เปิดเรื่องราวสุดต๊าซ ด้วยความอาร์ตแบบไม่ซ้ำใคร ของ “อาร์ต อารยา” จากเด็กที่เรียกตัวเองว่า 'บ้า'! สู่ผู้ทรงอิทธิพลในวงการแฟชั่นของเมืองไทย

Club Pride Day Recap

เปิดเรื่องราวสุดต๊าซ ด้วยความอาร์ตแบบไม่ซ้ำใคร ของ “อาร์ต อารยา” จากเด็กที่เรียกตัวเองว่า 'บ้า'! สู่ผู้ทรงอิทธิพลในวงการแฟชั่นของเมืองไทย

27 มิ.ย. 2024

เรียนรู้วิธีคิด ผ่านเรื่องราวชีวิตของเหล่าตัวแม่ กันในทุกสัปดาห์ สำหรับรายการ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดต๊าช “อาร์ต อารยา” สไตลิสต์ตัวแม่ความสามารถไม่ธรรมดาที่อยู่ในวงการมากว่า 30 ปี โดดเด่นด้วยสไตล์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ พร้อมกับคาแรกเตอร์ที่มั่นใจ แต่ใครจะรู้ว่าก่อนหน้าที่เธอจะมีวันนี้ กลายเป็นตัวแม่ที่หลาย ๆ คนรู้จัก เธอต้องผ่านอะไรมาบ้าง สีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ได้ถูกแบ่งปันเอาไว้ในรายการครั้งนี้ด้วย

 

 

ย้อนวัยเด็ก กับการเติบโตที่ต้องพยายาม

“วัยเด็กสำหรับเรา เรามองว่าอยู่ในฐานะปานกลางถึงลำบากก็แล้วกัน คืออาร์ตมองว่า เวลาคนอื่นเค้ามีกัน เราก็ไม่ได้มีแบบนั้น แล้วที่บ้านจะมีช่วงสุดสัปดาห์เท่านั้นที่จะได้กินโอวัลตินกับขนมปัง จะไม่ได้กินทุกวัน แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันขาดนะ แค่รู้สึกว่าทำไมความพิเศษมันมาเฉพาะแค่ช่วงสุดสัปดาห์ แต่เราเข้าใจพ่อแม่เรานะ ที่เราต้องกินผัดผักบุ้ง หรือต้องกินผัดถั่วงอกกับเต้าหู้ทุกสัปดาห์ เพราะมันคือของที่ถูกที่สุดในตลาด แต่อาจจะด้วยความที่พ่อแม่มีลูกเยอะ 4 คนพี่น้อง ก็เลยคิดว่าเราโตมากับครอบครัวที่พ่อแม่ก็ต้องพยายาม ที่สำคัญคือทั้งพ่อทั้งแม่ ก็มีญาติเยอะ คุณแม่มีพี่น้อง 7 คน คุณแม่เป็นพี่สาวคนโต ที่เก่งมาก เป็นที่ 1 ประจำตำบล อำเภอ จังหวัด ทุกคนยกย่องแต่ว่าเงินไม่มี เพราะคุณยายกับคุณตาเป็นเจ้าของร้านกาแฟที่ต่างจังหวัด ทำให้ไม่สามารถเรียนสูงได้ แม่ก็เลยต้องออกมาสอบชิงทุนครู แล้วก็ทำงานเป็นคุณครู ซึ่งก็ต้องส่งเสียเลี้ยงน้อง ส่วนคุณพ่อเองก็ไม่แพ้กัน คุณพ่อเป็นลูกคนที่ 2 ในครอบครัวที่มีพี่น้อง 7 คนเหมือนกัน คุณพ่อทำงานเป็นหัวหน้ากองช่างเทศบาล แล้วทั้งพ่อกับแม่ก็จะย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ๆ ด้วยความที่เป็นข้าราชการ เราก็มีหน้าที่ตามไป อย่างเช่นอาร์ตเอง เราเกิดที่พิษณุโลก แล้วก็ถูกย้ายไปโตที่เพชรบูรณ์ จน 5 ขวบ ก็ต้องมาอยู่ที่บางบัวทอง นนทบุรี จนพ่อแม่ตัดสินใจว่าซื้อบ้านเถอะไม่ไหวแล้ว เอาลูกกระเด็นกระดอนต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะพ่อต้องย้ายทุก ๆ 2 ปี แล้วแม่ก็ต้องย้ายตาม พวกเค้าก็เลยตัดสินใจเก็บหอมรอมริบผ่อนบ้านที่ปากเกร็ด พวกเราก็เลยลงหลักปักฐานที่ปากเกร็ด และที่เราไม่เคยรู้สึกว่าเราขาด ต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่มาก เราอยากกินก็ได้กิน อยากไปก็ได้ไป ยกเว้นว่าอยากไปเที่ยวทะเล ก็นาน ๆ ต้องรอวันเกิดใครสักคนคุณแม่ถึงจะจัดให้ เราคิดว่าครอบครัวเราอบอุ่น แล้วตัวอาร์ตเองเป็นเด็กกล้าแสดงออก เวลาเค้ามีดนตรีขึ้น ดิฉันก็จะเป็นคนเดียวที่ลุกขึ้นเต้นในลูก 4 คน กลายเป็นชอบแสดงออกอย่างไม่เคอะเขิน ฉะนั้นคุณครูก็จะให้เราทำกิจกรรมตั้งแต่จำความได้เลย

ความรักของคุณพ่อคุณแม่ เป็นเรื่องที่เราภูมิใจมากจากที่ได้ฟังเรื่องของทั้งสองท่าน ย้อนกลับไปคุณพ่อด้วยความที่เป็นหัวหน้ากองช่างประจำเทศบาลแล้วท่านก็มีเสน่ห์ ผู้หญิงที่สวย ๆ ก็ผ่านคุณพ่อมาเยอะ จนอยู่มาวันหนึ่งคุณพ่อก็โดนที่บ้านบังคับว่าจะต้องแต่งงาน ต้องเลือกเอาสักคน พ่อบอกว่าถ้าจะแต่งงานจะต้องเลือกผู้หญิงที่เก่งเท่านั้น เพราะอยากมีลูกฉลาด ส่วนคุณแม่ของเราก็คือ ก้มหน้าก้มตาเลี้ยงดูน้อง ตั้งใจเล่าเรียน เป็นคุณครูสอนหนังสือ แล้วคุณแม่เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างตัวสูง มีความหมวยแบบคนจีน ซึ่งไม่ได้อยู่ในสายตาพ่อ แล้วแม่เองก็ไม่ได้สนใจพ่อ เพราะเห็นว่าพ่อเจ้าชู้ จนมาถึงวันที่แม่จะต้องเลือก ตอนนั้นมีคนมาจีบแม่แล้วก็บอกว่าจะต้องให้แม่ไปอยู่ที่ร้านขายทองที่กรุงเทพ แม่ก็เลยต้องเลือกระหว่างจะพ่อหนุ่มร้านขายทองแล้วไปนั่งขายทองที่กรุงเทพ หรือพ่อหนุ่มเจ้าชู้หัวหน้ากองช่างคนนี้ แล้วสุดท้ายคุณพ่อก็ถึงเวลาที่ถูกครอบครัวบังคับแต่งงาน คุณพ่อก็เลยบอกว่าถ้าจะแต่งงาน ก็ให้ปู่กับย่าไปขอแม่ เพราะว่าทั้งจังหวัด ทั้งตำบล และอำเภอ คุณแม่ของดิฉันฉลาดเบอร์ 1 ขึ้นชื่อว่าไปสอบที่ไหนชนะหมด แม่ก็เลยยืน 1 ด้านความฉลาด คุณพ่อก็เลยบังคับให้คุณปู่คุณย่ามาขอแม่ ซึ่งที่คุณแม่เลือกคุณพ่อ อาจเพราะคุณแม่คิดว่ามันเท่าเทียมกัน มันบรรจบเหมาะกันตรงที่คุณแม่คิดว่าคุณพ่อเค้าก็ต้องปากกัดตีนถีบเหมือนกัน ก็คงจะไม่ดูถูก เพราะถ้าเกิดไปอยู่บ้านคนรวย  แม่อาจจะโดนดูถูกว่าเก่งแต่จน แม่ไม่อยากเป็นพจมาน

ที่อาร์ตมีพี่น้อง 4 คน มันเกิดมาจากตอนแรกคุณพ่อคุณแม่เค้าแพลนว่า จะมีลูกแค่ 2 คน แต่พี่ชายคนโตดันเสียชีวิต เพราะด้วยความที่คุณแม่เป็นคนเก่ง คุณแม่ก็คิดว่าตัวเองแข็งแรง ก็เลยตัดสินใจคลอดเองได้ ซึ่งคุณแม่ก็ได้พยายามแล้วมันไม่ออก พี่เค้าตัวใหญ่เกินไปเค้าออกไม่ได้ ก็เลยกลายเป็นคลอดมาได้ 7 ชม.สมองช้ำหมดเลยแล้วก็เสียชีวิต จากนั้นคุณพ่อก็เสียใจพร้อมกับแค้นฝังหุ่น ก็เลยผลิตลูกมาเลย 4 จาก 2 คนที่แพลนไว้”

 

 

ตัวตน ที่รับรู้ตัวเองมาตั้งแต่เด็ก

“ตั้งแต่ตัวเองจำความได้ คิดว่าตัวเองน่าจะเป็นบ้า เหมือนมันต้องมีต่อมอะไรบางอย่างในหัวที่มันทำงานผิดปกติ เพราะไปดูรูปเราตอนยังเป็นเด็ก จะเกิดคำถามตลอดว่าทำไมมันต้องเอียงคอ แล้วไปจับดอกไม้มาทัดหู เวลาไปโรงเรียนที่บางบัวทอง จำได้เลยทุกคนถือกระเป๋า แล้วแต่งชุดนักเรียนใหม่กันหมด แต่เราปะแป้งหน้าขาววอก แล้วก็สะพายย่ามพระเฉียงข้างอยู่คนเดียว อาร์ตคิดว่าเราเป็นลูกคนที่ 3 แล้วเหมือนเราไม่ได้เป็นคนโต เราก็จะรับสมบัติจากคนอื่นตลอดเวลา แล้วน้องชายจะได้ของใหม่ตลอด พอเป็นลูกคนที่ 3 เราเลยจะพยายามเรียกร้องความสนใจว่าในเมื่อเราโดดเด่นทางอื่นไม่ได้ ก็ขอโดดเด่นทางนี้แล้วกัน

พอไปโรงเรียน มันมีการแสดงที่บางบัวทองนี่แหละ ด้วยความที่เราชอบแสดงออก ครูก็ให้เราเต้น มีแถวผู้ชาย 1 แถว ผู้หญิง 1 แถว ตอนนั้นเราเต้นเป็นเด็กผู้ชายนะ เราก็ไปดูก็สงสัยว่าทำไมผู้หญิงถึงได้ผ้าต่วนสีดำมัน แล้วทำไมผู้ชายได้ผ้าด้าน เราไม่ยอม ก็ไปบอกแม่ว่าถ้าไม่ได้ผ้าสีดำมันเราไม่เต้น จนคุณครูก็ต้องยอม แม่ก็ต้องยอม แล้วพอเห็นผู้หญิงแต่งหน้า เราก็บอกแม่ว่าหนูต้องแต่งหน้า ถ้าหนูไม่แต่งหน้าหนูไม่เต้น แล้วเราดันสูงที่สุด ซึ่งมีข้อแม้อีกว่า ถ้าไม่ได้รำหัวแถว เราไม่รำ สำหรับอาร์ต ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเพศใดเพศหนึ่งที่ชัดเจน เพราะเราไม่รู้จักคำว่าเพศ ต่อให้เราเรียนสุขศึกษา เราก็จะรู้แค่ว่าสิ่งนี้เอาไว้ปัสสาวะ รู้ประมาณนั้น เราไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น แล้วเราก็เล่นกับเพื่อนผู้หญิงแบบสนิทสนม แล้วก็ไปเล่นกับเพื่อนผู้ชายเราก็เตะบอลได้ เล่นตุ๊กตา โดดหนังยาง วิ่งเปรี้ยว ตีวอลเล่ย์บอล ให้ทำอะไรทำหมดเลย แล้วไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องเลือกเพศ เพราะมันไม่เคยมีตอนยุคเรา มันไม่เคยมีใครมากำหนดว่า เธอช่วยเลือกเพศด้วย เพราะฉะนั้นเราก็ปล่อยตัวเอง ปล่อยใจฝัน แล้วพอเราต้องแสดง มันก็เลยกลายเป็นว่า เราไม่มีกรอบอยู่ในตัวว่าตัวเองต้องเป็นผู้ชาย เรามีความรู้สึกว่าผู้หญิงสวย ฉันก็อยากสวย แม่ก็ต้องพาไปแต่งหน้า แล้วก็ไม่กินข้าวเพราะว่ากลัวลิปสติกเลอะ ซึ่งแม่ไม่เคยสอนด้วย แม่ก็จะบอกว่าไปเอามาจากไหนชุดความคิดนี้อยู่ในหัวได้ยังไงว่า ไม่ยอมกินข้าวเพราะกลัวลิปสติกเลอะ ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกัน”

 

 

ก้าวข้ามคำบูลลี่ เพราะครอบครัวเป็นแบ็คอัพที่ดีมาก ๆ

“เราจำได้ว่าสมัยก่อน อาร์ตเป็นเด็กที่ผอมบาง แล้วก็เหมือนคนจีน ผิวขาวมาก ก็จะโดนล้อตลอดว่าเจ๊กหัวแดง เพราะว่าผมเราสีอ่อน มันเส้นเล็กบาง แล้วเวลาโดนแดดมันก็จะออกเป็นสีน้ำตาลแดง ๆ ก็จะโดนล้อเป็นเจ๊กหัวแดง เพื่อนก็แต่งเพลงล้อว่า พี่เจ๊กหัวแดง เป็นเด็กขายแกงอยู่หลังตลาด เราเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมดิฉันต้องโดนล้อ ดิฉันก็บอกแม่ แต่แม่บอกเราว่าไม่ได้เป็นแบบนั้นลูก ไม่ต้องไปสนใจ เราก็ออกไปเล่นเหมือนเดิม ต่อมาก็มีคำว่าตุ๊ดซี่ เราก็โดนล้อเป็นตุ๊ดซี่ เราก็วิ่งไปบอกแม่ แม่ก็บอกเราว่าไม่ได้เป็นลูก ทำไรก็ไปทำ เราก็ไปเล่นเหมือนเดิม แล้วต่อมาก็เป็นตุ๊ดฟันเหล็กอีก เพราะตอนนั้นจัดฟันเหล็ก แต่ครอบครัวก็จะบอกว่า ก็เราไม่ได้เป็นจะไปรับคำเหล่านั้นทำไม ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องร้องไห้ เราก็ไปเล่นเหมือนเดิม เพราะเรารู้สึกว่าพอแม่พูดแบบนั้นมันกลายเป็นเกราะป้องกันอย่างดี เราทำทุกอย่างปกติ โดยที่ไม่ได้รู้ว่าเรากำลังแบกคำบูลลี่เหล่านั้นอยู่บนบ่าเหมือนเดิม ซึ่งถ้าเป็นปัจจุบันเรามองย้อนกลับไปเราคงยืนท้าวสะเอวแล้วก็บอกหนูน้อยอาร์ตวันนั้นว่า หล่อนเบา ๆ หน่อยก็ได้ ไม่ต้องโดดเด่นขนาดนั้นก็ได้ แต่สำหรับเราถือว่าครอบครัวเป็นแบ็คอัพที่ดีมาก แล้วเราก็โชคดีที่เกิดในครอบครัวซึ่งเรามีพี่ชาย เรามีพี่สาว เรามีน้องชาย แล้วแม่กับพ่อก็คงไม่ได้คาดหวัง เราอยากจะเป็นอะไรก็เป็น

เรื่องการโดนเขียนรายงานในสมุดพกนี่คือเรารับไปเต็ม ๆ ตั้งแต่จำความได้เลยว่า ในสมุดพกต้องมีประโยคเขียนว่าอุปนิสัยคล้ายหญิง ชอบเล่นกับผู้หญิง ช่วยเหลืองานดี ตั้งใจเรียนดี ทำกิจกรรมเกี่ยวกับหัตถกรรมเก่ง แล้วเรื่องอุปนิสัยคล้ายหญิงโดนเขียนยัน ม.3 สมุดพกที่มีอยู่ก็จะมีเขียนหมดเลยทุกฉบับ แล้วแม่ก็เอาให้พ่อดูแต่ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลยกับประโยคเหล่านั้น ก็เลยทำให้เรารู้สึกว่า การที่มีอุปนิสัยคล้ายหญิงเป็นเรื่องดี เพราะเราก็คิดว่าเราเป็นผู้หญิง ตอนนั้นรู้ตัวเองแล้วว่าข้างในเราคือผู้หญิงที่มาอยู่ในร่างทรานส์เจนเดอร์ เพราะรูปร่างก็ยังมีความเป็นผู้หญิงอยู่ แต่มันดันมีอวัยวะสำหรับขับถ่ายที่หน้าตาไม่เหมือนคนอื่น

ตอนอายุ 17 ปี ด้วยควาทที่เราชอบแต่งตัว แล้วก็บ้าบอตั้งแต่เด็ก ชอบคว้าโน่นคว้านี่มาใส่ตลอด พอเข้าเรียน ม.ศิลปากร มันเปิดกว้างมาก ๆ เรามีความรู้สึกว่าจะใส่อะไรก็ได้ พอรับน้องเสร็จมันคือสวรรค์ แต่ด้วยความที่เราไม่ได้ร่ำรวย ก็ต้องเริ่มทำงาน ด้วยความที่บ้านไม่ได้สนับสนุนด้านการเงินที่สูงมาก เราก็ทำงานด้วยการที่เป็นพี่ติวเตอร์ เพราะมันมีเด็กที่อยากจะเข้า ม.ศิลปากร เราก็รับหน้าที่เป็นคนติว แล้วก็จะได้เงินเก็บไปซื้อของจุ๊บจิ๊บ เช่น วัดมหาธาตุมีของมือสอง ก็ไปหาซื้อแล้วก็มาประกอบเป็นร่าง ถ้าไม่ไหวจริง ๆ เราก็เอาเสื้อเชิ้ตตอนเป็นนิสิตมาเพ้นท์ลาย เพื่อจะให้มีเสื้อใหม่ใส่ไปเรียน แล้วก็ด้วยความเก๋ของเรา เราชอบแต่งตัวแบบจันทร์สีเหลือง อังคารสีชมพู วันพุธสีเขียว รองเท้ามี 7 สี เสื้อมี 7 สี กางเกงในยังมี 7 สีเลย ตอนนั้นเราคิดว่ามันคือการทดลอง แต่คนในหมู่บ้านก็เริ่มเมาท์ว่าอาร์ตเป็นกะเทยแน่ ๆ เค้าก็เมาท์กัน พอคุณยายซึ่งเป็นคนเลี้ยงดูเราได้ยินก็ร้องไห้ แล้วเราก็สงสารคุณยาย ก็เลยนัดประชุมทั้งบ้านเลยเพื่อจะเคลียร์เรื่องนี้ เราก็พูดเลยว่าพอดีมีคนมาเมาท์อาร์ต แล้วอาม่าก็เสียใจ จะบอกว่าอาร์ตไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ ขอให้ทุกคนรับให้ได้นะ จากนั้นพ่อก็ลุกขึ้นบอกว่าก็นึกว่าเรื่องอะไร อยากเป็นอะไรก็เป็น เป็นคนดีก็พอ แล้วพ่อก็เดินไปเลย แม่ก็ลุก ทุกคนก็ลุกหมดเลย ไม่มีใครตื่นเต้นกับเรื่องของดิฉัน สุดท้ายก็บอกเราก็บอกยายว่าให้บอกคนอื่น ๆ เค้าเลยว่า บอกไปเลยก็แล้วกันว่าอาร์ตมันเป็นบ้า เพราะว่าผมยาวรุงรัง ให้ยายบอกไปแบบนั้นเลย”

 

 

ชีวิตมหาวิทยาลัย กับการค้นหาความชื่นชอบของตัวเอง

“อาร์ตเข้ามหาวิทยาลัยโดยการสอบเทียบ คือพอเราออกจากโรงเรียนชลประทาน ที่นนทบุรี แล้วก็ไปสอบรอบสองที่โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี พอสอบติดปุ๊บก็ไปเจอครูแนะแนวท่านหนึ่ง ซึ่งต้องขอบคุณครูแนะแนวมากเลย ที่แนะนำให้เราสอบเทียบ แล้วเราก็เอ็นทรานส์ติดเลย อายุ 17 ปี ก็เข้ามหาวิทยาลัยปี 1 คณะมัณฑนศิลป์ ม.ศิลปากร ซึ่งครูแนะแนวคนนี้แหละเป็นคนบอกว่าเธอน่าจะไปเรียนมัณฑนศิลป์นะ เพราะว่าเธอวาดรูปสวย แล้วเธอได้วิชาสามัญ คณะนี้น่าจะเหมาะกับเธอ เราก็ไปสอบแล้วก็ออกมาร้องไห้ทุกวัน เพราะว่าพอไปเรียนติวแล้วมันไม่ได้ตรงกับที่สอบ เค้าให้วาดโปสเตอร์ เราก็ไปวาดโปสเตอร์แนวนอน ที่ถูกคือเค้าต้องวาดแนวตั้งออกห้องสอบมาเราก็ร้องไห้ ไปสอบโปรดักส์ เค้าให้วาดโปรดักส์ แล้วเราวาดสามมิติไม่เป็น ออกมาก็ร้องไห้ สอบปลายภาคเราร้องไห้ทุกภาค ตอนเรียนสอบประยุกต์ ดันทำสีหกลงไป ซึ่งเค้าให้วงกลมมาแล้วให้วาดรูปไปในวงกลม แล้วสีดันหล่นตุ๊บลงไป เราก็ต้องวาดรูปเกินออกไปจากวงกลม กลายเป็นว่าเราสอบติดภาคประยุกต์ เพราะว่าสีที่หยดทำให้เราติดภาคประยุกต์

พอจะต้องเข้าไปเรียน ตอนแรกเราคาดหวังสูงมากว่าพอเราเข้าไปเราจะหลุดพ้นจากทุกอย่าง  เพราะตอนอยู่โรงเรียนเก่าเราโดนบูลลี่มาตลอดในเรื่องความกระตุ้งกระติ้งของเรา แล้ววันแรกที่ไปสอบสัมภาษณ์ อาจารย์นั่งเรียงหน้ากระดานกันสี่ห้าท่าน มีคนนึงถามว่าเป็นกะเทยรึเปล่าเนี่ย ซึ่งเป็นประโยคแรกเลยในรั้วมหาลัย ตอนนั้นเราสวมชุดนักเรียนชายมัธยม เลยตอบว่าไม่ได้เป็นครับ ซึ่งคำทักนั้นมันทำอะไรเราไม่ได้ เพราะเราอยากเรียน แล้วความคิดเรามันค่อย ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ พอเค้าทำให้เราหลาย ๆ อย่าง มันปลดล็อคความบ้าบอในตัวเรามันออกมาเรื่อย ๆ มันก็เลยเหมือนกับว่าจริง ๆ แล้วเค้าก็ไม่ได้รังเกียจ เค้าไม่ได้แอนตี้ แต่เค้าแค่พูดในเชิงหยอกล้อกับเด็กที่เข้ามา เพื่อให้เด็กที่เข้ามาลดความเกร็งตอนสอบสัมภาษณ์เท่านั้น พอได้เรียน ม.ศิลปากร เรารู้สึกว่าพื้นฐานทางด้านศิลปะค่อนข้างแข็งแรง แล้วสามารถเอาไปต่อยอดที่เมืองนอก แล้วก็กลายเป็นบรรทัดฐานที่ดีของเราได้”

 

 

แฟชั่นสุดจี๊ดจ๊าด ในแบบของ อาร์ต อารยา

“ตอนเรียนปี 3 จำได้เลยว่าตัวละคร วิศนี ในเรื่องอุบัติเหตุ ดังมาก นางดัดผมหยิกแล้วมันเก๋มาก กลายเป็นกระแสที่ดีมาก เราก็ผมบางด้วยก็เลยดัดตาม แล้วใส่เสื้อยืดแขนกระดิ่ง 70 บาท ซื้อจากตลาดเก่าวัดมหาธาตุ แล้วตัดกางเกงเป็นขากระดิ่ง แพทเทิร์นทำเอง ตอนนั้นเค้าไม่เรียกขากระดิ่ง เค้าเรียกขาระฆัง เราก็จะสวยมาก ลงจากรถ ปอ.6 จากปากเกร็ดจะไปมหาวิทยาลัยตอนนั้นสะพายย่ามพระด้วย จังหวะจะลงรถก็มีคนวิ่งเข้ามาถามว่าไปไหน ทำอะไร แล้วถกแขนเสื้อเพื่อดูว่าเราฉีดยามารึเปล่า เรางงมาก ก็ตอบเค้าไปว่าเรียนอยู่ที่นี่ค่ะ เค้าก็ถามว่า แล้วทำไมแต่งตัวแบบนี้ เราก็ตอบว่าเค้าให้แต่งอะไรก็ได้ค่ะ ก็เลยแต่งมาเรียน เค้าบอกว่า คราวหลังอย่าแต่งตัวแบบนี้อีกนะ แล้วก็มีเสียงจากวิทยุสื่อสารว่าผิดคน ๆ หน้าเราคงเหมือนคนค้ายาเพราะเราผอมมาก แล้วผมยาว อาจจะดูโทรม ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยแต่งแบบนั้นอีกเลย

แต่ก็ยังมีโดนจับอีกครั้งที่ข้าวสาร ก็แต่งตัวเบา ๆ ใส่จีสตริงตัวเดียว ตอนนั้นมันเป็นวันฮาโลวีน ตอนนั้นเราชอบ บียอร์ค ก็เลยถักผมเปีย ใส่ดอกไม้เอาทองคำเปลวแปะ หน้าก็โล้น ๆ ไม่มีคิ้ว แล้วก็เป็นกางเกงในจีสตริงสีทอง รองเท้าส้นสูง แล้วก็เอาผ้าลูกไม้ขาว ๆ บาง ๆ มาห่มตัว พอลงจากรถแท็กซี่ก็โดนตำรวจเรียกเลย ตำรวจบอกว่าอนาจาร เชิญไปโรงพัก พอไปถึงโรงพัก ตำรวจถามว่าแต่งเป็นอะไรเนี่ย เราตอบว่า แต่งเป็นผีอนาจารค่ะ โดนข่มขืนหมู่แล้วตายค่ะ แล้วตำรวจก็ปล่อยไป แต่เค้าก็หัวเราะกันทั้งโรงพัก

ตอนเรียนเราได้ฉายาว่า อาร์ตอวกาศ ด้วยความที่เราชอบแต่งตัวและชอบทดลอง แล้วเราก็ไม่ได้มองว่าตัวเองต้องปิดกั้น ตอนนั้นบ้าหนังสือเมืองนอก แล้วมันก็จะมี เธียร์รี่ มูแกลร์ กำลังมาแรง ยุค 80 ตอนปลาย เข้า 90 โค้ทแนวอวกาศมาแรง เราเลยตัดชุดจั๊มสูทซิบหน้าปิดคอเต่าไปเรียน ก็เลยโดนล้อว่าจอดยานไว้ที่ไหน แล้วฉายา อาร์ตอวกาศ ก็มา

สมัยนั้น ความมี Identity สำคัญที่สุด ยุคนั้นเค้าเชียร์ให้คุณไม่เหมือนคนอื่น เพราะฉะนั้น อาร์ตจะแต่งตัวไม่เหมือนคนอื่น ถ้ามาเรียนแล้วเจอคนใส่เสื้อตัวเดียวกับเรา เรากลับบ้านนะ หรือต้องออกไปวัดมหาธาตุ แล้วซื้อชุดใหม่เดี๋ยวนั้นแล้วเปลี่ยนเลยเพื่อไม่ให้ชนกับคนอื่น สำหรับเรา มองว่ามันคือโอกาสในการที่จะบอกทุกคน การที่เค้าเห็นข้างหลังเราจากร้อยเมตร  แล้วเค้าทักถูกว่านั่นแหละอาร์ต มันคือเก๋ แปลว่าเราหาตัวตนของเราเจอ”

 

 

เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ อาร์ต อารยา

“อาร์ต กับ พี่แมทธิว เราเจอกันผ่านอินเตอร์เน็ต เราสมัครในเว็บไซต์หาคู่ชายหญิง ก็ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าอย่าปิดกั้นตัวเอง แล้วอาร์ตคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงก็เลยไม่แคร์ แล้วตอนนั้นอายุมัน 40 แล้ว มันก็เป็นช่วงที่เรารู้สึกว่าฉันเป็นโสดมานานมาก เราเคยมีแฟนคนแรกคบกันมา 15 ปีแล้วก็เลิกกัน แล้วเราก็เป็นโสดมาอีก 7 ปี แล้วก็มีน้องมาแนะนำว่า พี่อาร์ตสมัครเว็บเถอะ พี่อาร์ตน่าจะเป็นคนที่ต้องมีคู่ เราก็เลยไปลองสมัครเว็บชายหญิงแล้วก็ทิ้งไว้ 1 ปี โดยที่เราไม่ได้ไปดูเลยเพราะว่าเรางานเยอะ จนกระทั่งบ้านเมืองเราไม่สงบช่วงเสื้อแดงเสื้อเหลือง ตอนนั้นงานไม่มี เราก็เลยกลับมานั่งดูเว็บว่ามันเป็นยังไงบ้าง ปรากฎว่ามีคนเข้ามาเยอะมาก แล้วเค้าเป็น 1 คนที่เข้ามาดูแต่ไม่ได้ทักเรา แต่เราไปติดใจเค้าตรงที่รูปโปรไฟล์ของเค้าเป็น Upside Down เราก็เริ่มสนใจ เราก็ 40 แล้ว อยากมีแฟน เลย Text ไปขอบคุณที่เข้ามาดูโปรไฟล์ของเรา แล้วเค้าก็ตอบกลับมาว่า Thank you!

แล้วพอเราคุยกันไปกันมาประมาณ 1 เดือน เราก็เปลี่ยนเป็นขอเบอร์เลยแล้วกัน เพราะว่าไม่มีเวลาแล้ว อายุ 40 แล้วอย่ารอ เค้าก็เลยให้เบอร์มา เราก็ชวนเค้าคุยผ่าน WhatsApp เราก็ส่งรูปแรกเลย เป็นรูปเซลฟี่หน้าสด ส่งไปให้เค้าดูแบบอรุณสวัสดิ์นะคะ เค้าก็บอกว่าว้าว ขอบคุณนะที่เราจริงใจกับเค้า ที่เราเอาความจริงมาให้เค้าเห็น เราถือคติว่า การที่จะมีแฟน มันต้องไม่เล่นละคร ไม่ดราม่า คิดอะไรก็พูด มีอะไรก็ตรงไปตรงมา แล้วเราก็บอกเค้าไปตรง ๆ แล้วก็ซื่อตรงกับเค้ามาตลอด แล้วเค้าก็ขอบคุณที่เราจริงใจกับเค้ามาตั้งแต่แรก

แล้วตอนเจอ พี่แมทธิว คือตอนที่เรากลับมาไทยแล้ว คือจบ ม.ศิลปากร อาร์ตก็ไปเรียนแฟชั่นที่ฝรั่งเศสปีนั้นเลย ไปถึงปารีสก็เรียนภาษาก่อนปีนึง แล้วก็เรียนดีไซน์ 2 ปี แล้วก็ทำงานอีกปีนึง ถึงกลับไทย ช่วงนั้นเค้าคงใช้ชีวิตของเค้า เพราะตอนที่อยู่ฝรั่งเศส เราไปถึงปีแรกอายุ 21-22 ปีเอง เราก็มีแฟนเป็นคนฝรั่งเศส 15 ปี แล้วเรามาเจอเค้าตอนอายุ 40 ปีแล้ว นั่นแปลว่าช่วงนั้นดิฉันก็มีแฟนคนก่อนหน้านั้นอยู่ 15 ปี แล้วพอเลิกกัน ดิฉันก็เป็นโสดไปอีก 7 ปี ด้วยพื้นฐานเรารู้ว่าเราเป็นคนไม่สวย ไม่ได้มีรูปสมบัติเหมือนคนอื่น ทำให้ยังไม่มีใครจีบ ไม่มีใครเอา ไม่มีใครสนใจ แต่พอไปเมืองนอกปีแรกก็เจอเลย แล้วก็คบกันยาวไปอีก 15 ปี เพราะฉะนั้น ในความที่เรารู้ว่าเราไม่ได้สวย เราก็เลยไม่คาดหวัง และไม่ทำตัวหยิ่ง อารยาจะเป็นคนที่ทำกับข้าวได้ ทำความสะอาดบ้านเก่ง จัดบ้านเก่ง เอาใจแม่สามี เอาใจครอบครัวทั้งหมด คือเป็นภรรยาที่ดี แบบทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะ แต่ประโยคแรกที่เจอแม่แฟนเก่า เค้าบอกว่าทำไมเธอเหมือนผู้หญิงจัง ทั้งที่เราเจอกันแบบหน้าสด อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราภูมิใจในตัวเอง ว่าเราไม่ได้แสดง มันเป็นตัวเราจริง ๆ เหมือนตอนเราไปเจอแม่กับพ่อของพี่แมท เค้าก็พูดเหมือนกันเลยว่าเราเหมือนผู้หญิงจัง เราก็โอเคแปลว่าฉันมาสายนี้ถูกแล้ว คือเราเอาใจคนอื่น แล้วเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราลำบาก เราก็พยายามจะเอาใจเพื่อให้ความสัมพันธ์มันออกมาเป็นความรักแบบผัวเดียวเมียเดียว อาร์ตเชื่อตรงนั้น เพราะว่าเราเห็นพ่อแม่เรารักกันมานาน เราก็อยากเป็นแบบนั้นบ้าง

ดูพฤติกรรมภายนอกอาร์ตอาจจะดูพูดแรง พูดจาไม่เกรงใจ เป็นบัวไม่มีเยื่อใย พูดจาขวานผ่าซาก แต่ข้างในคือไม่มีเจตนาร้าย พูดแล้วจบ เป็นคนไม่เอากลับไปคิดค้างคา สมมติว่าเรามีปัญหาเรื่องการทำงานกัน เราเคลียร์กันวันนี้แรงหน่อย แต่พรุ่งนี้เราเจอกันปกติ กินข้าวได้ปกติ คนอื่นเค้าอาจจะเห็นเราจากรายการโทรทัศน์ ที่ก็จะเลือกตัดแต่เฉพาะตอนที่เราเหวี่ยง ตอนที่เราวีน จนมันกลายเป็นภาพจำ แต่เราไม่ได้เป็นคนแบบนั้น เพราะเราเป็นมนุษย์แล้วเราก็มีด้านดีด้านแย่เรามีครบ

พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม สำหรับอาร์ตมองว่า วันที่ 18 มิ.ย. 2567 ที่กฎหมายผ่าน แล้วอีก 3 เดือนกฎหมายจะถูกบังคับใช้ ตอนนี้ติดต่อชุดเจ้าสาวแล้ว แล้วก็สั่งทอผ้าให้คุณผู้ชายแล้ว แพลนแล้วว่า วันที่กฎหมายใช้ได้ เจอกันที่สถานีดุสิตเพื่อจดทะเบียนค่ะ”

 

 

สีสัน แรงบันดาลใจจาก อาร์ต อารยา

“อาร์ตว่าเวลาที่เรารู้สึกว่าเราต้องรอ ไม่ว่าจะรอโอกาส หรือรออะไรก็ตามแต่ เรารู้สึกว่ามันไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้นเสมอไป มันไม่มีอะไรที่จะมาหาเราง่าย ๆ ไม่มีใครพร้อมที่จะยื่นโอกาสให้เราตลอดเวลา ถ้าเรารอเราก็จะนั่งงอมืองอเท้า แล้วทุกอย่างมันก็จะฝ่อ สิ่งที่อาร์ตจะเชียร์ก็คือ อยากทำไรทำ อยากเป็นไรเป็น โดยเฉพาะคนที่อยู่ในยุคปัจจุบัน บ้านเมืองมันเปิดโลกมันเปิด ทุกอย่างมันเข้าหากันง่าย คนในประเทศไทยไม่ชอบคุณ ประเทศอื่นก็มี ทำงานในเมืองไทยกลัวว่าไม่มีคนเห็น กลัวไม่มีคนซื้อ กลัวไม่มีคนสนับสนุน เมืองนอกเค้าก็เห็น คือตอนนี้ทุกอย่างมันแคบลงและมันง่ายมาก แล้วอาร์ตมีความรู้สึกว่าอย่ารอ

ในส่วนของความรักก็เช่นเดียวกัน ถ้าเอาอาร์ตเป็นบรรทัดฐาน อาร์ตช้ำรักอยู่กับความผิดหวังมา 15 ปี แต่อาร์ตก็ไม่ย่อท้อ เพราะอาร์ตมีความเชื่อว่าเราต้องมีความรัก จนมาเจอรักตอนอายุ 40 ปี แล้วอาร์ตก็เชื่ออีกอย่างว่า พอเราจริงใจ เราไม่ดราม่า เราไม่โกหก เราเชื่อในความซื่อสัตย์ซื่อตรงของเรา มันก็มีคนที่เข้าใจเรา มันอาจจะต้องมีอุปสรรคบ้าง ต้องค่อย ๆ ปรับกันไป สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคืออย่าปล่อยมันค้างคา มีปัญหาให้คุยเลยให้มันจบ แล้วมันจะทำให้ความรักของเราไปต่อได้เรื่อย ๆ” - อาร์ต อารยา

 

 

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์

 

ติดตามชมรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1