เปิดเส้นทางพิชิตฝัน ของนางงามนักสู้ “อุ้มบุญ หมายเขา” แม้ไร้ขา แต่ก้าวไปข้างหน้าด้วยหัวใจแกร่ง

Club Pride Day Recap

เปิดเส้นทางพิชิตฝัน ของนางงามนักสู้ “อุ้มบุญ หมายเขา” แม้ไร้ขา แต่ก้าวไปข้างหน้าด้วยหัวใจแกร่ง

08 พ.ค. 2024

“หนูรักตัวเองมาก ๆ เพราะรู้ว่าตัวเองเหนื่อยมาตั้งแต่เกิดจนถึงทุกวันนี้ แต่ก็ผ่านมันมาได้ แล้วก็อยากจะบอกว่าสู้ต่อไป การตื่นขึ้นมามีชีวิตอยู่มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดแล้ว เพราะเราสามารถที่จะทำอะไรหลาย ๆ สิ่ง หลาย ๆ อย่าง แล้วก็จะเดินทำตามฝันของเราต่อไปให้มันประสบความสำเร็จ”

 

Club นี้มีเรื่องราวมากมาย Club นี้มีหลากหลายสีสัน และ Club นี้ยังคอยแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดพิเศษ “อุ้มบุญ หมายเขา” สาวสวยผู้แจ้งเกิดจากเวทีประกวดนางงามข้ามเพศ ซึ่งเมื่อได้ทราบเรื่องราวและแนวคิดในการใช้ชีวิตของเธอ ก็อยากจะชื่นชมในความเป็น “นักสู้ชีวิต” ที่อยู่ในตัวเธอคนนี้ สีสันของชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจดี ๆ ได้ถูกถ่ายทอดเอาไว้ในรายการด้วย

 

 

“อุ้มบุญ” ชื่อนี้ที่แม่ตั้งให้

“ชื่อ อุ้มบุญ คุณแม่ตั้งให้ตั้งแต่เกิดเลยค่ะ ในตอนแรกที่เกิดมาคุณแม่ก็แอบตกใจที่เราเกิดมาเป็นแบบนี้ ตอนนั้นท่านเกือบจะไม่เลี้ยงหนูเพราะท่านตกใจ แต่คุณยายท่านก็บอกว่า เค้าอาจจะมาให้บุญ เลี้ยงเค้าไว้เถอะ คุณพ่อคุณแม่ก็เลยเลี้ยงไว้ แล้วก็ได้ชื่อ อุ้มบุญ มาตั้งแต่ตอนนั้นค่ะ”

 

เมื่อคนเรา “เลือกเกิดไม่ได้”

“หนูพิการมาตั้งแต่กำเนิด คือ ไม่มีขา 2 ข้าง แล้วก็ไม่มีแขนข้างซ้าย ซึ่งหนูก็ไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง แต่ก็ได้ฟังจากคุณแม่เล่าให้ฟังว่า คุณแม่เป็นคนที่แพ้ยาฆ่าหญ้า แล้วตอนคุณแม่ตั้งครรภ์ ตอนที่ไปตรวจครรภ์ทุกอย่างก็ดูเหมือนปกติ แต่หลังจากนั้นคุณแม่ได้ไปทุ่งนากับคุณพ่อ ซึ่งคุณพ่อก็ฉีดยาฆ่าหญ้าตามปกติ แล้วคุณแม่ก็แพ้ยาฆ่าหญ้าแล้วก็เป็นลมล้มลง ซึ่งตอนใกล้จะคลอดคุณแม่ก็ไปตรวจครรภ์ดูอีกทีหนึ่ง คุณหมอก็บอกว่าปกติ เเต่พอเกิดมาก็เป็นเเบบนี้

ความรู้สึกที่ตัวเองดูแปลกแล้วก็ไม่เหมือนเพื่อน หนูเริ่มรับรู้ตั้งแต่อนุบาล ตอนที่ได้ไปเรียน ได้เจอคนภายนอก ได้เจอเพื่อนก็เลยทำให้เรารู้สึกแปลก ที่เวลาเห็นเพื่อนเล่นกัน แล้วเราไม่สามารถที่จะเล่นกับเพื่อนได้ มันมีข้อจำกัดและข้อแตกต่างระหว่างคนปกติกับคนพิการ

เมื่อก่อนคำบูลลี่มันทำร้ายความรู้สึกหนูมาก หนูชอบโดนล้อว่ากะเทยขาด้วน กะเทยแขนด้วน เพราะเราก็เป็น LGBTQ+ มาตั้งแต่เด็กเลย มันเหมือนโดนล้อปมด้อย เราก็รู้สึกว่าเสียใจแล้วก็ร้องไห้ เหมือนเราไม่มีคุณค่าในตัวเอง จนบางครั้งก็แอบคิดว่าเราเกิดมาทำไม”

 

 

ย้อนวัยใส ของ ด.ช.อุ้มบุญ หมายเขา

“หนูเป็นเด็กที่กล้าแสดงออก รักสวยรักงาม และอยากเป็นผู้หญิงตั้งแต่เด็ก เมื่อก่อนหนูชอบรำ ชอบเต้นตามงานวัด งานโรงเรียน หรือเวลามีกิจกรรมต่าง ๆ คุณครูก็จะพาไปเต้น แล้วก็ได้มีโอกาสเข้าร่วมประกวดงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน เป็นคนพิการที่ไปแข่งร่วมกัน ในระดับเขต  ระดับภาค แล้วก็ระดับประเทศ การประกวดปีแรกตอนนั้นหนูอยู่ ป.4 เป็นประกวดร้องเพลง

ซึ่งจุดที่ทำให้หนูอยากเป็นผู้หญิง คือตอนนั้นอยู่อนุบาล คุณครูก็จับทาลิปสติก แล้วก็ให้ขึ้นไปเต้นบนเวที ซึ่งหนูก็รู้สึกชอบมาตั้งแต่วันนั้นเลย ครอบครัวก็สนับสนุน คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยปิดกั้น เวลาที่เราอยากจะทำอะไรก็พาเราไปทำในสิ่งที่ชอบ พาหนูไปประกวดเต้น ประกวดร้องเพลง แล้วท่านก็ติดตามหนูไปตลอด”

 

“แผลใหญ่” ที่ยังติดอยู่ในใจเสมอมา

“มีเหตุการณ์หลังจากที่หนูเรียนจบ ม.3 แล้วก็มีโอกาสที่จะไปเรียนต่อสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงเรียนคนพิการ ตอนนั้นหนูก็มองว่าที่ตรงนี้น่าจะเป็นเซฟโซน เป็นจุดที่จะทำให้เรามีความสามารถ แล้วก็พัฒนาเราต่อไปในสิ่งที่ชอบ แต่วันแรกที่เข้าไป จะมีพิธีไหว้ครู ซึ่งมีอาจารย์ท่านหนึ่งที่เคยเห็นหนูแสดงรำมาก่อนหน้านี้ แล้วอาจารย์ก็อยากให้หนูรำในพิธีไหว้ครูครั้งนั้น วันนั้นหนูก็ได้แต่งตัวเป็นผู้หญิงด้วย ซึ่งจะมีอาจารย์คนหนึ่ง เป็นคนดูแลโรงเรียนนั้น เค้าได้เดินมาพูดกับหนูว่า ถ้ายังไม่ปรับตัวเองในเรื่องเพศ ถ้ายังอยากเป็นผู้หญิงแบบนี้ ให้หนูเลือกโรงเรียนใหม่ แล้วเตรียมออกไปเรียนที่ใหม่ ตอนนั้นหนูเสียใจมาก ทั้ง ๆ ที่หนูคิดว่าที่นี่จะเป็นที่ที่ดีที่สุดสำหรับหนู แต่ทำไมกลับกลายเป็นที่ที่ไม่ยอมรับในตัวตนของหนู ไม่ยอมรับความแตกต่างที่หนูเป็นอยู่ หนูร้องไห้เสียใจ เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครที่มาปิดกั้น หรือมาตัดสินหนูเพียงเพราะหนูเป็นแบบนี้ ซึ่งหนูก็กลับมาย้อนดูตัวเอง เราก็ไม่ได้แตกต่างตรงไหนเลย หนูไม่ได้ไว้ผมยาว หนูตัดรองทรงเหมือนเด็กผู้ชายเหมือนกัน แล้วหนูก็ไม่ได้แต่งหน้าเขียนคิ้ว หนูก็ทาแค่แป้งฝุ่นธรรมดากับทาลิปมันเท่านั้น แต่หลังจากที่เค้าเห็นหนูรำครั้งนั้น เค้าก็เลยรู้สึกไม่พอใจที่หนูเป็นแบบนี้ เค้าก็จะปิดกั้นโอกาสต่าง ๆ ของหนู

มีอีกเหตุการณ์หนึ่ง วันนั้นเป็นงานของโรงเรียน และมีแขกมาเยี่ยมชมด้วย ซึ่งเราก็ต้องไปแสดงให้แขกดูให้เห็นถึงความสามารถของเรา วันนั้นหนูก็แต่งหน้าทำผมเสร็จเรียบร้อยกับเพื่อน ๆ แต่หนูกลับไม่ได้ไปแสดง ส่วนเพื่อน ๆ ได้ไปแสดงทุกคน ซึ่งคุณครูคนนั้นได้เข้ามาให้เหตุผลว่า เค้าไม่ให้หนูแสดงเพราะเค้าไม่ชอบที่หนูเป็น LGBTQ+ เหตุการณ์นั้นทำให้หนูเสียใจมาก จนรู้สึกไม่มีคุณค่าในตัวเองเลย หนูด้อยค่าในตัวเองมาก ๆ จนถามตัวเองว่าเราเกิดมาทำไม เรามาอยู่จุดนี้ทำไม ไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เผื่อชาติหน้าอาจจะเกิดมาครบ 32 อาจจะเป็นผู้หญิง หรือผู้ชายจริง ๆ

แต่ที่หนูผ่านเหตุกาณ์นั้นมาได้ เพราะหนูได้กำลังจากคนรอบข้าง จากคุณครู จากเพื่อน แล้วก็จากครอบครัว มันก็เลยทำให้หนูฮึดสู้ แล้วก็มองข้าม หนูเชื่อว่าสักวันหนึ่งเค้าก็จะเห็นคุณค่าในตัวของเรา แล้วหนูก็ตั้งใจเรียนเพื่อที่จะเรียนให้จบ แล้วมีกิจกรรมต่าง ๆ หนูก็จะทำเต็มที่ ถึงเค้าคนหนึ่งจะไม่โอเค แต่ยังมีอีกหลาย ๆ คนที่โอเค

จากที่หนูชอบเต้น ชอบรำ แล้วหนูเชื่อว่าความแตกต่างของสภาพร่างกาย ถึงเราเกิดมาเป็นแบบนี้ แต่เราก็มีความอ่อนช้อยในเรื่องของท่วงท่า การร่ายรำไปพร้อมกับดนตรี แล้วก็มีคนถ่ายคลิปหนูรำ จนมันกลายเป็นไวรัลเลย”

 

 

แม้ไร้ขา แต่เดินไปข้างหน้าด้วยหัวใจแกร่ง

“ความฝันในตอนเด็กคือหนูอยากประกวดนางงาม แล้วในช่วงที่หนูเป็นนางรำ ก็อยากมีโอกาสแต่งตัวสวย ๆ ไปยืนอยู่บนเวทีประกวด อยากไปโชว์ความสามารถให้ทุกคนได้เห็นว่าเราก็มีจุดยืนในสังคม นี่แหละคือความแตกต่างที่เกิดขึ้นในสังคม จนหนูได้เดินตามความฝัน หนูเริ่มประกวดนางงามตอนอายุ 17 ปี เวทีแรกคือ นางสาวสยามข้ามเพศ ซึ่งหนูเห็นเค้าโพสต์รับสมัครผ่านโซเชียล หนูก็ได้ทักไปสอบถามกับผู้จัดงานว่า หนูมีสภาพร่างกายเป็นแบบนี้ หนูสามารถที่จะประกวดได้ไหมคะ ซึ่งผู้จัดการกองประกวดเค้าก็ยินดีต้อนรับ แล้วก็ให้หนูเข้าไปประกวด จนได้เป็นนางงามสู้ชีวิตตั้งแต่เริ่มเพราะหนูไม่มีพี่เลี้ยง หนูไปด้วยตัวของเราเอง ตอนนั้นหนูมีเงินอยู่ 3,000 บาท ก็ไปหาเช่าชุดไทย แล้วก็นั่งรถจากพัทยาเพื่อจะมาประกวดที่กรุงเทพ มาลงรถที่หมอชิต แล้วก็นั่งแท็กซี่จากหมอชิตไปแต่งหน้าทำผมที่ถนนวิภาวดี พอเสร็จก็นั่งแท็กซี่ไปประกวดที่ วอเตอร์เกท พาวิลเลียน​ การประกวดเวทีแรก กระแสตอบรับดีมาก ๆ  กรรมการก็ชื่นชมแล้วก็ให้รางวัลพิเศษกับหนูมาเยอะมาก มันทำให้หนูรู้สึกชอบ และอยากไปต่อ  หลังจากนั้นหนูก็เดินสายประกวดนางงามมาประมาณ 20 เวที

การประกวดนางงาม ถ้าเราไม่มีพี่เลี้ยงมันยากมาก เพราะถ้าคนที่มีพี่เลี้ยง เค้าก็จะมีคนดูแลในเรื่องของการแต่งหน้าทำผม การเดินทาง การกินอยู่ต่าง ๆ ทั้งหมดนี้พี่เลี้ยงจะเป็นคนดูแล แต่หนูดูแลตัวเองทุกอย่างตั้งแต่หาชุด หาช่างแต่งหน้า เดินทางก็ต้องไปด้วยตัวเอง แต่ยังไงเราก็ต้องไปให้เค้าเห็นก่อน แล้วเค้าอาจจะหยิบยื่นโอกาสมาช่วยเหลือเราก็ได้ แต่เราต้องเดินได้ด้วยตัวเองก่อนค่ะ”

 

 

ทุกคนมีความสวยเป็นของตัวเอง และหนูก็เป็นคนสวยคนหนึ่ง

“ในการประกวดนางงามหนูฝึกได้ด้วยตัวเอง คือดูจากคนปกติแล้วเอามาปรับใช้ แม้คนปกติจะมีครบ 32 มีรูปร่างหน้าตาที่สวยงาม แต่หนูก็มองว่า หนูก็เป็นคนสวยคนหนึ่ง ความสวยมันแตกต่างกัน ถึงแม้รูปร่างหนูจะเป็นแบบนี้ แต่ถ้าคนปกติเค้าเดินแบบฟูลเทิร์นได้ หนูก็ใช้ส่วนที่หนูมีอยู่ ทำให้ตัวเองหมุนแล้วก็ฟูลเทิร์นได้เหมือนกัน

เงินรางวัลที่ได้มา ถ้าเทียบกับเงินที่เราเสียไปมันไม่คุ้มเลย กับการลงทุนที่เราต้องแต่งหน้าทำผม แล้วก็เดินทางไปตามที่ต่าง ๆ แต่มันเป็นคุณค่าทางจิตใจที่หนูอยากทำ มันคือความภูมิใจที่ทำให้คนรู้จักหนู แล้วได้รู้ว่าถึงแม้เราจะเกิดมาพิการ แต่เราก็อยากที่จะมีจุดยืนในสังคม อยากให้สังคมได้เห็นความแตกต่าง และความหลากหลายที่เกิดขึ้น ซึ่งเราคือบุคคลที่ไปยืนอยู่ตรงนั้นแล้วแสดงให้ทุกคนได้เห็น หนูไม่อยากให้ใครมาสงสาร แต่หนูอยากไปหาจุดยืน และอยากหาโอกาสให้กับตัวเอง”

 

จากการประกวดนางงาม สู่ฑูตอารยะสถาปัตย์

“ฑูตอารยะสถาปัตย์ หนูได้มาจากเวทีการประกวดนางงาม ซึ่งเป็นเวทีการประกวด Miss Thailand Friendly Design 2023 โดยเวทีนี้เฟ้นหานางงามที่มีจิตอาสา เพื่อที่จะเป็นฑูตอารยะสถาปัตย์ เป็นกระบอกเสียงในเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำสำหรับผู้พิการ ผู้สูงอายุ เด็ก หรือคนชรา ในส่วนของทางลาด รวมถึงที่จอดรถสำหรับผู้พิการ ซึ่งการประกวดนี้เป็นเวทีที่เปิดโอกาส ไม่จำกัดสภาพร่างกาย ไม่จำกัดเพศ แล้วหนูก็มีโอกาสได้ยืน 1 ใน 5 ผู้ที่ผ่านเข้ารอบ แล้วก็ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 มา พอมาเป็น ฑูตอารยะสถาปัตย์ หนูก็จะทำหน้าที่ลงสำรวจพื้นที่ ไปตามสถานที่ต่าง ๆ พอเห็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่เค้าตั้งขึ้นมาเพื่อคนพิการ เราก็โพสต์ขอบคุณ แล้วก็สำรวจที่อื่น ๆ เผื่อจะเจอจุดที่ควรแก้ไขเพื่อให้เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากล ทุกคนสามารถเข้าถึง และสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย

ในตอนที่ประกวดก็จะมีรอบที่ต้องทำการแสดงความสามารถพิเศษ ตอนนั้นหนูแสดง การรำสะเอง ซึ่งเป็นการรำของชาวจังหวัดศรีสะเกษ เวลามีคนเจ็บป่วยชาวบ้านจะมีการรำสะเอง หรือที่เรียกอีกอย่างว่า รำแม่มด เพื่อที่จะช่วยรักษาคนเจ็บป่วยให้หายดี ในการแสดงจะมีขันใส่ข้าว แล้วก็มีการสวด ซึ่งหนูเห็นชาวบ้านในหมู่บ้านแสดงก็เลยจำเค้ามา แล้วก็มาหาเพลง ปรับเป็นการแสดงรำด้วยตัวเอง

นอกจากนี้ของขึ้นชื่อของจังหวัดศรีสะเกษก็คือ ทุเรียนภูเขาไฟ ที่มีลักษณะกรอบนอกนุ่มใน เปลือกบาง เนื้อหวานมัน กลิ่นน้อย กินเข้าไปแล้วละมุนเหมือนละลายในปากได้ มาศรีสะเกษ ต้องนึกถึง ทุเรียนภูเขาไฟจังหวัดศรีสะเกษ”

 

 

ถ้ามัวแต่โทษตัวเอง มันก็ไม่สามารถที่จะไปต่อได้

“ในการประกวดนางงามหนูก็เคยโดนบูลลี่จากผู้เข้าประกวดคนอื่น เหมือนเค้าไม่พอใจที่หนูได้เข้ารอบ 20 คนสุดท้าย เพราะว่าหนูพิการ แต่เค้ามีครบ 32 ทำไมไม่ได้ไปยืนอยู่ตรงนั้น มันรู้สึกเสียใจ แต่หนูก็ปล่อยวาง เสียใจแค่วันนั้นแต่หลังจากประกวดจบหนูก็หาย

อย่างคลิปเต้นล่าสุดที่หนูลง ก็มีคนมาคอมเมนต์ว่า เกิดมาไม่ครบ 32 แล้วยังจะมาโชว์แข้งขาอีก ขาก็ไม่มีเกิดมาทำไม ทำไมไม่ตาย พอหนูเห็นคอมเมนต์ก็คิดว่าแล้วทำไม ฉันเกิดมาแบบนี้ฉันต้องตายเหรอ ฉันเกิดมาแบบนี้ฉันไม่สามารถที่จะยืนอยู่ในสังคมได้อย่างสง่างามเลยเหรอ ฉันเกิดมาแบบนี้แล้วฉันจะไม่มีจุดยืนในสังคม และจะไม่ได้รับโอกาสจากสังคมเลยเหรอ ทำไมฉันต้องตาย แล้วพอมานั่งคิดทบทวนก็รู้สึกว่า เค้าอาจจะสนุกปาก แต่คนที่รับฟังไม่สนุกด้วยเลย ตอนแรกก็จะรับคำขอโทษเป็นเงินสดเท่านั้น แต่สุดท้ายก็ปล่อยผ่าน แต่ถ้าเกิดมีอีกครั้งก็อาจจะต้องพึ่งพากฎหมายสักวัน

แม้หนูจะพิการ แต่หนูก็ไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร หนูสามารถทำได้ทุกอย่างเหมือนกับคนทั่วไปปกติ แค่เราต้องพยายามมากกว่า หนูทำกับข้าวเอง ขึ้นรถไปตามสถานที่ต่าง ๆ ก็ด้วยตัวเอง ว่ายน้ำหนูก็ทำได้ อย่างขาเทียม หนูลองมาตั้งแต่เด็กเลย แต่ด้วยความที่หนูไม้มีขาตั้งแต่เหนือเข่า ถ้าใส่ขาเทียมมันต้องสวมเข้าทั้ง 2 ข้าง ซึ่งเวลาหนูก้าวเดิน มันเสียดสีกันแล้วมันเกิดอาการเจ็บ แล้วเวลาหนูออกแรงยกขาเดินแต่ขาเทียมมันไม่ไป หนูฝึกใช้ขาเทียมนานเลย จนรู้สึกว่าหนูเอาเวลาตรงนั้นมาทำอะไรได้หลาย ๆ อย่างมาก หนูก็เลยเลือกที่จะเดินแบบไม่ใส่ขาเทียมดีกว่า มันคล่องตัวดี เราก็ระมัดระวังเอา

หนูชื่นชม และคอยให้กำลังใจตัวเองเสมอว่า หนูเกิดมาเป็นแบบนี้ หนูเก่งมาก ๆ เวลาหนูตื่นขึ้นมา หนูสามารถที่จะไปไหนมาไหน สามารถทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูตัวเอง เลี้ยงดูครอบครัวได้ ตื่นมาได้แต่งตัวสวย ๆ ได้ไปเจอผู้คนมากมาย หนูรู้สึกว่าหนูภูมิใจในตัวเอง หนูเข้มแข็งมาก ๆ ที่หนูเกิดมาเป็นแบบนี้ ถึงแม้หนูจะมีไม่ครบ หนูต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ทั้งเรื่องเพศสภาพ และเรื่องสภาพร่างกาย หนูมีใจที่เกินร้อยจริง ๆ และหนูเข้มแข็งมาก ๆ อาจจะมีบ้างที่หนูจะโดนบูลลี่ โดนคอมเมนต์แย่ ๆ แต่หนูต้องมูฟออน เพราะถ้าเรามัวแต่โทษตัวเองอยู่อย่างงั้น มันก็ไม่สามารถที่จะไปต่อได้ หนูก็เลยมองข้าม เพื่อหาสิ่งดี ๆ ก้าวผ่าน แล้วเดินหน้าต่อไป”

 

 

ความเหลื่อมล้ำที่ยังคงพบเจอ

“สำหรับหนูมองว่าตอนนี้ประเทศไทยยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการที่ยังน้อยอยู่ จนบางทีมันยังเกิดการเหลื่อมล้ำทางสังคมเกิดขึ้น อย่างเช่น ตอนที่หนูขึ้นรถไฟฟ้า เวลาหนูได้มาทำงานที่กรุงเทพ ซึ่งบนรถไฟฟ้าก็จะมีที่นั่งสำหรับคนพิการ แต่ตอนที่หนูไปใช้บริการหนูกลับไม่ได้นั่ง ขนาดเค้าเห็นว่าหนูพิการแต่เค้าไม่ลุกให้หนูนั่ง หนูก็ได้แต่โอเคไม่เป็นไรยืนก็ได้ หนูไม่ได้จะไปเรียกร้องว่าลุกให้หน่อยนะคะ หนูเข้าใจว่าคนทำงานเหนื่อย ๆ เค้าอาจจะอยากนั่ง แต่มันก็เป็นที่คนพิการมันก็มีป้ายบอกแล้ว หนูก็อยากจะบอกสังคมว่าเห็นใจพวกเราด้วยนะคะ โอกาสทางสังคมของพวกเราก็น้อยอยู่แล้ว ความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นมันทำให้เรารู้สึกไม่ได้รับความเท่าเทียมสักเท่าไหร่”

 

การทำงานที่สังคมเปิดรับ แต่ยังไม่เปิดใจ

“ตอนนี้หนูก็ทำหลายอาชีพมาก ๆ ทั้งเป็นอินฟลูเอนเซอร์รีวิวสินค้า แล้วก็เป็นฑูตอารยะสถาปัตย์ ซึ่งเป็นสัญญาปีต่อปี

ย้อนกลับไปตอนที่หนูเรียนที่พัทยา หนูก็สู้ด้วยตัวของหนูเอง หนูไปนั่งขายพวงกุญแจที่ถนนวอล์คกิ้งสตรีท เอารถวีลแชร์ขึ้นวินมอเตอร์ไซค์ไปนั่งขาย ตอนแรกขายได้ 800 บาท หนูภูมิใจที่สามารถหาเงินได้จากการขายของตัวตัวหนูเอง

หลังจากนั้นก็หนูก็เป็นนางรำ แล้วก็ได้ไปออกรายการตามช่องต่าง ๆ แล้วก็มีผู้ใหญ่ให้โอกาสไปเป็นพิธีกรของรายการสำหรับคนพิการ และได้ไปทำงานธุรการอยู่สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการบ้านราชาวดี(หญิง) จังหวัดนนทบุรี จากนั้นก็ไปทำประสานงานให้กับทริปเปิ้ลทรีบอร์ดแบรนด์ แล้วก็ได้ไปทำงานโรงงานจิวเวลรี่ ที่จังหวัดสมุทรสาคร

ในเรื่องของการทำงานก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป บางครั้งเค้าเปิดรับ แต่ยังไม่เปิดใจ เหมือนเปิดรับคนพิการก็จริงอยู่ แต่พอคนพิการไปสมัครก็มีเงื่อนไขเยอะมาก เหมือนเค้าไม่เปิดใจรับ แต่ประกาศรับ หนูเชื่อว่าคนพิการก็คงมีศักยภาพตามเนื้องานที่เค้าประกาศรับสมัคร แต่พอได้เข้าไปทำงานจริง ๆ ก็ต่างคนต่างความคิด ร้อยพ่อพันแม่ เราไม่สามารถที่จะไปห้ามความคิดคนได้  บางคนคิดว่าเอาเรามาก็ไม่ได้ช่วยอะไร เหมือนเอามาลดหย่อนภาษีเฉย ๆ แต่สำหรับหนูเองก็ทำหน้าที่ของเราต่อไป ใครจะมองยังไงมันก็เรื่องของเขา ทุกคนมีสิทธิที่จะออกความคิดเห็น แต่ก็ควรที่จะให้เกียรติซึ่งกันและกัน”

 

 

เปิดหัวใจ ส่องความรักของ อุ้มบุญ หมายเขา

“ที่ผ่านมาก็เจ็บช้ำจากความรักมาเยอะมาก หนูเกือบตายจากรักครั้งแรก ตอนนั้นเราคบกัน 2 ปี แล้วเค้าก็ได้มีโอกาสมาทำงานที่กรุงเทพ ความห่างกันมันทำให้เค้าเปลี่ยนไป จากที่เคยคุยกันทุกวันก็กลายเป็นนาน ๆ คุยกันที จนท้ายที่สุดเค้าก็ไปมีคนใหม่ ตอนนั้นหนูเจ็บมาก เพราะเค้าเป็นคนที่ยอมรับในตัวตนของเราได้ ซึ่งหนูก็เป็นคนที่ถ้าเจอคนที่สามารถยอมรับในตัวตนของหนูได้ หนูจะรักเค้ามาก ๆ แล้วให้ใจไปเต็มร้อย แต่พอเค้าไปมีคนใหม่เราก็เลยเจ็บมาก เพราะมันเป็นรักครั้งแรก หนูคิดสั้นทำร้ายตัวเองแต่ไม่เป็นไรมากเพราะเพื่อนมาช่วยไว้ก่อน

มุมมองความรักตอนนี้ หนูเชื่อว่าความรักมันเป็นสิ่งสวยงาม เป็นเรื่องของคนสองคน เพียงแค่ตอนนี้ยังหาไม่เจอ แต่ไม่เป็นไร เมื่อมีโอกาสที่เหมาะสม เดี๋ยวเค้าก็มาเอง ตอนนี้หนูก็ขอโฟกัสที่การทำงาน การรักตัวเอง รักครอบครัว รักคนรอบข้าง รักคนที่ให้โอกาสเรา

สำหรับ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ที่กำลังจะเกิดขึ้น สำหรับหนูมันเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะว่าถ้าในอนาคตหนูมีแฟน แล้วหนูอยากจะจดทะเบียนสมรส หรือมีอะไรที่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งถ้ามี พ.รบ.สมรสที่เท่าเทียมซึ่งตอนนี้อยู่ในวาระสุดท้ายแล้ว อยากที่จะให้ผ่านไปด้วยดีและออกกฎบังคับใช้ เพื่อทุก ๆ คนในสังคม เพื่อสิทธิความเท่าเทียมที่มันจะเกิดขึ้นจริง เพราะว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาไม่สามารถที่จะเลือกเกิดได้แต่เลือกที่จะเป็นได้ แล้วก็ควรที่จะมีสิทธิเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง ไม่ควรที่จะมีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”

 

 

สีสัน แรงบันดาลใจ จาก อุ้มบุญ หมายเขา

“สำหรับคนที่กำลังท้อแท้ในชีวิต หนูเชื่อว่ามันต้องมีทางออก เราต้องรีบหาทางออก รีบมูฟออนไปทำในสิ่งที่เรารักและอยากจะทำ หนูเชื่อว่ามันประสบผลสำเร็จอย่างแน่นอน มีหลายคนมาคอมเมนต์ในโซเชียลของหนูว่า การตื่นขึ้นมาแล้วเห็นหนู ทำให้เค้ามีแรงที่จะใช้ชีวิตต่อไป และมีน้อง ๆ หลายคนที่เค้าอยากประกวดนางงาม แล้วพอเห็นเราประกวดนางงาม เค้าก็ทักมาขอคำแนะนำ หนูก็บอกว่า เชื่อมั่นในตัวเอง ทุกคนมีความสวยที่แตกต่างกันอยู่แล้ว ขอแค่คุณมีใจที่เต็มร้อย แล้วเชื่อมั่นในตัวเองว่าคุณทำได้ ลงสมัครไปเลย ลงมือทำตามความฝันของตัวเองเลย

มาถึงตอนนี้หนูมาไกลมาก ๆ จากที่โดนบูลลี่จนรู้สึกไม่มีค่าในตัวเอง จนตอนนี้เราเห็นคุณค่าในตัวเองมาก ๆ ซึ่งจุดเปลี่ยนก็คือตัวหนูเองที่เลือกมองข้าม แล้วอยากทำให้คนที่เค้าดูถูกหนู เห็นว่าหนูทำได้ บวกกับการที่ทุกคนเปิดโอกาสให้กับหนูได้มีจุดยืนในสังคม มันก็เลยทำให้หนูก้าวผ่านตรงนั้น เพื่อที่จะมาทำตามความฝัน แล้วก็ก้าวผ่านหลาย ๆ อย่าง จนมาเป็นหนูในวันนี้”

 

 

คำขอบคุณ จาก อุ้มบุญ หมายเขา

“หนูอยากจะขอบคุณ คุณพ่อคุณแม่แล้วก็คนในครอบครัว ที่ไม่ว่าหนูจะทำอะไร ท่านก็ไม่เคยปิดกั้นโอกาสหนูเลย ท่านคอยสนับสนุนในทุก ๆ เรื่องที่หนูอยากทำ และอยากขอบคุณตัวเองที่เข้มแข็งมาก ๆ แม้ว่าเจออะไรมาเยอะมากในชีวิต แต่หนูก็สามารถที่จะก้าวผ่าน แล้วก็มาเป็นหนูจนถึงทุกวันนี้ ทำให้คนได้เห็นว่า ถึงแม้จะเกิดมาเป็นแบบนี้ แต่หนูก็มีคุณค่าในตัวเอง” - อุ้มบุญ หมายเขา

 

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์

 

ติดตามชมรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1