ยังเป็นพื้นที่ ที่เปิดโอกาสให้ได้คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์กกระทบไหล่กับตัวแม่ ไปพร้อมกับ 2 ดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” สำหรับรายการ Club Pride Day ที่ได้มีโอกาสต้อนรับแขกรับเชิญสุดพิเศษ “เพียว เอกพันธ์” ตัวแม่อาร์แอนด์บีเมืองไทย ที่หลงใหลในเพลงสากล ผู้ลบคำสบประมาทที่มองว่าไม่ง่ายที่นักร้องบนเวทีประกวด The Voice จะเอาชนะด้วยเพลงสากล แต่ เพียว เอกพันธ์ สามารถทำได้ สีสันชีวิตของเขาผ่านอะไรมาบ้าง รวมถึงมีข้อคิดแรงบันดาลใจดี ๆ ที่ได้แชร์ไว้ในรายการด้วย

เพียว เอกพันธ์ กับความฝันที่อยากเป็นนักร้องมาตั้งแต่เด็ก
“เพียวร้องเพลงเป็นตั้งแต่เด็กเลยค่ะ แต่ก่อนเป็นเด็กบ้านนอกเลี้ยงวัว ซึ่งมีสิ่งที่สร้างความสุขอย่างเดียวก็คือ เสียงเพลงเสียงดนตรีที่เปิดไว้ในบ้าน หนูก็เลยรู้สึกว่าอยากร้องเพลง แล้วก็ชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก ตอนเด็ก ๆ ที่บ้านจะชอบเปิดเพลงของแม่ผึ้ง พุ่มพวง เพลงพี่ทาทา ยัง เพลงพี่เบิร์ด ธงไชย หนูก็จะซึมซับมา เพราะฟังมาตั้งแต่เด็ก แต่คนที่ชอบจริง ๆ ก็คือหนังที่ วิตนีย์ ฮิวสตัน แสดงคือเรื่อง ซินเดอเรลล่า คุณแม่ใส่ชุดแบบรัดรูป แล้วก็ผมใหญ่ ๆ พอหนูดูแล้วรู้สึกว่าอยากเป็นแบบคุณแม่บ้าง แต่ตอนนั้นพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย
พอได้เรียนภาษาอังกฤษ หนูก็กลายเป็นเด็กที่พูดภาษาอังกฤษได้ดี แล้วก็เรียนได้เกรด 4 เลยตอนเรียนม.ปลาย พอแม่รู้ก็เลยอยากให้หนูเป็นไกด์ เพราะจะได้ใช้ภาษา แต่หนูก็เลือกสอบเข้าวิทยาลัยดนตรี วิชาเอกดนตรีแจ๊สและการแสดงเชิงปฎิภาณ เพราะไม่อยากเป็นไกด์ หัวใจฉันคือจะไปเป็นดาวเท่านั้นค่ะแม่”
ด.ช. เอกพันธ์ กับตัวตนที่ต้องเก็บซ่อน
“เพียวใช้เวลา 27 ปี จนประกวด The Voice ถึงจะได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ ซึ่งก่อนหน้านั้นเวลาที่เพียวประกวดอื่น ๆ ก็จะต้องแอ๊บแมน เพราะสังคมตอนนั้นกับตอนนี้มันต่างกันมาก แล้วก็ตอนเป็นเด็ก แม่ก็จะห้ามเป็นตุ๊ด เพราะแม่มีภาพจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับการเป็นกะเทย แล้วกลัวว่าถ้าเราไปเป็นกะเทยแล้วชีวิตไม่ดี กลัวจะไปติดยา แล้วก็ห้ามไม่ให้เพียวเป็นตุ๊ด
ตอนนั้นเพียวคิดว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งสิ่งที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นก็คือ การร้องเพลง การฟังเพลงและ การเต้น เมื่อก่อนตอนเด็ก ที่บ้านจะเป็นบ้านเย็บผ้าแบบเย็บจักร แล้วก็จะมีผ้าเยอะ หนูก็จะเอาผ้าไปโรงเรียน เอาไปใส่แล้วก็เต้น พอเพื่อนเห็น เพื่อนก็มาบอกแม่ว่า เพียวมันเอาผ้าไปแต่งหญิงแล้วเป็นกะเทย เต้นแบบผู้หญิงเลย แล้วหนูก็โดนแม่ตีเลย จำได้ว่าตอนนั้นอายุ 10 ขวบ หนูอายคน เพื่อนบ้านและญาติ ๆ ก็จะชอบล้อว่า ลูกเธอมันเป็นกะเทย ทำให้ช่วงวัยเด็ก ตอนกลับบ้านหนูจะเป็นคาแรกเตอร์หนึ่ง พอไปโรงเรียนก็เป็นอีกคาแรกเตอร์หนึ่ง ตอนอยู่ที่โรงเรียนเอาน้ำยาอุทัยทาปาก ทาแป้ง พอถึงบ้านก็รีบลบออก จนเริ่มเป็นเด็กเก็บกด โชคดีที่หนูไปเจอศูนย์ภาษาอังกฤษที่อยู่ใกล้บ้าน ที่มีมิชชันนารีจากกรุงเทพเค้าไปเปิด พอหนูได้ไปเรียนกับพี่ ๆ แล้วก็รู้สึกว่าได้เจอพระเจ้าที่นั่น หนูรู้สึกว่าเราได้เจอสิ่งที่เป็นบ้านของเรา เป็นเซฟโซน เหมือนที่นั่นได้เซฟชีวิตเพียวไว้เลย
แต่เพียวก็คิดกับตัวเองว่า เดี๋ยวฉันจะดีให้ดู เพราะว่าแม่ของหนูถึงแม้ว่าเค้าจะตีหรือดุเรา แต่แม่ก็ส่งเสียเพียวเรียนหนังสือ แม่เห็นว่าลูกคนนี้จะไปได้ไกล แต่ตอนเป็นเด็กแม่ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะคุณยายไม่ให้เรียน แล้วพอเห็นเพียวตั้งใจแล้วก็เรียนได้ แม่ก็เลยส่งเสีย ซึ่งเพียวก็รู้สึกถึงความรักจากตรงนี้ของแม่ แล้วก็รู้สึกว่าเราอยากทำให้แม่ภูมิใจ”

จุดเปลี่ยน ที่ทำให้ครอบครัวยอมรับ
“ตอนแรกที่ประกวดร้องเพลงแม่ก็ยังไม่ยอมรับ แต่เราก็รู้ตัวเองอยู่แล้วว่าตัวตนของเราเป็นยังไง ตอนที่เราตัดสินใจไปประกวด The Voice Thailand Season 6 การประกวดครั้งนี้ เพียวรู้สึกว่าอยากเป็นตัวของตัวเอง ฉันอยากแตกสาว ฉันอยากเป็นตัวของตัวเอง ก็เลยบอกแม่ว่า หนูจะลงประกวด The Voice Thailand Season 6 แล้วแม่ก็ขอว่า เป็นตัวเองได้แต่อย่าทำหน้าอกนะ ก็เป็นการพูดขำ ๆ เพียวก็บอกว่าได้เลย แต่ขอแต่งตัว แต่งหน้า แต่งหญิงในแบบที่ชอบนะ ซึ่งพอไปประกวดเวทีต่าง ๆ อย่างตอนที่ปประกวด KPN Award แล้วได้เงินมา เพียวก็ให้แม่หมดเลย แล้วก็ช่วยใช้หนี้ ธกส. หลังจากนั้นพอเริ่มทำงานแล้ว ได้เงินเท่าไหร่ก็ต้องให้แม่ เพราะว่าแม่ท่านลำบากมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เพียวจำความได้คือแม่ลำบากมาก หนูก็รู้สึกว่าอยากทำให้แม่สบายสักที แล้วก็อยากทำให้แม่ภูมิใจในตัวเรา แล้วยอมรับในตัวตนของเราได้
ในการประกวดร้องเพลง หนูไปหลายเวทีมาก The Star ก็ไป แล้วก็ไป KPN Award แล้วก็มาต่อที่ The Voice Thailand Season 6 ซึ่งตอนประกวด The Star หนูยังไม่ได้เรียนร้องเพลง เพราะตอนนั้นอยู่ร้อยเอ็ดก็ยังไม่มีครูสอนร้องเพลง จนคิดว่าตัวเองอยากเรียนเกี่ยวกับดนตรีก็เลยได้ครูที่โบสถ์ช่วยสอน แล้วหนูก็เริ่มหาครูที่จะสอนร้องเพลง เพื่อจะติวหนูเพื่อสอบเข้า ม.รังสิต ตอนนั้นก็ต้องสอบขอทุนเพราะว่าไม่มีเงินเรียน แล้วก็ได้ทุน 100% ก็เลยได้เรียนที่ ม.รังสิต
ซึ่งการร้องเพลงของหนูมันเริ่มสร้างรายได้ในตอนที่ทำวง ตอนนั้นหนูกับเพื่อนสนิทที่มหาวิทยาลัย ชื่อไข่มุก ซึ่งเป็นนักร้องด้วยกัน แล้วก็ชวนมาตั้งวงด้วยกัน ชื่อว่า เดจาวู แล้วก็เริ่มได้ค่าตัวครั้งแรกเลยคือ 600 บาท แล้วหนูก็เริ่มร้องไปเรื่อย ๆ จนลูกค้าที่ไปดูเราที่ร้านเริ่มอยากจ้างไปร้องงาน Event แล้วก็ได้ค่าตัว 5,000 บาท ตอนนั้นดีใจมากเลยค่ะ”

การประกวดร้องเพลง กับความรู้สึกที่ไม่กล้าเป็นตัวเองมากพอ
“ตอนที่ประกวด KPN ตอนนั้นอายุประมาณ 18 ปี รู้สึกว่าตัวเองยังเด็กมาก แล้วพอกลับไปดูตัวเองตอนนั้นรู้สึกว่าเป็นเด็กที่เก็บกดมาก เพราะมันไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง แล้วก็รู้สึกว่าหนูพยายามที่จะร้องให้เยอะ ร้องเพลงให้ใหญ่ แล้วก็ร้องเสียงสูง ๆ เพราะตอนนั้นเราเพิ่งเริ่มร้องเพลง และเราก็บ้าไฟบ้าพลัง แล้วงานจ้างก็ไม่ค่อยมี ทำให้หนูคิดมาก แล้วมีภาวะซึมเศร้าเลยค่ะ
แต่พอมาช่วงที่จะประกวด The Voice Thailand Season 6 ช่วงก่อนโควิด-19 หนูได้มีโอกาสไปร้องเพลงที่ร้าน House of Heals ของ พี่ปันปัน แล้วพี่ปันปัน คือคนที่จับหนูแต่งหน้า แล้วก็ให้ออกมาร้องเพลงให้ลูกค้าดู ซึ่งลูกค้าก็ให้ทิปเยอะมาก จนหนูรู้สึกว่า นี่ฉันสวยเหรอ ทำไมเวลาแต่งหน้าแล้วฉันรู้สึกว่าฉันสวย แล้วคนให้ทิปฉัน แล้วพี่ปันปันก็เลยเอารองเท้าส้นสูงของตัวเองมาให้หนู ต้องขอบคุณพี่ปันปัน ที่ทำให้หนูกลับไปคิดถึงเด็กตุ๊ดตัวเล็ก ๆ ตอนนั้น ที่แอบแม่แต่งหญิง พอมาวันนี้ได้มาแต่งหน้าแต่งตัวจัดเต็มก็ทำให้รู้สึกว่าได้เป็นตัวของตัวเอง แล้วก็ดีใจที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ ได้เป็นตัวเองเต็มที่”

คนที่อยากเป็นนักร้อง ควรจะต้องเรียนร้องเพลง
“เพียวว่าการเรียนร้องเพลงจำเป็นสำหรับนักร้อง เหมือนเราเป็นนักว่ายน้ำ เราก็ต้องเรียนว่ายน้ำ เพื่อรู้จักการบริหารกล้ามเนื้อที่เราต้องใช้ ซึ่งคนทุกคนสามารถร้องเพลงได้ อยู่ที่ว่าจะร้องเพี้ยนรึเปล่า และหนูสามารถสอนให้ร้องให้ตรงคีย์ขึ้นได้ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน โดยเฉพาะเรื่องหู ที่บางคนเวลาฟังได้ยินปกติ แต่ว่ามันไม่ซิงค์กับเสียงเรา บางทีต้องจูนกับเสียงที่ได้ยิน จูนไปเรื่อย ๆ ค่อย ๆ ฝึกไป ค่อยๆ ร้องเพลงที่มันไม่ได้เสียงสูงมาก
จริง ๆ การร้องเพลง เริ่มได้เลยตั้งแต่ 3 ขวบ พูดได้ก็ร้องได้ ให้เค้าฝึกร้องไป เอบีซี ฝึกให้เค้าร้องไปได้เลย เรื่องเพลงแบบไหนร้องยาก หนูมองว่าเพลงแนวร็อคที่ต้องว้าก เป็นเพลงที่ร้องยาก หนูร้องไม่ได้เลย ซึ่งมันมีเทคนิคคือ ไม่ต้องร้องดัง แค่เอาไมค์มาใกล้ ๆ ปากแล้วว้าก ซึ่งหนูยังทำไม่ได้ การว้ากมันยาก รู้สึกว่าถ้าทำแล้วเสียงแหบ ซึ่งแสดงว่าเราออกเสียงผิดวิธี นอกจากเพลงร็อค เพลงแจ๊สก็ยากค่ะ”
เปิดเรื่องราว ที่ เพียว เอกพันธ์ ต้องเสียน้ำตา
“ช่วงที่ชีวิตหนูเซหนัก ๆ คือช่วงก่อนที่จะมา The Voice Thailand Season 6 ช่วงนั้นหนูน่าจะเป็นซึมเศร้าเลย ติดเหล้า แล้วก็สูบบุหรี่ด้วย เพราะว่าตอนนั้นแม่โดนยึดรถ แล้วก็มีเรื่องบ้าน ครอบครัวไม่มีเงิน แล้วหนูก็ต้องย้ายจากหอหนึ่งไปอีกหอหนึ่ง เพื่อที่จะจ่ายค่าหอให้ได้ แล้วก็ต้องหาค่าเทอมจนเรียนจบเอง ตอนนั้นเครียดหนักมากจนป่วยเป็นสะเก็ดเงินทั้งตัวเลย จากการพักผ่อนไม่เพียงพอ แล้วก็ภูมิตก แล้วการดื่มหนักเริ่มมีผลกับการร้องเพลง เพราะเสียงของหนูในตอนนั้นคือแหบมาก
ทุกวันนี้ที่กลับมาเป็นตัวเองเหมือนเดิมได้เพราะป่วย พอมันเห็นตัวเองในภาพ แล้วเราไม่อยากอยู่ตรงนี้ แต่เรายังมีพ่อมีแม่ที่ต้องช่วยเค้า ก็เลยรู้สึกว่าไม่เป็นไร เราต้องสู้ต่อ ก็เลยเลิก หันมากินส้มตำแซ่บ ๆ แทนค่ะ”

เพียว เอกพันธ์ กับการประกวด The Voice Thailand Season 6
“เพียวอยากให้คนเห็นอีกแนวของเรา หลังจากที่ได้ปลดล็อคไปขั้นหนึ่งของชีวิตแล้ว อยากให้คนเห็นลุคใหม่ของเรา ที่เป็นลุคเกย์แตกสาว อยากให้คนรู้จัก แล้วก็จ้างงานเราเท่านั้นเลย ซึ่งตอนที่ตัดสินใจจะประกวด The Voice Thailand Season 6 หนูกดดัน เพราะถูกมองว่าหนูเป็นตัวเต็ง แต่หนูไม่ได้คาดหวังขนาดนั้น ก็แค่อยากลองไป ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็กลับมาทำงานต่อ แค่เราได้ไปเจอคนใหม่ ๆ ได้เจอทีมงาน เจอนักดนตรีเก่ง ๆ ได้มีคอนเนคชั่นใหม่ ๆ แค่นี้ก็พอแล้ว ตอนประกวดรอบแรกร้องเพลง Forget You แล้วก็มี Man in the Mirror และ Run to you เพลงสุดท้ายคือ Time Funk ซึ่งเป็นเพลงสากลหมดเลย ตอนนั้นหนูเลือกอยู่ทีมโค้ชพี่สิงโต แล้วสามารถข้าไปได้ถึงรอบ 8 คนสุดท้าย
เพียวว่า ตอนนี้คนฟังเพลงกว้างขึ้นมากเลย คงจะเป็นเพราะโลกกว้างขึ้น มี Youtube มี สตรีมมิ่งเยอะมาก แต่บางครั้งคนจะชอบคิดว่าการเอาเพลงสากลมาประกวดตั้งแต่รอบแรกในเวทีระดับประเทศที่เป็นเวทีประเทศไทยมันจะไม่ชนะ เพราะว่าหนูเป็นคนแรกในประเทศเลย ที่เอาเพลงสากลมาแข่งใน The Voice แล้วก็ชนะ หนูคิดว่าน่าจะเป็นเพราะสังคมเราเปลี่ยนแล้วก็โลกเปิดขึ้น แล้วเราก็ฟังเพลงหลากหลายแนวขึ้น ซึ่งจริง ๆ แล้ว หนูถนัดหมดเลย ร้องได้หมดเลยทุกแนว แต่ที่ชอบแล้วก็หลงใหลก็คือ ร้องเพลงสากล แนวอาร์แอนด์บี”
แรงจูงใจ ที่ทำให้อยากประกวด The Voice All Stars อีกครั้ง
“มันคือความอยากให้คนเห็นอีกนั่นแหละค่ะ อยากให้คนเห็นเราสวยขึ้น เราติดขนตาไปร้องเพลงแล้ว ใส่ส้นสูงไปร้องเพลงแล้วนะ การกลับมาแบบเต็มรูปแบบขนาดนี้ คิดว่าพี่สิงโตเค้าน่าจะตกใจนะคะ แต่คนที่ตกใจที่สุดน่าจะเป็นพี่คิ้ม เพราะพี่คิ้มเจอกับเพียวเมื่อ 10 ปีที่แล้วตอน KPN Award เราร้องเพลงคู่กัน เพลง I believe I can fly แล้ววนมาเจอกันอีกครั้งใน The Voice All Stars
เพลงที่เพียวร้องครั้งนี้ มีเพลงไทยที่ร้องในรอบ Semi-Final คือเพลง ซังได้ซังแล้ว ของ พี่ต่าย อรทัย บอกเลยว่าการประกวดตอนนั้นมีแต่คนเก่ง ทั้ง ปรางทิพย์,เก่ง ธชย, แตงโม แล้วก็ พี่คิง มีแต่ตัวฟาด ๆ
หนูไม่คิดเลยว่าตัวเองจะได้แชมป์ พอจับมือกับพี่เก่ง ตอนรรอบประกาศผล หนูคิดว่าต้องเป็นพี่เก่งแน่นอน ไม่เป็นไรฉันจะกลับบ้านไปร้องเพลง แต่พอประกาศชื่อเพียวปุ๊บ หนูก็ตกใจมากเพราะว่าคะแนนหนู กับ พี่เก่ง ห่างกันแค่ 0.5 ตอนนั้นกรี๊ดดังมากบนเวที แล้วก็ร้องไห้เลยค่ะ มันดีใจมาก ๆ
แล้วตอนนั้นแม่เห็นเพียวลุคนี้เลย แม่มาดูเลยเองเลย แล้วในตอนที่หนูประกวด ด้วยความที่แม่เป็นช่างเย็บผ้า แม่ก็ตัดชุดให้ ตัดกางเกงให้ เพื่อให้หนูสวมในและรอบ มาวันที่ได้แชมป์ คุณแม่ดีใจมาก ตอนนี้ไปไหนก็เชิดหน้า แต่ก่อนชอบเดินก้มหน้ามาก เพราะว่าเค้าเป็นหนี้เยอะ แต่ตอนนี้ก็คือปลดหนี้หมดแล้ว”
ความฝันต่อไป ของ เพียว เอกพันธ์
“ตอนนี้หนูอยากมีเพลงดัง อยากมีเพลงที่เอาไว้ร้องโชว์ และตอนนี้หนูกำลังทำเพลงเอง แล้วก็คิดว่าจะปล่อยเพลงในเดือน Pride Month แล้วก็มีเพลงช้าแบบเศร้า ๆ 1 เพลงค่ะ ซึ่งหนูอยากมีเพลงแนวร็อค แล้วก็อยากทำเพลงหมอลำที่เป็นแบบเต้นรถแห่ทำนองนั้นค่ะ
สำหรับน้องที่อยากเป็นนักร้อง หนูอยากจะให้ฟังเพลงเยอะ ๆ เพราะว่าการร้องของเรา มันขึ้นอยู่กับแนวเพลงที่เราฟัง เพราะว่าการที่จะร้องเพลงได้ดีต้องเสพเพลงหนักมาก อย่างเช่น หนูเองก็จะเสพเพลงแนวอาร์แอนด์บี หรือแบบ Gospel Music หนักมาก มันเลยทำให้หนูร้องได้อินมาก แล้วก็อยากให้น้อง ๆ เรียนร้องเพลง จะได้ร้องเพลงให้ถูกต้อง แล้วก็จะได้รู้วิธีการร้องเพลงที่เซฟคอของเราไว้ จะได้ร้องเพลงนาน ๆ แล้วก็ไปประกวดทุกเวทีเลย มีงานวัด หรืองานประกวดก็ไปเลยค่ะ
ส่วนคนที่รู้สึกว่าไม่อยากประกวด หนูมองว่าเดี๋ยวนี้มันง่ายมาก ทุกคนสามารถทำเพลงเองได้ ลองเขียนเพลงไหม แต่งเพลงไหม แล้วเอาลง Youtube ไปเลย บางทีมันอาจจะมีคนเข้ามาฟังเพลงเรา ซึ่งถ้าเราชอบจริง ๆ แล้วรักจริง ๆ หนูคิดว่าจะเดินทางไหนก็ได้ จะไปประกวดหรือว่าจะทำเพลงเองมันก็ไปต่อได้ ถ้าเรารักมัน”
เปิดสเปค ส่องความรักของ เพียว เอกพันธ์
“สเปคของหนู ชอบแบบไทยบ้านดำแดด ผิวคล้ำ ๆ แล้วก็สูง ๆ ชอบคนสูงกว่า หนูขี้อายมากเลยค่ะกับเรื่องผู้ชายไม่ค่อยกล้าเข้าหาด้วย ก็จะมีหลายคน ที่เวลาไปเจอเค้า แล้วเค้าบอกให้ร้องเพลงให้ฟังหน่อย เราก็ร้องให้เค้าฟัง เพราะหนูเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง ในรูปลักษณ์ตัวเองเลย แล้วก็รู้สึกว่าสิ่งที่สวยงามที่สุดก็คือเสียงของเรา แล้วก็ถ้าเค้าอยากให้เราร้องเพลงให้ฟัง เราก็โอเคร้องให้ฟัง เผื่อเค้าจะได้ชอบเราบ้าง
แฟนคนแรกเคยคบกัน แล้วก๊อกหัก ตอนนั้นหนูน่าจะอยู่มหาวิทยาลัยปี 3 เป็นป๊อบปี้เลิฟ
แล้วเวลาอกหัก หนูจะเศร้าสะเทือนใจนิ่งเงียบเลย แล้วก็ฟังเพลง หนูไม่เคยเอาแฟนไปเปิดตัวต่อหน้าแม่เลยตั้งแต่คบกันกับแฟนมา และส่วนใหญ่ถ้าผิดหวังเรื่องความรัก หนูจะเก็บน้ำตาไปร้องไห้เวลาต้องไปร้องเพลงกลางคืน มีครั้งหนึ่งอกหักแล้วต้องไปร้องเพลงต่อ แล้วร้องไม่ได้ อารมณ์ก็ไม่ถึง ร้องเนื้อผิด ร้องมั่วไปหมดเลยค่ะ”
อยากให้คุณพ่อคุณแม่ รักลูกแบบไม่มีเงื่อนไข
“หนูได้มีโอกาสไปเป็นวิทยากรที่ ม.รังสิต แล้วก็เล่าเรื่องว่าตัวเองเจออุปสรรคอะไรตอนเป็นเด็ก แล้วก็ลองถามน้อง ๆ ว่า ตอนนี้มีใครเป็นตุ๊ดไหมคะ แล้วพ่อแม่ว่าไงบ้าง ซึ่งน้อง ๆ ยุคนี้คือ พ่อแม่ยอมรับหมดแล้ว
แต่ถ้าพ่อแม่ใครที่ยังไม่ยอมรับ หนูอยากให้อดทน แล้วก็ให้รู้ว่าพ่อแม่รักเรา หนูอยากให้ทำอาชีพของเราให้ดีที่สุด เลี้ยงตัวเองและดูแลตัวเองให้ได้ แล้วก็ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่เราจะไปได้ ก็แค่นั้นเลย
และอยากจะบอกคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่มีลูกเป็น LGBTQ+ อยากให้ลองเปิดใจ แล้วก็ลองให้โอกาสเค้า ให้กำลังใจเค้า แล้วก็รักเค้าโดยที่ไม่มีเงื่อนไข สนับสนุนเรื่องการศึกษา และเรื่องอาชีพของเค้า ให้เค้าทำตามความฝันของเค้าค่ะ”

สายสุดเซอร์ไพรส์ ส่งมอบแรงบันดาลใจให้กับ เพียว เอกพันธ์
“มีหนึ่งสายสุดเซอร์ไพรส์ ที่เคยมาเป็นแขกรับเชิญของรายการ Club Pride Day นั่นคือสายของ นาตาเลีย เพลียแคม ที่ได้โทรเข้ามาพูดคุย พร้อมส่งต่อกำลังใจให้กับ เพียว เอกพันธ์ และเพียว ได้กล่าวคำขอบคุณกลับไปว่า “ดีใจค่ะ ที่เราได้รู้จักกับพี่นาตาเลีย พี่เค้าชอบเอ็นดูหนูเวลาประกวดก็ให้หนูไปร้องโชว์ เวลามีงานอะไรเข้ามา พี่นาตาเลีย ก็จะมอบโอกาสให้ตลอด หนูขอบคุณมากที่มีอะไรก็คิดถึงเพียว แล้วก็ดีใจที่เราได้เป็นพี่น้องกัน ขอบคุณนะคะ”
สีสัน แรงบันดาลใจจาก เพียว เอกพันธ์
“สำหรับใครที่มีทักษะอยู่ในตัว เช่น สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ อยากให้ใช้เวลาในการพัฒนาทักษะของตัวเอง หนูคิดว่าสิ่งนี้มันจะทำให้เราไปได้ไกล แล้วก็อยากให้รักอาชีพของตัวเอง ต้องเริ่มต้นจากความรักก่อน อย่างหนูก็รักดนตรี และใช้เวลากับดนตรีและการร้องเพลงเยอะมาก เมื่อเรารักมัน จะทำสิ่งนั้นได้นานค่ะ” – เพียว เอกพันธ์

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์
ติดตามชมรายการย้อนหลัง
