เปิดท่วงทำนองของชีวิต รับข้อคิดพลังใจ จาก “พิช วิชญ์วิสิฐ” Artist มากความสามารถ กับบทบาทคู่จิ้นวายในตำนาน

Club Pride Day Recap

เปิดท่วงทำนองของชีวิต รับข้อคิดพลังใจ จาก “พิช วิชญ์วิสิฐ” Artist มากความสามารถ กับบทบาทคู่จิ้นวายในตำนาน

30 พ.ค. 2024

“ในการเขียน คุณสามารถแก้หน้าที่แย่ได้ แต่คุณจะไม่มีวันแก้หน้าเปล่าที่ไม่ถูกเขียนได้เลย ดังนั้นถ้าอยากรู้ว่าเราทำอะไรได้ดี ต้องลองทำ มันอาจจะมีผิดบ้าง ไม่เป็นระเบียบบ้าง แต่เมื่อลองทำเราจะรู้ว่ามีจุดไหนที่เราทำให้มันดีขึ้นได้อีก”

 

 

และถ้าชีวิตคือท่วงทำนอง เธอคือคำร้องที่มีความหมาย ให้ใจได้ซึ้งและมีพลังจะเดินต่อไปให้ไกล...เปิด Club รวมสีสันของชีวิต พร้อมแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลในในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้มีโอกาสเปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญที่ใครหลายคนคิดถึง “พิช วิชญ์วิสิฐ” นักเขียน ศิลปิน นักแสดงมากความสามารถ ผู้ถ่ายทอดบทบาท LGBTQ+ ผ่านผลงานหลากหลายจนกลายเป็นฟีเวอร์ เรื่องราวท่วงทำนองของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกแชร์ไว้ในรายการด้วย

 

“ศิลปิน” อาจไม่ใช่ความฝัน แต่มันคือความชอบ

“พิชรู้สึกว่าตัวเองเป็น Artist ที่บางช่วงเราก็จะอินกับการเขียนเพลง บางช่วงอยากไปเล่นละครเวที บางทีอยากไปเขียนบท ทั้งหมดมันเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งตอนเด็ก ๆ ศิลปินมันไม่ใช่ความฝัน แต่ว่าเป็นความชอบ อย่างการร้องเพลง หรือเรื่องของดนตรี มันชอบมาตั้งแต่จำความได้ เพราะแม่ก็จะบอกว่า เธอเป็นคนที่ชอบร้องเพลงมาก ตอนเด็ก ๆ ก็เปิดคอนเสิร์ต บ้านมีสองชั้นก็จะชอบวิ่งขึ้นชั้นสอง เปลี่ยนชุดลงมาร้องเพลง จนคุณลุง ต้องเอาท่อพีวีซีมาต่อเป็นขาไมค์ให้ แล้วเราก็เอามาให้ยืนร้องตอนนั้นชอบคัฟเวอร์เป็น พี่มอส ปฏิภาณ เป็นศิลปินต่าง ๆ ในยุคนั้น แต่ถ้าถามว่าตัวเรามีความฝันว่าวันหนึ่งฉันจะเป็นนักร้องไหม วันหนึ่งฉันจะเป็นนักแสดงเป็นดาราไหม ก็ต้องตอบว่าไม่มี เพราะมันเป็นแค่ความชอบเฉย ๆ

ตอนเด็ก เราเป็นเด็กหน้าห้อง เรียนดี สอบได้อันดับต้น ๆ แล้วคุณครูก็จะพาไปแข่งตามงานวิชาการ แข่งสุนทรพจน์ภาษาอังกฤษ จนถึงประมาณช่วงเข้าม.ปลาย กิจกรรมมันเริ่มหลากหลาย ซึ่งช่วงนั้นมันจะมีการประกวดเดอะสตาร์ที่ฮิตมาก ๆ แล้วที่โรงเรียนก็จะมีการจัดงานวันเด็ก เลยจัดงานให้มีการประกวดร้องเพลง ให้แต่ละห้องส่งตัวแทนนักเรียนเข้าไปประกวดร้องเพลง แล้วตอนนั้นเราได้เป็นตัวแทนของห้อง ไปแข่งร้องเพลงแล้วชนะ ได้รางวัลที่ 1 ซึ่งของรางวัลก็มีชาเขียวลังนึงกับขนมปี๊บ แต่การประกวดครั้งนั้น มันเหมือนเป็นประกายหนึ่งที่ทำให้เพื่อนรู้ว่าเราร้องเพลงได้ แล้วตัวเราเองก็รู้สึกว่าฉันร้องเพลงได้ดี หลังจากนั้นก็จะมีพวกแก๊งนักเรียนที่เค้าอยู่วงโยธวาทิศ วงแบนด์ของโรงเรียน ที่จะมีการไปประกวด เหมือนอย่าง Hot Wave ซึ่งตอนนั้นที่เชียงใหม่ก็จะมีงานอีเว้นท์แบบนี้ อย่างงานพืชสวนโลก งานลอยกระทง เพื่อน ๆ ก็เลยมาชวนเรา แล้วก็เริ่มไปทัวร์ประกวดตามงานต่าง ๆ แล้วเราเป็นคนที่ไม่ค่อยปฏิเสธ เมื่อมีโอกาสก็จะคว้าไว้ตลอด”

 

 

“พี่มะเดี่ยว” ผู้เปิดประตูสู่แวดวงการแสดง

“พิชมีโอกาสได้รู้จักกับพี่มะเดี่ยว ซึ่งพี่เป็นศิษย์เก่าของโรงเรียน แต่ว่าเป็นรุ่นที่ห่างกัน ในตอนที่พิชเข้าไปเรียนก็จะไม่เจอเค้าแล้ว แต่ว่าพี่มะเดี่ยวจะกลับเข้ามาเรื่อย ๆ เพราะว่าแกมีความสัมพันธ์ที่ดีกับวงโยธวาทิศ แล้วช่วงนั้นพี่มะเดี่ยวก็กำลังทำงานอยู่กับพวกดนตรีด้วย เป็นนักแต่งเพลงด้วย แล้วก็ทำภาพยนตร์ด้วย ดังนั้นก็เลยมีโอกาสได้เจอกันกับพิช ได้ทักทายกันบ้าง จนมีโอกาสได้รู้จักกัน เค้าก็เลยรู้ว่าเราร้องเพลงได้ มันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่พี่มะเดี่ยวชวนว่าเราลองทำเพลงกันไหม จำได้ว่างานร้องเพลงครั้งแรก คือพี่มะเดี่ยวชวนไปร้องเพลงในงานบวชซิสเตอร์ในโบสถ์ ซึ่งตอนนั้นเราก็เป็นคนพุทธ เลยงงว่างานบวชทำไมต้องร้องเพลง พอไปถึงก็จะมีโน้ต มีเนื้อเพลงมาให้ ซึ่งตอนร้องเรารู้สึกว่ามันสบายใจ มันสนุก เราเอ็นจอยกับสิ่งนี้โดยที่ไม่ต้องพยายาม แล้วตอนนั้นมันมีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งคือเรื่อง ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ซึ่งพี่มะเดียวได้รับมอบหมายให้ทำเพลงประกอบภาพยนตร์ ก็เลยชวนว่าเรามาร้องกันมั้ย มาทำวงกัน ตั้งชื่อแบบเฉพาะกิจขึ้นมา ชื่อ วง Sponge แล้วครั้งนั้นก็ได้มีโอกาสเดินทางมาอัดเสียงที่กรุงเทพ แล้วก็เริ่มฟอร์มวงกัน แต่ก็โดนเบรกไป เพราะว่าต้องไปทำภาพยนตร์ต่อเรื่อง คนผีปีศาจ แล้วก็มีอีกเรื่องคือ รักแห่งสยาม ซึ่งเรารู้มาตลอดว่าพี่มะเดี่ยว อยากทำเรื่องนี้ แต่ว่าแกไม่มีโอกาสได้ทำ เพราะเหมือนค่ายยังไม่ไฟเขียวดังนั้นก่อนที่จะทำเรื่องรักแห่งสยาม พี่มะเดี่ยวจะต้องพิสูจน์ตัวเอง ด้วยการทำอีกเรื่องคือ 13 เกมสยอง แล้วตอนนั้นมันประสบความสำเร็จ จึงได้มีโอกาสทำรักแงสยามต่อ ซึ่งเราได้ยินมาตั้งนานแล้วว่า เค้าเตรียม Pre – production กันไปนานแล้ว แต่พอมีโอกาสได้ทำ ปัญหามันเกิดขึ้นเพราะว่า คนที่ถูกวางตัวไว้ว่าจะเล่นเป็นโต้งเป็นมิว ตอนนั้นเค้าไปทำอย่างอื่นแล้ว”

 

 

กว่าจะเป็น “โต้ง - มิว” คู่จิ้นในตำนานจาก รักแห่งสยาม

“ต้องบอกว่าคนที่จะเล่นเป็นโต้งกับมิว ทีแรกไม่ใช่พิช ไม่ใช่มาริโอ้ แต่เพราะมันมีนักแสดงบางคนที่ต้องไปเรียนต่อ บางคนติดงานอื่นแล้ว พี่มะเดี่ยวก็เลยตัดสินใจจัดออดิชั่นดีกว่า ก็เลยมีการจัดออดิชั่นทันที มีทั้งที่กรุงเทพแล้วก็เชียงใหม่ ซึ่งพี่มะเดี่ยวอยากจะสร้างเรื่องราว แล้วก็สร้างตัวละครที่มันเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมแล้วก็เรื่องราวที่ใกล้กับความทรงจำของเค้า พิชก็เลยมีโอกาสชวนเพื่อน ๆ ไปออดิชั่น

หลังจากนั้นประมาณสองอาทิตย์ ก็มีคนโทรมาที่บ้าน แล้วแม่รับสายบอกว่าน้องได้เล่นนะคะ ซึ่งก่อนจะไปพิชบอกแม่ว่าจะไปออดิชั่น แม่ก็ถามว่ามันคืออะไร เราก็บอกว่าไปลองดู ถ้าเกิดว่าได้ก็อาจจะได้ไปทำหนัง ตอนนั้นเราเข้าใจว่าหนังมันคือโปรดักชั่นเล็ก ๆ เป็นหนังสั้น ก็เลยคิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดี ถ้ามันสำเร็จ มันออกมาดีก็ดี แต่ถ้ามันออกมาไม่ดีก็ไม่เป็นไร

ยังไม่รู้แต่ว่าก็จะมีแบบเหมือนคุยกับพี่มะเดี่ยวเรื่อยๆ อันนี้คือกรุงเทพน่าจะนะครับ น่าจะได้เราก่อนแล้วฝั่งกรุงเทพเนี่ยก็กำลังแบบว่าควานหา ค้นฟ้าคว้าดาว ค้นฟ้าคว้าดาวหาเพชรเม็ดนั้น จนแบบพี่มะเดี่ยวเหมือนไปเดินผ่านแผงหนังสือ แล้วไปเจอแบบปกแบบเดอะบอย แล้วตอนนั้นคือมาริโอ้เค้าอยู่ทุกคัฟเวอร์ ทุกปกเป็นมาริโอ้ เค้าก็เลยรู้สึกว่าเออเด็กคนนี้โอเคแบบลองชวนมาแบบลองดูดีกว่าอะไรอย่างงี้

ณ ตอนนั้นพี่มะเดี่ยวก็คงรู้สึกว่า ตัวเองก็กำลังทำอะไรบางอย่างที่มันสุ่มเสี่ยงมาก ๆ เหมือนกัน กับเนื้อหาในบทที่มันเป็นเรื่องของเด็กผู้ชายสองคนที่เคยรู้จักกัน แล้ววันหนึ่งเวลาผ่านไปก็ได้กลับมาเจอกัน แล้วมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน ถามว่าพิชกังวลไหม ตอนนั้นเรารู้สึกว่ามันเป็นโอกาส ถ้าเราไม่ตอบรับโอกาสนี้ ก็ไม่รู้ว่ามันจะมาอีกเมื่อไหร่ แล้วเราก็รู้สึกว่ากำลังทำงานกับพี่ที่เรารู้สึกไว้ใจ ก็เลยบอกพี่มะเดี่ยวว่าไม่เป็นไร อยากให้พิชทำอะไรบอกเลย เดี๋ยวพิชทำตาม

สำหรับ มาริโอ้ ตอนเจครั้งแรกเค้าไม่ใช่อย่างวันนี้นะ เมื่อก่อนเค้าเป็นคนเงียบ ๆ จินตนาการว่าเค้าคือสเก็ตเตอร์บอย ถือสเก็ตบอร์ด ใส่เสื้อโอเวอร์ไซส์ตัวโคร่ง ๆ กางเกงหลุดตูดนิดนึง ตอนเจอครั้งแรกคิดในใจว่าคนเนี้ยเหรอที่จะมาเป็นโต้ง แล้วเค้าเป็นคนเงียบ ไม่ค่อยพูด แต่พอมีช่วงเวลาของการเวิร์คช็อป ได้มีโอกาสละลายพฤติกรรมกัน ลองเป็นโต้งเป็นมิวกัน 1 วัน ใส่ชุดนักเรียนแล้วก็ไปถ่ายรูป เลยได้มีโอกาสเริ่มคุยกัน ได้เริ่มทำความรู้จักกัน ทำให้รู้ว่าจริง ๆ แล้วก็ไม่มีอะไร มาริโอ้ ก็เป็นคนน่ารัก”

 

 

เปิดเบื้องหลังกว่าจะเป็นฉากจูบในตำนาน

“นี่เป็นคำถามยอดฮิต ฉากนั้นถ่าย 4 ซีน เป็นการจูบ 3 ซีน แล้วมี 1 ซีนเป็นการหอมแก้ม เพราะต้องถ่ายเซฟไว้เพราะไม่รู้ว่าตัดต่อออกมาแล้วผ่านเซ็นเซอร์จะเป็นยังไง  แต่กว่าจะมาถึงซีนนั้น เราก็รู้สึกตื่นเต้น แล้วพิชคิดว่ามาริโอ้เองก็ตื่นเต้น ทุกคนในทีมเองก็ต้องรู้สึกตื่นเต้น ซึ่งทีมงานเค้าใช้วิธีการเหมือนบอกเราว่าเดี๋ยววันนี้จะถ่ายฉากจูบกันแล้ว ไปจัดการเตรียมตัวเลย บ้วนปากกันให้เรียบร้อย แต่มาถึงวันจริงไม่ถ่าย  อีกวันก็พูดอีกว่าวันนี้เราจะถ่ายฉากจูบกัน ไปเตรียมตัวมาให้เรียบร้อย แต่ก็ยังไม่ถ่าย พูดอยู่เป็นอาทิตย์ จนถึงวันจริงเราก็รู้สึกว่ามาเถอะ เรารู้สึกว่ามันธรรมดาแล้ว รีบทำสิ่งนี้ให้เสร็จ ๆ กันไป แล้ววันนั้นก็มีอุปสรรคเพราะมันเป็นสถานที่อยู่อาศัย ถ่ายตามคอนโด แล้วก็มีคนทะเลาะกับแฟนทางโทรศัพท์ มีกรีดร้องโวยวายเสียงเข้ากล้อง จนทุกคนต้องไปบอกว่า ขอโทษนะคะช่วยเงียบแป๊บนึงค่ะ มีกองถ่ายอยู่ตรงนี้ แล้วมันดึกมาก เพราะว่าเราต้องการความเงียบ ไม่มีเสียงรถ ต้องการความสงบ แล้วก็สมาธิของนักแสดงด้วย แต่ก็สามารถถ่ายได้สำเร็จลุล่วงด้วยดี”

 

 

ความกดดัน ของการเล่นภาพยนตร์ครั้งแรก

“ตอนเล่นรักแห่งสยาม มันเหมือนกับพี่มะเดี่ยวบอกให้เราทำอะไรเราก็ทำ แล้วมันมีเวลาเวิร์คช็อปสั้นมาก ดังนั้นมันเหมือนเราต้องค่อย ๆ ทำความเข้าใจกันด้วย ซึ่งเวลาถ่ายมันไม่ได้เริ่มจากต้นแล้วไปจบ อย่างซีนแรกที่ถ่ายจำได้เลยคือเป็นซีนที่สยามสแควร์ ตรงเซ็นเตอร์พ้อยท์เลย ซึ่งวันนั้นมีเพื่อน ๆ วงออกัสมารวมตัวกัน แล้วบางคนเราก็ไม่รู้จัก บวกกับการที่มีคนเดินไปมาขวักไขว่ ทำให้เราตื่นเต้น แล้วทุกคนก็ตื่นเต้นกันหมด พูดผิด ๆ ถูก ๆ วันนั้นเป็นวันที่ฟิล์มหมดประเทศ เพราะฟิล์ม 1 ม้วนถ่ายได้ประมาณ 2 - 3 นาที ดังนั้นบางทีซีนกำลังดี กำลังตั้งใจเล่น ถ่าย ๆ อยู่ก็โดนสั่งคัท เพราะฟิล์มหมด รอโหลดฟิล์มใหม่ ซึ่งซีนนั้นถ่ายหลายรอบมาก จนต้องหาฟิล์มเพิ่มจากทั่วประเทศเลย

ตอนนั้นกดดัน เพราะเรายังไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับศาสตร์การแสดงมาก่อน แล้วเราต้องลองเลย แต่โชคดีมาก ๆ ที่พี่มะเดี่ยวช่วย เช่นมีฉากหนึ่งเรารับโทรศัพท์ แล้วเราเล่นเร็วเกินไป พี่มะเดี่ยวก็จะบอกว่าคิดนิดนึง เวลามีคนโทรมา เค้าพูดอะไรกลับมา เราช่วยคิดนิดนึง แล้วค่อยตอบกลับ มันเป็นสิ่งที่เราต้องค่อย ๆ เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ซึ่งพี่มะเดี่ยวเวลาที่ทำงานจริงจังแล้วมันไม่ได้ดั่งใจแกจะดุ แต่ว่านอกกองเค้าก็จะเป็นพี่ที่คอยเล่นตลก มีเสียงหัวเราะตลอดเวลา ดังนั้นตัวละครมิว มันเลยเป็นตัวละครที่สดแล้วก็ธรรมชาติมาก ๆ ซึ่งพิชคิดว่า มันน่าจะเป็นสิ่งที่พี่มะเดี่ยวต้องการ ที่อยากจะดึงความสดใหม่ของแต่ละคน ไม่ได้อยากจะใช้นักแสดงที่เป็นมืออาชีพมาแสดง ดังนั้นตัวละครมิว มันเลยมีความเป็นตัวเราค่อนข้างสูง

ซึ่งตอนที่เล่น เราอายุ 17 เราต้องเปิดรับทุกอย่าง ต้องทำใจกว้าง ๆ เพราะว่าเราก็ไม่ได้เก่งมาจากไหน แล้วเราก็ใหม่มาก สิ่งที่กลัวที่สุดในการไปถ่ายงาน คือกลัวทำคนอื่นเสียเวลา ดังนั้นก็ออาจจะมีบางครั้งที่เราตั้งใจเกินไป ซึ่งก็ได้พี่มะเดียวช่วย ยิ่งพอต้องเจอกับนักแสดงมืออาชีพอย่าง พี่นก สินจัย เราก็จักดดัน แต่จะใช้วิธีบอกกับตัวเองว่า ฉันคือนักแสดงที่เก่งที่สุด เราต้องบอกตัวเองแบบนั้น เพราะถ้าไม่งั้นเราจะกลัวออร่าของเค้า เราต้องฮึดตัวเองขึ้นมาสู้ ก็เลยใช้วิธีบอกว่า โอเคฉันคือนักแสดงที่เก่งที่สุด”

 

 

รักแห่งสยาม พานักแสดงไทย ดังไกลถึงเมืองจีน

“หลังจากมีภาพยนตร์รักแห่งสยาม ก็ได้เกิดวงออกัสด้วย พวกเราเป็นนักแสดงในเรื่อง แล้วก็ถูกแคสเพื่อที่จะมาเป็นวงออกัส ดังนั้นไม่ว่าจะมาด้วยลุค ด้วยการแสดง หรือมาด้วยทักษะทางการดนตรี ทุกคนจะต้องมาเข้าห้องซ้อม แล้วเล่นเพลงด้วยกัน แล้วพอหนังจะต้องโปรโมท เราก็คุยกันว่าจะโปรโมทยังไงดี ถ้าจะโปรโมทว่าเป็นหนังชายรักชายก็ไม่ได้ จะบอกว่ามันเป็นหนังชายหญิงก็พูดได้ไม่เต็มปาก ถ้างั้นเอาดนตรีเข้าไปถม ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่วงออกัสได้มีโอกาสไปเล่นตามการโปรโมท แล้วพอหนังมันสร้างปรากฎการณ์ขึ้นมา มันก็เลยทำให้มีแฟนคลับของวงออกัสเกิดขึ้นจริง ๆ มีคนอยากไปดูวงออกัสเล่นคอนเสิร์ตจริง ๆ หลังจากนั้นมันก็เลยเริ่มเกิดกระแส เกิดคอนเสิร์ต เกิดโชว์ และน่าจะเป็นยุคแรก ๆ ของแฟนมีตติ้ง

แต่ก็ไม่รู้ว่ารักแห่งสยาม มีโอกาสได้ไปสู่สายตาของคนจีนได้ยังไง เพราะหนังที่จีนห้ามเผยแพร่เรื่องราวเกี่ยวกับการรักเพศเดียวกัน ชุดนักเรียนทะเลาะวิวาทกันไม่ได้ หรือว่าเรื่องราวตบตีแย่งผัวแย่งเมียถ้ารุนแรงเกินไปก็ไม่ได้ หรือถ้าผู้ร้ายลอยนวลนานเกินไปก็ไม่ได้ เพราะมันคือการบอกว่ารัฐบาลควบคุมไม่ได้เหรอ โจรต้องได้รับโทษ ตำรวจต้องปิดคดีได้ ดังนั้นมันมีรายละเอียดที่เยอะมาก ดังนั้นทุกวันนี้ก็ยังเป็นปริศนาว่า รักแห่งสยามไปสู่สายตาของแฟนคลับจีนได้ยังไง แต่คิดว่ามันน่าจะไปทัชใจอะไรหลาย ๆ อย่าง เช่นตัวละครมิว มันเป็นตัวละครที่เป็นตัวแทนของความเหงา แล้ววันหนึ่งมันมีคน ๆ นึงเข้ามาเติมเต็มชีวิต มันน่าจะสอดคล้องกับช่วงเวลานั้นครอบครัวในประเทศจีน มักจะมีลูกคนเดียวกันเยอะ พิชคิดว่าเค้าน่าจะอยู่ใกล้ชิดกับความเหงามาก ๆ แล้วตัวละครมิวมันเป็นตัวแทนของสิ่งนั้นด้วย แล้ว รักแห่งสยาม มันมีหลายเลเยอร์ ทั้งเรื่องมิตรภาพ ครอบครัว ความรักของคนหนุ่มสาว ถ้าพูดถึงเป็นช่วงอายุ มันก็เป็นหนังของวัยรุ่น วัยที่กำลังมีพลังของความเฟรช แล้วพอวงออกัสได้ไปออกรายการที่ประเทศจีน ก็เริ่มมีกลุ่มแฟน ๆ มากขึ้น จนเปิดคอนเสิร์ตได้ เริ่มได้ทัวร์ไปปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจ ไปเยอะมากจริง ๆ ครับ”

 

 

พิช vs มิว เหมือนหรือต่างกัน?

“คือถ้ามองกลับไปตอนนั้น พิช มอง มิว แล้วจะรู้สึกว่ามันมีความต่าง เพราะว่ามิวเค้าจะจมอยู่กับความเหงา เป็นคนแบบอมทุกข์อมโศก เวลามีปัญหาอะไรเค้าก็จะแยกตัวออกไปอยู่คนเดียว ตัดสินใจคนเดียว ซึ่งพิชไม่ได้เป็นแบบนั้น พิชมีเพื่อนมากมาย และเป็นคนที่ชอบอยู่กับเพื่อน แต่ ณ วันนี้ผ่านมา 17 ปี พอเรามองกลับไปก็พบว่า ความเป็นพิชมันอยู่ในตัวมิวเยอะมากเหมือนกัน แล้วนั่นเป็นสิ่งที่พี่มะเดี่ยวต้องการ มันเป็นเสน่ห์ของการดึงความธรรมชาติของนักแสดงที่ไม่เคยผ่านงานแสดงมาก่อนออกมา  แล้วเค้าทำออกมาได้ธรรมชาติมากจนทำให้คนรู้สึกว่าตัวตนของมิวมันมีจริง และกลายเป็นปัญหานิดนึงเพราะว่าคนจะทาบคาแรกเตอร์มิวเข้ากับตัวพิชอยู่ช่วงนึงซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมาก จนพิชรู้สึกว่าฉันไม่สามารถสลัดตัวละครออกจากตัวเองได้ ทุกวันนี้บางทีไปงาน เค้ายังจำชื่อเราไม่ได้ บางครั้งพิธีกรยังพูดว่าต้องขอขอบคุณคุณมิวมาก ๆ นะครับอยู่เลย”

 

จากรักแห่งสยาม สู่ความลับของหัวใจที่ไม่มีจริง

“พิชได้อ่านเรื่องของคนที่เคยโทรเข้ามาปรึกษาในรายการ Club Friday แล้วก็รู้สึกว่าตัวละครบอส มันเป็นตัวละครที่ทั้งน่าเอ็นดู แล้วก็น่าหยุมหัวในเวลาเดียวกัน แล้วก็ ต้องบอกว่า คลับฟรายเดย์เดอะซีรีส์ ความลับของหัวใจที่ไม่มีจริง เป็นโปรเจกต์ที่สนุก ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเวลาสั้น ๆ แต่ด้วยความที่ตอนนั้นเราผ่านรักแห่งสยามมาแล้ว เราเริ่มรู้จักการแสดง แล้วประกอบกับต้องเล่นคู่กับบี้ด้วย น้องบี้ เค้าเป็นคนน่ารักมากแล้วเคมีมันตรงกัน มันเป็นบรรยากาศที่เราสามารถรักเค้าได้ เพราะเค้าเป็นคนที่น่ารัก แล้วเราก็เชื่อว่าเค้าก็น่าจะรู้สึกเหมือนกัน ทำให้เราอยากไปออกกอง อยากไปเจอคนนี้  อยากไปเล่นกับคนนี้ เพราะมันสนุก เพราะว่าอย่างตอนเล่นรักแห่งสยาม มันก็สนุกอีกแบบนึง แต่มันจะเป็นความสนุกในความไม่รู้เรื่อง ต่างคนต่างใหม่ งงไปด้วยกัน แล้วก็โดนด่าด้วยกัน ส่วนของความลับของหัวใจที่ไม่มีจริง มันเป็นโปรเจกต์ระยะที่สั้น แต่มันสนุกทุกฉาก สนุกทุกตอน แล้วเรารู้สึกว่าการได้เป็นบอส สำหรับเรารู้สึกว่ามันสะใจ”

 

จากการเล่นซีรีส์ สู่การเป็นแม่สื่อให้กับ บี้-กุ๊บกิ๊บ

“พอซีรีส์กำลังจะฉาย เราก็จะต้องมีการเดินสายโปรโมทตามสื่อต่าง ๆ ทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ หรือไปตามรายการโทรทัศน์ แล้วก็มีรายการของพี่วู้ดดี้ ซึ่งตอนนั้น คุณกุ๊บกิ๊บ เป็นพิธีกรร่วมอยู่ ซึ่งกุ๊บกิ๊บกับพิชรู้จักกันอยู่แล้ว ในรายการก็ดีใจที่ได้เจอกัน แล้วก็ได้พูดคุยกันแบบสนุกสนาน พอจบรายการก็จะต้องไปรายการอื่นต่อ จังหวะขึ้นรถตู้ บี้ ก็มากระซิบถามว่าพี่พิช มีไลน์ของพี่กุ๊บกิ๊บรึเปล่า เราก็บอกว่ามี เอาไปทำอะไร ขอลองถามเค้าก่อนนะว่าจะให้รึเปล่า พิชก็โทรถามกุ๊บกิ๊บ ว่าน้องอยากได้ไลน์นะ ซึ่งกุ๊บกิ๊บก็บอกว่าได้สิ หลังจากนั้นรู้ตัวอีกทีก็คบกันแล้ว ลูก 2 แล้ว ซึ่งจนวันนี้ พิชยังไม่ได้เจอหลาน ๆ เลย แต่ว่าก็ถ้าหลาน ๆ ฟังอยู่ ก็ต้องบอกว่าคุณอานี่แหละเป็นคิวปิด”

 

 

ได้รับบทบาทซ้ำ ๆ จนกลัวคนจำภาพลักษณ์

“ต้องบอกว่ามันเป็นความกังวล เพราะเรารู้ตัวว่าหลังจากนี้ มันมีโอกาสเยอะมาก ที่คนจะยื่นบทให้เราเล่นบทแบบนี้ไปเรื่อย ๆ สำหรับตัวพิชเอง ก็อยากมีโอกาสได้รับบทอื่น ๆ บ้าง เพื่อที่จะพิสูจน์ตัวเอง แต่ว่าด้วยอะไรก็แล้วแต่ ณ เวลานั้น มันก็อาจจะไม่ได้มีหลายคนที่อยากจะเข้ามารับบทในลักษณะนี้ หวยมันก็จะมาลงที่เราเสมอ ซึ่งเราก็รู้สึกว่า รักแห่งสยามเป็นเรื่องแรก ดังนั้นการมีเรื่องที่ 2 เรื่องที่ 3 มันเป็นโอกาส แล้วก็เรายังใหม่กับการแสดง ดังนั้นลองดู มันอาจจะมีแง่มุมอะไรดี ๆ ที่เราได้เรียนรู้ เพราะว่าตอนนั้นมันยังเป็นช่วงเวลาที่เรายังต้องเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ

ช่วงนั้นก็จะมีข่าวพาดหัวในทำนองว่า พิชเป็นเกย์ไหม เหมือนบางทีนักข่าวเค้าก็ต้องการให้เราเป็นคนพูดมันออกมาเอง แต่สำหรับพิช เรารู้สึกว่า คือตัวเองทุ่มทั้งตัวไปกับบทมิวแล้ว ถ้ามันจะมีอะไรที่จะบ่งบอกว่าตัวเราเป็นยังไง ถ้ามันทำให้ประชาชนคนไทยอยากรู้มากจริง ๆ รักแห่งสยามมันเป็นตัวตนที่เราได้บอกไปแล้วประมาณนึง ดังนั้นการถามว่าพิชเป็นไหม เรารู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นคำถามที่จะพาเราไปไหน เหมือนถามกันว่าใส่กางเกงในสีอะไร ซึ่งเราตอบได้ว่าใส่สีอะไร แต่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อ ดังนั้น พิชก็เลยรู้สึกว่าให้พื้นที่สื่อ มันเป็นพื้นที่ของเรื่องอื่นที่น่าสนใจกว่า”

 

แฮปปี้ ที่ทุกคนพูดเรื่องความหลากหลายได้อย่างเป็นธรรมดา

“ก็ต้องบอกว่า ณ วันนี้มันก็มาไกลกว่าจุดที่เราเคยถ่ายทอด คือวันนั้นมันยังหมิ่นเหม่จะหลบก็ไม่หลบ จะเปิดอย่างเต็มที่ก็ไม่เต็มที่ ยังพูดกันได้ไม่เต็มปาก อย่างการ์ตูนวาย หนังสือวายยังต้องแอบห่อปกกันอ่าน จนกระทั่งถึงวันนี้ มันเดินเข้ามาอยู่ในกระแสหลัก เป็นปรากฎการณ์ที่รู้สึกว่าน่าดีใจที่เราเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ และวันนี้เราก็เป็นพยาน ที่เห็นปรากฎการณ์นี้มันค่อย ๆ เดินต่อไป เพราะเราก็ยังไม่ได้ถึงปลายทางเลย เรากำลังค่อย ๆ เดินด้วยซ้ำ สำหรับพิช เราแฮปปี้ที่ตอนนี้ทุกคนสามารถพูดเรื่องความหลากหลายได้อย่างเป็นธรรมดา แน่นอนว่ามันก็ยังมีบางคนที่ยังรู้สึกไม่สบายใจกับสิ่งเหล่านี้อยู่ ก็ต้องดูการเปลี่ยนแปลงของสังคมนี้ และการเดินทางของเรื่องนี้ต่อไป

ความ Pride มันไม่ใช่แค่การเดินออกมาบอกว่าฉันภูมิใจในสิ่งที่ฉันเป็น ฉันไม่แคร์ว่าคนอื่นจะคิดยังไง ซึ่งมันก็ใช่ พิชเคารพทุก ๆ คนที่ออกมาเพื่อที่จะบอกว่าตัวตนของตัวเองเป็นยังไง แล้วภาคภูมิใจกับความเป็นตัวเอง แต่ในขณะเดียวกัน ความ Pride มันก็ต้องมาพร้อมกับความเข้าใจด้วยว่า ในสังคมมันมีความหลากหลาย และไม่ใช่แค่ความหลากหลายในเรื่องของเพศ มันมีความหลากหลายในเรื่องความคิด ความเชื่อ ศาสนา การเมือง และยังมีคนที่คิดไม่เหมือนเรา เข้าใจไม่เหมือนเรา แต่การที่เราคิดไม่เหมือนกัน มันไม่ได้แปลว่าเราจะต้องเป็นศัตรูกัน เราสามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้ แล้วถ้าเรามีโอกาสได้คุยได้แลกเปลี่ยนกัน พิชว่ามันน่าจะเป็นเรื่องดีที่เราจะได้เห็นอีกด้านหนึ่งของเหรียญ ดังนั้นนอกจากการออกมาโชว์ความหลากหลายแล้ว เราก็จะต้องโอบรับความหลากหลายนั้นด้วย”

 

 

เปิดงานเขียนของ พิช วิชญ์วิสิฐ

“มีช่วงหนึ่งที่พิชลุยงานเขียนเต็มที่ แรก ๆ ก็จะเป็นการลองเขียนคอลัมน์ตามนิตยสารต่าง ๆ หลังจากนั้นก็ได้รับคำเชิญชวนจากบรรณาธิการของ aday book ตอนนั้นมีโปรเจกต์ชวนคนมา 12 คน แล้วให้แต่ละคนทำหนังสือออกมาคนละเล่ม ก็จะเป็นหนังสือ 12 เล่ม ใน 12 เล่มนี้จะมี 12 บท แต่ละคนก็จะมีไอเดียต่าง ๆ ของเราก็เลยเขียนเกี่ยวกับเพื่อนบ้าน 12 คน เพราะว่าช่วงนั้นเราอยู่คอนโด แล้วก็เป็นคนที่ชอบสนใจเรื่องของชาวบ้านเป็นพิเศษ เลยหยิบเอาเรื่องราวมุมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สนุกสนานมาเขียน หลังจากนั้นสำนักพิมพ์ก็บอกว่าช่วยเขียนต่อได้ไหม ช่วยทำเป็นเล่มเต็มได้ไหม  พิชก็เลยเขียนต่อ กลายเป็นหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คเล่มแรกชื่อว่า เรื่องชาวบ้าน

ส่วนตอนนี้ พิชทำงานเบื้องหลังเป็นส่วนใหญ่ หลัก ๆ จะเป็นส่วนของดนตรี ดูแลพวก Music Solutions แล้วก็เป็นนักแต่งเพลง แล้วก็เป็น Music Producer ด้วยครับ และก็ยังมีอีกหลายด้านที่สนใจ หลาย ๆ คนก็จะรู้สึกว่า พิชหายหน้าหายตาไปไหน ส่วนตัวรู้สึกว่าไม่ได้หายไปไหน เรายังเจอพี่ ๆ น้อง ๆ ในแวดวงอยู่ตลอด เพียงแต่ว่าตัวเราไม่ได้ออกไปอยู่ตามหน้าจอมากกว่า”

 

ส่องสเปค เช็คสถานะหัวใจ ของ พิช วิชญ์ วิสิฐ

“ก็ช่วงก่อนหน้านี้จะเป็นช่วงพัก 2 -3 ปีที่ผ่านมาเจอหลายเหตุการณ์ คือคุณแม่เสียตอนปี 2020 แล้วก็มีช่วงนึงที่มีแฟน แล้วดันเป็นช่วงโควิด ซึ่งโควิดกับความสัมพันธ์เป็นเรื่องที่อะไรที่ไม่เคยเห็นก็จะได้เห็น จากการอยู่ด้วยกันนาน ๆ จนเริ่มรู้สึกว่ามันเหนื่อยจังเลยก็เลยพักไป แต่ว่าตอนนี้ก็มีคนที่คุยแล้ว เรียกว่าศึกษาดูใจกันอยู่ เพราะว่ามันก็ยังมีเรื่องที่เราไม่รู้เกี่ยวกับเค้า แล้วก็เค้าก็ยังไม่รู้เกี่ยวกับเรา อาจจะต้องค่อย ๆ คลี่ออกมาดูกันว่ารับได้ไหม ถ้ารับไม่ได้จะไปกันต่อไหม ก็เลยยังเป็นช่วงเวลาที่ศึกษากันอยู่

พิช เป็นคนที่ค่อนข้างมีสเปซของตัวเอง เป็นทั้งสเปซที่มองเห็น กับสเปซที่มองไม่เห็นคนที่จะเข้ามาคบกัน ก็ต้องเป็นคนที่รับธรรมชาติข้อนี้ของเราเหมือนกัน เสาบ้านมันอยู่ติดกันมันไม่ได้ มันต้องอยู่ห่างกันนิดนึง”

 

สีสันแรงบันดาลใจจาก พิช วิชญ์วิสิฐ

“ส่วนใหญ่สิ่งที่มันจะบอกว่าเราทำอะไรได้ดี มันจะเป็นสิ่งที่เราทำแล้วรู้สึกว่า เราไม่ได้เหนื่อย ฉันไม่ได้พยายามมันเท่าไหร่ ถ้าใครที่ยังหาไม่เจอให้จับตาดูสิ่งเหล่านี้ก่อน แล้วก็อีกอย่างคือ มันจะมีความรู้สึกในตัวเรา หรือที่เรียกว่าสัญชาตญาณ อะไรที่มันเราจะรู้สึกว่าประตูบานนี้มันกำลังเปิด มันสว่างมาก ๆ แล้วอย่ากลัวที่จะกระโจนเข้าไป มันมีโอกาสที่จะไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด แต่ว่าชีวิตนี้เราเกิดมาเพื่อที่จะผ่านบททดสอบต่าง ๆ อยู่แล้ว ถ้าเราเกิดมาแล้วนอนสบาย ๆ ชีวิตนี้ก็คงไม่มีความหมาย ดังนั้นอนุญาตตัวเองได้ลองทำ มันจะมีคำพูดนึง เกี่ยวกับการเขียนหนังสือบอกว่า คุณสามารถที่จะแก้หน้าที่แย่ได้ แต่คุณจะไม่มีวันแก้หน้าเปล่าที่ไม่ถูกเขียนได้เลย ดังนั้นต้องลอง มันมีผิด มันมีขรุขระบ้าง แต่ฃเมื่อเราทำมันแล้ว เราจะรู้ว่ามันมีจุดไหนที่เราทำให้มันดีขึ้นได้อีก” - พิช วิชญ์วิสิฐ

 

 

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์

 

ติดตามชมรายการย้อนหลัง

 

album

0
0.8
1