้องไปไกลมากน้อยแค่ไหน แต่หนูแค่รู้สึกว่าสำหรับเป้าหมายของหนู หนูอยากเล่นบทที่เค้ายื่นเข้ามาแล้วมันเข้ากับที่เราต้องการ แต่หนูก็ยังตอบไม่ได้ว่าบทนั้นคืออะไร และช่วงนี้ก็ได้ทำแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองด้วย กำลังซุ่มดีไซน์คอลเลคชั่นใหม่อยู่ หนูได้ใช้ทักษะสถาปัตย์แล้วในการทำงานตรงนี้” - เอิร์ธ กัษมนณัฎฐ์

 

 

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์

 

ติดตามชมรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1