เปิดจุดเปลี่ยนชีวิต ของพิธีกรสาวใต้สายฮา “เจนนี่ ปาหนัน” จากคนคิดมาก สู่คนคิดเป็น และเห็นคุณค่าของการรักตัวเองแบบสุดๆ

Club Pride Day Recap

เปิดจุดเปลี่ยนชีวิต ของพิธีกรสาวใต้สายฮา “เจนนี่ ปาหนัน” จากคนคิดมาก สู่คนคิดเป็น และเห็นคุณค่าของการรักตัวเองแบบสุดๆ

13 มิ.ย. 2024

“การได้รับคำชื่นชม ว่าเราดูดีขึ้นนะ สวยขึ้นนะ มันเป็นส่วนหนึ่งของแรงผลักดัน ที่ทำให้หนูรู้สึกรักตัวเองมาก ๆ อยากทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองดีขึ้น สวยขึ้น และทำอะไรดี ๆ เพื่อตัวเองมากยิ่งขึ้น”

ฮาโรยยย!...เปิด Club รวมหลากหลายสีสันของชีวิต พร้อมแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจดี ๆ ในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดพิเศษ จากจักรวาลเทยเที่ยวไทย “เจนนี่ ปาหนัน” พิธีกรสาวใต้สายฮา ที่เก่งและมีความสามารถรอบด้าน ดีกรีสาวโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่มีความสดใสคอยสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับแฟน ๆ ได้เป็นอย่างดี กว่าจะมีวันนี้เธอผ่านหลากหลายจุดเปลี่ยนของชีวิต และได้ส่งมอบข้อคิดแรงบันดาลใจดี ๆ ไว้ในรายการอีกด้วย

 

 

“เจนนี่ ปาหนัน” ชื่อสุดสร้างสรรค์นี้ได้แต่ใดมา

“เจนนี่ คือชื่อที่คุณครูเป็นคนเรียกค่ะ ตอนนั้นเป็นยุคที่ภาพยนตร์ไทยเฟื่องฟู และมีเรื่องหนึ่งดังมากชื่อ เจนนี่กลางวันครับกลางคืนค่ะ ที่พระเอกต้องแต่งเป็นผู้หญิงแล้วตุ้งติ้งเพื่อไปจีบนางเอก แล้วตอนนั้นหนูเป็นกะเทยคนเดียวในห้อง คุณครูก็เลยเหมือนเอามาเรียกเราว่า เจนนี่

ซึ่งจริง ๆ แล้วหนูชื่อ ปอ เพราะว่าพ่ออยากให้เป็นใหญ่เป็นโตเหมือน จอมพลปอ แต่ว่าแม่อยากตั้งชื่อว่า เอก จะได้โตมาเป็นพระเอกเหมือน พี่เอก สรพงษ์ ชาตรี แต่สุดท้ายพ่อชนะ ซึ่งหนูชื่อปอ แต่น้องชื่อ เดียร์ กับ โด่ง หนูก็โดนล้อมาตั้งแต่เด็กว่า ทำไมชื่อเป็น ป.ปลา แต่ก็ไม่เคยถามพ่อแม่เลยว่าทำไมตั้งชื่อแบบนี้

แล้วในตอนที่หนูทำงานที่ แชนแนลวีไทยแลนด์ ก็โดนพี่ ๆ เค้าเรียกมาเล่นเป็นหน้าม้าในรายการ แล้วมันต้องโต้วาทีกัน ซึ่งในทีมหนู 3 คน เค้าแนะนำตัวเป็นชื่อใหม่หมดเลย คนแรกแนะนำตัวว่าชื่อ ปื๊ด คนที่สองแนะนำตัวว่าชื่อ แป๊ด แล้วเราติดพรีเซนต์ความเป็นตัวตนของเราที่เป็นสาวใต้ เลยพูดออกมาว่า ชื่อปาหนัน ค่ะ ซึ่งเป็นความคิดที่ผุดมาในหัวความคิดแรก เพราะอยากมีชื่อที่ดูเป็นสาวใต้ที่สุด จนกลายเป็น เจนนี่ ปาหนัน มาถึงทุกวันนี้ค่ะ”

 

ผลงานที่ภูมิใจ และอาชีพที่ใฝ่ฝัน ของ เจนนี่ ปาหนัน

“ที่ผ่านมา หนูเข้าวงการบันเทิงมาได้ ด้วยความที่หนูเป็นตัวของหนูเอง ขายความเป็นสาวใต้มาตั้งแต่แรก ซึ่งล่าสุดที่หนูบอกว่าผลงานที่หนูภูมิใจคือการเล่นละคร เพราะหนูรู้สึกว่าเป็นงานที่มันไม่ใช่ตัวเรา เราต้องแสดงเป็นตัวละครอื่น คาแรกเตอร์อื่น แล้วเราทำได้ อย่างเรื่องแรก ๆ ที่ต้องเล่นละคร หนูจะบอกผู้กำกับเลยว่า หนูร้องไห้ไม่ได้นะ เพราะหนูเป็นคนร้องไห้ยาก ในชีวิตไม่มีอะไรที่ทำให้หนูร้องไห้ได้เลย แต่พอหนูได้เริ่มเล่นละคร เริ่มมีการเวิร์คช็อป หรือมีแบบฝึกให้เราได้พัฒนาตัวเองมากขึ้น แล้วเราเริ่มทำได้ด้วยตัวเอง มันก็เลยเริ่มภูมิใจ

แต่ถ้าถามเรื่องความภูมิใจในวันก่อนหน้านี้ หนูก็จะพูดว่า ความภูมิใจของหนู คือการที่หนูสามารถเป็นพิธีกรเทยเที่ยวไทยคนที่ 4 ในสายตาทุกคนได้ เพราะในวันแรกที่หนูเข้ามามันก็ไม่ได้เป็นที่ยอมรับของคนทุกคน แต่พอผ่านมาเราได้ตั้งใจ ได้พิสูจน์ตัวเอง จนมันเกิดเป็นที่ยอมรับ วันนั้นหนูจำได้เลยว่าภูมิใจในตัวเองมาก

ต้องบอกก่อนว่าหนูไม่ได้อยากเป็นดารามาตั้งแต่แรก งานที่หนูทำอยู่ คืองานในความฝันของหนูอยู่แล้ว นั่นคือ ครีเอทีฟ แต่เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว หนูยังไม่รู้จักคำว่า อาชีพครีเอทีฟ อาชีพที่ดูใหม่ที่สุดในรุ่นหนูตอนเป็นเด็กรู้สึกจะเป็น อาชีพแอร์โฮสเตส ซึ่งตอนนั้นหนูรู้ตัวเองอยู่แล้วว่า เราอยากทำงานในวงการสื่อสารมวลชน อยากทำงานอยู่ในวงการสื่อ ใจของหนูตอนนั้นก็เลยอยากสอบเข้าคณะวารสารศาสตร์ หรือว่านิเทศศาสตร์ และเพิ่งมารู้ว่า อาชีพที่ตัวเองอยากทำมันเรียกว่า อาชีพครีเอทีฟ หรือ โปรดิวเซอร์ จนวันหนึ่งหนูก็ได้ทำอาชีพครีเอทีฟจริง ๆ มันหมือนหนูได้ทำตามเป้าหมายแล้ว ก็เลยไม่ได้คิดว่าอยากจะเป็นดารา ไม่ได้อยากมาเป็นคนหน้ากล้อง

จริง ๆ ความฝันตอนเด็กของหนูคือ อยากเป็นดีเจ เพราะเมื่อก่อนการที่จะเป็นดารามันต้องสวยหล่อเป็นหลัก แล้วเรามองว่าอาชีพดีเจ คืออาชีพที่ไม่ได้ขายหน้าตา คนไม่เห็นว่าหน้าตาเป็นยังไง แล้วบวกกับการที่หนูเป็นคนชอบพูด มันเลยกลายเป็นความฝันว่าอยากเป็นดีเจ

หนูทำงาน จนเคยมีช่วงหนึ่งที่มีความคิดว่าตัวเองพร้อมจะออกจากวงการ ตอนหนูเริ่มเป็นที่ยอมรับจากเทยเที่ยวไทย หลายงานเริ่มเข้ามา แล้วเข้ามาเยอะมาก ช่วงนั้นหนูทำงานจนเหงา ต้องทำงานตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถึง 6 โมงเช้าของอีกวัน แล้วอีกกองก็นัด 9 โมงต่อ ไม่ได้เจอเพื่อน ไม่ได้ปาร์ตี้ แล้วตอนนั้นนอกจากงาน เงินมันก็ตามมา หรือแม้แต่ชื่อเสียงมันก็ตามมา แล้วมันกินเวลาไปเป็นหลักปี มันเกินสิ่งที่เราคาดหวังไปเยอะแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าพอใจแล้ว ออกจากวงการได้แล้ว”  

 

 

ครอบครัว กับการยอมรับตัวตน ของ เจนนี่ ปาหนัน

“ในชีวิตหนูไม่เคยนั่งพูดเรื่องที่เราเบี่ยงเบนทางเพศกับคุณพ่อคุณแม่เลย แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่เคยหยิบเรื่องนี้มาพูดเลย หนูยอมรับว่าตัวเองเป็นคนโชคดีที่สุดในชีวิตแล้ว คือพ่อไม่มีความกดดัน ไม่มีการดุด่า ไม่เคยมานั่งพูดว่าต้องเข้มแข็งสิ ต้องทำตัวแมนสิ หรือว่าต้องไปเป็นตำรวจไปเป็นทหารนะ ไม่เคยพูดเลย แล้วในตอนเด็กหนูเหมือนจะเป็นที่ปรึกษาให้กับคุณแม่ เพราะคุณพ่อเป็นตำรวจแล้วก็ต้องทำงานเข้าเวรไม่เป็นเวลา หนูเลยค่อนข้างผูกพันและจะเป็นที่ปรึกษาให้แม่ด้วย

และด้วยความที่เราเป็นเด็กเรียนดี และเป็นเด็กกิจกรรม ดังนั้นหนูเลยกลายเป็นตัวเปรียบเทียบให้กับคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน เพราะบ้านอื่นเค้าจะชอบเอาลูกของเค้ามาเปรียบเทียบกับหนู ดูพี่ปอสิเค้าเรียนเก่งนะ เค้าได้ทุนตำรวจอีกแล้ว หนูก็เลยคิดว่านี่คงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พ่อกับแม่ไม่ได้มากดดันหรือมาคาดหวังในตัวหนู เพราะหนูพยายามทำทุกอย่างให้เค้าภูมิใจมาตั้งแต่เด็ก และสิ่งที่หนูทำ หนูทำเพราะมีความรู้สึกว่าเราอยากทดแทน เรารู้ตัวว่าเราไม่ได้เป็นลูกชายให้เค้า แล้วเรากลัวด้วย เพราะต้องยอมรับว่าเมื่อก่อนสื่อไทยมันหล่อหลอม อย่างภาพในละครต่าง ๆ มันหล่อหลอมว่า ถ้าพ่อเป็นทหารหรือตำรวจ ลูกเป็น LGBTQ+ จะต้องโดนซ้อม พอเรารับสารแบบนี้มันก็เลยมีความกลัวเล็ก ๆ เราก็เลยพยายามทำทุกอย่างให้มันดี ให้พ่อกับแม่ภูมิใจมากที่สุด มีคำพูดที่พ่อหนูพูด แล้วหนูจำได้ขึ้นใจและมันฝังอยู่ในหัวหนูตลอด คือพ่อบอกว่า จะยังไงก็ได้นะ แต่ขอให้รักดี คำว่ารักดีมันอยู่ในหัวตลอดว่าเราต้องรักดี มันก็กลายเป็นว่า เราไม่ค่อยกล้าทำอะไรที่จะทำให้เค้าผิดหวังหรือเสียใจ

หนูว่าที่พ่อกับแม่รู้เรื่องที่หนูเบี่ยงเบนทางเพศ น่าจะเป็นเหตุการณ์ในช่วง ม.4 ซึ่งก่อนหน้านั้นหนูคิดมาตั้งแต่เด็กเลยว่าเค้ารู้อยู่แล้วตั้งแต่แรก คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องดูลูกออก แต่เวลาหนูอยู่บ้านหนูไม่ค่อยแสดงออกไง หนูจะแอ๊บแมนทำตัวนิ่ง ๆ พูดน้อย เวลาอยู่โรงเรียนพูดเยอะกว่าอยู่ที่บ้าน พ่อกับแม่ก็เลยคิดว่าหนูเป็นคนเรียบร้อย จน ม.4 คุณครูมาเยี่ยมบ้าน แล้วมาคุยกับผู้ปกครอง แล้วคุณครูก็บอกว่าลูกของคุณแม่เบี่ยงเบนนะ ซึ่งคุณแม่ก็เลยตบเข่าเลยบอกว่า ว่าแล้วว่ามันต้องเป็น แล้วคุณครูก็ถามว่าแล้วคุณพ่อจะโอเคไหม แม่ก็บอกว่าเดี๋ยวแม่คุยกับคุณพ่อเอง หลังจากนั้นแม่ก็ไปคุยกับพ่อ แต่หนูไม่เคยรู้เลยว่าเค้าคุยกัน เพราะว่าไม่เคยมีปฏิกิริยาหรืออาการอะไรที่แสดงออกเลยว่าเค้ารู้แล้วนะแบบ 100%

หลังจากนั้นหนูก็มีความรู้สึกว่า เราค่อย ๆ ให้เค้าซึมซับความเป็นตัวเราไปแล้วกัน พอเข้ามหาวิทยาลัยหนูก็ค่อย ๆ ไว้ผมยาว ตอนนั้นรู้สึกโชคดีมากที่เลือกเรียน ม.ศิลปากร แล้วเทรนด์แนวเด็กเซอร์มันมา ผู้ชายผมยาว พอเราเลี้ยงผมยาว เค้าก็คิดว่าเป็นหนุ่มเซอร์แบกกีต้าร์กลับบ้าน แต่ความจริงเค้าก็รู้แล้วว่าเราเตรียมแต่ง

ตอนปี 1 มีเหตุการณ์ที่หนูไปบ้านคุณย่า วันนั้นมีญาติ ๆ มาเยอะ แล้วตอนนั้นหนูผมเริ่มยาวแล้ว ไปถึงก็โดนญาติ ๆ แซวว่า มันจะสวยขึ้นนะเนี่ย  สักพักหนูรู้สึกว่ามีมือมาลูบที่ผมหนู แล้วพ่อก็พูดขึ้นมาว่า เป็นอะไรก็ได้ แต่อย่าเป็นเสือไบ ซึ่งคำว่าเสือไบของคุณพ่อเค้าหมายถึงโจร มันเป็นเหตุการณ์ที่หนูอบอุ่นใจมาก รู้สึกว่านั่นเป็นการเข้ามาใกล้เรื่องความเบี่ยงเบนทางเพศของเรามากที่สุดในชีวิตหนูเลย”

 

 

นอกจากมีการยอมรับแล้ว สังคมยังเข้าใจพวกเราด้วย

“ในเรื่องการยอมรับผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศในสังคม หนูมองว่าถ้าให้เทียบวันนี้กับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอนนี้การขับเคลื่อนเรื่องการยอมรับของบุคคลที่หลากหลายทางเพศวันนี้มันเปิดกว้างมาก และไปในทางที่ดีด้วย

ซึ่งเมื่อก่อนก็จะมีความคิดที่ว่าเพศทางเลือกจะต้องเป็นคนตลก ต้องเป็นคนสร้างสรรค์ แต่ปัจจุบันไม่จำเป็นแล้ว หนูมีความรู้สึกว่าตอนนี้นอกจากมีการยอมรับแล้ว อีกอย่างที่ตามมาคือมันมีการทำความเข้าใจเพศของเราที่มากขึ้นด้วยว่าเพศแบบพวกหนูก็เหมือนคนทั่วไป ตลกได้ ตลกไม่ได้ บางคนเรียบร้อย บางคนนิ่ง บางคนเป็นนักวิชาการ บางคนเป็นเซียนพระ บางคนเป็นแอร์โฮสเตสได้ ตอนนี้นอกจากจะเห็นการยอมรับแล้ว หนูยังเห็นการทำความเข้าใจด้วย สังคมเข้าใจเพศของพวกหนูมากขึ้นด้วย”

 

กว่าจะเป็นพิธีกรคนที่ 4 ของ “เทยเที่ยวไทย”

“หลัก ๆ เลยคือ พี่ป๋อมแป๋ม เป็นคนดึงหนูมา ซึ่งหนูคิดว่า พี่แป๋มเค้าวางแผนไว้เยอะมาก ย้อนไปก่อนที่หนูจะเข้ามาทำเทยเที่ยวไทย หนูทำที่ BANG CHANNEL เป็นครีเอทีฟ ซึ่งอยู่ทีมอื่นก่อน พอทำไปสักพัก พี่แป๋มเค้าก็ไปขอตัวหนูมาอยู่ในทีม แล้วก็มีการหลอกล่อให้ทำรายการเพลงในทีมก่อน แล้วค่อย ๆ ให้หนูกับ พี่ฝน สลับกันทำเทยเที่ยวไทย แต่ตอนนั้นรายการเพลงกลายเป็นว่าหนูทำกับน้องฝึกงาน เพราะว่าพี่ฝนไม่มาทำรายการเพลงเลย จนพี่แป๋มดึงหนูเข้ามาเป็นครีเอทีฟเทยเที่ยวไทยเต็มรูปแบบ แล้วก็ค่อยมาเป็นพิธีกรเทยเที่ยวไทย จากการประกาศบนคอนเสิร์ตเทยแฟร์ ของพี่ป๋อมแป๋ม วันคอนเสิร์ตก็เหมือนพูดทีเล่นทีจริงกันว่าเจนนี่เป็นพิธีกรนะ จนพี่แป๋มประกาศบนเวที แล้วหนูก็ไม่มีไมค์ที่จะปฏิเสธ แต่พี่แป๋มก็พูดไปแล้วว่า เจนนี่ เป็นพิธีกรเทยเที่ยไทยคนที่ 4”

 

 

แรงผลักดัน ที่มาพร้อมความกดดัน

“หนูไม่อยากทำเลย ตอนนั้นมีทั้งความกดดัน และความเครียด กับการที่เราจะเข้ามาเป็นคนที่ 4 โดยที่พี่ทั้ง 3 คนเค้าเก่งกันที่สุดแล้ว เค้ามีมุกตลก และแต่ละคนมีเอกลักษณ์หมดเลย มันพอดีแล้ว หนูเลยคิดว่าเอาหนูเข้ามาเป็นคนที่ 4 อีกทำไม เริ่มถามตัวเองว่าเราจะเข้าไปยังไงนะ จะอยู่จุดไหนดี ตอนนั้นพอต้องเล่นมุกหนูก็ไม่กล้าเล่น ไม่มั่นใจว่าเล่นแล้วมันจะตลกไหม แล้วด้วยความที่เราเป็นครีเอทีฟมาก่อน หนูก็จะติดฟังพวกพี่เค้าเล่นมุกแล้วก็จด พอไปอยู่ตรงนั้นกลายเป็นว่าหนูก็ยังติดฟังพี่เค้าเล่นมุกกัน เราก็ไม่ได้เล่นต่อพี่ ๆ ยืนเงียบเลย

โชคดีที่เทปแรกที่หนูเข้ามามันเป็นการจับของขวัญ ซึ่งมีคนเยอะมาก แต่พอมาเป็นพิธีกรเต็มเทปแรก จำได้ว่าไปเชียงราย ก็เริ่มมีฟีดแบ็คจนหนูไม่กล้าเข้าไปอ่าน เรารู้ตัวเองอยู่แล้ว แล้วก็มีนางนกต่อก็คือพี่ฝน ที่ชอบมาเล่าให้เราฟัง แต่ก็จะคอยย้ำทุกครั้งว่าไม่ต้องเข้าไปอ่านนะ แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้เราอยากรู้ แต่ก็เลือกไม่อ่านไปเลยหลายเดือน

จุดเปลี่ยนที่ทำให้หนูได้ค้นพบว่าตัวเองจะเป็นพิธีกรเทยเที่ยวไทยต่อไปแบบไหน และจะเติมสีสันให้กับเทยเที่ยวไทยได้ยังไง คือเทปกาญจนบุรี เทปที่หนูเป็น สมิหลา J ครั้งแรก แล้วคนชอบ หนูรู้สึกว่ามันทำให้หนูมีตัวตนที่มันไม่เหมือนพี่ ๆ เค้าขึ้นมาแล้วมันมีความรู้สึกว่าตัวเองทำได้แล้ว หนูเข้าไปอ่านคอมเมนต์จากเทปนั้นเป็นเทปแรก แล้วเจอแต่คำชม ดีใจมากค่ะ

เที่ยวทริปนี้ จำได้ไม่มีลืม

การมาเป็นพิธีกรเทยเที่ยวไทย หนูได้ไปเที่ยวเยอะมาก แต่มีการเที่ยวที่มันยังอยู่ในความทรงจำคือ เทปที่ไปล่องแก่ง ลำน้ำเข็ก เพราะวันนั้นจากระดับน้ำที่เหมาะสมที่จะล่องแก่งมากที่สุดคือ 5 แต่เราไปเจอนำระดับ 7 ที่มันยิ่งกว่า 5 ไปอีก เป็นการล่องแก่งที่ตื่นเต้น หนักหน่วง แม้แต่ผู้ชายที่เป็นตากล้องก็ยังหวาดหวั่นกันหมดเลยค่ะ

อีกหนึ่งที่คือ ถ้ำเลเขากอบ จ.ตรัง ต้องอธิบายก่อนว่า มันคือการไปล่องเรือในถ้ำที่มันค่อย ๆ ต่ำลงเรื่อย ๆ ต่ำจนเราต้องนอนราบไปกับเรือ แล้วหินมันใกล้หน้าเรามาก และระยะทางมันไม่ใช่แค่ร้อยเมตรนะคะ มันยาวไปเรื่อย ๆ หนูอึดอัดมาก อาจจะถึงขั้นกลัวเลย เพราะไม่ชอบอยู่ในที่แคบ”

 

จุดเปลี่ยนชีวิต จากคนคิดมาก สู่คนคิดเป็น

“เมื่อก่อนหนูเป็นคนคิดมาก และมักจะชอบคิดแง่ร้าย และคิดกังวลกับเรื่องในอนาคต จนหนูรู้สึกว่ามันไม่ได้แล้ว เราลองทำอะไรดูสักกอย่างดีกว่า เพื่อให้มันมีวิธีการจัดการกับความคิดมากของตัวเอง หนูก็เลยเริ่มฟังพอดแคสต์ ลองหาใน Youtube พิมพ์ไปเลยว่าวิธีการจัดการกับความคิด ปล่อยวางอนาคต คนคิดมากต้องทำยังไง หนูถึงขั้นฟังคลิปของ ท่าน ว.วชิรเมธี มีประโยคหนึ่งที่เป็นจุดที่ทำให้หนูเริ่มคิดได้คือ อย่าเอาทุกข์มาถมใจที่ไม่มีทุกข์ ซึ่งหนูเป็นคนที่ชอบเอาทุกข์มาถมใจ บางทีมันยังไม่ต้องคิดไปขนาดนั้น เพราะบางเรื่องยังมาไม่ถึงด้วยซ้ำ จากนั้นหนูก็ฟังไปเรื่อย ๆ จนไปเจอเรื่องกฎของแรงดึงดูด ในเรื่องของการ Manifest ซึ่งมันเป็นเรื่องของการใช้ความคิดเพื่อจินตนาการภาพในสิ่งที่เราต้องการ พอฟังแล้วหนูก็เห็นว่ามันนำมาประยุกต์ใช้กับเราได้นะ อยากศึกษาจริงจัง หนูเลยไปซื้อหนังสือมาอ่าน

Manifest มันมี 7 ขั้นตอนในการสร้างภาพสิ่งที่เราปรารถนาให้มันเกิดขึ้นจริง แต่ว่าถ้าพูดถึงเรื่องของการจัดการความคิด หนูเอามาแค่ 2 ข้อหลัก ๆ คือ การอยู่ในคลื่นความถี่ที่มันเป็นบวก กับ การสร้างกิจวัตรเล็ก ๆ ที่ดี เพื่อให้มันกลายเป็นนิสัยที่ดี ซึ่งสองอันนี้มันคือ Self Love มันคือการรักตัวเอง แล้วหนูเอามาปรับใช้ เวลาหนูเครียด เราก็จะรู้ตัวว่ามันเกิดความเครียดขึ้นมาแล้วนะ ทำยังไง ซึ่งมันก็จะมีวิธีการคือ ถ้าเราหยุดคิดไม่ได้ ก็ให้เราไปทำอย่างอื่นเลย ถ้าเราเปลี่ยนความคิดจากลบเป็นบวกไม่ได้ เราก็ไม่ต้องคิด ไปทำความสะอาดบ้านเลย เหมือนเป็นการย้ายโฟกัส แล้วหนูก็ชอบการสร้างนิสัย จากกิจวัตรเล็ก ๆ ที่ดี หนูก็เลยพยายามอ่านหนังสือ พยายามทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อตัวเอง แล้ววิธีการหลักของ Manifest คือมันมีการนั่งสมาธิ แล้วแต่ก่อนหนูนั่งสมาธิอยู่แล้ว แต่จะนั่งได้ประมาณ 30-40 นาที หลัง ๆ หนูเริ่มลอง Manifest ขณะนั่งสมาธิด้วย มันก็เลยกลายเป็นว่าสมาธิมันจะจดจ่ออยู่กับการจินตนาการภาพ ซึ่งเวลาเมื่อหนูมีการขยับตัวนะคะ แต่บางคนเค้าเข้มข้นถึงขั้นที่นั่งสมาธิห้ามขยับตัว ห้ามกลืนน้ำลาย แต่สำหรับหนูคืออย่าไปซีเรียส มีขยับตัวบ้าง ซึ่งหลัง ๆ หนนั่งสมาธิได้ 2 ชั่วโมงเลย”

 

 

คำชมวันนั้น ผลักให้ เจนนี่ ปาหนัน รักตัวเองมากขึ้น

“เรื่องรูปร่างที่ดูสวยขึ้น ดู Glam ขึ้น มาจากช่วงโควิดหนูป่วยเป็น กรดไหลย้อน ตอนนั้นมันอาการหนักถึงขั้นหนูรำคาญ แล้วหนูอยากหายป่วยมาก ไปหาหมอ หมอก็พูดตั้งแต่แรกว่ามันเป็นโรคเวรกรรม ยาช่วยได้แค่ 30% อีก 70% ต้องปรับการใช้ชีวิต หนูก็เลยปรับทุกอย่างตามที่หมอบอก ซึ่งมันจะมีอาหารที่ห้ามกินเยอะมาก ห้ามกินผักสด ห้ามของทอด ของมัน  ของเปรี้ยว ของรสจัดเผ็ดจัด แล้วหนูโตมากับแกงส้ม แกงเหลือง แกงไตปลา แต่ตอนนั้นมันอยากหาย หนูเลยหักดิบ เมนูหลัก ๆ ที่หนูกินคือ ข้าวไก่ต้ม สุกี้ปลา เกาเหลาปลา เลือกเมนูที่มันย่อยง่าย แล้วหนูต้องเคี้ยวให้ละเอียดที่สุด 1 คำต้องเคี้ยวอย่างน้อย 40 ครั้ง นอกจากนั้นก็ต้องกินน้ำ 2 ลิตร นอน 4 ทุ่ม ออกกำลังกาย จนเริ่มมีผลลัพธ์กับร่างกาย พอเริ่มกลับมาออกงาน คนก็ชมว่า เจนนี่ผอมลง ซึ่งหนูผอมลงไปประมาณ 12-13 กิโลกรัม โดยที่หนูไม่รู้ตัว แล้วโดนชมอีกว่าผอมแล้วสวย ๆ ตอนนั้นเราดีใจนะเพราะสิ่งที่ฉันหักดิบ สิ่งที่ฉันพยายามทำ มันมีผลลัพธ์ที่ดีออกมาให้คนเห็น มันก็เลยยิ่งทำให้หนูรู้สึกรักตัวเองมากขึ้นไปอีก อยากทำอะไรดี ๆ เพื่อตัวเองมากขึ้นไปอีก หนูก็เลยไปสมัครฟิตเนสจริงจัง ไปดูแลผิว เมื่อก่อนหนูไม่ทาโลชั่นเลย แม้จะผิวแห้งขนาดไหน เดี๋ยวนี้หันมาบำรุงผิว ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองดีขึ้น เป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่สวยขึ้น สงบขึ้น แล้วรู้สึกสนุกกับการทำอะไรดี ๆ เพื่อตัวเอง มันอาจจะเป็นเพราะหนูมีคำชมมาเป็นแรงขับเคลื่อนด้วย มันก็เลยทำให้ตัวเองมีพลังทำต่อ”

 

อัพเดทผลงานในวงการบันเทิงของ เจนนี่ ปาหนัน

ตอนนี้ถ้าเป็นรายการทางทีวีก็จะมี ทอล์คกะเทย แล้วก็มีทำ Youtube ของตัวเองค่ะ ชื่อ เจนนี่ ปาหนัน ทำรายการ ME,POOM แล้วก็จะมีรายการทางออนไลน์ของ GMMTV ก็จะมีรายการ รถสองแต๋ว แล้วก็จะมีไปรับเชิญในรายการออนไลน์ต่าง ๆ ของ GMMTV และกำลังจะมีละครของทางช่องน้อยสีอีกหนึ่งเรื่อง เป็นละครที่เราไปเล่นแบบเต็มตัวเหมือนกัน และรู้สึกว่ามันเป็นงานที่เราภูมิใจด้วย ก็เลยอยากฝากให้ติดตามกันค่ะ”

 

 

ตัวเราในวันนั้น คือ เจนนี่ ปาหนัน ในวันนี้

“หนูภูมิใจทุกอย่างเลยตั้งแต่เป็นหนูมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ ถ้ามีคำถามว่าถ้ากลับไปบอกตัวเองเมื่อก่อนได้จะบอกอะไร หนูก็ไม่ ไม่อยากกลับไปบอกอะไร เพราะว่าตัวเราในวันนั้น ทำให้เราเป็นเราในวันนี้ หนูไม่รู้ว่าถ้าวันนั้นเกิดสอบติด วารสารศาสตร์ หรือติดนิเทศศาสตร์ แล้วสอบไม่ติดโบราณคดี ศิลปากร ก็อาจจะไม่มีเจนนี่ ปาหนัน ที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็ได้

ทุกช่วงเวลาในชีวิต หนูหาความสุขให้ตัวเองอยู่ตลอด แล้วแต่ช่วงเวลาชีวิตว่าตอนนั้นหาความสุขแบบไหน เมื่อก่อนอาจจะหาความสุขด้วยการปาร์ตี้สังสรรค์ แต่ตอนนี้หาความสุขด้วยการดูแลตัวเอง”

 

สีสัน แรงบันดาลใจ จาก เจนนี่ ปาหนัน

“หนูมีทุกวันนี้ได้เพราะความเป็นตัวของตัวเอง เราโชว์ความเป็นเอกลักษณ์ของเราออกมาให้ทุกคนได้เห็น หนูก็อยากให้ทุกคนโชว์ความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองออกมา เราจะเป็นตัวเองแบบไหนก็ได้ แต่เป็นตัวคุณแบบ 100% ออกมา หนูก็เป็นตัวเองแบบ 100% บ้านรกขนาดไหนก็ให้รายการไปถ่าย โชว์ความเป็นสาวใต้ ความตลกความฮา เลยมีความรู้สึกว่าถ้าอยากประสบความสำเร็จ หนู ๆ ทุกคนลองเอาความเป็นตัวเองออกมา นำเสนอออกมาให้ทุกคนได้เห็น เชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะมีความเป็นตัวเองที่ค่อนข้างมีความแตกต่าง แล้วก็อาจจะเป็นอะไรที่ สื่อ วงการบันเทิงหรือว่าสังคม กำลังมองหาอยู่ก็ได้” เจนนี่ ปาหนัน

 

 

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์

 

ติดตามชมรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1