ล้วงลึกลุคสุดปัง พร้อมรับพลังใจ จาก “ไจ๋ ซีร่า” Drag Queen พันหน้า เจ้าของฉายามาดอนน่าเมืองไทย

Club Pride Day Recap

ล้วงลึกลุคสุดปัง พร้อมรับพลังใจ จาก “ไจ๋ ซีร่า” Drag Queen พันหน้า เจ้าของฉายามาดอนน่าเมืองไทย

05 ก.ค. 2024

“ชีวิตที่ผ่านมาของไจ๋ มีทางแยกหลายทางมาก แต่ถ้ามองย้อนกลับไป ทางแยกเหล่านั้น มันเป็นตัวสร้างเรา ให้มาเป็นตัวเราอยู่ทุกวันนี้ ไม่เคยเสียใจเลยกับทุกโมเมนต์ กับทุกทางเลือกที่ผ่านมาของตัวเอง”

 

 

ยังเป็นคลับที่รวมหลากหลายสีสันของชีวิต และคอยแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดจึ้ง “ไจ๋ ซีร่า” Drag Queen พันหน้า เจ้าของฉายามาดอนน่าเมืองไทย และเจ้าของแบรนด์วิกผม SiraWigs ที่ชาวแดร็ก และนักแต่งหญิงทุกคนยอมรับในความเนียน ความละเอียด และปังทุกทรง แต่กว่าจะมีวันนี้ เขาผ่านหลากหลายเรื่องราวที่เป็นเหมือนสีสันของชีวิต พร้อมมีข้อคิดแรงบันดาลใจดี ๆ มาแชร์เอาไว้ในรายการอีกด้วย

 

จากที่ต้องปิดบังตัวตน สู่การเป็นคนที่ทำให้ครอบครัวภูมิใจ

“สมัยก่อนไจ๋ ปิดบังเรื่องที่ตัวเองเป็นแดร็กควีนกับทางบ้านมาโดยตลอด เค้ารู้แค่ว่าเราหอบข้าวหอบของออกจากบ้านไปทำงานเป็นแดนเซอร์ เพราะไจ๋จะบอกเค้าว่าไปเต้นงาน แล้วแต่ก่อนไจ๋ก็ปฏิเสธรายการฟรีทีวีเยอะมาก เพราะกลัวที่บ้านจะรู้ จนมีรายการดังรายการหนึ่งติดต่อมา ซึ่งมันต้องไปแล้ว เพราะรายการดังมาก ก็เลยตัดสินใจไปออกรายการนั้น ปรากฎว่าคุณแม่ไปซื้อส้มตำ แล้วพ่อค้าส้มตำหน้าปากซอยคุยกับแม่ว่า ลูกชายเจ๊ไปออกทีวี เค้าเก่งมากเลยนะเจ๊ แม่ก็งงว่าไปออกทีวีได้ยังไง พอแม่กลับมาบ้าน เค้าก็ไปคาดคั้นเอาคำตอบจากแฟนว่าไจ๋ออกรายการอะไร ไม่เห็นบอกแม่บ้างเลย ซึ่งตอนนั้นไจ๋ทำงานอยู่ต่างประเทศ ก็เลยตัดสินใจบอกกับแฟนว่า ให้แม่เค้าดูไปเถอะ มันถึงจุด ๆ นี้แล้ว ตอนนั้นมันเหมือนเรากังวลไปก่อน เพราะตอนกลับบ้านมา พ่อก็ถามว่าเป็นยังไงเหนื่อยมั้ย แล้วพ่อก็แซวบอกว่า วันหลังเอาหมาที่บ้านไปช่วยแสดงด้วยนะเวลาออกทีวี แล้วตอนที่ไจ๋ไปออกทีวีมันเป็นช่วงที่ต้องเปิดแผ่นป้าย แล้วพอเปิดออกมาดันได้คำว่า ลูกคุณเป็นแดร็กควีน แล้วก็เปิดตัวเราอย่างยิ่งใหญ่มาก ซึ่งกลับกลายเป็นว่าคุณแม่ชอบ แล้วคุณแม่กลายเป็นแฟนคลับของเราไปเลย ทุกวันนี้คุณแม่จะตามคอมเมนต์ใน Tiktok อยู่ตลอดว่า สุดยอดมาก สวยมาก เค้ากลายเป็นแฟนคลับตัวยงไปเลย”

 

 

เปิดความหมาย “Drag Queen” ตามแบบฉบับของ “ไจ๋ ซีร่า”

“Drag Queen คือศิลปิน ซึ่งเป็นทุกอย่างที่อยู่ภายใต้คำว่า เอ็นเตอร์เทนเนอร์ ซึ่งสามารถที่จะสื่อสารในรูปแบบต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น คอมเมเดียน โฮสม พิธีกร หรือนักร้อง ซึ่งมันดิ้นออกไปในจักรวาลนี้ไปได้หลายทางมาก ๆ มันก็เลยไม่มีคำจำกัดความว่า แดร็กควีนจะต้องทำแบบนั้น ทำแบบนี้ และทุกคนสามารถเป็นแดร็กควีนได้ ไม่จำกัดเพศด้วย

อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญมากของแดร็กควีน คือการสร้างแรงบันดาลใจ ทั้งทางตรงและทางอ้อม สามารถสร้างสรรค์ผลงานแล้วกลายเป็นที่ยอมรับได้”

 

ออกงานทุกครั้ง ต้อง “ปัง” เท่านั้น

“ปัง มันเป็นคำที่เราได้ยินบ่อย ๆ แล้วทำให้เราตั้งมาตรฐานของตัวเองไว้ว่า ถ้าเราจะปรากฎตัวที่ไหนมันต้องปัง การเป็นแดร็กควีนมันจะต้องใช้ Wow Factor เป็นหลัก ซึ่งเราผัน Wow Factor มาเป็นคำว่า ปัง การที่เราปรากฎกายแต่ละครั้ง หรือไปงานไหน ทุกคนจะต้องร้องอุ้ย มาขนาดนี้เลยเหรอ นั่นคือเป็นสิ่งที่ไจ๋พยายามที่จะทำให้ตัวเองเป็นแบบนั้น

ซึ่งถามว่ากดดันไหม ต้องขอใช้คำว่ากดดันมาก เพราะว่า ด้วยความที่เราเคยสร้างมาตรฐานไว้แบบนี้ แล้วเป็นมาตรฐานที่สูง มันทำให้เราสิ้นเปลืองเอ็นเนอร์จี้ สิ้นเปลืองเงิน บางทีเราทำงานนึงเชื่อมั้ยว่า บางครั้งค่าตัวไม่เหลือเลย หมดไปกับเสื้อผ้าหน้าผม แล้วลุคที่เราคิดขึ้นมา มันจำเป็นที่จะต้องใช้ของที่ไม่ได้มีอยู่ทั่วไป มันจะต้องประกอบใหม่ ทำใหม่ แล้วอาชีพแดร็กควีนเป็นอาชีพที่จะต้องขายภาพใหม่อยู่เสมอ มันขายภาพซ้ำไม่ได้ เพราะเป็นงานศิลปะ เราเป็นศิลปิน ถ้าเกิดเราใส่ชุดเดิมซ้ำ ๆ แฟนคลับก็จะเบื่อ แล้วก็ไปดูอย่างอื่น เราก็เลยต้องสร้างจุดสนใจจากตรงนี้ให้ได้เยอะ ๆ

จริง ๆ แล้วแดร็กควีนมีอยู่ในไทยมานานแล้ว แต่ว่าแค่อาจจะไม่ได้มาออกสื่อ ไม่ได้มีการพูดถึงเพราะว่าเค้าจะอยู่ตามคลับ หรือสถานบันเทิง แต่ว่า ไจ๋ เป็นคนแรก ๆ เลย ที่กล้าออกมาให้สัมภาษณ์สื่อ ทำผลงานในโซเชียล แล้วก็ได้รับความสนใจ กลายเป็นช่วงจังหวะที่ดี ณ เวลานั้นด้วย

เวลาจะออกงาน หรือทำคอนเทนต์หนึ่งครั้ง มันก็เริ่มตั้งแต่ตั้งโจทย์ก่อนว่า รูปลักษณ์ของเราอยากจะให้ออกมาเป็นรูปแบบไหน แล้วเราจะหาอะไรมาประกอบชุดบ้าง ชุดจะไปในทิศทางไหน แล้วก็เริ่มไปหาของมา ซื้อเครื่องสำอางมาแต่งหน้า แล้วก็หาวิกผมอีก ซึ่งแต่งหน้าเราใช้เวลา 2 ชั่วโมง แต่งตัวอีก 1 ชั่วโมง รวมเป็น 3 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ ซึ่งที่เคยแต่งนานที่สุด ก็ประมาณ 4-5 ชั่วโมง ซึ่งพอแต่งนาน ๆ มันจะทำให้เราพลังหมด เพราะเราไปทุ่มพลังกับการแต่งหน้าแต่งตัวมากเกินไป กับกลายเป็นว่าพอไปอยู่หน้างานเราจะอ่อม ไม่มีแรง ไม่มีเอนเนอร์จี้”

 

 

กว่าจะเป็น SiraWigs วิกทอมือ เจ้าแรกของไทย!

“วิกผมมันเป็นของคู่กับกะเทยมาช้านาน ซึ่ง ไจ๋ ได้ประสบการณ์ใส่วิกมาตั้งแต่สมัยเราทำงานเป็นนางโชว์ที่เมืองนอก แล้วได้ไปเห็นนวัตกรรมการใส่วิกที่มาจากอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ซึ่งมันมีการทอมือ แล้วใช้วิธีการติดกาว ทำให้วิกมันเนียนมากกว่าปกติ แล้วถ้าได้ดูเบื้องหลังการแต่งตัวของเซเลบฮอลลีวู้ดต่าง ๆ จะเห็นว่าเค้าใส่วิกทอมือกันเยอะมาก รวมถึงศิลปินระดับโลกไม่ว่าจะเป็น ตัวแม่ในการใส่วิกเลยก็คือ บียอนเซ่ เค้าใส่วิกบ่อยมากช่วงประมาณ 10 ปีที่แล้ว ใส่วิกแล้วผมสะพรึงตลอด พอเราไปเห็นนวัตกรรมนี้จากเมืองนอก แล้วเราตื่นตาตื่นใจมันมหัศจรรย์เหมือนเปิดโลกใหม่ มันคือยุคใหม่ของการใส่วิก แล้วพอเรากลับมาเมืองไทย ก็เอาวิกนั้นมาใส่ที่ไทย ทุกคนก็เริ่มทักว่าทำไมเนียนจังเลย หรือทำไมไปโกรกสีผมมา ซึ่งจริง ๆ แล้วเราใส่วิก จนมีคำถามจากเพื่อนว่าแล้วทำไมไม่ทำขาย เราจึงเริ่มเห็นช่องทางรวย ก็เลยเริ่มติดต่อกับเพื่อนที่เคยเจอที่ออสเตรเลีย แล้วเค้าย้ายไปอยู่เยอรมัน เริ่มติดต่อกัน แล้วก็เริ่มทำเป็นแบรนด์วิกผมของเราเอง ชื่อว่า SiraWigs

ในยุคเก่าวิกผมมันจะเป็นลักษณะของวิกไหมไฟเบอร์ซึ่งมันจะมีความเงาแบบการ์ตูน เป็นวิกสำหรับปาร์ตี้ แล้วก็พัฒนามาเป็นไหมไฟเบอร์ที่ไม่เงา แต่ก็พันกันง่าย แล้วไหมของแต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งไจ๋ก็ไปทำรีเสิร์ชมาหมดแล้ว อย่างจีนก็จะมีหลายเกรดหลายรูปแบบ ส่วนญี่ปุ่น ไหมของเค้าจะเหมาะกับการทำวิกครอสเพลย์ ซึ่งเป็นวิกที่ถ้าเอามาแต่งเป็นแดร็กควีนหัวใหญ่ ๆ บึ้ม ๆ มันจะอลังการมาก แล้วถ้าเป็นไหมของเกาหลีจะเสมือนผมจริงมาก มันจะเป็นไหมฟอก ซึ่งเราทำรีเสิร์ชเยอะมากก่อนที่จะคลอดมาเป็นแบรนด์ของตัวเอง แล้วเราก็คุยกับเพื่อนที่อยู่เยอรมันในเรื่องของไหมที่จะเอามาทำวิก ฉันขอตัวที่ดีที่สุด ขอตัวที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่สุด

กาวเป็นเรื่องใหญ่มากของ SiraWigs ต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่า กาวมันจะต้องเป็นกาวที่อ่อนโยนกับผิวแพ้ง่ายด้วย ซึ่งร้านไจ๋เป็นร้านวิกที่หวงกาวมาก เพราะว่าสั่งผลิตทีเราต้องอ้อนวอนโรงงาน เพราะว่าใช้โรงงานที่ทำอุตสาหกรรมของภาพยนตร์ที่ฮ่องกง คือต้องใช้คอนเน็คชั่นเยอะมากกว่าจะฝ่าด่านไปหาเค้าได้ แล้วให้เค้าผลิตเป็นกาวของแบนด์เรา คนที่ได้ใช้กาวของเรา กาวมันจะต้องมีความเหนียวความทน แล้วก็จะต้องมีส่วนผสมที่ไม่แพ้ง่าย ตั้งแต่ตั้งร้านมาสิบกว่าปี มีคนที่แพ้กาวเราประมาณ 5 คนเอง แล้วก็มักจะมีคนขอซื้อแค่กาว แต่เราต้องอธิบายให้เค้าเข้าใจว่า เราไม่สามารถขายกาวแยกได้ เพราะถ้ากาวหมดสต็อก วิกจะขายไม่ได้ ฉะนั้นวิกมันต้องมาคู่กับกาว ถ้าคุณจำเป็นจะต้องใช้กาว แล้วไปได้วิกมาจากร้านอื่น เราก็จะแนะนำว่าลองปรึกษาร้านที่ซื้อมาได้ไหมคะอะไรแบบนั้น

การใส่วิก มันเหมือนกับการทำเล็บ คือใส่เพื่อเสริมบุคลิกภาพ แต่การใส่วิกทุกวันนี้ มันเพื่อความสนุก เพื่อการเปลี่ยนโฉม บางคนไม่อยากทำสีผมก็ใส่วิกก็ได้ ซึ่งเราต้องทำออกมาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนที่ต้องการเปลี่ยนลุคของตัวเองด้วย ไจ๋ใช้เวลากว่า 2 ปี เรารีเสิร์ชเยอะมาก เพราะจะต้องหาไหมตัวที่ดีที่สุด ด้วยความที่ส่วนตัวเป็นคนที่ทำอะไรต้องสุด กลับกลายเป็นว่าตัวที่ดีที่สุด แพงที่สุดเลย ณ เวลานั้น และทำเพื่อลูกค้าคนแรกเลยคือ พี่ม้า อรนภา เป็นวิกผมราคา 20,000 บาท พี่ม้าพูดว่าอย่ามาพูดเรื่องเงินกับฉัน ฉันต้องการความสบายใจและความเป๊ะ ฉันเชื่อมือเธอ เราเลยบอกว่าได้ค่ะพี่ ลูกค้าคนแรกจัดให้ค่ะ แล้วก็สวยปัง จนวิกเราเริ่มเป็นที่พูดถึงมาเรื่อย ๆ ซึ่งตอนนี้ราคาวิกผมอยู่ที่ 1,900 บาท ทุกคนอาจจะคิดว่าราคาวิกผมต้องแพงมาก ซึ่งมันหมดยุคแล้ว ที่แพงคือราคาเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว นวัตกรรมมันดิ้นไปเรื่อย ๆ วัตถุดิบมันก็ถูกลงเพราะว่ามีโรงงานแข่งกันผลิต เกิดการสู้กันในตลาด มันก็เลยส่งผลมาถึงเราด้วย เราสามารถผลิตด้วยต้นทุนที่น้อยลง ก็เลยลดราคาลงมาตามยุค

ซึ่งตลาดวิกผม เมื่อก่อนเราจะรู้จักกับวิกประตูน้ำ วิกสำเพ็ง แต่ด้วยความที่ว่า พอไจ๋นำวิกทอมือเข้ามา เราเป็นคนคิดคนแรก ซึ่งเมื่อก่อนมันก็จะมีวิกชาร์ม ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจว่า วิกชาร์ม คืออะไร มาจากคำว่าชาร์มมิ่งเหรอ แล้วก็จะมีวิกลูกไม้ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ามันลูกไม้ตรงไหน ก็เลยเลือกใช้คำใหม่เลยแล้วกันว่า วิกทอมือ ตั้งแต่เริ่มเปิดร้านจนมาถึงปัจจุบันนี้ แล้วร้านอื่นเค้าก็เริ่มเอาวิกประเภทนี้มาขายกันเยอะมากขึ้น เค้าก็ใช้คำของเรา แต่เราก็ไม่มีหน้าที่ไปหวงห้าม ไม่มีหน้าที่ไปจดลิขสิทธิ์ใด ๆ ทั้งสิ้น และถ้าพูดถึงตลาดวิกผมตอนนี้ก็คือเป็นที่แพร่หลายมากยิ่งขึ้น คนรู้จักเยอะแล้วค่ะ”

 

 

คนเอเชียคนแรกที่ได้รางวัล Showgirl’s Choice จาก DIVA Awards

“พอเรียนจบปริญญาตรี ไจ๋ก็ไปทำงานเฉิดฉายอยู่สักพักหนึ่ง แล้วเราก็มีความฝันว่า เราอยากจะไปตามรอยภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เราตั้งแต่เด็ก ๆ ชื่อว่า The Adventures of Priscilla เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแดร็กควีน ซึ่งถ่ายทำที่ประเทศออสเตรเลียแล้ว เราอยากไปเห็นของจริง สถานที่ถ่ายทำจริง ก็เลยตัดสินใจว่าถ้าเราจะไปเรียนต่อปริญญาโท เราอยากจะไปประเทศออสเตรเลีย แล้วก็ได้ไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลียค่ะ

เรื่องการยอมรับผู้มีความหลากหลายทางเพศที่นั่นเปิดกว้างมากค่ะ แต่สำหรับคนที่เกลียด ก็เกลียดรุนแรงเลย ซึ่งในเรื่องของการยอมรับไจ๋ต้องขอบอกว่า นอกจากประเทศเค้าจะฟรีในเรื่องของ LGBTQ+ แล้ว ประเทศเค้าค่อนข้างฟรีในเรื่องของเชื้อชาติ เพราะว่าตอนที่เราไป เราก็ไปทำงานเป็นแดร็กควีนที่นั่น ซึ่งทุกคนอาจจะจินตนาการว่าเราจะต้องโดนเหยียด เพราะเราเป็นเอเชีย แล้วไปแย่งงานฝรั่ง กลับกลายเป็นว่าหน้ามือเป็นหลังมือเลย ทุกคนดีกับเรามาก กลายเป็นว่าเราอยู่ที่โน่นแล้วเราสบายใจ เรามีความสุขในการทำงาน

ถ้าพูดถึงรางวัล ตอนนั้นรางวัลสูงสุดที่ไจ๋ได้รับ คือ Showgirl’s Choice ซึ่งประเทศออสเตรเลียเค้าจะมีการประกาศรางวัลทุกปีชื่อว่า DIVA Awards ซึ่งรางวัลนี้เค้าจะมอบให้กับคนที่ทำผลงานดีในแต่ละสาขาในคอมมูนิตี้นี่เกี่ยวกับวงการเอ็นเตอร์เทนเมนท์ทั้งหมด ซึ่งตอนที่ไจ๋ไปอยู่เข้าปีที่ 2 ไจ๋ได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Rising Star เป็นดาวรุ่งดวงใหม่ แต่พลาดรางวัลนั้นไป แต่พอปีที่ 3 ไจ๋ได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลที่ใหญ่กว่า เทียบในไทยเหมือนรางวัลตุ๊กตาทอง รางวัลนี้มันทำให้ไจ๋ประทับใจมาก ตรงที่ว่ามันไม่ใช่รางวัลที่คณะกรรมการจะมานั่งเลือก แต่เป็นรางวัลที่แดร็กควีนทั่วประเทศออสเตรเลียเป็นคนเลือกว่าใครต้องได้รับรางวัลนี้ ซึ่งไจ๋เป็นคนเอเชียคนแรกที่ได้รางวัลมา ไจ๋ไม่ลืมโมเมนต์ที่ว่ามีคนไทยที่เค้ามาให้กำลังใจเรา แล้วเค้าก็บอกเราว่า ไจ๋เป็นตัวแทนประเทศไทยนะที่จะได้รางวัลนี้ แล้วทำให้ภาพลักษณ์ของ LGBTQ+ ที่อยู่ในออสเตรเลียดีขึ้น แล้วเค้าจะคอยมาเชียร์ทุกอาทิตย์ มันก็เลยทำให้เราฮึดสู้ แล้วก็บอกกับตัวเองว่า สิ่งที่เราต่อสู้มาทำผลงานมาทั้งหมดมันต้องไปต่อ เพราะว่ามันไม่ได้ทำแค่เพื่อตัวเองอย่างเดียว มันคือการทำเพื่อคนอื่นด้วย”คนเอเชียคนแรกที่ได้รางวัล Showgirl’s Choice จาก DIVA Awards

“พอเรียนจบปริญญาตรี ไจ๋ก็ไปทำงานเฉิดฉายอยู่สักพักหนึ่ง แล้วเราก็มีความฝันว่า เราอยากจะไปตามรอยภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เราตั้งแต่เด็ก ๆ ชื่อว่า The Adventures of Priscilla เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแดร็กควีน ซึ่งถ่ายทำที่ประเทศออสเตรเลียแล้ว เราอยากไปเห็นของจริง สถานที่ถ่ายทำจริง ก็เลยตัดสินใจว่าถ้าเราจะไปเรียนต่อปริญญาโท เราอยากจะไปประเทศออสเตรเลีย แล้วก็ได้ไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลียค่ะ

เรื่องการยอมรับผู้มีความหลากหลายทางเพศที่นั่นเปิดกว้างมากค่ะ แต่สำหรับคนที่เกลียด ก็เกลียดรุนแรงเลย ซึ่งในเรื่องของการยอมรับไจ๋ต้องขอบอกว่า นอกจากประเทศเค้าจะฟรีในเรื่องของ LGBTQ+ แล้ว ประเทศเค้าค่อนข้างฟรีในเรื่องของเชื้อชาติ เพราะว่าตอนที่เราไป เราก็ไปทำงานเป็นแดร็กควีนที่นั่น ซึ่งทุกคนอาจจะจินตนาการว่าเราจะต้องโดนเหยียด เพราะเราเป็นเอเชีย แล้วไปแย่งงานฝรั่ง กลับกลายเป็นว่าหน้ามือเป็นหลังมือเลย ทุกคนดีกับเรามาก กลายเป็นว่าเราอยู่ที่โน่นแล้วเราสบายใจ เรามีความสุขในการทำงาน

ถ้าพูดถึงรางวัล ตอนนั้นรางวัลสูงสุดที่ไจ๋ได้รับ คือ Showgirl’s Choice ซึ่งประเทศออสเตรเลียเค้าจะมีการประกาศรางวัลทุกปีชื่อว่า DIVA Awards ซึ่งรางวัลนี้เค้าจะมอบให้กับคนที่ทำผลงานดีในแต่ละสาขาในคอมมูนิตี้นี่เกี่ยวกับวงการเอ็นเตอร์เทนเมนท์ทั้งหมด ซึ่งตอนที่ไจ๋ไปอยู่เข้าปีที่ 2 ไจ๋ได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Rising Star เป็นดาวรุ่งดวงใหม่ แต่พลาดรางวัลนั้นไป แต่พอปีที่ 3 ไจ๋ได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลที่ใหญ่กว่า เทียบในไทยเหมือนรางวัลตุ๊กตาทอง รางวัลนี้มันทำให้ไจ๋ประทับใจมาก ตรงที่ว่ามันไม่ใช่รางวัลที่คณะกรรมการจะมานั่งเลือก แต่เป็นรางวัลที่แดร็กควีนทั่วประเทศออสเตรเลียเป็นคนเลือกว่าใครต้องได้รับรางวัลนี้ ซึ่งไจ๋เป็นคนเอเชียคนแรกที่ได้รางวัลมา ไจ๋ไม่ลืมโมเมนต์ที่ว่ามีคนไทยที่เค้ามาให้กำลังใจเรา แล้วเค้าก็บอกเราว่า ไจ๋เป็นตัวแทนประเทศไทยนะที่จะได้รางวัลนี้ แล้วทำให้ภาพลักษณ์ของ LGBTQ+ ที่อยู่ในออสเตรเลียดีขึ้น แล้วเค้าจะคอยมาเชียร์ทุกอาทิตย์ มันก็เลยทำให้เราฮึดสู้ แล้วก็บอกกับตัวเองว่า สิ่งที่เราต่อสู้มาทำผลงานมาทั้งหมดมันต้องไปต่อ เพราะว่ามันไม่ได้ทำแค่เพื่อตัวเองอย่างเดียว มันคือการทำเพื่อคนอื่นด้วย”

 

 

ก้าวข้ามคำบูลลี่ เก็บคอมเมนต์ดี ๆ มาเป็นแรงผลักดัน

“เรื่องการถูกบูลลี่ส่วนตัวก็โดนทั้งต่อหน้า จากสังคม และจากโลกโซเชียล ตอนสมัยเด็ก ๆ ไจ๋มักจะโดนล้อว่าไอ้มะขามข้อเดียว โดนล้อว่าเป็นกะเทยหุ่นนักมวย ซึ่งเมื่อก่อนมันก็เจ็บนะเวลาเรารับคำล้อพวกนี้มาก ๆ แต่มันโชคดีตรงที่ว่า ไจ๋เองเป็นคนที่สามารถย่อยสลายมันได้ แต่อาจจะใช้เวลาหน่อย คือมันเหมือนกับว่าพอโดนบ่อย ๆ มันก็จะมีภูมิคุ้มกันมากยิ่งขึ้น บวกกับยุคสมัยมันเปลี่ยนไปมาจนถึงทุกวันนี้ คอมมูนิตี้ของเรามันสอนกันเองว่าอย่าไปยอมกับคำบูลลี่เหล่านั้น แต่ว่าในโลกโซเชียลมันก็จะมีบ้างที่เค้ามาคอมเมนต์เชิงลบต่าง ๆ แต่สิ่งที่โดนแล้วเจ็บที่สุดเลยก็คือคนที่คอมเมนต์ว่าไม่ชอบหน้า ไม่ชอบเรา ซึ่งเราก็สงสัยกับตัวเองว่า ฉันไปทำอะไรให้เธอไม่ชอบ หรือแค่คนเค้าไม่ชอบเรา ทั้งที่เราพยายามเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคอมมูนิตี้ แต่มันก็วกกลับมาตรงจุดที่ว่า มันมีทั้งคนรักและคนไม่ชอบ ฉะนั้นเราก็ต้องทำความเข้าใจกับมัน

บางคอมเมนต์มันยังคงเหมือนแผลเป็นมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ข้อดีก็คือว่ามันมีพลังอะไรบางอย่างจากโลกโซเชียลที่มันช่วยให้กะเทยต้องลุกขึ้นสู้ กะเทยอย่าไปยอม คือฉันจะไม่ยอมเป็นเหยื่อของเธออีกต่อไป และไจ๋ก็จะเสพเอาพลังงานดี ๆ จากสิ่งที่มีในคอมมูนิตี้มาเป็นพลังให้ตัวเองเหมือนกัน เรามองว่าเด็กสมัยเนี้ยเค้ามีความกล้า มีความมั่นใจ แล้วเค้าลุกขึ้นสู้ แล้วทำไมเราจะลุกขึ้นสู้บ้างไม่ได้ เราก็เรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากโลกโซเชียลปัจจุบันด้วย

และคอมเมนต์ที่ไจ๋จะได้รับพลังดี ๆ มากที่สุด ก็คือคอมเมนต์เชิงครอบครัว อาทิเช่น ลูกชายชอบมากเลย ลูกสาวชอบมากเลย หรือคุณป้าคุณน้าคุณอาที่มีอายุเค้าเข้ามาดูเรา แล้วเค้าพยายามที่จะพิมพ์ชมเรา มันทำให้เรามีความรู้สึกว่าตัวเองมีแฟนคลับหลายกลุ่ม มันทำให้เราคิดเสมอว่าจะต้องใส่ใจ แล้วก็ระมัดระวังในการทำคอนเทนต์ เพราะว่าคนดูของเรามีหลายกลุ่ม และถ้าเราได้คอมเมนต์ที่ตั้งใจพิมพ์ เป็นคอมเมนต์เชิงบวก มันก็กลายเป็นพลังงานที่เราได้รับที่มาจากกลุ่มแฟนคลับหลากหลายรูปแบบ”

 

 

เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ “ไจ๋ ซีร่า”

“ไจ๋ คบกับแฟนมา 14 ปีแล้วค่ะ จากคนรู้จักแล้วก็ลองคุย ได้ลองไปเที่ยว แล้วก็จับพลัดจับผลูตกร่องปล่องชิ้นกัน ก็เลยลงเอยกัน และใช้ชีวิตร่วมกันมา ส่วนตัวไจ๋จะให้ความสำคัญกับการพยายามทำความเข้าใจ ด้วยโลกความรักของเกย์ มันจะมีเรื่องของการที่ว่า พอเราอยู่กับใครสักคนหนึ่งแล้วเรามีความรู้สึกว่ามันขัดหูขัดตาหรือขัดใจ เรามักจะเลิกและหาคนใหม่ดีกว่า และคิดว่าเค้าไม่ใช่คนที่ใช่ มันจะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นบ่อยมาก ๆ ตอนที่ไจ๋เป็นวัยรุ่น แต่พอเราโตขึ้น เราต้องมองข้ามสิ่งที่มันแย่ ๆ แล้วมองสิ่งที่มันดี ๆ สิ่งหนึ่งที่ไจ๋สัมผัสได้จากการมีชีวิตคู่ก็คือ เวลาที่ไจ๋แย่สุด ๆ เค้าคือคนเดียวที่อยู่เคียงข้าง มันก็เลยใช้ความรู้สึกนั้นอยู่ร่วมกันมาโดยตลอด มันเหมือนจากแฟน จากคนรัก ทุกวันนี้กลายมาเป็นพาร์ทเนอร์แล้ว

มันไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ สมัยเราเป็นวัยรุ่น เราจะชอบมองข้อเสียของคนอื่นมากกว่า แล้วกลับกลายเป็นว่า เรามักเอาข้อเสียของเค้ามาบังข้อดีหมดเลย แต่เวลาเราทะเลาะกัน ตัวไจ๋จะนั่งตั้งสติ คิดว่าเค้ามีข้อดีอยู่เยอะนะ แล้วข้อเสียที่เค้ามี ก็ใช่ว่าคนอื่นจะไม่มี แล้วสมมติว่าวันดีคืนดีไปเจอคนใหม่ เราจะแน่ใจได้ยังไงว่า ข้อดีที่เราไปหามา มันจะชดเชยในข้อเสีย เราก็จะไม่รู้จักสิ่งที่มันลงตัวสักที มันอยู่ที่ว่า เราทำความเข้าใจกับความรู้สึกของเรา ความเป็นตัวตนของเค้า แล้วมาเจอกันตรงกลางได้มากน้อยแค่ไหน”

 

 

สีสัน แรงบันดาลใจ จาก “ไจ๋ ซีร่า”

“ไจ๋ภูมิใจตรงที่ว่า เรื่องราวในชีวิตของเรา มันมีทางแยกหลายทางมาก ที่ต้องตัดสินใจต่าง ๆ แล้วเป็นการตัดสินใจที่มันยากเหลือเกิน แต่กลับกลายเป็นว่า พอมาเป็นตัวเองทุกวันนี้ มองย้อนกลับไป ทางแยกและการตัดสินใจทั้งหลาย มันเป็นสิ่งที่สร้างให้มาเป็นตัวเราอยู่ทุกวันนี้ มันก็เลยทำให้ตัวเองรู้สึกภูมิใจกับทุกโมเมนต์กับทุกทางเลือกของตัวเอง ไม่เคยเสียใจเลย ไจ๋จะพยายามมองในแง่ดีว่า มันไม่ใช่เรื่องของการผิดพลาด มันเป็นแค่ทางเลือกที่เราต้องเลือก แล้วก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเลือกพลาด ถ้าเราเลือกพลาดเราจะไม่เป็นอย่างเราทุกวันนี้”ไจ๋ ซีร่า

 

 

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์

 

ติดตามชมรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1