“เราสามารถแต่งตัวตามความชอบได้เลย มันอยู่ที่ Attitude บางคนอาจจะยังไม่มั่นใจในรูปร่าง แต่ผมเชื่อว่าถ้าเราชอบแต่งตัว เราจะสามารถทำให้ตัวเอง มีร่างทอง ที่มันเหมาะกับชุดที่เราอยากแต่งได้”
เปิด Club ส่งต่อแพชชั่น พร้อมแบ่งปันแรงบันดาลใจในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดจึ้ง “ไดมอนด์ เจตน์ตุรงค์” จากอดีตเชฟที่ทำงานในครัว ผันตัวสู่การเป็น TikToker ผู้ปลุกกระแสผู้ชายแต่งตัวแบบผู้หญิง ที่มีแพชชั่นแรงกล้าว่าเราสามารถแต่งตัวตามสไตล์ที่ชอบได้เสมอ ล่าสุดเขาเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าที่มีเอกลักษณ์สุดปังชื่อ “Phisunee” สีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการ
แรงบันดาลใจ ที่ทำให้อยากใส่กระโปรง
“แรงบันดาลใจแรกคือ แต่ก่อนผมเป็นคนที่ไม่ได้มีไอดอล แล้วตอนนั้นก็ยังไม่ได้เสพสื่อต่างประเทศ แต่ผมเปิด Facebook แล้วเลื่อนฟีดไปเจอโฆษณาหนึ่งที่เค้าขายกระโปรงทางFacebook ในราคา 290 บาท แล้วรูปแบบมันเป็นยางยืด เราก็คิดว่าน่าจะซื้อมาลองดู ซึ่งแรก ๆ ผมก็ไม่ได้มีความมั่นใจที่จะเดินเข้าไปในร้านเสื้อผ้าผู้หญิงแล้วซื้อกระโปรงออกมาใส่ วันนั้นผมก็เลยกัดฟันซื้อออนไลน์แบบวัดดวงกับเงิน 290 บาท พอได้กระโปรงมาผมก็ลองใส่ดูปรากฎว่าเราใส่ขึ้นเลย ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็ใส่กระโปรงยาวเลย ตอนไปกับเพื่อนก็จะใส่กระโปรงยาวออกไป ซึ่งตอนที่กดซื้อกระโปรงตัวนั้นเพราะผมเบื่อ ผมแต่งตัววินเทจมาก่อน แล้ววันหนึ่งมันก็เลยเกิดความเบื่อขึ้นมา แล้วมันก็เกิดความคิดว่า ทำไมผู้หญิงเค้าแต่งตัวได้เยอะจัง แต่ผู้ชายแต่งตัวได้นิดเดียว ของผู้ชายมีแค่ เสื้อเชิ้ต เสื้อยืด แจ็คเก็ต กางเกงยีนส์ขากระบอก แต่ของผู้หญิงมีทั้งเสื้อทั้งผ่าไหล่ เสื้อแหวกแขน เสื้อลูกไม้ เสื้อเกาะอก ซึ่งผมก็รู้สึกว่าทำไมผู้ชายเรามีตัวเลือกที่หลากหลายแบบนั้นไม่ได้”
อยากแต่งเป็นตัวฉัน แต่คนรอบข้างดันไม่เข้าใจ
“ปกติผมอยู่ที่ จ.ชัยภูมิครับ ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมอายุ 16 ปี แล้วผมก็มีเพื่อนเรียนที่กรุงเทพอยู่คนนึงที่จะคอยส่งเรื่องราวแฟชั่นของชาวกรุงเทพมาให้ผมดูตลอด เราเลยเริ่มสนใจ ซึ่งพอผมกดสั่งซื้อมา ผมก็แต่งอยู่แถวบ้าน แต่งไปโรงเรียน แต่งไปเชียร์น้องงานกีฬาสี แล้วก็จะรู้สึกว่าทำไมเสื้อผ้าที่เราใส่ต้องโดนจับตามองจากคนรอบข้างในโรงเรียนตลอด คือบางครั้งผมแค่ใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น ผมก็โดนทักแล้วว่า แค่มาเชียร์น้องทำไมต้องแต่งตัวเต็ม ผมก็เลยชะงัก แล้วคิดว่านี่เต็มแล้วเหรอ บางครั้งจะเข้าไปในเมือง ผมแค่ใส่รองเท้าผ้าใบ ผมยังโดนแซวเลยว่า ใส่ผ้าใบทำไม ซึ่งผมอยากใส่รองเท้าคู่นี้มาก ตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสไปเที่ยวผมก็คิดว่าจะใส่มัน แต่พอใส่แล้วก็โดนเพื่อนมาแซว มันก็ทำให้เราเกิดความไม่มั่นใจ แต่เราก็รู้สึกว่า วันหนึ่งถ้าเรามีโอกาสได้อยู่ในเมืองใหญ่ เราจะใช้มันให้เต็มที่เลย
ส่วนคนรอบข้าง อย่างญาติพี่น้องก็เคยถามผมเหมือนกันว่า ผมเป็นผู้ชายรึเปล่า ผมก็บอกว่าเป็นผู้ชาย ผมแค่ชอบเสื้อผ้าผู้หญิงเฉย ๆ เพราะผมรู้สึกว่ามันแต่งสนุก แล้วก็มีให้เลือกเยอะ ผมแต่งชุดผู้ชายจนตันแล้วพี่ แต่พอแต่งชุดผู้หญิงมันไปไม่สุดเลย ผมมีอะไรใหม่ ๆ ให้ใส่ตลอด มีอะไรแปลกใหม่ให้ลองตลอด ซึ่งมีบางครั้งเวลาใส่ชุดผู้หญิงแล้วเพื่อนก็บอกว่า มันเหมือนองค์ลง มันจะติดจริตผู้หญิง แต่ส่วนมากผมจะเป็นเฉพาะตอนถ่ายรูป ที่จริตมันจะเยอะหน่อย เพื่อให้เข้ากับชุดที่เราแต่ง สมมติว่าถ้าจะแต่ง Punk เราก็ต้องยืนหน้าบึ้ง จะมายิ้มแฉ่งตรงนั้นก็ไม่ได้ ซึ่งผมเองก็พยายามศึกษาว่าแต่งแต่ละสไตล์ ท่าโพสต์ถ่ายรูปต้องเป็นแบบไหนถึงจะไปในแนวเดียวกัน
ในส่วนของครอบครัว ส่วนมากผมจะได้ยินจากแม่ พ่อจะเฉย ๆ แต่แม่ก็ชอบถามว่าแต่งตัวแบบนี้ไม่อายคนอื่นเหรอ ผมก็บอกว่าผมไม่อาย ผมไม่ได้ไปฆ่าใครสักหน่อย ผมไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อน แม่เดือดร้อนไหม ซึ่งผมค่อนข้างที่จะไฟท์เหมือนกันนะ ซึ่งแม่ก็พูดไม่ออก ด้วยความที่ครอบครัวเราทำงานราชการทั้งครอบครัวเลย แม่ก็มักจะเบรกเวลาผมแต่งตัวจัดตลอด แต่สุดท้ายผมเข้าใจแม่นะ ผมคิดว่าพ่อแม่ทุกคนเป็นห่วงเราเรื่องกลัวว่าเราจะเอาตัวรอดไม่ได้ แต่ผมก็ทำให้เค้าเห็นว่า ผมสามารถเอาตัวรอดและมีเงินใช้ สามารถหาเงินจากเสื้อผ้าผู้หญิงได้ ทุกวันนี้เค้าก็เริ่มปล่อยวางกับเรื่องนี้ได้ เวลาผมไปออกรายการไหน แม่ก็จะบอกว่าส่งให้แม่ดูบ้างสิ
คำคอมเมนต์จากคนในโซเชียลมีตลอดครับ จนถึงตอนนี้ก็ยังมีคอมเมนต์แบบว่า แต่งตัวแบบนี้ยังกล้าใช้คำว่าครับอยู่อีกเหรอ หรือ ถ้าคุณไม่มีลูก ผมก็ไม่เชื่อหรอกว่าคุณเป็นผู้ชาย ซึ่งส่วนมากผมชอบแคปไปให้เพื่อนดู แล้วเพื่อนก็ลงไปด่าแทน โดยเราไม่ต้องทำอะไร ผมเองเวลาแต่งตัวจะต้องดูกาลเทศะ ดูสถานที่ เราไม่แต่งตัวจัดเข้าวัด หรือไปหาผู้หลักผู้ใหญ่อยู่แล้ว เราพยายามแต่งตัวตามสไตล์เราแล้วไปหาคนที่เราชอบดีกว่า หรือแต่งไปตลาดมือสอง เพราะว่าคนที่มาตลาดอย่างน้อยเค้าก็ชอบเสื้อผ้าอยู่แล้ว พอแต่งมันเลยมีกำลังใจ แล้วก็ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีค่าด้วย แล้วเวลาเจอคอมเมนต์ผมก็อ่านครับ แต่ผมเป็นคนที่อ่านแล้วไม่ได้เกิด Toxic ซึ่งสำหรับผมคิดว่าอย่าไปตัดสินเค้าครับ ผมรู้สึกว่าถ้าเราได้มีโอกาสพูดคุยหรือทำความรู้จักคนคอมเมนต์จริง ๆ เค้าอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ได้ เพราะก่อนที่ผมจะมาแต่งตัวขนาดนี้ ผมก็เคยตัดสินคนที่ภายนอก แล้วผมคิดว่าทุกคนก็คงน่าจะเคย แต่สุดท้ายพอเราได้พูดได้ทำความรู้จักกับเค้า จริง ๆ แล้วเค้าไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเลย”
เปิดชีวิตหลังครัว กับอาชีพแรกหลังเรียนจบ
“ผมเรียนจบวิทยาลัยดุสิตธานี ด้านการจัดการครัวและการประกอบอาหารโดยตรง ซึ่งเลือกเรียนตามสิ่งที่ชอบมาตั้งแต่เด็ก ๆ ซึ่งแม่ก็ปลูกฝังให้ดูรายการทำอาหารตลอด แล้วเราก็ทำอาหารให้แม่กิน พอตอนเรียนก็สนุกสนานแล้วตอนผมเรียนจบ มันดันอยู่ช่วงโควิด แรก ๆ ผมก็คิดว่าจะไปฝึกงานที่อเมริกา แต่ผมก็มีสิ่งที่ต้องการแอบแฝงคือที่ผมอยากไปอเมริกา เพราะผมอยากไปหาเสื้อผ้าด้วย แต่หลังจากนั้นโควิดมันเริ่มหนัก จนมันหนักมากจนเราหมดแพชชั่นในการไปต่างประเทศ หลังจากนั้นแม่ก็ให้เราไปทำงานครัว ตามที่เราเรียนจบมา พอผมไปทำงานครัวได้ 2 เดือนครึ่งผมลาออกเลย เพราะการทำงานในครัวมันเหนื่อย เราได้หยุด 1 วัน แล้วเวลามันก็เหวี่ยง บางวันเค้าให้เราเข้างาน 10 โมง เลิก 1 ทุ่ม แต่อีกวันกลับเปลี่ยนเวลา แล้วเราไปทำในฐานะหัวหน้าคนอีกทีหนึ่ง ถ้าคนในทีมเป็นอะไรขึ้นมา เราก็ต้องไปเป็นซัพพอร์ต ซึ่งผมรู้สึกว่าผมไม่ชอบเลย ตอนเรียนสนุกมากแต่ตอนทำงานมันคนละเรื่องกันเลย ผมก็เลยตัดสินใจลาออก
ซึ่งพอแม่รู้ แม่ก็บอกว่าจะลาออกทำไมมันหางานยาก แต่ผมไม่สนใจเพราะผมรู้สึกว่าเราอายุยังน้อยอยู่ เรายังมีเวลาลองผิดลองถูก ผมก็รู้สึกว่าอยากหางานอะไรก็ได้ที่แต่งตัว ผมก็เลยนึกถึงร้านเสื้อผ้า จนได้ทำงานร้านเสื้อผ้าที่ย่านเอกมัย ผมทำอยู่ปีนึงมันมีความสุขมากเลย และผมเคยมาทำงานผิดวันในวันหยุดด้วย เพราะงานมันสนุกมาก ซึ่งผมรู้สึกว่าถ้าจะดูว่าเราชอบหรือไม่ชอบ เวลาเราไปทำงานแล้วคอยดูนาฬิกาว่าตอนไหนจะเลิกงาน นั่นแสดงว่าเราไม่มีความสุข แต่ถ้าสมมติว่าเราไปแล้วรู้สึกว่าทำไมวันนี้เวลามันเร็วจัง แสดงว่านั่นแหละเป็นงานที่เราชอบแน่นอน”
กรุงเทพ เมืองในฝัน ที่ฉันได้แต่งตัวตามความชอบ
“ผมเป็นคนที่อยากอยู่กรุงเทพมาก แล้วถ้าผมไม่ชอบแต่งตัว ผมอาจจะไม่ได้อยากอยู่กรุงเทพก็ได้ เพราะผมมองมาตลอดว่าการที่อยู่ในกรุงเทพเค้าไม่ซีเรียสเรื่องแฟชั่น อยากแต่งอะไรก็แต่ง ผมเลยคิดว่า ถ้ามาอยู่กรุงเทพผมจะใส่ให้สุด
เวลาซื้อเสื้อผ้า พอซื้อมาแล้วระหว่างอาทิตย์ ผมต้องใส่ออกไปข้างนอก เพราะผมเป็นคนที่วันหยุดไม่ได้นอนอยู่ห้องเปื่อย ๆ การพักผ่อนของผมคือการแต่งตัวแล้วออกไปใช้ชีวิตข้างนอก แล้วพอเข้ามาอยู่ในกรุงเทพเราก็ได้ทำตามความตั้งใจเลย ผมเป็นคนที่แต่งตัวไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านชาวเมืองเค้า ปกติคนที่เรียนเชฟเค้าจะแต่งตัวแบบมินิมอล แต่ผมก็จะแหวกแนวไปแต่งตัวแบบทหาร หรือแบบแต่งตัวแบบลูกเสือ ตอนนั้นผมใส่สูทแล้วผมก็รู้สึกว่ามันสนุกมาก เวลาคนอื่นมอง ผมก็ไม่ได้ซีเรียสเรื่องคนมอง เพราะว่าการที่เราทำอะไรแตกต่างจากสังคม มันเป็นที่จับตามองหรือคอมเมนต์กันอยู่แล้ว คือผมเตรียมใจมาแล้วตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ผมเริ่มแต่งตัววินเทจมาตั้งแต่ปี 2559 จนถึงประมาณปี 2562 ผมก็เริ่มหาแรงบันดาลใจในการแต่งตัวใหม่ ตอนนั้นผมไปไถผมตัดสกินเฮดเลย แล้วพอกลับไปแต่งแบบวินเทจเหมือนเดิมกลายเป็นว่ามันไม่เข้า ผมก็เลยลองเอากระโปรงมาใส่ แล้วพอเราใส่กระโปรงจนชิน มันเริ่มเบื่อ กระโปรงที่ใส่มันก็เริ่มมีแหวก เริ่มมีพริ้ว เริ่มมีดีเทลขึ้นมา หลังจากนั้นก็เริ่มมาใส่เสื้อครอป เป็นเสื้อผูกคอ แล้วสร้อยต้องใส่ ต้องมีถุงน่องตาข่าย สำหรับผมตอนนี้เสื้อผ้ามันแทบจะไม่มีกรอบแล้ว”
เปิดตู้เสื้อผ้าของ ไดมอนด์ เจตน์ตุรงค์
“เสื้อผ้าผมมีเยอะมาก แต่ละมุมผมจะแบ่งแต่ละสไตล์เรียงกันไว้หมด ฝั่งสีดำแดง ฝั่ง Punk ฝั่งทันสมัย ฝั่งกางเกงแบ็คกี้ ฝั่งชิโนระ ฝั่งญี่ปุ่น ผมมีห้องเดียวแต่ผมจะจัดเป็นมุมไว้ เพราะผมอยากเดินเข้าไปแล้วรู้สึกว่า วันนี้อยากแปลงร่างเป็นอะไร แล้วผมสามารถแต่งออกมาได้เลย และผมอยากให้คนมาสนุกกับการแต่งตัวกับผมได้ คือเวลาผมอยากขอความเห็น ผมสามารถพูดคุยกับคนอีกคน ให้เค้าช่วยดีไซน์ให้เล็กน้อย แล้วผมสามารถสามารถแต่งตามได้ รวมถึงสามารถมองออกเลยว่า คนรูปแบบนี้สามารถแต่งอะไรแล้วเข้ากับเค้าได้บ้าง ซึ่งอาจจะได้ทักษะจากที่ผมเคยทำร้านเสื้อผ้ามาก่อนด้วย
มีวันเดียวที่ผมไม่อยากแต่งตัวคือ วันฝนตก เพราะรู้สึกว่าถ้าใส่ไปแล้วคนจะไม่เห็น ผมเลยไม่อยากใส่ เพราะรู้สึกว่ามันเปลืองเสื้อผ้า แล้วผมเป็นคนที่ถ้าแต่งซ้ำทุกชิ้นตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วมันรู้สึกเลี่ยน ผมสามารถแต่งซ้ำได้ประมาณ 3 ครั้ง แล้วก็ต้องคิดใหม่ เพื่อให้มันเกิดความใหม่ ซึ่งผมจะแมชต์เสื้อผ้าไว้ตั้งแต่ตอนกลางคืน เพื่อใส่ในวันพรุ่งนี้
แล้วการแต่งตัวส่วนมากผมจะผสม อย่างเช่นบนหญิงล่างชาย หรือแบ่งครึ่งว่า ถ้าล่างโป๊ บนต้องไม่โป๊ แล้วเสื้อบางตัวมันสามารถใส่ได้หลายแบบ ใส่เต็มตัวได้ ใส่เป็นปาดไหล่ได้ มันก็เป็นการแต่งแบบใหม่แล้ว
ผมรู้สึกว่า เสื้อผ้ามือสอง มันดีหลายเด้งมากเลย อย่างแรกคือลด Fast Fashion ครับ คือเสื้อตัวเดียว ผมสามารถแต่งได้หลายลุค โดยเสื้อผ้ามือสองผมก็หาที่ตึกแดงจตุจักร ตลาดปัฐวิกรณ์ตลาดสังกะสี แล้วก็ตลาดนัดรถไฟศรีนครินทร์ แล้วถ้าใส่แล้วเบื่อขายได้กำไรต่อเอามาเงินมาใช้ในชีวิต และมันยังเป็นสิ่งที่เราชอบ และอยู่กับมันได้นานด้วย”
จุดเริ่มต้น ที่คนเริ่มรู้จัก ไดมอนด์ ผู้ชายใส่กระโปรง
“เริ่มจากช่วงที่ผมทำงานร้านเสื้อผ้า ตอนนั้น Reels ใน Instagram มันพึงจะมีเข้ามา แล้วช่วงนั้นที่ร้านไม่มีลูกค้า เพราะเป็นช่วงโควิด แล้วผมก็ปรึกษากับทางหัวหน้า เค้าถามว่าอยากมีอะไรใหม่ ๆ ทำให้กับร้านไหม ผมก็เลยบอกว่าลองทำ Reels ไหมครับ ผมถนัดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ หัวหน้าก็เลยปล่อยให้เราทำ ซึ่งเวลาเราทำ เราก็จะก๊อปคลิปนั้นมาลงใน Tiktok ของเราด้วย แล้วคลิปมันเริ่มแมส แล้ว 1 ปีที่ผ่านมา ผมก็ทำคลิปมาโดยตลอด อาทิตย์หนึ่งจะมี 4 คลิปได้ วันหยุดก็ทำของตัวเองลงเพิ่มไปอีก จนคนติดตามเริ่มเยอะ เริ่มมีคนชอบ เริ่มมีงานจ้างขึ้นมา จนเงินที่ได้มันเยอะก็เลยตัดสินใจลาออก พอตัดสินใจลาออกก็เป็นช่วงที่เราดังเปรี้ยงปร้างเลยตอนนั้น”
จากผู้ชายชอบแต่งตัว สู่เจ้าของแบรนด์ “Phisunee”
“ภิษุณี ได้มาจากที่ผมไปบวชมา แล้วตอนบวชมันก็จะมีครูบาอาจารย์ที่เรียนธรรมะ มาเล่าประวัติศาสตร์บอกว่า มันมีภิกษุสงฆ์ มีแม่ชี แล้วก็มี ภิกษุณี ด้วย ซึ่งผมไม่เคยรู้มาก่อนว่า
ภิกษุณี คือผู้หญิงที่ใส่ผ้าเหลือง ไม่ใช่แม่ชี แล้วประวัติศาสตร์ของภิกษุณีก็คือเหมือนเค้าจะยกย่องพวกเดียวกัน ส่วนคนทั่วไปจะไม่ค่อยสนับสนุนเท่าไหร่ แล้วผมก็รู้สึกว่า นี่มันเหมาะกับการนำมาตั้งชื่อแบรนด์ มันเหมือนร่างเราเลย ที่แตกต่างแหวกแนว แล้วคนทั่วไปเค้าไม่ได้ยอมรับ แต่จะยอมรับคนที่ชอบแต่งตัวเหมือนกัน ผมก็เลยรู้สึกว่าชอบคำนี้มาก เหมือนคำว่า ภิกษุ คือผู้ชาย ณี คือผู้หญิง พอรวมกันแล้วรู้สึกว่ามันอยู่ตรงกลาง ผมก็เลยชอบคำนี้มาก ๆ แล้วก็เริ่มปรึกษาว่า ผมสามารถเอาคำนี้มาตั้งชื่อแบรนด์ได้ไหม โดยจะสะกดไม่เหมือนกัน แต่ก็ให้ออกเสียงว่า ภิษุณี
กลุ่มเป้าหมายของ Phisunee ถ้าตอนนี้ก็คือผู้หญิงครับ แต่ถ้าเป็นตอนที่ตั้งใจเปิดแบรนด์ครั้งแรก ผมก็ผลิตเสื้อผ้าผู้หญิงนั่นแหละ แต่ผมจะเปลี่ยนแค่รูปแบบการนำเสนอ ผมอยากให้คนที่เป็นนายแบบถ่ายชุดคือผู้ชายเท่านั้นเลย อันนี้คือสิ่งที่ผมอยากทำตั้งแต่แรก แต่สุดท้ายแล้วมันทำไม่ได้ โดยการแต่งตัวแบบผมเรียกว่า ครอสเดรส ครับ คือผู้ที่หลงใหล หรือชื่นชอบแฟชั่นของเพศตรงข้าม ถ้าพูดง่าย ๆ ก็คือผู้หญิงที่แต่งตัวผู้ชาย อันนั้นเค้าก็เรียกว่าครอสเดรสเหมือนกัน แต่มันเป็นสิ่งที่ไม่โดนจับตามอง เพราะว่ามันเป็นเรื่องปกติแล้วในสมัยนี้ มันก็เลยกลับกันกลายเป็นคนที่ผู้ชายที่มาใส่เสื้อผ้าผู้หญิงกลับถูกมองว่าแปลก ผมรู้สึกว่าเราชื่นชอบเราหลงใหลการแต่งตัวเป็นผู้หญิง แต่ไม่ได้อยากจะเป็นผู้หญิง คือผมอยากให้แยกรสนิยมทางเพศกับรสนิยมการแต่งตัวออกจากกัน แต่ผมก็เข้าใจว่าบางคนมองเข้ามามันโดนสื่อออกมาเหมือนกัน ซึ่งผมก็ไม่ได้ซีเรียสที่ผู้คนจะมองผิดไป
ในอนาคตผมก็อยากขายที่จีนกับญี่ปุ่น เพราะทางจีนเค้าชอบเสื้อผ้าที่มันแต่งยาก ๆ จากการศึกษาผมพบว่า ส่วนมากคนไทยเค้าจะชอบใส่เสื้อทรง Baby tee กับ เสื้อกล้าม Tank Top เหมือนใส่เสื้อยืดคือตัวเดียวก็จบ แต่ถ้าเป็นคนจีน เค้าจะแต่งตัวเยอะ แต่ง 2 ชิ้น 3 ชิ้นขึ้นไป สร้อยก็ระโยงระยาง แล้วถ้าเป็นฝั่งญี่ปุ่น ก็แต่งตัวหนักเหมือนกัน แล้วผมก็มีแพลตฟอร์มจีน ที่ผมก็แต่งตัวลงแล้วก็แมสที่จีนด้วย คนจีนก็ตามมาหาผม มาขอถ่ายรูปเยอะมาก ในอนาคตเลยอยากขายที่จีนกับญี่ปุ่นครับ”
แต่งตัวแบบนี้ เป็นอุปสรรคกับความรักไหม
“ถ้าถามว่าการแต่งตัวแบบนี้เป็นอุปสรรคกับความรักไหม บอกเลยว่าเป็นครับ เป็นอย่างสูงที่สุด เอาจริง ๆ ผมไม่เคยมีแฟนนะ ผมทำอะไรแบบสุดโต่งมาโดยตลอด ไม่ได้หมายความว่าไม่โฟกัสเรื่องความรัก คือเราโฟกัสตลอด แต่พอเรามาถึงจุดนี้ เพื่อนเคยเบรกเหมือนกันนะว่าแต่งตัวแบบนี้ระวังหาแฟนยากนะ แต่ตอนนั้นเราไม่สน เรากำลังสนุกกับกระโปรงมากเลย เราก็ไปต่อเลย แต่สุดท้ายมันก็เป็นอย่างที่เพื่อนพูดจริง ๆ เวลาผมจะจีบใครผมเขินนะ ผมอยากให้คนที่ได้เห็นผมจากโซเชียลลองมาเจอมาคุยกันต่อหน้า แล้วก็ได้บอกว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันเป็นยังไง มันเมีที่มายังไง มากกว่าเข้ามาดูรูปแล้วก็ตัดสินเลย แล้วผมก็ไม่กล้าจีบผู้หญิง ผมเขินที่จะใส่กระโปรงพร้อมจริตเยอะมากมาย แล้วเข้าไปจีบผู้หญิง ซึ่งถ้าผมมีแฟนผมคงไม่แต่งชุดผู้หญิงครับ ผมไม่อยากสวย ไม่อยากเด่นไปกว่าแฟน ผมอยากให้เค้าสวยคนเดียว ผมก็จะหล่อที่สุดเท่าที่จะหล่อได้ เว้นแต่เค้าจะบอกว่าแต่งเป็นเพื่อนหน่อยเราถึงจะทำ ซึ่งตอนนี้ก็หาแฟนอยู่เหมือนกันครับ”
อยากแต่งตัวแบบไหน แต่งได้เลย!
“สำหรับคนที่อยากแต่งตัวแต่อาจจะไม่มั่นใจในรูปร่าง ผมว่าแต่งได้ครับ มันอยู่ที่แอตติจูด และความมั่นใจ บางคนอาจจะรู้สึกว่ายังไม่มั่นใจในรูปร่างตัวเอง ณ ตอนนี้ ผมรู้สึกว่าถ้าเราชอบแต่งตัว เราก็ต้องขุนร่างตัวเองให้รู้สึกว่าเป็น ร่างทอง ที่เราชอบให้ได้ ส่วนตัวผมเอง เคยเผลอน้ำหนักเยอะมาก ๆ เพราะว่าผมเรียนจบด้านเชฟมา ก็กินสารพัด น้ำหนักเกือบ 80 กิโลกรัม สุดท้ายผมตัดสินใจลดมา 20 กว่ากิโลกรัม จากที่เคยใส่แบบเสื้ออก 38-40 นิ้ว ผมมาใส่อก 30 นิ้ว ได้แล้ว
การแต่งตัว มันเหมือนการแต่งจานครับ คือการแต่งจานให้ดูน่ากิน มันเป็นการใช้เฉดสีคู่ตรงข้าม ซึ่งเหมือนกับเสื้อผ้าเลย ตัวอย่างเช่น ข้าวผัด มันก็ต้องวางด้วยมะเขือเทศ ต้นหอม มะนาว แล้วข้าวก็จะเป็นสีเหลืองทอง ยังไงก็เข้ากัน และเสื้อผ้าก็เหมือนกัน เสื้อผ้าเราก็ต้องจับสีคู่ตรงข้าม แล้วก็ให้เหมาะกับ Personal Color ด้วย แต่สำหรับผมไม่ได้สนใจ Personal Color สักเท่าไหร่ ผมใส่หมดเลย บางคนบอกว่าผิวสีขาวต้องใส่สีเฉดอ่อนนะ คนผิวดำต้องใส่สีสว่างเข้าไว้ ซึ่งผมรู้สึกว่าไม่จำเป็นขนาดนั้น ผมอยากใส่ผมก็จะใส่ อย่างสีชมพูพาสเทลเข้าหรือไม่เข้าไม่รู้ แต่ผมว่าอยู่ที่จริตคน ซึ่งผมกล้าใส่ แต่ถ้าสมมติสีชุดมันตรงกับสีผิวเราจริง ๆ มันอาจจะทำให้เราดูดีที่สุดในบรรดาทั้งหมด แต่ไม่ใช่ว่าเรามีข้อมูลว่าสีนี้ไม่เข้ากับสีผิวแต่งไม่ได้ ไม่ใส่ดีกว่า ผมว่าไม่เกี่ยว ใส่ไปเลยไม่ต้องห่วง มันอยู่ที่แอตติจูด เพระถ้าสมมติว่าเสื้อตัวนี้สวยมาก แต่มันไม่ใช่เป็นเฉดสีที่เข้ากับ Personal Color ที่เราต้องใส่ แล้วเราไม่หยิบมันมาใส่ ผมว่าเสียดายตายเลย”
สีสัน แรงบันดาลใจ จาก ไดมอนด์ เจตน์ตุรงค์
“สำหรับผมการหาสิ่งที่เราชอบมันอาจจะหายาก แต่ให้ลองหาในสิ่งที่เราทำได้ดีก่อนมันหาง่ายกว่า และมันอาจจะเปลี่ยนเป็นความชอบก็ได้ การหาตัวเองผมคิดว่ามันยาก แต่ผมอาจจะโชคดีที่ผมหาเจอ เจอช้าเจอเร็วอยู่ที่โชคของคนแต่ผมเจอแล้ว การหาสิ่งที่เราชอบ เริ่มแรกต้องมองว่าเราทำสิ่งนั้นได้ดีมั้ย ทำแล้วมันมีความสุขมั้ย แล้วเราสามารถนำสิ่งที่เราทำมันได้ดี และทำมันอย่างมีความสุข เราสามารถหาเงินกับมันได้มั้ย ผมคิดว่าในยุคนี้มันหาเงินได้ง่ายใคร ๆ ก็สามารถเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ได้” - ไดมอนด์ เจตน์ตุรงค์
พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์
ติดตามชมรายการย้อนหลัง