“หนูจะไม่ด้อยค่าตัวเอง เราควรรักตัวเองที่สุด ถ้าวันนี้เราตื่นมาแล้วเรายังหายใจได้ เราก็จะสามารถแต่งตัวสวย ๆ หาความสุขให้กับสิ่งที่เรารัก หนูว่าเราทำทุก ๆ วัน ให้มีค่าในชีวิตตัวเองได้เสมอ”
ยังเป็น Club ที่รวมหลากหลายสีสันของชีวิต และคอยแบ่งปันแรงบันดาลใจดี ๆ ในทุกสัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดเฟียร์ส จากจักรวาลหิ้วหวี “ตูน หิ้วหวี” หรือ “Alie Blackcobra” บิวตี้บล็อกเกอร์สายฝอ ที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักของวัยรุ่นไทย ด้วยความที่มีลุคเผ็ดแซ่บ ตรงไปตรงมาบวกกับการมีสไตล์การแต่งหน้าที่เป็นจุดเด่น จึงทำให้เธอมีแฟนคลับที่ติดตามผลงานอย่างมากมาย แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ เธอผ่านหลากหลายเรื่องราวของชีวิต และมีข้อคิดแรงบันดาลใจดี ๆ ที่ได้แบ่งปันไว้ในรายการด้วย

ชื่อ Alie Blackcobra กับที่มาสุดแซ่บ
“จริง ๆ หนูเรียนจบสายภาพยนตร์มา และเป็นคนคลั่งภาพยนตร์มาก ๆ คำว่า Alie Blackcobra มันมาจากหนังทั้งหมดเลย Alie มาจากหนังเรื่องเอเลี่ยน เพราะหนูรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมือนคนทั่วไป ทั้งเรื่องความชอบ และการใช้ชีวิต หนูเลยชอบคำว่าเอเลี่ยน และก็ตัดตัวเอ็นออก ให้มันดูเป็นชื่อคนหน่อย กลายเป็น Alie ส่วน Blackcobra มาจากรหัสสายลับ ในหนังเรื่องคิวบิว หนูก็เลยเอามารวมกัน ทีนี้พอมันมาเรียงกัน Alie Blackcobra มันเป็น A B C พอดี หนูเลยชอบคำนี้มาก ชื่อนี้นำเสนอความเป็นตัวหนูสุด ๆ เลย”
ย้อนวัยใส ของ ตูน หิ้วหวี
“หนูเป็นเด็กต่างจังหวัด เกิดและโตที่กำแพงเพชร ก็เรียนมาเรื่อย ๆ แล้วก็ช่วยคุณแม่ขายของจากรถเข็น ก็ตากแดดตากลม แต่หนูรู้สึกว่า คนเราเมื่อมันไม่มีมันอยู่ได้ แต่ถ้ามันเคยมี แล้วมันไม่มีจะอยู่ยาก หนูโตมาจากการไม่มี แล้วมีมาเรื่อย ๆ ก็รู้สึกว่าเป็นการลำบากที่สบายในอนาคต ไม่ได้รู้สึกเหนื่อย ไม่ได้รู้สึกท้อใจ ไม่ได้รู้สึกน้อยใจในโชคชะตาเลย
หนูใช้ชีวิตอยู่กับคุณยายมาตั้งแต่เด็ก เพราะว่าคุณแม่เค้าไปทำงานต่างจังหวัด หนูก็จะอยู่กับคุณยาย แล้วเค้าก็จะไม่ค่อยมีเงิน หนูจะไปสอนหนังสือเพื่อเอาเงินไปโรงเรียน สอนเด็กประถม วันละ 1 ชั่วโมง คนละ 10 บาท วันหนึ่งหนูได้ 50 บาท หนูก็สอนแบบนี้จนเข้ามหาวิทยาลัย
หนูเรียกยายว่า คุณแม่ ส่วนแม่ หนูเรียกว่า คุณน้า เพราะเหมือนถูกปลูกฝังมาว่าให้เรียกคุณยายว่าแม่ อาจเป็นเพราะแม่เค้าท้องหนูตอนสาว แล้วทีนี้ยายก็เลยบอกว่านี่ลูกฉัน แล้วก็บอกแม่ต้อให้หนูเรียกเค้าว่าน้า จนวันที่หนูอ่านหนังสือออก ไปอ่านใบเกิด มารดา ไม่ใช่ชื่อคุณยายแต่เป็นชื่อแม่ต้อ ก็เลยงงว่า เธอเป็นแม่ฉันเหรอ แล้วก็ร้องไห้ไปกอดคุณยาย มันเหมือนโดนหลอกเหมือนกันนะ
หนูได้ ความอดทน จากคุณยาย ที่บ้านหนูเคยโดนตัดน้ำตัดไฟ เพราะไม่มีเงินจ่าย แล้วก็ต้องย้ายบ้าน เพราะเหมือนเค้ามีหนี้สิน ซึ่งทุกคนอดทนที่จะใช้ชีวิต แล้วหนูอดทนในตอนที่โดนดราม่า หนูอดทนที่จะยืนตรงนี้ต่อ แล้วทำมาเรื่อย ๆ แม้ว่าจะลำบากขนาดไหน ไม่มีงาน ไม่มีลูกค้า หนูก็พยายามไปหาของมาขายเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้มันยังมีชีวิตอยู่ในกรุงเทพได้ จริง ๆ ใจอยากจะกลับต่างจังหวัดจะแย่แล้ว แต่ว่าหนูก็ถู ๆ ไถ ๆ มาได้ หนูก็รู้สึกว่านี่แหละความอดทน”

ในวันที่ต้องมาใช้ชีวิตในเมืองกรุง
“ตอนแรกหนูมากรุงเทพแบบ เสื่อผืนหมอนใบ มาเรียนปี 1 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ตอนนั้นหนูมีเสื่อ หมอน พัดลม แล้วก็หม้อหุงข้าว แค่นั้น หนูมากับรถทัวร์ แต่ว่าหนูฝันสูงมาก ฝันตั้งแต่เด็กว่าอยากมาอยู่ และทำงานที่กรุงเทพ หนูพูดกับเพื่อนว่า ฉันต้องได้เป็นดารา แล้วเพื่อนบอกว่า ไม่ได้เป็นหรอกดาราที่กรุงเทพ เค้าได้เป็นกันตั้งแต่อายุ 15 แล้ว หนูก็บอกว่าดูถูกความฝันกันมาก หนูก็มาเรียนที่กรุงเทพเลย จนวันนี้หนูบอกเพื่อนคนนั้นว่า ฉันได้เป็นดาราแล้วนะ
ตอนเรียนหนูมีความฝันว่า หนูอยากอยู่ในหนังสือ CHEEZE MAGAZINE หนูก็เลยไปงาน CHEEZE บ่อย ๆ ให้เค้าถ่ายรูป แล้วหนูดีใจมาก จน พี่พายไก่ กับ พี่ปิงปอง มาเห็น แล้วให้โอกาสชวนหนูไปทำรายการคบตุ๊ดไม่หลุดเทรนด์ หนูก็เลยได้ไปเป็นบิวตี้บล็อคเกอร์ในคบตุ๊ดไม่หลุดเทรนด์ แล้วพอมีชื่อเสียงมากขึ้น หนูก็เลยเปิดช่อง Youtube ของตัวเอง พอมีช่องแต่งหน้า มิกซ์ เฉลิมศรี ก็เลยดึงหนูเข้าแก๊งหิ้วหวีเลย แล้วหนูก็ดังเลย
หนูชอบถ่ายรูป ชอบแฟชั่นมาตั้งแต่เด็ก ถามว่ามีพื้นฐานไหม หนูแค่ไปดูคนอื่นมาแล้วลองแต่ง แต่ว่าแฟชั่นของหนูมันหลุดไปจากคนอื่นที่มันไม่มีคนทำ มันอาจจะเป็นแปลกใหม่ แล้วคนไทยไม่เคยเห็น คนก็เลยชอบบอกว่าหนูเป็นสายฝอ แล้วคนก็ชอบ”

ครอบครัว กับการยอมรับตัวตนของ ตูน หิ้วหวี
“เอาจริง ๆ ครอบครัวเพิ่งมารับได้ ตอนที่หนูเข้ามหาวิทยาลัยเลย เมื่อก่อนเราทะเลาะกันทุกวันแม้กระทั่งหนูย้อมผมสีทอง คุณแม่ก็ไม่ชอบ เพราะว่ามันแบบตุ้งติ้งออกสาว เค้าไม่ชอบให้เราเป็น LGBTQ+ เลย แต่พอเข้ามหาวิทยาลัย เหมือนเราเลี้ยงดูตัวเองได้ เค้าก็ไม่มาเบียดเบียนเรา เราก็ไม่ได้เบียดเบียนเค้า เค้าก็เลยเริ่มปล่อย ๆ เรา
ตอนที่เค้ายังไม่ยอมรับหนูต้องแอบ ทุกครั้งที่หนูแต่งหญิง หนูต้องแอบหมดเลย ห้ามให้เค้าเห็น ซึ่งหนูรู้สึกว่าเสียใจจัง อยากให้แม่มาช่วยถ่ายรูปให้ อยากให้แม่เห็นว่าเราแต่งหญิงแล้วมันสวยขนาดไหน ถึงแม้เราจะไม่สวยก็ตาม แต่เราอยากให้คนข้าง ๆ เราเห็น จนหนูเรียนปี 3 หนูก็นั่งแต่งหน้าหวีผมอยู่ คุณยายที่หนูเรียกว่าแม่เค้าก็บอกว่า มาเดี๋ยวหนีบผมให้ แค่เค้าทำให้ แต่หนูรู้สึกว่าซึ้งใจจัง กับแม้ต้อ หนูอยู่แบบเป็นเพื่อนอยู่แล้ว เค้ารู้ว่าหนูเป็น LGBTQ+ อยู่แล้ว ซึ่งหนูจะเกรงใจคุณยายมากกว่า
เพศแบบพวกหนูถูกกดดันเยอะมาก คุณต้องเป็นหมอ คุณต้องเป็นอะไรเลิศ ๆ คุณถึงจะเป็น LGBTQ+ ได้ ถ้าคุณไม่รวย คุณห้ามเป็นกะเทย ซึ่งหนูว่ามันไม่เกี่ยวเลย ถ้าคนมันจะเป็น มีเงินบาทเดียวหรือไม่มีเลย มันก็จะเป็น ทุกวันนี้แอบอิจฉาเด็กรุ่นใหม่ ที่เค้ารู้ตัวมาตั้งแต่เด็ก แล้วคุณพ่อคุณแม่เค้าช่วยส่งเสริม มันเป็นอะไรที่ยกระดับ LGBTQ+ มากเลย”

ตัวตนที่คนอื่นเห็น กับ ตัวตนที่เป็นฉัน
“จากที่คนอื่นมอง หนูจะมีคาแรกเตอร์ดุร้าย เฟียร์ส แล้วก็ดูเป็นคนสนุกสนาน ดูไฮเปอร์อยู่ไม่นิ่ง ดูเป็นคนต้องการเพื่อน เป็นคนขี้เหงามาก ๆ อยู่คนเดียวไม่ได้
แต่จริง ๆ แล้วหนูเป็นคนที่โลกส่วนตัวสูงมาก สมมติว่าถ้าหนูรู้จักใครสักคน แล้วรู้สึกว่าเข้ากันไม่ได้ หนูก็จะค่อย ๆ เอาตัวออกจากเค้า แต่ถ้าใครสักคนที่หนูรู้สึกเข้ากันได้ หนูก็จะสนิทไปเลย เพราะหนูชอบคนที่มีความชอบเหมือน ๆ กัน มีสไตล์คล้ายกัน ซึ่งมันก็จะหายากมาก หนึ่งในนั้นก็จะมีในแก๊งหิ้วหวี อย่างเช่นเวลาหนูชอบกินหนูก็จะชวนเอิ๊ก เวลาหนูชอบไปต่างจังหวัดหรือไปเที่ยวหนูก็จะชวนพี่นัท เวลาหนูอยากปาร์ตี้หนูก็จะชวนอยู่กับมิกซ์ เป็นต้น
ซึ่งในตอนแรก หนูรู้สึกว่าถ้ายิ่งมีเอนเนอร์จี้ คนจะยิ่งชอบดูคลิป คนจะไม่กดข้าม ถ้าเราเป็นคนสนุก แต่จริง ๆ แล้วมันกลายเป็นดาบสองคม เรากลายเป็นคนโหวกเหวกโวยวาย ใช้คำหยาบมากเกินไป ทำให้ตอนนี้ทุกอย่างมันถูกปรับให้รวม ๆ กัน หนูกลายเป็นคนที่โวยวายด้วย น่ารักด้วย กลายเป็นการผสมผสานแล้วลงตัวมาก
แล้วการที่หนูเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ก็จะมีบางเรื่องที่คนดูจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องจริง อาทิเช่น ตอนที่เพื่อนบอกว่าหนูโตในคุก หนูก็ทำเป็นเศร้าให้อินไปกับเรื่องที่เพื่อนพูด ไม่ได้คิดอะไร แล้วปรากฎว่าคุณแม่ได้ยินแล้วเค้าเสียใจ แล้วในคอมเมนต์ก็เชื่อกันว่าหนูโตในคุกจริง ๆ ซึ่งมันไม่ใช่ แต่หนูก็เล่นไปตามน้ำด้วย บวกกับที่พอเราเป็นอินฟลูเอนเซอร์คนก็เลยเชื่อ ยิ่งเพื่อนก็บิ้วต์อีก มันก็เพิ่มความเชื่อเข้าไปอีก”

คอมเมนต์เชิงลบ ที่มันกระทบจิตใจ
“ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีคอมเมนต์ที่กระทบจิตใจหนูเลย จน 3 ปีที่ผ่านมา คอมเมนต์มันมีพลังกับชีวิตหนูมาก มากจนหนูไม่อยากทำอะไรเลย ไม่อยากทำงาน ไม่อยากอยู่ในวงการ ไม่อยากอยู่ในโซเชียล หนูเบื่อมาก จากที่หนูเป็นคนสนุกตลอดเวลา อยากอยู่กับเพื่อนตลอดเวลา อยากทำคลิปทุกวัน กลายเป็นหนูไม่อยากทำแล้ว เพราะว่าคอมเมนต์มันถาโถมมาเรื่อย ๆ แล้วเราเก็บมามาก ๆ มันทับกันเรื่อย ๆ มันเหมือนโดนยิงจุดเดิมหลาย ๆ นัด จนวันหนึ่ง มันระเบิดออกมาให้กับคนทั้งโซเชียลรู้ แล้วหนูเหมือนได้ยกสิ่งที่หนูเครียดที่สุดในชีวิตออกไปให้ทุกคนรู้ จากเทปที่หนูไปนั่งคุยกับพี่เขื่อน ว่าหนูไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว หนูเหนื่อย ซึ่งมันก็ดีนะที่หนูไม่ต้องเล่าให้เพื่อนรู้ และกลายเป็นว่าคนอื่นเค้ารู้แล้วว่าหนูเหนื่อย หนูไม่อยากทำ พอเทปนี้ออกไปกลายเป็นว่า หนูเห็นคนรักหนูมากขึ้น หนูมีแรงที่จะทำอะไรหลายอย่างมากขึ้น หนูมีพลังที่อยากจะกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้งมากขึ้น หนูอยากเปลี่ยนให้คนในสังคมเห็นว่า หนูสามารถเปลี่ยนคาแรกเตอร์ตัวเอง ให้เป็นคนที่มีคาแรกเตอร์ดีขึ้น ให้เป็นคาแรกเตอร์ที่ไม่ใช่นิสัยจริง ๆ
ซึ่งคอมเมนต์ส่วนมากที่หนูเห็นแล้วก็จะเก็บเอามาคิดก็คือ ตูน ไม่ควรยืนอยู่กับพวกพี่อีก 4 คนในแก๊งนี้เลย ตูน ไม่ควรที่จะอยู่ข้าง ๆ พวกเค้าเลย ทั้ง ๆ ที่พวกเค้าเป็นเพื่อนหนู ซึ่งการที่ได้คุยกับพี่เขื่อน แล้วก่อนที่คลิปจะออนแอร์ หนูส่งคลิปให้เพื่อน ๆ ทุกคนถามว่าจะปล่อยคลิปนี้ใช่ไหม โอเคใช่ไหม หนูก็บอกว่าโอเค แล้วพอมันทับถมมาก ๆ มันถึงเวลาที่เราต้องมานั่งคุยกัน ในแก๊งว่า หนูพร้อมที่จะเปลี่ยนแล้ว ทุกคนพร้อมที่จะช่วยหนูไหม หนูอยากจะเป็นคาแรกเตอร์ใหม่ ที่ไม่ดูโวยวายแบบน่ากลัว หนูอยากโดนแกล้งเหมือนเดิม แต่ว่าถ้าเกิดหนูทำอะไรไม่ดีอยากให้ช่วยเตือนกัน ซึ่งก่อนหน้านี้เราไม่ได้เตือนกัน อะไรเลิศ ๆ ก็ลงไปเลย แล้วพอได้คุยกันเพื่อนทุกคนน่ารักมากที่ยอมรับฟังหนู แล้วก็ช่วยหนูจนสามารถปรับคาแรกเตอร์ของตัวเองได้”
แก๊งหิ้วหวี ที่พร้อมซัปพอร์ต ตูน อยู่เสมอ
“มันมีอยู่ครั้งหนึ่งที่พี่นัทไปรายการ แล้วเค้าบอกว่า ถ้าตูนยังไม่พร้อม จะไม่มีการถ่ายรายการหิ้วหวีเกิดขึ้น เราจะรอจนกว่าตูนพร้อม และหิ้วหวีจะไม่มีวันยุบ ตอนนั้นพอเห็นคลิปแล้วหนูก็นั่งร้องไห้คนเดียว เรารู้สึกว่าดีใจจังที่เค้ายังเห็นเราสำคัญ หิ้วหวีมันเกิดมาจาก 4 คน ก่อนที่จะมีจักรวาลหิ้วหวี หนูเคยย้อนคิดกลับไปว่า ถ้าไม่มีหนูตรงนั้นจริง ๆ เค้าจะเศร้าไหม เหมือนคนที่อยากลองแกล้งจัดงานศพตัวเอง แล้วดูว่าเพื่อนจะมาไหม แต่วันนี้หนูได้เห็นเลยว่า ทุกคนในแก๊งพร้อมที่จะอยู่ข้างหนู ในทุก ๆ ก้าวของการใช้ชีวิต
หลังจากปรับตัวเอง และเพื่อน ๆ ช่วยซัปพอร์ต มันดีนะ หมายถึงว่าแฟนคลับก็เห็นว่า พี่ตูน ดูมีไฟจัง ดูกลับมาทำงานสร้างคอนเทนต์อลังการมากมาย ส่วนตัวก็รู้สึกว่า เราเหมือนกลับมามีไฟจริง ๆ พราะว่าหนูไม่สนใจคำด่าแล้ว หนูสนใจแค่ว่า หนูอยากอยู่กับเพื่อน หนูตรงนี้ ต่อให้คนอื่นจะไม่ให้หนูอยู่ หนูก็จะอยู่ เพราะว่าตรงนี้มันคือพลังรักของหนูหมดเลย นี่คือพลังที่คอยอุ้มชูชีวิตหนูให้มาจนถึงจุดนี้ หนูเลยให้ความสำคัญกับแฟนคลับ แล้วก็คนรอบตัวหนูมากกว่า”

ตูน หิ้วหวี กับโรค Hyperventilation
“หนูป่วยโรคนี้นานมาก ประมาณ 2 ปีได้ หาหมอจิตแพทย์วนไปวนมา มันชื่อว่าโรค Hyperventilation มันคล้ายกับไฮเปอร์ แต่เป็นไฮเปอร์แบบหนักมาก โรคที่หนูเป็น มันเกิดตรงสมอง คล้าย ๆ กับแพนนิค คล้าย ๆ กับโรคซึมเศร้า แต่มันไม่ถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า
ในวันที่รู้ว่าตัวเองป่วย เหตุการณ์เกิดขึ้นตอนหนูกินข้าวตอนเที่ยงคืน แล้วมันรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก ตอนแรกคิดว่าอาจเพราะมันอิ่มมันจุก แต่เราคิดย้ำ ๆ ว่า หายใจไม่ออก หายใจไม่ออก คิดอยู่อย่างนั้น จนวานให้ เอิ๊ก เรียกรถพยาบาลให้หน่อย ต้องไปโรงพยาบาลแล้ว พอไปถึงโรงพยาบาล หนูชักเกร็ง ใจเต้นเร็วและแรงมาก คุณหมอก็เลยฉีดยาระงับประสาท หรือยาระงับความเครียดประมาณนี้ มันหายเลยแบบทันทีทันใด ตอนนั้นหนูคิดว่าตัวเองจะตาย หนูไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไร เราไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิตนี้ จากนั้นคุณหมอก็บอกว่าให้ไปหาหมอจิตแพทย์เลยพรุ่งนี้ หนูก็หาจิตแพทย์ เค้าบอกว่ามันคือโรค Hyperventilation หนูถามว่า แล้วหนูต้องทำยังไงหนูถึงจะหาย ซึ่งหนูไม่ได้กินยานะ หนูแค่ไปคุยกับคุณหมอในทุก ๆ อาทิตย์ เพราะช่วงเดือนแรกหนูกินยาแล้วหนูเวียนหัวจนตกบันได หนูเลยต้องเยียวยาด้วยธรรมชาติ คือเวลาอาการกำเริบใจจะเต้นเร็ว ซึ่งหนูแยกออกเลยว่าอันไหนตื่นเต้น อันไหนเป็นโรค เราแยกออกเพราะมันจะตื่นเต้นหายใจไม่ทันแล้วก็เวียนหัว ต้องตั้งสติ นั่งสมาธิ ไปอยู่กับธรรมมะ ที่หนูรู้สึกสบายใจ แล้วอาการมันดีขึ้นเอง หนูใช้เวลา 6 เดือน ก็หายจากโรคนี้”
ในวันนี้ได้เรียนรู้ว่า คนเก๋ร้องไห้ได้
“เมื่อก่อนเพื่อนหนูไม่เคยเห็นหนูร้องไห้เลย เพราะหนูไม่เคยเศร้าและไม่เคยเครียดให้เพื่อนเห็น หนูจะให้เพื่อนเห็นแต่มุมที่หนูแฮปปี้มีความสุขแล้วก็ตลก เพราะหนูรู้สึกว่าหนูคือรอยยิ้มของเพื่อน ๆ ในทุก ๆ วัน หนูชอบทำตัวตลกให้เพื่อน ๆ เห็น
จนวันนี้หนูเข้าใจแล้วว่า คนเก๋ร้องไห้ได้ ยิ่งเราร้องไห้ ยิ่งเราพูดกับเพื่อนมากเท่าไหร่ เรายิ่งเอาความเครียดนั้นออกไปจากตัวเราได้ไวที่สุด อย่าเก็บมันไว้คนเดียว มนุษย์คือสัตว์สังคม เรามีเพื่อน เพื่อนสร้างความสุขให้เรา เราสร้างความสุขให้เพื่อน แล้วเวลาเราทุกข์เราแบ่งกัน”

ตูน หิ้วหวี ในเวอร์ชั่นใหม่
“แพชชั่นในช่องหนู มันคือเรื่องแฟชั่น หนูนำเสนอความเก๋ ความเฟียร์ส ก่อนหน้านี้หนูเคยหลงทางลองทำคอนเทนต์อื่น ๆ แล้วหนูรู้สึกว่าตัวเองฝืนจังเลย หนูก็เลยกลับมาเป็นหนูอีกครั้งในแบบใหม่ จากคนที่โหวกเหวกโวยวาย กลายเป็นดูอ่อนน้อมถ่อมตน และดูมีความกล้าเล่นมากขึ้น ทุกวันนี้มันผสมผสานแล้วก็กลมกล่อมมาก ๆ หนูเปลี่ยนตัวเองจากที่เป็นคนที่เข้ากับแม่ต้อไม่ได้เลย แบบตีกันตลอดเวลา แต่หนูก็ให้เค้ามาอยู่ในบ้านหนู ทั้ง ๆ ที่หนูไม่เคยให้เค้าเข้ามาอยู่ในเซฟโซนของหนูเลย แล้วพอหนูยิ่งโต แม่ต้อเค้าก็จะพูดว่าเรียกฉันว่าแม่ได้แล้ว พอหนูย้อนคิดก็เข้าใจว่า หรือว่าเค้าคิดถึงหนูจริง ๆ พอเอาใจเค้ามาใส่ใจเรา ก็เข้าใจว่าเค้าคงมีเหตุผลสมัยเค้าสาว ๆ แต่ตอนนี้เค้าคงอยากอยู่กับเราจริง ๆ ทุกวันนี้หนูก็เห็นเค้าทำงานโรงงานแล้วเค้าดูเหนื่อย เลยชวนมาอยู่ด้วยกัน มาดูแลหนูก็ได้ เดี๋ยวหนูก็ให้เงิน ซึ่งก่อนหน้านี้หนูไม่เคยคิดจะให้เงินเค้าเลย กลายเป็นอะไรใหม่ ๆ ในการรับผิดชอบใหม่ ๆ ของหนู นอกจากเลี้ยงคุณยาย หนูก็มาเลี้ยงคุณแม่เพิ่มขึ้น”

เปิดหัวใจ ส่องความรักของ ตูน หิ้วหวี
“ตอนนี้หนูไม่มีความรัก หนูมีแค่คนคุยกรุบกริบ สมัยก่อนหนูให้ความรักเป็น Priority แรกเลย เวลามีความรักก็จะคิดว่าแกต้องรักฉัน ฉันอยู่กับแกแกต้องรักฉัน แกไม่รักฉันไม่ได้ แต่ทุกวันนี้ ถ้ามีคนที่เข้ามาคุยกับหนู แล้วเค้าจะออกไป หนูสามารถมูฟออนได้ไวมาก เพราะหนูรู้สึกว่าหนูต้องรักตัวเองก่อน ต้องรักตัวเองมาก ๆ หนูต้องมีเกราะที่ป้องกันห้ามให้เค้ามาทำร้าย
หนูชอบเกย์ผมสั้น ซึ่งเวลาหนูเปิดเผย หนูกลับรู้สึกว่ามันยิ่งยาก เพราะว่า โดยปกติ เกย์เค้าก็จะชอบเกย์ด้วยกัน แล้วหนูก็ควรจะชอบชายแท้ แต่หนูก็มีความสามารถ แล้วก็มีความสู้ของหนู ที่จะไปคุยกับเค้าได้ ถ้าอยากคุยหนูคุยเลย ไปกินข้าวกันไหม ไปดูหนังกัน จนได้ใช้ชีวิตด้วยกัน หลายครั้งเค้าจะบอกว่าเป็นพี่น้อง ซึ่งหนูชินมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนเสียใจ แต่เดี๋ยวนี้ไม่เสียใจเลย เรื่องความรักหนูตายด้านมากเลย แต่ถ้าจะมีใครเข้ามาจริง ๆ ตอนนี้ที่หนูมองหนูคิดว่า น่าจะฝรั่ง แต่ว่าหนูก็ยังไม่ได้อยากจะคุยกับฝรั่งคนไหน หนูยังไม่คิดจริงจังเลย ให้เป็นเรื่องของอนาคต”

ความสุข ของ ตูน หิ้วหวี
“การได้ตื่นมา มีกับข้าวที่แม่ทำให้ อันนี้แฮปปี้มากแล้ว และการได้ดูหนังเก่า ๆ ที่หนูชอบ ได้ฟังเพลงกับเพื่อนแล้วเมาท์กัน ความสุขง่ายมากของหนู คือเรื่องแค่นี้เอง
ในอนาคตหนูมีความฝันเยอะมากที่อยากทำ ในอนาคตหนูอยากทำเรียลลิตี้ และด้วยความที่หนูชอบแฟนชั่น มีเพื่อนหลายคนถามว่า ทำไมไม่ไปนั่ง Front Row ดูโชว์ที่ต่างประเทศ แต่หนูมองว่าทุกอย่างมีค่าใช้จ่าย แฟชั่นเป็นสิ่งที่ต้องใช้เงินเยอะ ซึ่งถ้ามีโอกาสไปต่างประเทศหนูไปได้ แต่ว่าเราลองทำเมืองไทยให้มันดูเก๋สิ หนูถึงชอบออกไปถ่ายรูปข้างนอก ให้ดูมีคอนเซ็ปต์ มันคือแพชชั่นของหนูเลยที่ได้ออกไปถ่ายรูปให้มันดูเหมือนเราอยู่ต่างประเทศ”
สีสัน แรงบันดาลใจจาก ตูน หิ้วหวี
“เราเชื่อว่าเด็กรุ่นใหม่มีความคิดที่เติบโตกันใหม่ได้ทุกวัน นี่เป็นความคิดของคนอายุ 30 ปี ซึ่ง สำหรับหนูมาอยู่ตรงนี้เป็นอะไรที่เหนื่อยมาก มันไม่ได้มีอะไรที่ปูทางมาให้เพื่อให้มาถึงทุกวันนี้ เด็กรุ่นใหม่เก่งกันหลายคน แล้วก็มีความสามารถที่ดีมาก ๆ จะบอกว่าดูพวกเราเป็น Case Study แล้วกัน แล้วเดินตามฝันที่อยากทำ ไปให้ถึงจุดหมายของตัวเอง แม้ว่าเราจะเหนื่อย พักสักนิด จิบน้ำ แล้วสู้ต่อ อย่าท้อค่ะ
การรักตัวเอง มันคือที่สุดของชีวิต หนูจะไม่ด้อยค่าตัวเอง เช่น หนูเห็นคนสวยเดินผ่าน หนูก็จะพยายามคิดลึก ๆ ว่า เราสวยที่สุด วันนี้ถ้าเราตื่นมาแล้วยังหายใจได้ เราจะใส่ชุดอะไรดี เราทำตัวสวย ๆ ดีกว่า จะได้ออกไปนอกบ้านสวย ๆ หนูรู้สึกว่า การรักตัวเองมันคือที่สุดในชีวิตเลย หนูเคยไม่รักตัวเอง หนูทำร้ายตัวเอง หนูไม่หาความสุขให้ตัวเองเลย หนูอยู่ในห้องมืด ๆ อยู่เศร้า ๆ แล้วรู้สึกว่าเสียดายเวลาชีวิตมาก หนูคิดว่า เราทำทุก ๆ วันให้มีค่าในชีวิตตัวเองได้เสมอ” - ตูน หิ้วหวี

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์
ติดตามชมรายการย้อนหลัง
