เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “โยชิ นิมิต” อดีตบอยกรุ๊ปสุดฮอท สู่อินฟลูฯตัวท็อปเสน่ห์แรง

Club Pride Day Recap

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “โยชิ นิมิต” อดีตบอยกรุ๊ปสุดฮอท สู่อินฟลูฯตัวท็อปเสน่ห์แรง

24 พ.ค. 2024

CLUB นี้ยังคงรวมหลากหลายสีสันของชีวิต และคอยแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดฮอท “โยชิ นิมิต” จากอดีตบอยกรุ๊ปสุดเท่ห์วง ซีควินท์ (C-Quint) สู่อินฟลูฯตัวท็อปเสน่ห์แรง ที่กว่าจะถึงวันนี้ เขาผ่านหลากหลายเรื่องราวชีวิต และได้แชร์ข้อคิดมุมมองดี ๆ ให้ฟังในรายการด้วย

 

 

ย้อนวัยเด็กสุดเป๊ะ ของ ด.ช.นิมิต

“โยรู้สึกว่าตัวเองเป๊ะตั้งแต่เด็ก แล้วเหมือนจะเป๊ะมาตลอด ไม่รู้ว่าการเป็น LGBTQ+ มันเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยรึเปล่า แต่บางทีมันอาจจะทำให้คิดเยอะขึ้น เพราะว่าตอนเด็ก ๆ เราอาจจะเปิดเผยตัวตนเราไม่ได้ เราก็เลยต้องคิดเยอะกว่าคนอื่น ว่าถ้าทำแบบนี้ ผลต่อไปมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง มันจะกระทบชื่อเสียงของเรารึเปล่า มันทำให้เราต้องคิดหลายสเต็ปล่วงหน้า และอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเป๊ะขึ้น

ตอนเรียนส่วนใหญ่จะไปในทางเด็กหน้าห้อง ไปในทางเด็กเรียน เพราะความตั้งใจของเราคืออยากจะเข้าเตรียมอุดมฯ อยากจะเข้าจุฬาฯ ก็เลยรู้สึกว่า ถ้าเราไม่ตั้งใจเรียนเราอาจจะเข้าไม่ได้ มันเป็นความคาดหวังของตัวเอง เพราะเรารู้สึกว่าถ้าไปเรียนเตรียมอุดมฯ แล้วจะมีผู้ชายหล่อ ๆ แบบว่าเด็กเรียนเก่งมักจะหน้าตาดี ผู้ชายคือแพชชั่น

ที่บ้านเป็นครอบครัวคนจีน หลายคนเข้าใจว่าโยเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น แต่ครอบครัวเป็นจีนเลย อย่างภาพยนตร์เรื่องหลานม่า คือเราดูแล้วร้องไห้สุดฤทธิ์ มันอินสุด ๆ โยมีพี่ชาย 2 คน เราเป็นคนเล็กสุดเลย ซึ่งส่วนใหญ่พี่ 2 คนจะสนิทกันมากกว่าโย เค้าจะชอบเล่นบอลด้วยกัน ทั้งเล่นบอลจริง กับเล่นบอลในเกม แล้วที่บ้านมีเกมเครื่องเดียว พอมีลูก 3 คน พี่สองคนก็เล่น เราก็เลยเป็นติ่ง บางทีเค้าเล่นกันคนละชั่วโมงรวมเป็น 2 ชั่วโมง อีก 1 ชั่วโมงเรามาเล่น ก็จะเล่นเกมแนวเลี้ยงสัตว์ แหวกออกไป

ซึ่งในตอนเด็ก คุณพ่อกับคุณแม่เค้ามีโรงงานเป็นของตัวเอง และเค้าก็มีหุ้นส่วน แต่ดันโดนหุ้นส่วนโกง จนธุรกิจล้มลง ต้องเริ่มต้นใหม่ เพราะฉะนั้นตอนพวกเราเด็ก ๆ พ่อกับแม่จะออกไปทำงานตั้งแต่เช้า ซึ่งต้องไปส่งพวกเราที่โรงเรียนก่อนที่ประตูโรงเรียนจะเปิดอีก ต้องตื่นตีสี่ครึ่ง พอก่อน 6 โมงเช้าก็ถึงโรงเรียนแล้ว ซึ่งโรงเรียนยังไม่เปิด มีวันนึงพี่ชายคนกลางโดนจี้เอากระเป๋าตังค์ แล้วดันโดนจี้วันจันทร์ แม่เพิ่งให้ค่าอาทิตย์มา แต่พ่อแม่เค้าก็ต้องไปทำงานเช้า กลับมาก็ประมาณ 2-3 ทุ่ม เพราะฉะนั้นตอนเด็ก ๆ พวกเราก็จะอยู่กับพี่เลี้ยงเป็นส่วนใหญ่ แล้วพอขึ้นมัธยม โยก็จะย้ายจากฝั่งธนฯ มาอยู่ประตูน้ำ จนอยู่ที่อยู่ ณ ตอนนี้”

 

 

จุดเริ่มต้น ของการเดินบนเส้นทางสายบันเทิง

“ตอนเด็ก ๆ ความฝันคิดว่า น่าจะได้อยู่ในวงการบันเทิง แต่ไม่รู้ว่าจะได้มาเป็นอะไร อยู่ตรงส่วนไหน ซึ่งการเข้าสู่วงการบันเทิงแรกสุดคือ แบงค์ แบล็ควนิลา ชวนมา โยเข้ามาตอน ม.6 ซึ่งเข้ามาเป็นแคสติ้งที่อาร์เอส แล้วที่ทำงานมันไกลบ้าน เราต้องขึ้นรถเมล์ บางครั้งขึ้นแท็กซี่ แล้วถ้าเราต้องขึ้นแท็กซี่ไปกลับมันไม่ไหว เงินค่าอาทิตย์เราก็ไม่ได้เยอะ ก็เลยปฏิเสธไม่เข้าวงการบันเทิงในตอนนั้น

แล้วพอเข้ามหาวิทยาลัย เราก็เริ่มขับรถเอง แล้วมี พี่ก้อง ที่อาร์เอส เค้าดูแลเรื่องแคสติ้ง แล้วเค้าเห็นเราจากกลุ่มตัวแทนนิสิตจุฬาฯ แล้วโยก็ได้เป็นคนอันเชิญป้ายมหาวิทยาลัยเข้างาน แล้วพี่คนที่เคยชวนเราตอน ม.6 ก็เห็นเรา ก็เลยติดต่อโยว่าเข้ามาหน่อย พี่ก้องอยากให้เข้ามาแคส โยก็เลยตกลงเข้าไป ตอนนั้นมีโปรเจกต์ ซีควินท์ เข้ามาพอดี เราก็เลยได้เข้าไปทำตรงนั้น

จริง ๆ โย เริ่มร้องเพลงครั้งแรกตอนที่ไปอเมริกา ซึ่งตอนเรียนมันจะมีวิชาให้เลือกเรียนเป็นวิชาคอรัส เราก็ไปเรียนเป็นเสียงเบส แล้วทุกวันนี้แม่ยังบอกอยู่เลยว่าเสียดายเนาะ ที่ตอนเด็ก ๆ พวกลูก ๆ มีความสามารถพิเศษอะไรแม่ไม่เคยรู้เลย ถ้ารู้แม่ก็คงบอกให้ไปเรียนเพิ่ม แล้วพอได้เข้ามาเป็น ซีควินท์ เราก็จะมีพื้นฐานร้องนิดหน่อย แล้วก็มีเรียนเพิ่ม มีครูแหม่ม ครูปุ้ม แล้วก็ครูคนอื่น ๆ สอนด้วย ก็เรียนอยู่ประมาณปีกว่าครับ”

 

 

ตัวตนที่ถูกเก็บซ่อน เมื่อต้องมาเป็นบอยกรุ๊ปสุดฮอท

“ตอนนั้น ซีควินท์ มี 5 คนครับ แล้วจะบอกว่าเอาจริง ๆ สิ่งที่โยทำในวงการบันเทิง ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีความสุขสักงาน มันเหมือนเป็นหน้าที่ ทุกอย่างที่อยู่ในชีวิตโย ก็ยังไม่เจออะไรที่ทำแล้วมีความสุขสุด ๆ รู้แค่ว่าอันนี้เหนื่อยมาก กับอันนี้เหนื่อยน้อย แล้วพื้นที่ความสุขในหัว คือการที่รู้ว่าวันนี้จะได้นั่งอยู่บ้าน นั่งดูทีวี อันนี้แหละคือความสุขและเมื่อมองไปถึงอนาคตข้างหน้า ว่าถ้าทำไปแล้วมันสามารถทำให้เราพัฒนาตัวเองไปอยู่จุดที่ดีขึ้น มันก็ควรจะต้องทำ ยกเว้นว่าถ้าทำแล้วทุกข์ก็ไม่ต้องทำ

ในตอนที่อยู่ใน ซีควินท์ มันมีความน้อยใจบ้างครับ มันเหมือนเรารู้สึกได้ว่าทีมงานเค้าเหมือนไปพูดกันว่า โยชิเป็นเก้งนะ แล้วการจะดันคนคนหนึ่ง เขาจะไม่เลือกดันเก้ง ซึ่งการจะเป็นบอยแบนด์ หรือเกิร์ลกรุ๊ป เค้าจะต้องดึงตัวเด่นมา 1 คนก่อน เพื่อที่จะเป็นตัวเด่นในการตีหัวเข้าบ้าน แล้วเดี๋ยวค่อยไปรู้จักคนอื่น ๆ ในวงต่อ ซึ่ง ซีควินท์ ก็ต้องมีคนหนึ่งที่เด่นก่อน หลังจากนั้นเค้าก็พยายามดัน ดันจนแล้วจนเล่า จนโปรเจกต์ซีควินท์มันจบ แต่เค้าก็ไม่ได้ดันเรา

เราไม่ได้เพิ่งจะรู้สึกได้ในตอนจบนะ เรารู้สึกตั้งแต่แรก ๆ มีอยู่ครั้งนึงตอนนั้น พิชญ์กับโฟร์เป็นแฟนกัน แล้วก็จะมีเอ็มวีที่เค้าเล่นด้วยกันอยู่ตัวนึง ซึ่งถ่ายทั้งวัน กองนัดเราตั้งแต่เช้ายันค่ำ แล้วซีนที่เราเข้ามีแค่ซีนรวมคือหั่นผักอยู่ข้างหลัง ซึ่งพิชญ์อยู่ข้างหน้า แล้วกล้องอยู่ไกลมาก เราก็รู้ว่าเราเป็นตัวประกอบอยู่ข้างหลัง ก็เลยบอกทีมงานว่า เอ็มวีนี้จะยังไงก็ได้ แต่ก็ขอให้ช่วยอย่าให้ผมดูเหมือนเป็นอากาศเกินไปได้ไหม เราเข้าใจว่าเค้ามีเนื้อเรื่องในหัวอยู่แล้ว แล้วก็พยายามที่จะดันเนื้อเรื่องนี้ออกไป  มันอาจจะเทไปที่ไลน์เรื่องของพิชญ์ 90% แล้วก็ไลน์เรื่องของเพื่อน ๆ อีก 10% แต่เราก็บอกว่า พี่ลองดูแล้วกันว่ายังไงให้มันดูสมเหตุสมผล และดูสมส่วนหน่อย

นั่นคือเรื่องที่เจอตอนทำงาน แต่สำหรับที่บ้านจริง ๆ พ่อแม่เหมือนกับเค้าจะปล่อยเสรีนะ เราอยากจะทำอะไรก็ไปทำ ถ้ามีโอกาสอะไรดี ๆ เข้ามาก็ไปทำ แต่คุณพ่อบางทีก็จะรู้สึกว่า แต่เรื่องเรียนก็สำคัญห้ามทิ้งนะ เพราะถ้าเกิดว่างานวงการมันไปไม่รอดอย่างน้อยเรายังมีงานประจำ เราก็ยังทำอะไรต่อได้”

 

 

จากบอยกรุ๊ปสุดฮอท สู่พิธีกรสุดแซ่บ และ CEO สุดปัง

“พออยู่ ซีควินท์ ได้สักพัก โยได้โอกาสจากทาง YAAK มา ซึ่งเป็นช่องเคเบิล ของอาร์เอส เค้าให้โอกาส โย กับ พิชญ์ ไปทำพิธีกร หลังจากนั้นพอได้ไปทำ มันก็จะมีสล็อตเวลาที่ว่างอยู่ โยก็เลยเริ่มจากการขอเวลาไปวิ่งหาสปอนเซอร์ แล้วก็ขึ้นรายการเอง ทำไปจนถึง ซีควินท์ เข้าสู่ช่วงท้าย ๆ โยก็เริ่มทำผลิตภัณฑ์ของตัวเอง เริ่มทำธุรกิจส่วนตัวหลังจากนั้น พิชญ์ ก็จะทำรายการของเค้าเอง แล้วก็ชวนโยไปทำรายการด้วย หลังจากนั้น โยก็ทำรายการห้าวเก้ง ทำกับ พิชญ์  ซึ่งตอนนั้นโยทำพิธีกรอยู่หลายรายการ แล้วจะมีรายการหนึ่งที่โยจะสนิทกับพี่ ๆ ทีมโปรดักชั่น เค้าก็บอกว่า โยก็ไปเอาเวลาของช่องมาสิ แล้วเดี๋ยวก็ให้พี่ทำรายการให้โย ส่วนโยก็หาสปอนเซอร์ แล้วเอาเงินจากสปอนเซอร์ที่ได้มาจ้างพี่ แล้วที่เหลือโยก็เอาไป ซึ่งตอนนั้นโยก็มองว่าง่ายดีเนาะ ลองทำดูก็แล้วกัน จนสุดท้ายมันก็จะมีคอนเนคชั่นไปเรื่อย ๆ เป็นวิธีหาเงินของเรา

จนตอนนี้ โยก็มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นพวกเซรั่มบำรุงหน้า มีธุรกิจส่วนตัว แล้วก็ทำคอนเทนต์ลงช่องทาง Tiktok ซึ่งก่อนหน้านี้ที่เราอยากเป็นยูทูบเบอร์ แต่เรารู้สึกว่า ตัวเองเริ่มช้าไปประมาณ 5 ปี พอทำมาหลาย ๆ เทป เรารู้สึกว่ายอดผู้ติดตามมันไม่ขึ้นแล้ว ก็เลยหันมาทำเป็นคลิปเล็ก ๆ ทาง Tiktok ดีกว่า แล้วปรากฏว่าผลตอบรับดี มีสปอนเซอร์เข้า หลัง ๆ เลยเลือกทำคอนเทนต์ลง Tiktok แทน ซึ่งก็ทำคอนเทนต์ที่หลากหลาย ให้เหมาะกับสไตล์เรา Beauty ก็ได้ Healthy ก็ได้ อย่างเรื่องออกกำลังกาย หรือเรื่องกิน แล้วก็มีท่องเที่ยว มีคลิปสอนภาษาฝรั่งเศสด้วยครับ”

 

 

เคล็ดลับปั้นหุ่นปัง และทานให้สุขภาพดี ของ โยชิ นิมิต

“เริ่มตั้งแต่เช้า ตื่นมาโยจะกินผักปั่น ซึ่งจะมี ผักเคล, แครอท, มะเขือเทศ และ ฟักทอง หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วก็ปั่น เติมกล้วยน้ำว้า ใส่น้ำเปล่า ใส่โปรตีนพืชไปสัก 1 ช้อน แล้วก็กิน ทำแบบนี้มาเป็น 10 ปี แล้วครับ ซึ่งมันไม่ได้อร่อยหรอก รสชาติก็จะคล้าย ๆ กับโปรตีนที่เราใส่นั่นแหละ

ที่ต้องกินผัก มีสาเหตุคือ ย้อนกลับไปตอนเด็ก เราไม่ชอบกินผัก จนตอนไปเรียนที่อเมริกา 1 ปีแล้วต้องดูแลตัวเองหมดเลย ปรากฏว่าเราถ่ายเป็นเลือด เพราะว่าไม่กินผัก ตามใจปากอย่างเดียว เน้นกินสปาเก็ตตี้ กินเฟรนช์ฟรายส์ แล้วไม่กินผักใบเขียวเลยแม้แต่ใบเดียว พอเริ่มถ่ายเป็นเลือด ตอนนั้นผมอายุ 15 ปี แล้วก็อายที่จะต้องไปบอกโฮสแฟมิลี่ว่าเรามีอาการนี้ แต่นึกขึ้นได้ว่า เราต้องกินผัก จะได้มีไฟเบอร์ เพราะจำที่พ่อเคยสอนมา หลังจากนั้นเราก็ไปซุปเปอร์มาร์เก็ต เอาเบบี้แครอทมากิน กินเยอะจนพี่ ๆ น้อง ๆ เอามากินด้วย จนโฮสมัมถึงขั้นต้องเรียกไปคุยว่า เธอรู้ใช่ไหมว่ากินแครอทเยอะ ๆ แล้วมันจะทำให้ตัวเหลืองนะ หลังจากนั้นพอกลับมาอยู่ไทย การกินเริ่มไม่เหมือนตอนอยู่ที่อเมริกาอีกแล้ว เริ่มกลับมากินผักน้อย แล้วกลับมาถ่ายเป็นเลือดอีกครั้ง ผมก็เริ่มจากเอาผลไม้มาปั่น หลัง ๆ มาเพิ่มผัก ให้มันได้สารอาหาร

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรากินแต่ผักผลไม้ เพราะในหนึ่งวันความสมดุลมันต้องมี หมูกระทะ, ผัดกระเพราไข่ดาว, ไข่เจียว อันนี้คืออาหารทั่วไป ซึ่งหนึ่งวันมันมี 3 มื้อ ถ้าเรากินมื้อนึงเป็นผักล้วน เราก็มีโควตากินอาหารทั่วไปในมื้ออื่น เราก็บาลานซ์ให้สมดุลกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน

ตอนนี้อายุ 37 แล้วครับ การออกกำลังกายก็ประมาณสัปดาห์ละ  6 วัน แต่ถ้าออกกำลังกายแบบไปยิมจริงจัง ใช้เทรนเนอร์ หรือเล่นเวท ก็จะอยู่ที่อาทิตย์ละ 3 วัน แต่ถ้าวันที่ไม่ไป ก็ต้องมีคาร์ดิโอสัก 40 นาที ออกกำลังกายให้พอดี แล้วโยเป็นคนที่ชอบขนมถุงมาก แต่ถุงนึงจะกินเป็นเดือน ก็จะหยิบออกมาทีละ 3-4 ชิ้นแล้วก็พอ ให้เรารู้ตัวเอง”

 

 

ในวันที่ต้องเปิดเผยตัวตน กับคนในครอบครัว

“ในเรื่องการยอมรับตัวตนของตัวเอง เรายอมรับตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว อาจจะเคยมีช่วงสับสนบ้าง เวลานักข่าวมาถามเราก็จะตอบไม่ได้ว่าตัวเองเป็นเก้ง ก็ต้องบอกว่า ผมไม่ได้เป็นเก้งครับ เป็นผู้ชายแท้ครับ แต่ก็เข้าใจว่าคำถามพวกนี้ นักข่าวเค้าก็จะได้เอ็นเกจด้วย ช่องเค้าก็จะมีคนดูมากขึ้น เอาไปลงหน้าปกคนก็ชอบอ่าน

ส่วนกับครอบครัว เราเลือกวันที่จะบอกครอบครัวด้วยนะ ตอนนั้นเราเลือกวันเกิด เพราะมันต้องเป็นวันของเรา แล้ววันนั้นพี่ชายคนกลางที่ปกติอยู่ที่อเมริกา แล้วช่วงนั้นเค้ากลับมาพอดี ส่วนพี่ชายคนโตก็ไม่ได้อยู่ตรงประตูน้ำแล้ว เค้าย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่วันเกิดเราก็นัดทานข้าวรวมกันเลย พี่ชาย พี่สะใภ้ พ่อแม่ แล้วก่อนกิน เราก็บอกพี่ชายว่าให้มาที่ห้องโยก่อนนะ แล้วช่วงกินข้าว โยจะบอกพ่อแม่ว่าตัวเองเป็นเกย์นะ ซึ่งพี่ก็บอกว่าอ้าวเหรอ เป็นเกย์เหรอ ซึ่งเอาจริง ๆ พี่ก็น่าจะรู้ แต่ก็คงแกล้งทำเป็นไม่รู้

แล้วตอนนั้นมันตลกตรงที่ พี่ชายคนโต ก็เหมือนกำลังจะบอกพ่อว่า ลูกคนที่สองของเค้าเป็นลูกผู้หญิงนะ คือภรรยาเค้าท้องอยู่ แล้วจะมาบอกพ่อแม่ในวันเกิดเรา แล้วความเป็นลูกคนจีน พ่อก็เหมือนคาดหวังนิด ๆ ว่าครั้งนี้คงจะได้หลานชาย ส่วนพี่ชายคนกลางก็ตั้งใจจะมาบอกพ่อกับแม่เหมือนกันว่า เค้าปรึกษากับภรรยาว่าอาจจะไม่มีลูกนะ ซึ่งโยบอกเลยว่า เรื่องของพวกพี่พักก่อนนะ วันนี้วันของโย พวกพี่ต้องเป็นแบ็คอัพให้โย

ในช่วงกินข้าว พ่อก็ถามโยนมาเลยว่า โยอย่าลืมหาสะใภ้ดี ๆ แต่งงานให้พ่อนะ ซึ่งโยก็เลยบอกว่า ป๊า โยคิดว่าน่าจะไม่ได้นะ เพราะว่าโยชอบผู้ชาย พูดเสร็จป๊าก็อึ้ง แล้วพี่ชายคนโตก็รู้งาน พี่ก็พูดสวนเลยบอกว่า ป๊าเค้ารู้นานแล้ว ไม่มีพ่อคนไหนที่ไม่รู้หรอกว่าลูกเป็นอะไร ป๊าก็อึ้งไปเลย พูดไม่ออกเพราะคำพูดของพี่ก็ค้ำคอไว้แล้ว หลังจากนั้นแม่ก็บอกว่าเป็นอะไรก็ได้ลูก แค่เป็นคนดีก็พอ เหมือนจะจบสวย แต่แม่ก็บอกว่า  ขออย่างเดียวอย่ามีความรักนะลูก เพราะเวลาผู้ชายมีอะไรกันจะเป็นเอดส์ แล้วพี่ชายคนกลางก็บอกว่า ดูแลตัวเองดี ๆ แล้วกันนะ เดี๋ยวนี้เค้ามีวิธีป้องกันแล้ว ซึ่งความเชื่อของแม่มันเป็นความเชื่อที่ผิดอยู่แล้ว มันพิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ คือแม่เข้าใจผิดเรื่องนั้น แต่เราก็โตแล้ว อายุ 29 ปีแล้ว เรื่องความรักมันทำได้แล้ว และรู้วิธีป้องกันแล้ว มันไม่ใช่ความรักของเด็ก 16-17 ปีแล้วนะ

หลังจากที่ได้เปิดเผยตัวตน โยปลดล็อคมาก เพราะเราแคร์พ่อแม่มาก ๆ เราไม่อยากให้เค้าทุกข์ใจ แต่ถ้าเค้ารู้จากปากเราก็คือจบ หลังจากนั้นเราก็จะต้องมีช่วงเวลาหนึ่งให้พ่อทำใจก่อน เราก็จะไม่โผงผางมาก ซึ่งจริง ๆ แล้ว ช่วงอายุ 29 ปี ที่เปิดตัวกับพ่อ เป็นปีที่แฟนเก่าจะต้องย้ายจากออสเตรเลียมาอยู่กับเรา เค้าลาออกจากงานเพื่อที่จะมาเริ่มต้นใหม่ที่กรุงเทพ และเรารู้สึกว่าถ้าเค้าจะต้องมาอยู่บ้านเรา พ่อเราก็ต้องเห็นเรื่อย ๆ เลยเป็นสาเหตุที่เราคิดว่าเปิดตัวดีกว่า เพราะยังไงพ่อก็ต้องรู้อยู่ดี หลังจากเปิดตัวสักพัก แฟนเก่าก็เข้าบ้านเลย”

 

 

เปิดหัวใจส่องความรักของ โยชิ นิมิต

“กับแฟนเก่า พอมีเรื่อง Long distance relationship แล้วต้องบินตลอด ก็ตัดสินใจเลิกกันไปก่อนโควิด ตอนนั้นมันมีหลาย ๆ อย่างที่เข้ากันไม่ได้ แล้วเราเป็นคนรักใครแล้วรักมาก เราพยายามจะปรับทุกอย่าง แต่มันมีปัญหาเรื่องมือที่สาม แล้วลามไปเรื่องบนเตียง เพราะเค้าอยากให้มีอีกคนมาร่วมเตียงเรา ตอนนั้นเราก็บอกว่าก็ได้ถ้าเค้าโอเค โยก็โอเค เพื่อความแปลกใหม่ แต่หลังจากนั้นมันเลยเถิด ถึงขั้นคนที่สามเค้าอยากมาบ้านเรา แต่เรารู้สึกว่าเราไม่ได้อยากทำอะไรบนเตียงกับคนนี้แล้ว จนเราต้องบอกว่า ถ้างั้นเธอสองคนก็อยู่ที่บ้านไปแล้วกัน ฉันขอออกไปข้างนอกนะ หลังจากนั้นมันก็เลยเถิดเป็นเค้าเลิกกับเรา แล้วเค้าก็ไปเป็นแฟนกับคนนั้น เราเลยเหวอไปเลยว่าตัวเองพยายามปรับทุกอย่าง แต่ใจมันไม่อยู่ ปรับให้ตายยังไงก็ไม่ได้แล้ว

สำหรับความรักครั้งปัจจุบันนี่ดีครับ เราเจอกันช่วงท้าย ๆ โควิดแล้ว ตอนนั้นโยกะว่าจะไปเวิลด์ทัวร์สักหน่อย อยากจะไปเผยแพร่วัฒนธรรมไทย ให้ชาวโลกได้ดู เพราะโควิดมันนานมาก แล้วโยเป็นคนที่ชอบฝรั่ง แต่ช่วงนั้นฝรั่งออกจากประเทศไทยกันหมดเลย ดังนั้นโยเลยตั้งใจว่า ฉันจะไปฉีดไฟเซอร์ที่อเมริกา ซึ่งเราก็ไปฉีดจริง แต่หลังจากไปลงที่ชิคาโก แล้วหลังจากนั้นก็มีไปอีกเป็น 20 เมืองเลย กะว่าฉันจะต้องได้พบเจอผู้คนทั่วโลก ปรากฎว่าไปชิคาโก วันแรกไปถึงกลางคืน แล้ววันที่สองก็เจอกับ แมท  เลย โยอยู่ชิคาโก 6 วัน ก็เจอแมท 5 วัน เพราะว่าแมทเค้าก็มาทำงานที่ชิคาโกเหมือนกัน เจอกัน 5 วัน พอวันที่ 6 ก็ย้าย แล้วก็ไปส่งเค้าที่สนามบิน ซึ่งเค้าก็ถามว่า โยคิดยังไง ถ้าจะ Long distance relationship เราก็บอกว่าได้นะ แล้วเค้าก็ถามว่า หรือเราจะลองเจอคนอื่น ๆ  แต่เราก็ยังคุยกัน โยก็บอกว่าหรือเราจะลองดู สุดท้ายโยก็เดินทางไปเมืองอื่น ๆ แต่เป็นการไปท่องเที่ยว ดูธรรมชาติ ไม่ได้เจอใคร เพราะว่าเราเป็นคนพูดอะไรแล้วเราทำตามนั้น ถ้าคุณเต็มที่กับเรา คุณให้เราร้อย เราก็จะให้คุณร้อย เราจะไม่หมกเม็ด และจะไม่ไปทำอะไรลับหลังให้คุณไม่เชื่อใจเรา ก็ตกลงกัน แล้วเค้าบอกว่า เค้าแฮปปี้นะกับการที่ไม่ต้องเจอใครเลย คุยแค่กับเราคนเดียวก็แฮปปี้ ไม่ต้องไปมีเซ็กซ์กับใครเป็นเวลาหลายเดือนเค้าก็ไม่เป็นไร โยก็เลยตัดสินใจเริ่มความสัมพันธ์แบบ Long distance relationship ซึ่งเค้าเป็นคนฝรั่งเศส หลังจากนั้นโยก็จะบินไปหาเค้าอยู่เรื่อย ๆ เพราะด้วยความที่เค้าทำงานให้กับโรงแรมหรูมาก ๆ ไม่เหมือนงานเราที่ยืดหยุ่นมากกว่า ก็เลยตัดสินใจว่างั้นเดี๋ยวโยเป็นฝ่ายบินไปเอง

หลังจากนั้นโยก็เรียนภาษาฝรั่งเศส เพราะอยากคุยกับเค้า มันยากมาก และต้องเรียนกับแอปพลิเคชั่น ซึ่งมันสอนทุกอย่างเลย ระหว่างเรียนก็จะมี Quiz ให้เราหาคำไปตอบ มีให้เราแปลประโยคจากอังกฤษเป็นฝรั่งเศส หรือแปลจากฝรั่งเศสเป็นอังกฤษ มีให้พูดแล้วแอปพลิเคชั่นจะจับคำ ว่าเราพูดถูกสำเนียงรึเปล่า มีสอนแกรมม่าด้วย ซึ่งโชคดีที่โยเป็นคนจับเรื่องภาษาเก่ง แล้วโยก็เรียนทุกวัน จนตอนนี้เกือบจะ 3 ปีแล้วที่เรียน และดุแลกันมา ความรักระยะไกลหลักการเยอะมาก ความสัมพันธ์ต้องสม่ำเสมอ ความเชื่อใจ ความซื่อสัตย์ แล้วก็ความหวังดี มันต้องมีให้กัน มันต้องสมดุลกัน”

 

 

โยชิ นิมิต กับชีวิตที่ชอบมูเตลู

“อย่าเรียกว่าชอบเลยดีกว่า เรียกว่าเป็นคนเชื่อง่ายก็แล้วกัน ใครแนะนำอะไร ไปดูหมอดูคนไหน หรือหมอดูให้ทำอะไร ให้บุกน้ำลุยไฟเราทำหมด ซึ่งการมูที่รู้สึกว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดคือมูที่บ้าน มูพระพิฆเนศของที่บ้าน เพราะเรารู้สึกว่าท่านรู้จักเราดีที่สุด มีอะไรเราก็ไหว้ บางทีเราก็คุยกับท่าน ขอให้ช่วยเราเรื่องนี้หน่อยได้ไหม นอกจากที่บ้านก็จะมี พระตรีมูรติ หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ เพราะคอนโดอยู่ตรงประตูน้ำ เดินไปเซ็นทรัลเวิลด์สะดวกมาก ซึ่งหมอดูสอนมาว่า เวลาจะไหว้ เรายกมือไหว้แล้วขอเลยไม่ได้ ก่อนอื่นเราต้องขอให้ท่านเจริญขึ้นก่อน อย่างเช่น จะขอพระพิฆเนศ ก็ต้องบอกว่า ขอให้บุญบารมีทุกอย่างที่เราทำ ทำให้ท่านสูงขึ้น มีคนสักการะบูชาท่านมากขึ้น แล้วพอมีอะไรเหลือ ๆ ก็ให้มาถึงเราบ้าง อะไรประมาณนั้น”

 

สีสันแรงบันดาลใจจาก โยชิ นิมิต

“โยชอบในความที่เราเป็นคน Worry Free โยไม่ค่อยเครียด และเวลามีเรื่องเครียด โยจะเป็นคนที่ตัดออกไปได้เร็วมาก เพราะเวลาเครียด มันทำให้ร่างกายหลั่งสารที่มันท็อกซิกซ์ ซึ่งแต่ละคนมันมีเรื่องใหญ่มันไม่เหมือนกัน แต่ให้มองเอาไว้ว่า เรื่องนี้จะทำให้คุณตายรึเปล่า ตอนจบของเรื่องนี้ตายรึเปล่า ถ้าไม่ตายจะเครียดทำไม พรุ่งนี้มันก็มีใหม่ ทำใหม่ก็ได้ แต่ถ้าป่วย ถ้าเป็นโรคร้าย อันนั้นน่ากลัวจริง แต่ถึงจะป่วยมันก็ยังมีโอกาสที่จะไม่ตาย เพราะฉะนั้นถ้าการไม่เครียดมันจะเป็นการรักษาได้ก็ต้องห้ามเครียด ก็ต้องมองหาความหวัง” - โยชิ นิมิต

 

 

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์

 

ติดตามชมรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1