“มนุษย์เราต้องก้าวไปตามโลก อย่ายึดติดกับสิ่งที่เคยเป็นเคยทำ อย่างการเล่นตลก เราเองก็ต้องปรับตัวให้เล่นกับตลกรุ่นใหม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง อีก 10 ปีข้างหน้า ลุงรงค์ ก็จะเป็นตลกที่ตามโลก ในยุคนั้นมีอะไรดัง เราก็จะตามโลกไป”
ยังเป็น Club ที่รวมหลากหลายสีสันของชีวิต และคอยแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และดีเจเฉพาะกิจ “เอแคลร์ จือปาก” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดพิเศษ “จาตุรงค์ โพธาราม” ดาวตลกอารมณ์ดีมากฝีมือ ที่คอยสร้างรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ให้กับคนดูมาอย่างยาวนาน และมีผลงานมาหลากหลาย โดยเฉพาะบทบาท “เจ๊แต๋ว” แห่งภาพยนตร์หอแต๋วแตก ตำนานตัวแม่กะเทยไทยทั้งประเทศ ที่เรียกได้ว่าทำถึงสุด ๆ และเรื่องราวสีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกส่งต่อไว้ในรายการด้วย

จาตุรงค์ กับความฝันที่อยากเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่เด็ก
“ลุงรงค์อยากเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่เด็ก ไม่เคยคิดจะเป็นพ่อค้าแม่ค้าตามพ่อกับแม่เลย และถ้าไม่ได้มาอยู่วงการแสดง ก็ต้องทำงานต่อเนื่องจากพ่อแม่ ซึ่งบ้านเราขายก๋วยเตี๋ยว ถั่วงอก ต้มเลือดหมู เราก็ต้องเป็นตามนั้น ซึ่งเราชอบพูด ชอบแสดง ทำเหมือนนักแสดงเลยตั้งแต่อายุ 15-16 ปี คอยสร้างเสียงหัวเราะให้เพื่อน และเราก็ชอบการแสดง อยากเป็นนักแสดง อยากเป็นนักร้อง อยากเป็นดารา มาตั้งนานแล้ว”
เส้นทางนักดนตรี ที่ต้องเสียสละบางอย่าง
“ในตอนนั้นครอบครัวไม่พร้อมที่จะซัพพอร์ทเรา ก็เลยตัดสินใจหอบกระเป๋าหนึ่งใบ หนีตามความฝันเลย ซึ่งลุงรงค์เองบ้านอยู่ จังหวัดราชบุรี อ.โพธาราม ตอนนั้นหนีจากโพธาราม มาอยู่กรุงเทพ มาสมัครเข้าไปอยู่ในวงดนตรีลูกทุ่ง ขอแค่เข้าไปอยู่ก่อนแล้วก็คิดว่า เดี๋ยวเข้าไปอยู่แล้วเราต้องทำอะไรให้พี่ในวงเห็น แล้วเดี๋ยวมันต้องมีคนที่จะชักชวนให้เราทำอะไรต่อแน่ ๆ ซึ่งการจะเข้าไปอยู่ในวงดนตรีสมัยนั้นก็ต้องหล่อหน่อย ถ้าอยู่ในระดับ 1-10 เราก็น่าจะประมาณ 8 ตอนที่คุยกับพี่ในวงเค้าก็บอกว่าหน่วยก้านดี บุคลิกน่าจะไปต่อได้ ทำอะไรได้บ้าง เราก็ตอบว่า ผมทำได้ทั้งหมด เค้าเลยให้เราเต้นเป็นหางเครื่อง แต่ก่อนที่จะได้เต้น เราก็ต้องทำอะไรที่ไม่อยากทำเพื่อแลก เพราะเราต้องยอมเสียตัวให้กับผู้ชาย ซึ่งถ้าไม่เสียตัว เราต้องกลับไปอยู่บ้านนอก พอชั่งใจดูก็คิดว่ามันแค่ช่วงเวลาเดียว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ซึ่งเราเองไม่ชอบอยู่แล้ว เพราะเราเป็นผู้ชาย แต่สุดท้ายแล้วเราก็ต้องยินยอมเสียความบริสุทธิ์ของร่างกายเรา ซึ่งเค้าก็รับปากแล้วก็ดันเราขึ้นไปอยู่วงดนตรีเลย ตอนนั้นได้ค่าตัว 80 บาทต่อวัน วันนึงต้องเต้น 20 เพลง เปลี่ยนขึ้นเปลี่ยนลง เพราะวงดนตรีเล่นตั้งแต่ 2 ทุ่ม จนถึงเที่ยงคืน หางเครื่องเลยต้องสลับกัน ซึ่งถ้าวันนั้นลุงรงค์ขัดขืน ทุกวันนี้เราอาจจะเป็นพ่อค้าก๋วยเตี๋ยว ขายถั่วงอก คืนสู่เหย้าตามพ่อแม่ไปก็ได้”

จุดเริ่มต้น บนเส้นทางสายตลก
“หลังจากที่เราได้ขึ้นไปเต้นเป็นหางเครื่องแล้ว ตอนอยู่หลังเวทีเราสร้างความฮาอยู่คนเดียวเลย เต้นเสร็จหรือก่อนที่วงจะไปถึง ก็ชอบเดินไปอำคนโน้น แกล้งคนนี้ ปล่อยมุกแล้วทำให้คนมีความสุข เค้าชอบเรามาก ไอ้นี่มันตลกมาก ก็เลยตัดสินใจไม่เป็นหางเครื่อง แล้วเบนไปสายตลก ซึ่งลุงรงค์คิดว่าความตลก มันฝึกได้ แต่ว่ามันก็อาจจะดีไม่ได้ ถ้าเป็นคนนิสัยไม่ใช่เป็นตลก อำไม่ได้ แกล้งไม่เป็น หรือเป็นคนมีอีโก้ ก็เป็นตลกยาก คนที่จะเป็นตลกต้องเป็นคนที่อะไรก็ได้ มาเถอะเราทำได้หมดทุกอย่าง แล้วเป็นคนที่อารมณ์สนุกด้วย มองอะไรเป็นเรื่องตลกหมด มันต้องมีนิสัยตลกด้วย
ในตอนที่ลุงรงค์เล่นตลก บ่อยมากที่เล่นแล้วไม่ตลกเลยสมัยก่อน เพราะเมื่อก่อนตลกคาเฟ่ ต้องเล่นให้คนเมาดู แล้วเค้าไม่ขำ แต่เราก็ต้องทำให้ได้ ซึ่งบางทีมันก็ไม่ได้ เราก็ไม่ฝืนก็ต้องกลับบ้าน การอยู่หลังเวที กับการออกไปเล่นตลก มันเป็นคนละเรื่องกันเลย ตอนอยู่หลังเวที มันไม่มีอะไรกำหนด ไม่มีอะไรบังคับ แต่พอขึ้นไปบนเวที พอพูดฮัลโหล เสียงไมค์มันดังมาก แล้วคนดูเป็นร้อย ๆ คน นั่งมองเราคนเดียว มีไฟส่องเข้ามาเต็มเลยบนเวที ทำให้ตอนเล่นตลกครั้งแรกมันก็ไม่ดีหรอก เราไม่ได้ขึ้นไปแล้วเจ๋งเลย เราต้องอาศัยประสบการณ์เหมือนกัน”
ตำนานตลกคนแรก ที่แต่งหญิงแล้วสวยของยุค
“ลุงรงค์เป็นตลกคนแรกที่แต่งหญิงสวยงาม แต่งแบบใส่วิก ติดขนตา แต่งหน้าสวยเลย กลายเป็นคนแรกเลยที่แต่งสวย เพราะสมัยก่อนตลกนิยมแต่งทุเรศ ๆ ให้มันดูตลก เขียนคิ้วหนา ปัดขนตายาว ๆ ทาแป้งแดง ๆ ให้ปากใหญ่ ๆ แต่ลุงรงค์เป็นคนแรกที่แต่งสวย แล้วในยุคนั้นหุ่นดีด้วย ก็เลยแต่งแล้วสวย
ซึ่งตลกมันต้องเล่นหลายตัว หลายบทบาทอยู่แล้ว แต่ว่าพอลุงรงค์เล่นเป็นกะเทย คนมันติดตามมากกว่า วันไหนเราแต่งเป็นตัวอื่น คนก็จะถามว่าทำไมไม่แต่งกะเทย ส่วนใหญ่ก็เลยเลือกเล่นบทกะเทย พอถึงเวลา 2-3 ทุ่ม เราก็เริ่มปูเสื่อหน้าคาเฟ่ เพราะมันไม่มีห้องแต่งตัว เริ่มเขียนคิ้ว แต่งหน้า ติดขนตา แต่งตัว เราแต่งเองหมด แต่ถ้าบางวันมีร้านเสริมสวยอยู่ใกล้ ๆ ก็ให้ร้านเสริมสวยใส่วิก ทำผม ติดขนตาให้ ซึ่งมันจะได้ดูดีกว่า เสียเงินนิด ๆ หน่อย ๆ ช่างมัน
ในยุครุ่งเรืองลุงรงค์เล่นตลกวันละ 8 ที่ เริ่มที่แรกตอน 3 ทุ่มครึ่ง แล้วมันจะเล่นเลิกประมาณตี 2 บางที่ก็เลิกตี 3 ลุงรงค์เคยได้เงินวันละ 4,500 บาท ตั้งแต่ก่อนที่จะมาเล่นตลกในทีวีอีกนะ เพราะสมัยก่อนคาเฟ่มันรุ่งเรืองมาก
และในยุคที่คาเฟ่รุ่งเรือง ตอนนั้นคนที่เป็นตลกมีประมาณ 500 คน แต่ทุกวันนี้นึกไม่ออกเลยว่ามันหายไปไหนกัน ที่เราเห็นกันอยู่ตามแวดวงทีวีเหลืออยู่ประมาณ 20 คน ซึ่งที่หายไปก็อาจจะไปขับแท็กซี่ ขายส้มตำ ไปเปิดร้านอะไรต่ออะไร เพราะยุคนี้เล่นตลกมันหากินไม่ได้แล้ว และที่ลุงรงค์เลิกเป็นตลกคาเฟ่ เพราะมันเหมือนเป็นจังหวะชีวิต เพราะว่ามันมีงานทีวีเยอะ มีงานละคร มีงานถ่ายหนัง มีงานถ่ายรายการเยอะ ก็เลยจำเป็นที่จะต้องเลิกคาเฟ่”

เปิดที่มามุกสุดจึ้ง ของ จาตุรงค์ โพธาราม
“มุกไอ้เหลี่ยม ณ เมืองราช มันเกิดจากสมัยที่ ลุงรงค์ อยู่ที่วัดโพธาราม แล้วพวกเพื่อนเรียกเราว่าไอ้เหลี่ยม เพราะเรามันเหลี่ยมจัดมาก ทุกวันนี้กลับไปโพธาราม เพื่อนยังเรียกไอ้เหลี่ยมอยู่เลย แล้วลุงรงค์ก็เอามาเรียกตัวเองว่า เหลี่ยม ณ เมืองราช แล้วพวกมุกอัลดุลย์เอ๊ย มุกปล่อยงู แล้วก็มุกหลวงปู่เค็ม ที่ตลกชอบเอามาเล่น มันมาจากไอ้เหลี่ยม ณ เมืองราช ซึ่งตลกมันจะรู้กันว่า มุกนี้คือของ จาตุรงค์ แต่บางคนมันก็ไม่บอกหรอก เพราะอยากให้เป็นเครดิตของมันเอง เหมือนฉกเอาไป
แล้วการเล่นตลกคาเฟ่มันไม่มีบท แต่เรารู้ว่าวันนี้เราจะต้องเล่นอะไร แล้วเราก็เล่นตามโครงเรื่องนี้ แต่คำพูดเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้อยู่ตลอดเวลา มันไม่มีสูตรสำเร็จ นึกอะไรตลกเราก็พูดได้เลย และเราไม่ใช่แค่คิดว่าจะเล่นตลกอย่างเดียว เราต้องเล่นกับคนดูด้วย ต้องเล่นอำ ต้องแหย่กับคนดูก่อน ให้เค้ามีอารมณ์ร่วมกับเราก่อน”
ย้อนผลงานภาพยนตร์สร้างชื่อให้กับ จาตุรงค์
“เรื่องที่สร้างชื่อให้กับลุงรงค์เลย ก็น่าจะเป็น หอแต๋วแตก, แสบสนิทศิษย์ส่ายหน้า, โหดหน้าเหี่ยว รองลงมาก็ บ้านฉันตลกไว้ก่อนพ่อสอนไว้ ซึ่งลุงรงค์เป็นคนที่เล่นหนังไม่เหมือนคนอื่น ถ้าเล่นเรื่องนี้เป็นตัวละครนี้ ก็จะเป็นตัวนี้เลย อีกเรื่องต้องไปเป็นอีกตัวละครหนึ่งก็จะคนละเรื่องกับตัวก่อนเลย คาแรกเตอร์จะไม่ซ้ำ เพราะว่าเราดูหนังฝรั่งเยอะ แล้วหนังฝรั่งนักแสดงส่วนมากเค้าจะเป็นแบบนี้ มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น เช่น วิน ดีเซล ที่มันเล่นเรื่องอะไรก็เหมือนตัวเดิม หรือ เดอะร็อค ที่อยู่เรื่องไหนก็เหมือนเดิมทั้งนั้นเลย อย่างตัวละคร ไอ้แสบ ใน แสบสนิทศิษย์ส่ายหน้า กับ เจ๊แต๋ว หอแต๋วแตก คาแรกเตอร์มันคือคนละคนกันเลย แยกได้อย่างชัดเจน
แล้วตัวละครจากหหลายเรื่องที่ลุงรงค์เล่นมันกลายเป็นมีม อย่าง หอแต๋วแตก เสียงเจ๊แต๋วมันก็เป็นไวรัล มีคนเอาเสียงไปใช้ทำคอนเทนต์เยอะมาก แต่มันหาคนที่เป็นเสียงเจ๊แต๋วได้ยากมาก ซึ่งคนที่ พชร์ อานนท์ หามามันก็คล้าย ๆ แต่มันไม่เหมือนมากเท่าไหร่ แล้วเวลาเราเปิดมา บางทีเราเจอคลิปที่มันเป็นเสียงเราหรือหน้าเรา เราจะไถผ่านเลย เพราะเบื่อละเจอบ่อยเกิน”

เปิดเบื้องหลัง กว่าจะเป็น เจ๊แต๋ว บทสุดปังที่ทำถึงสุด ๆ
“ต้องบอกว่าเวลาที่จะต้องเล่นเป็น เจ๊แต๋ว ใน หอแต๋วแตก ลุงรงค์จะซ้อมกับโก๊ะตี๋ก่อน ซ้อมเสร็จแล้วค่อยเรียก พชร์ อานนท์ มาดู ตามสไตล์เค้าก็จะแบบเติมตรงนี้หน่อยสิ ลดตรงนี้ดีไหม ซึ่งทีมงานเค้าจะมีบรีฟว่าฉากนี้จะเล่นกันตรงไหน ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นการเล่นสด แต่จริง ๆ แล้วมันไม่สดหรอกมันต้องซ้อม ต้องซ้อมจังหวะกันก่อน เพื่อดูว่ากล้องจะต้องรับหน้าฝั่งไหน บางครั้งตอนซ้อมให้เค้าดู แล้วเค้าขำมากเลย แต่สุดท้ายพอเล่นหลายรอบ กลายเป็นมุกมันไม่ขำ เค้าก็ขอให้ตัดออก ซึ่งแปลว่ามันดูบ่อย ซ้อมกันบ่อย
อย่างเรื่องที่ต้องเพิ่มฉาก สุขุมวิท 11 คือ ตอนนั้นอีกประมาณ 5 วัน หนังจะฉาย วันนั้น พชร์ อานนท์ โทรมาว่า พี่รงค์ นัดทุ่มนึงนะ ถ่ายเสร็จประมาณเที่ยงคืนนะ ไปถ่ายหน่อยนะ ฉากสุขุมวิท 11 มันกำลังดัง แล้วพอไปถ่ายมันก็ได้ผลจริง ๆ นะ คนก็รอดูฉากนี้กัน”
ตลกยุคนี้ เล่นมุกบูลลี่แบบยุคก่อนไม่ได้แล้ว
“ย้อนไปสมัยก่อนมันไม่มีคำว่าบูลลี่ ตลกนี่คืออำได้ แกล้งได้ แหย่ได้ ด่าได้สนุกปาก และเค้าไม่ได้ถือสากัน แต่เดี๋ยวนี้เราไปเล่นแบบนั้นไม่ได้แล้วนะ มันหมดยุคของการเล่นเหยียด เล่นอำ เล่นบูลลี่คนอื่นแล้ว ซึ่งมันก็เล่นยากขึ้นนะ เราเล่นไปก็ต้องคิดไปว่าคำ ๆ นี้เล่นดีไหม จะกระทบใครไหม ซึ่งลุงรงค์เองไม่เอาเลย เราไม่เล่นเลยประเภทเหยียด เพราะเราอายุมากแล้ว เดี๋ยวเด็กอายุ 20 มันมาด่าลุงในโซเชียล เราก็ไม่เอาเลย
จริง ๆ มีอีกบทหนึ่งที่ลุงรงค์อยากเล่นแต่ว่ามันยังไม่มีโอกาส คืออยากเล่นเป็นอาเสี่ย เป็นเจ้าพ่อ แล้วโหดเหมือนหนังในหนังฝรั่ง ห้ามตลกเลย ต้องจริงจังเลย เราอยากจะเล่นอะไรแบบนี้มาก โดยที่ลืมคำว่าตลกไปเลย แต่รู้ว่าคนดูจะไม่ลืม เชื่อว่าคนที่ไปนั่งดูก็จะรอขำลุงรงค์แล้ว”

จะรอให้ใครมาดูแลเรา ถ้าเราไม่ดูแลตัวเอง
“ถ่ายหอแต๋วแตก ต้องใช้พลังเยอะมากนะ มีอยู่วันนึงนัด 7 โมง แต่งหน้าทำผล แล้วก็เริ่มถ่าย 8 โมงจนถึง 5 ทุ่มครึ่ง แล้วมันมีทั้งหมด 11 ฉาก ซึ่งมี เจ๊แต๋ว ทุกฉาก แล้วแต่ละฉากก็จะมีฉากวิ่ง มีฉากจมน้ำแล้วก็โผล่ขึ้นมา จำได้ว่าต้องอยู่ในน้ำ 1 ชั่วโมงจนขาซีด นิ้วซีด ซึ่งในหนังมันดูเหมือนแป๊บเดียว แต่เวลาถ่ายจริงเป็นชั่วโมงเลยนะ ดังนั้นลุงรงค์เลยต้องออกกำลังกาย ทุกคนจะรู้ว่าลุงรงค์ออกกำลังกาย ยกเวท วิ่งในสายพาน เพราะถ้าเราปล่อยตัว เราไม่สนใจ เราทำแต่งาน เวลาว่างมานั่งไถโซเชียล นอนดูหนัง สักวันมันก็จะเป็นขาลงของตัวเองแน่ ๆ แล้วถ้าเราไม่ดูแลตัวเอง ใครจะดูแลเรา ซึ่งลุงรงค์ไม่ใช่แค่ออกกำลังกายอย่างเดียวนะ หลังจากทำงานทุกวัน เราจะอาบน้ำเช้าเย็น หลังจากอาบน้ำลุงเหมือนพระเอกเกาหลีเลย ทาน้ำตบ แล้วก็มีครีมต่อจากน้ำตบ มีไนท์ครีมลงตัวนึง เดย์ครีมลงตัวนึง เห็นมั้ยคนอายุ 60 แล้ว หน้ายังโอเคเลย
แล้วทุกวันนี้ลุงรงค์ไม่ได้เป็นแค่นักแสดง หรือเป็นตลกนะ แต่ลุงยังหาอะไรทำ อย่าง ขายลูกชิ้น ขายน้ำพริกเผา เปิดครัวลุงรงค์ เพราะเรายังสนุกอยู่ เรายังชอบอยู่ เรายังมีพลังที่จะทำงานอยู่อายุ 60 แล้ว แต่ลุงยังมีพลังที่จะตะเบ็งเสียงด่ากับนังแพนเค้กได้อยู่นะ”
เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ จาตุรงค์
“ถึงลุงรงค์เป็นตลก แต่ลุงเล่นตลกให้เมียดูไม่ได้หรอกเพราะเค้าไม่ชอบ แม่ของเฟิร์นเป็นคนที่ไม่ตลกด้วยตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะเค้ารู้ประวัติเราว่าสมัยก่อนเราเป็นคนเจ้าชู้ แล้วเค้าไม่ชอบให้เราทำตลกใส่
ลุงรงค์ เจอกับ คุณแม่ของเฟิร์น ในสมัยที่เราเล่นตลกใหม่ ๆ ในยุคคาเฟ่ สมัยแต่งหญิงสวย ๆ ตอนนั้นเราไปทำผมร้านเค้า เค้าทำผมใส่วิกให้เรา เราก็มองว่าเค้าน่ารัก เลยลองจีบดู ซึ่งเหมือนกับเค้าก็เล่นด้วย เลยคบกัน แล้วลุงรงค์ไม่ได้บอกใครในตอนนั้น แล้วเค้าก็ไม่สนด้วยว่าเราจะบอกหรือไม่บอกก็เรื่องของเธอ เค้าเป็นคนไม่พูด แล้วเราแพ้คนแบบนี้ด้วยสิ”

ปรับเปลี่ยนตัวเอง ในวันที่ลูกเริ่มโตเป็นสาว
“พอมีเฟิร์น ลุงรงค์ก็ยังเจ้าชู้อยู่นะ ยังกลับบ้านช้าอยู่ แต่พอเฟิร์นเริ่มโตเป็นสาวนี่แหละ เราหยุดเลย แล้วกลายเป็นว่าเราหวงลูกสาว แล้วเปลี่ยนตัวเอง เลิกกินเหล้า เลิกบุหรี่ เลิกทุกอย่างเลยเพื่อเฟิร์น
เฟิร์น ไม่เคยทำให้พ่อแม่เสียน้ำตา ไม่เคยทำให้พ่อแม่ผิดหวัง มันเป็นความภูมิใจที่ว่า คนเรามีลูกสักคนหนึ่ง แล้วลูกคนนั้นไม่ต้องดีมากหรอก เพียงแค่ไม่ได้ทำให้พ่อแม่ต้องเสียน้ำตาเท่านั้น ก็เป็นลูกที่ประเสริฐแล้ว ลุงก็โชคดีที่มีเฟิร์น และลุงรงค์อยากที่จะอุ้มหลาน ที่มันเป็นสายเลือดของเฟิร์น ซึ่งสมัยก่อนตอนเราอุ้มเฟิร์น นอนกอดเฟิร์น มันมีความสุขมากแล้ววันดีคืนดีเฟิร์นโตเป็นสาวแล้ว นอนกอดไม่ได้แล้ว ดันมีน้องมันตามขึ้นมาอีกห่างกัน 16 ปี เราก็กอด แฟรงค์เฟิร์ต แต่พอวันนี้แฟรงค์เฟิร์ตอายุ 17 แล้วกอดไม่ได้อีกแล้ว เราเลยอยากจะมีเจนเนอเรชั่นต่อไปที่เป็นลูกของเฟิร์น ตอนนี้ไม่หวงแล้ว ผู้ชายคนไหนช่วยมาจีบเฟิร์นหน่อย แต่คุณต้องเป็นคนดี แล้วก็มีงานมีการทำก็พอแล้วไม่ต้องรวยก็ได้
ทุกวันนี้คนรุ่นโบราณ ที่เลี้ยงลูกก็เลี้ยงแบบโบราณ จะใช้วิธีนั้นมาเลี้ยงคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันไม่ได้แล้ว ยุคนี้เลี้ยงลูกต้องเลี้ยงแบบคนรุ่นใหม่ อย่างบ้านไหนมีลูกเป็น LGBTQ+ ลุงรงค์ว่าสนับสนุนเลย ลูกชอบแบบไหน ชอบทำอะไร เดี๋ยวพ่อจะสนับสนุน รำเก่งไหมลูก เต้นเก่งไหมลูก ไปแสดงแล้วถ่ายคลิปไว้ให้พ่อดูหน่อย แล้วเดี๋ยวพ่อเอาคลิปลงโซเชียล ไม่แน่คลิปนั้นอาจจะดังเลยก็ได้ เผลอ ๆ สร้างรายได้ สร้างความภูมิใจให้พ่อแม่ได้อีก ไม่ใช่ว่าลูกฉันเป็นกะเทย แล้วฉันโกรธมาก แบบนี้ไม่ได้”
มนุษย์เราต้องก้าวไปตามโลก
“คนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน บางอย่างก็รู้ไม่เท่าคนที่มันมาใหม่ ๆ ลุงรงค์ชอบนะ บางทีคนรุ่นใหม่รู้รายละเอียดเยอะกว่าคนรุ่นเก่าอีก สมัยก่อนคนรุ่นเก่าทำไอโฟนไม่เป็น แต่คนรุ่นใหม่เค้าทำไอโฟนได้ แล้วไอโฟนมันรู้จักทุกอย่าง ทุกเรื่อง ซึ่งก็ต้องชื่นชมคนรุ่นใหม่เหมือนกัน
ลุงรงค์ไม่สามารถที่จะไปบอกใครว่าใช้ชีวิตแบบไหนถึงจะดีได้หรอก ชีวิตของลุงรงค์บางทีก็ต้องเอาตัวเองให้รอดอยู่เลย แต่ลุงรงค์เป็นคนไม่ดื้อ ลุงรงค์เล่นตลก หรือต้องแสดง ลุงรงค์จะก้าวไปตามโลก เราจะไปยึดว่าเราเป็นตลกระดับอาจารย์นะห้ามเล่นมุกนี้นะ คิดแบบนี้ไม่ได้ เราต้องปรับตัว ต้องเล่นตลกได้กับทุกรุ่น เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง อีก 10 ปีข้างหน้า ลุงก็จะเป็นตลกที่ในยุคนั้นเค้ามีอะไรดัง หรือเป็นกระแส ลุงก็จะตามโลกไปและไม่ฝืน” - จาตุรงค์ โพธาราม

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์
ติดตามชมรายการย้อนหลัง
