“ในตอนเด็ก ๆ หนูปักธงเลย เวลาถูกถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร คำตอบเดียวของหนูคือ อยากเป็นดารา อย่างเดียวเลย ไม่มีคำตอบอื่นเลยที่ปักธงไว้ และตอนนั้นพูดไปใครก็ไม่เชื่อหรอกกว่าหนูจะมาอยู่จุดนี้ได้ แต่สุดท้ายหนูก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว และพ่อกับแม่คือส่วนสำคัญมาก ๆ ขอบคุณที่พามาอยู่ตรงนี้นะคะ แล้วหนูก็จะทำให้ดีที่สุดค่ะ”

แชร์สีสันของชีวิต แบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ ในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับ “นินจา จารุกิตต์” ลีดเดอร์ของวง 4MIX ผู้มากความสามารถทั้งด้านการร้อง การเต้น การเป็นดีเจ และมีความทุ่มเทในการก้าวเข้ามาเป็นศิลปินเป็นอย่างมาก พร้อมด้วยการแต่งกายแฟชั่นแบบจัดเต็มที่กล้าเป็นตัวเองอย่างเต็มที่บนเส้นทางของศิลปิน กว่าจะมาถึงวันนี้ เธอผ่านหลากหลายบททดสอบของชีวิต และมีข้อคิดแรงบันดาลใจดี ๆ ที่ได้แชร์เอาไว้ในรายการด้วย
ย้อนวัยเด็ก ของ ด.ช.จารุกิตต์
“หนูเป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ถ้าเห็นในข่าวหรือในสารคดีที่ตอนเช้าจะมีควายผ่านหน้าบ้านมองเห็นท้องไร่ทองนา นินจาอยู่แบบนั้นเลย ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่จังหวัดศรีสะเกษ แล้วแม่ของหนูเป็นครู ตอนเด็กหนูก็เรียนหนังสือที่โรงเรียนคุณแม่ และรู้ตัวเองว่าอยากเป็นศิลปินมาตั้งแต่เด็ก คือหนูดูทีวีแล้วรู้สึกว่าอยากไปอยู่ในนั้น บวกถึงกับหนูชอบร้องเพลง ชอบเต้น ซึ่งมันจะมีรูปหนูร้องเพลงติดอยู่ที่ฝาบ้าน จำได้ว่าเวลาร้องเพลงหนูจะได้ทิป 10 บาท 20 บาท จากญาติ ๆ แล้วรู้สึกว่ามันมีความสุข เวลาเห็นคนปรบมือ หรือเวลาได้แสดงบนเวที แล้วคุณแม่ก็ผลักดันลูกสุดฤทธิ์ ตอนนั้นหนูยังไม่ถึงอนุบาล 1 เลย แล้วที่โรงเรียนมีกีฬาสี คุณแม่ก็จะผลักดันว่ามาเอาลูกฉันไปเดินด้วย ให้เราไปเดินตามพวกพี่เค้า พอหนูไปทำแล้วมันสนุก เวลาเราเดินแล้วคนมอง มันรู้สึกแฮปปี้ก็เลยชอบกิจกรรมตั้งแต่นั้นมา”

เกิดเป็นลูกคุณครู หนูจึง...
“กดดันมากเลยค่ะ คือในหมู่บ้านมีครูไม่กี่คน เพราะครูคนอื่นเค้าก็มาจากตัวอำเภอ มาสอนเสร็จก็กลับบ้าน แต่คุณแม่คือสอนที่หมู่บ้านนั้น แล้วบ้านก็อยู่ในหมู่บ้านนั้นด้วย เวลาหนูแกล้งเพื่อน หรือทำนิสัยไม่ดี ก็มักจะถูกว่าแบบเป็นลูกครูทำไมทำแบบนี้ ตอนแรกหนูก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ แต่สักพักหนูก็บอกแม่ว่า ลูกครูแล้วทำไมเหรอ ลูกครูก็คน ก็ทำผิดได้ กลายเป็นความน้อยใจในตอนเด็ก ๆ แล้วเพื่อนก็ไม่ค่อยเล่นด้วย เค้าบอกว่าเดี๋ยวมันจะไปฟ้องแม่มัน เวลาเล่นกันก็ไม่กล้ามาโดนตัวเรากลัวหนูไปฟ้องแม่ ซึ่งหนูไม่เคยไปฟ้องนะคะ แต่ถ้าในพาร์ทที่แม่เป็นครูในโรงเรียน หนูรู้สึกว่าปกติ แล้วตอนที่อยู่โรงเรียนของแม่ หนูเรียนดีมาก หนูสอบได้ที่ 1 ทุกปี พอเราเป็นเด็กเรียน เพื่อนก็เริ่มเข้าหาค่ะ”
นินจา กับการยอมรับจากคนในครอบครัว
“ตอนเด็ก ๆ หนูจะไม่ค่อยชอบเลย ช่วงสงกรานต์ หรือปีใหม่ ที่ญาติเค้าจะมารวมตัวกัน เพราะหนูชอบโดนญาตินินทา ชอบล้อว่าหนูเดินบิดก้น แล้วโดนแซวตั้งแต่เด็ก ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่ากะเทยมันคืออะไร เค้าเรียกใคร ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจความหมายว่ามันคืออะไร แต่ในหัวเรารู้สึกว่าคำนี้มัน Negative แล้วทำไมเค้าถึงมาเรียกเราแบบนั้น แต่เราก็บอกว่าเราเป็นผู้ชายนะ
จริง ๆ แล้วเรื่องเพศ หนูไม่เคยคุยเรื่องนี้กับพ่อแม่เลย แล้วพ่อแม่ก็ไม่เคยทำให้รู้สึกกดดันด้วย หนูว่าพ่อกับแม่รู้มาตั้งแต่เด็กแล้ว หนูก็ใช้ชีวิตปกติไป ไม่เคยมานั่งเปิดใจหรือจับเข่าคุยกัน แต่ก็จะมีช่วงหนึ่งน่าจะประมาณประถมปลาย ตอนนั้นหนูนั่งรถไปกับพ่อ แล้วพ่อก็จะมีพูดแซวบ้างว่าจะเอาเมียไหมเนี่ย มีผู้สาวรึเปล่า หรือพยายามพูดเรื่องผู้หญิงให้เราฟัง แต่ก็พูดแค่นั้นแล้วก็ปล่อยผ่านไป ไม่ได้คุยอะไรกันมากมาย ซึ่งหนูก็ไม่ตอบ หัวเราะแล้วแกล้งเปลี่ยนเรื่องไปเลยค่ะ”

โตขึ้นหนูอยากเป็นดารา
“หนูปักธงเลยตั้งแต่เด็ก เวลาโดนถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร อยากเป็นหมอ หรืออยากเป็นพยาบาล หนูก็จะตอบว่าหนูอยากเป็นดาราอย่างเดียวเลย ไม่มีคำตอบอื่นเลย แต่แม่อยากให้เป็นข้าราชการเพราะมั่นคง แล้วแม่ก็ถามทุกวันเลยว่าไม่อยากเป็นครูเหรอ เป็นครูได้ไหม หนูก็เลยบอกแม่ว่า ตั้งแต่ ม.1 จนถึง ม.6 หนูเห็นแม่ต้องตื่นเช้า 8 โมง ไปสอนถึง 4 โมงเย็นทุกวัน ถ้าเป็นหนูก็คงไม่ไหวนะ หนูอยากใช้ชีวิต หนูเห็นแม่ตื่นเช้าทุกวันยันเกษียณ แล้วหนูเลยไม่อยากเป็นครู
จากที่หนูฝันอยากจะเป็นดารา มันทำให้หนูทำทุกอย่าง พยายามไต่เต้าสู่ความฝัน พยายามให้แม่พาไปในตัวอำเภอเพื่อพาไปประกวด แล้วหนูค่อย ๆ ขยับตัวเอง จากที่เรียนในหมู่บ้าน ก็ขยับมาเรียนในอำเภอ จนได้มาเรียนในจังหวัด แล้วหนูขับเคลื่อนตัวเองด้วยกิจกรรม ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยการเรียนเลย โรงเรียนไหนที่เค้าบอกว่าเรื่องเรียนอันดับ 1 ทุกคนต้องแย่งกับสอบเข้า แต่หนูไม่อยากเรียน หนูเลือกสอบเข้าอีกโรงเรียนที่มีทีมเชียร์ลีดเดอร์โรงเรียนที่ปังมาก ๆ
แล้วตอน ม.ต้น ที่โรงเรียนจะมีวงดนตรีลูกทุ่ง ที่จะไปประกวดรายการชิงช้าสวรรค์ ตอนนั้นหนูเพิ่งเข้า ม.1 แล้วเห็นว่าเค้าซ้อมกันทุกวัน หนูก็คิดว่าทำไงให้ไปอยู่ตรงนั้นได้ เลยไปยืนเกาะเสาดูพวกเค้าซ้อม ไปยืนดูประมาณ 1 อาทิตย์ จนครูเห็นว่าเด็ก ม.1 คนที้ทำไมถึงมาเกาะเสาดูทุกวัน ก็เลยชวนหนูไปนั่งดู ตอนแรกหนูไปนั่งดูเฉย ๆ หลังจากนั้นพอวันที่พี่แดนเซอร์ป่วยหรือขาดเค้าก็จะให้เราไปยืนบล็อกกิ้งแทน แล้วหนูก็พยายามจำท่า ท่อนไหนจำได้เราก็เต้นแทนได้จนพี่ ๆ ในวงเห็นว่าเด็กคนนี้มันจำท่าได้ สุดท้ายเวลาพี่ ๆ แดนเซอร์ขาด หนูก็เป็นคนที่เข้าไปเต้นแทน กลายเป็นทีมงานเบื้องหลัง ช่วยทำอุปกรณ์ ช่วยถือชุด ถือกิ๊บช่วยพี่ช่างผม หลังจากนั้นพอพี่ ม.6 ที่คุมแดนเซอร์เค้าออกไปเรียนต่อ เค้าก็เลยให้หนูไปช่วยดูวง ได้ออกแบบท่าเต้น ได้ไปประกวดตามจังหวัดต่าง ๆ แล้วก็ได้มาแข่งรายการชิงช้าสวรรค์ นั่นเป็นการไปสตูดิโอ Work Point ครั้งแรกของหนู ตอนนั้นตื่นเต้นมาก ที่ ๆ เรารยืนคือที่ที่เราดูในทีวี มันตอกย้ำความฝันวัยเด็กของหนูมาก ๆ แล้วตอนที่รออยู่โถงกลางสตูดิโอก็จะมีพี่ดารา พิธีกรเดินผ่านมา เราก็เห็นว่าตัวจริงหน้าเค้าเล็กเนาะ ขาวจังเลย อยากเป็นเหมือนเค้า แล้วพี่ ๆ เค้าไม่เดินคนเดียวด้วย เค้าจะมีคนถือกระติกน้ำตามบ้าง มีทีมงานที่ใส่เฮดเซ็ทเดินตามคอยบอกทาง เห็นแล้วมันกลายเป็นแรงบันดาลใจว่าอยากเป็นแบบพี่ ๆ บ้าง”

จุดเริ่มต้นบนเส้นทางเชียร์ลีดเดอร์
“พอจบ ม.3 หนูตั้งใจจะสอบเข้า ม.4 ที่โรงเรียนในจังหวัดอุบลราชธานี เพราะอยากย้ายมาเรียนในตัวจังหวัด แล้วต้องตัดสินใจเลือกว่าจะเรียนที่ไหนดี มันจะมีโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช ซึ่งเป็นโรงเรียนที่สอบเข้ายากมาก ใครจะเข้าเรียนต้องเป็นคนที่เรียนเก่ง แล้วมีอีกโรงเรียนคือโรงเรียนนารีนุกูล ซึ่งเวลามีกีฬาของโรงเรียนในจังหวัด เชียร์ลีดเดอร์ของโรงเรียนนารีนุกูลชอบชนะได้ที่ 1 ตลอด แล้วคลิปเชียร์ลีดเดอร์ของโรงเรียนนี้ยอดวิวสูงมากใน Youtube หนูก็เลยรู้สึกว่าอยากไปอยู่โรงเรียนนี้จัง แล้วก็ตั้งเป้าว่าจะสอบเข้าให้ได้เพราะอยากจะเป็นหลีดมือ จนสุดท้ายมันมีการสอบรอบความสามารถพิเศษ หนูก็สอบโดยใช้ความสามารถด้านร้องเพลงไปสอบเข้า แล้วก็สอบติดที่โรงเรียนนารีนุกูล ได้เป็นนักเรียนทุนแล้วร้องเพลงให้โรงเรียนได้ไม่กี่เดือน ก็ลาครูไปเป็นเชียร์ลีดเดอร์ ทั้ง ๆ ที่เป็นนักเรียนทุน กลายเป็นหลีดมือที่โรงเรียนนั้น แล้วหนูก็ได้เป็นหลีดมือทุกปี แล้วก็เป็นเชียร์ลีดดิ้งของโรงเรียนด้วย ได้ไปแข่งที่สหรัฐอเมริกา และ สิงคโปร์ ด้วย
ต้องบอกว่า เชียร์ลีดเดอร์ คือกิจกรรมในโรงเรียน ที่หนูชอบและสามารถทำได้ แต่จริง ๆ แล้ว ความฝันของเราคือการได้เข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง ซึ่งระหว่างที่หนูเป็นเชียร์ลีดเดอร์ ถ้ามีโอกาส มีการจัดออดิชั่น หนูก็ไปตลอด หรือถ้ามีประกวดร้องเพลง หนูก็ไปประกวดทุกที่ อย่าง The Star หรือ AF หนูไปมาหมดแล้ว และก็เคยประกวดดีเจด้วย เป็นคลื่นวิทยุที่อุบลราชธานี แล้วใครที่ได้เป็นดีเจ จะกลายเป็นเน็ตไอดอล แล้วจะดังมากในภาคอีสาน หนูก็รู้สึกว่าอย่างโด่งอยากดัง ก็เลยลองไปออดิชั่นดู แล้วก็เข้ารอบ 10 คน จากนั้นทางคลื่นก็ให้โหวต แล้วหนูก็ได้เข้ารอบจนได้เป็นดีเจ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ทำให้หนูพูดเก่งขึ้นมากเลยค่ะ”

การประกวดที่ต้องคอยแอ๊บ
“ในตอนที่หนูประกวดหลาย ๆ เวที มันลำบากใจมากเลย เพราะว่าช่วงนั้นเรื่อง LGBTQ+ มันยังไม่เปิดกว้าง เราต้องพยายามแอ๊บแมนตลอด เวลาแนะนำตัวต้อง สวัสดีครับ ผมนินจาครับ วันนี้จะมาร้องเพลงครับ แบบนี้ตลอดแล้วมันไม่มีความสุข จริง ๆ เรามีศักยภาพ แต่พอไปถึงตรงนั้นแทนที่เราจะกังวลว่า เราจะร้องเพลงเพี้ยนไหม เราจะเต้นผิดไหม แต่เราดันต้องกังวลว่ากรรมการจะจับได้ไหมว่าฉันเป็นตุ๊ด มันวนอยู่ในหัวตลอดเวลา นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ไม่ผ่านเข้ารอบด้วย เราอาจจะไม่มีความสุขจนมันดูเกร็งไปหมด
เวลาประกวดแล้วผิดหวัง มันก็ท้อนะคะ แต่หนูก็ไม่เคยถอย หนูจะบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร ยังไม่ใช่ช่วงจังหวะของเรา เราไม่ได้เวทีนี้ก็ไปเวทีหน้า หลาย ๆ รอบที่ไม่สามารถเข้ารอบได้ ในใจตอนนั้นก็คิดว่าเป็นเรื่องของเพศสภาพด้วย เรารู้สึกว่าสังคมมันยังไม่เปิดกว้าง แม้กระทั่งครูสอนร้องเพลงของหนูเอง ก็สอนเราเลยว่าเวลาไปออดิชั่นต้องเก๊กแมนนะ กรรมการเค้าไม่ชอบ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ได้เข้ารอบนะ มันเลยกลายเป็นแรงกดดันในใจ ปกติเวลาหนูจะเต้น หนูเต้นไลน์ผู้หญิงคมมาก แต่สุดท้ายพอไปถึงตรงนั้นหนูก็ไม่สามารถเต้นได้เต็มที่แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ที่หนูมีได้ หนูก็พยายามฝืนเต้นให้มันเป็นไลน์ผู้ชาย จนมันขาดเสน่ห์และอาจจะไม่เข้าตากรรมการตอนนั้น มันเลยยังไม่ไปถึงฝันสักที”
จากเชียร์ลีดเดอรสุดจึ้ง สู่นักเต้นคัฟเวอร์สุดต๊าช
“หนูเริ่มเต้นคัฟเวอร์ช่วงประมาณ ม.5 ค่ะ ช่วงนั้น T-POP ดังมาก เด็กนักเรียนที่รักในการเต้นทุกคนก็ต้องเต้นคัฟเวอร์ แล้วเพื่อนที่เป็นเชียร์ลีดเดอร์ก็เริ่มไปเต้นกัน ซึ่งตอนแรกหนูก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่พอมันเริ่มดังขึ้น หนูก็เลยไปลองเต้นดู แล้วรู้สึกว่ามันมีเสน่ห์ เพราะด้วยความที่เราอยากเป็นศิลปิน แล้วเวลาเต้นคัฟเวอร์ เราได้สมมติตัวเองว่าฉันคือไอดอลคนหนึ่ง มันเหมือนเป็นการฝึกการเป็นศิลปินบนเวทีไปด้วย
ในตอนแรกหนูไม่เต้นเพลงผู้หญิงเลย หนูเต้นเพลงผู้ชายตลอด เพราะว่าคนกรี๊ดวงผู้ชายเยอะกว่าด้วย แล้วเราก็คิดว่าถ้าเราได้เปิดตัว ส่วนมากวง LGBTQ+ คนไม่ค่อยกรี๊ด ก็เลยเต้นเพลงผู้ชายมาตลอด จุดที่เริ่มเต้นเพลงผู้หญิงคือ ตอนนั้นหนูเข้ามาในกรุงเทพ แล้วมีคนชวนว่าลองคัฟเวอร์เพลงผู้หญิงไหม หนูก็ตัดสินใจว่าลองก็ได้ตอนนี้พร้อมแล้ว ซึ่งพอเต้นครั้งเดียวเท่านั้น พอลงคลิปในโซเชียล คลิปนั้นยอดวิวประมาณ 5 ล้านวิวเลย แล้วคนก็ชอบกว่าตอนที่หนูเต้นเพลงผู้ชาย เลยกลายเป็นสิ่งที่ทำให้หนูยอมเปิดใจ คัฟเวอร์เพลงผู้หญิงจนกลายเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของตัวเอง
หนูเต้นคัฟเวอร์ประมาณ 3-4 ปี ซึ่งกลายเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับหนู พอหนูเข้ามาอยู่ในกรุงเทพ ก็ได้อยู่ทีมคัฟเวอร์ที่เคยเป็นแชมป์โลกมาก่อน แล้วก็เป็นทีมที่มีชื่อเสียงในประเทศไทยแล้วหนูได้มาอยู่ทีมนี้ ได้ฝึกการเต้นมาเรื่อย ๆ จนเริ่มมีงานจ้าง แล้วก็ได้ไปเต้นตามที่ต่าง ๆ กลายเป็นอาชีพหลักของหนูเลย แล้วหลังจากที่หนูเข้ามาอยู่กรุงเทพหนูก็ได้เป็นแดนเซอร์ ถ้าอย่างคอนเสิร์ตใหญ่ ๆ อย่าง พี่ใหม่ พี่เบิร์ด พี่มอส พี่ทาทา หนูเคยเต้นให้หมดทุกคนเลย ส่วนมากหนูชอบไปเต้นแบบคาสเซ็ท เต้นเยอะมากจนรู้จักทุกเพลง ถ้าอย่างศิลปินต่างประเทศก็จะมี Got7 ตอนที่ แบมแบม มีแฟนมีตที่เป็นคอนเสิร์ตในไทย 4 ภาค หนูก็ไปเป็นแดนเซอร์ บินกับ แบมแบม ทุกภาคเลย เป็นช่วงการทำงานที่ตื่นเต้นและดีใจมากค่ะ”

จุดเริ่มต้นของ 4MIX วงสุดชิค ที่กล้าเป็นตัวเองอย่างเต็มที่
“4MIX ก็มาจากทีมที่คัฟเวอร์นี่แหละค่ะ ตอนนั้นพวกเรามีเพจ แล้วสมาชิกทุกคนมีรหัสเพจหมด ก็เหมือนเป็นแอดมินกันหมด วันหนึ่งก็มีค่ายเพลงติดต่อมาในเพจว่า เค้าอยากจะเริ่มทำ วง T-POP เค้าก็เลยถามว่าสนใจมาเป็นศิลปินไหม แล้วชวนไปออดิชั่น ตอนนั้น น้องแม็กก้า ก็ไปเห็นข้อความ แล้วก็มาถามเพื่อนในวงว่ามีใครอยากเป็นศิลปินบ้าง ไปออดิชั่นกันไหม เราก็รวมกันไปออดิชั่นที่ค่าย 4 คน แล้วก็ได้วันนั้นเลย 4 คน มี นินจา, จอร์จ, แม็กก้า แล้วก็ โฟล์คซอง
เรื่องการยอมรับตัวตนของนินจาจากสมาชิกในวง ต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่หนูโชคดีมาก แล้วก็ทำให้ 4MIX มาถึงตรงนี้ได้ เพราะว่าน้อง ๆ สมาชิกในวงทั้งสามคน ทุกคนเปิดรับหมดเลย ด้วยความที่อาจจะอยู่ทีมด้วยกันมาตั้งแต่แรก เพราะมาด้วยกันทั้ง 4 คน แล้วก็ทุกคนไม่รังเกียจ จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา เรานอนด้วยกัน กินด้วยกัน นอนกอดกัน ทุกอย่างธรรมดามาก มันก็เลยยิ่งทำให้หนูมั่นใจที่จะแสดงทุกอย่างออกไป เหมือนครอบครัวเรามันแน่นแล้ว เพราะฉะนั้นแม้จะมีคนมาคอมเมนต์ หนูก็เลยไม่ค่อยสนใจ ถ้าคนในวงไม่ได้อายที่หนูเป็นแบบนี้ หนูก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอายในความเป็นตัวเองเหมือนกัน
ด้านค่ายก็ค่อนข้างเปิดกว้าง มันจะมีแค่ช่วงแรก ๆ ที่เราไม่ได้คุยกันแบบละเอียด ก็จะมีผู้ใหญ่ บางคนที่มีกรอบในการแสดงออกของนินจาบ้าง แต่ว่าผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าหนูสามารถเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่เลย เราเลยวางแนวทางกันว่า 4MIX จะเป็นบอยแบนด์ที่ใส่เสื้อผ้าแบบ UNISEX บวกกับหนูที่ไม่ได้ปิดกั้นตัวเองเลย หนูเป็นตัวเองอย่างเต็มที่เลย”
ผลตอบรับหลังจากเปิดตัววง 4MIX บอยแบนด์ LGBTQ+ วงแรกของไทย
“ช่วงเพลงแรกที่เปิดตัว หนูโดนคอมเมนต์เยอะอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะใน Tiktok นี่คือคอมเมนต์ถล่มเลย ทำไมบอยแบนด์เป็นแบบนี้ ทำไมไม่แอ๊บเลย ประหลาดไปกันใหญ่แล้วประเทศไทย ไม่แอ๊บแบบนี้มีแฟนคลับเหรอ เค้าตามแค่ผู้ชายหล่อๆ นะหนู เจอคอมเมนต์ทำนองนี้เยอะมาก แต่ตอนนั้นหนูก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะวงเราเหมือนเตรียมใจคุยกันมาแล้วว่าเราจะโฟกัสแค่คอมเมนต์ที่ติเรื่องความสามารถ อย่าง ร้องไม่ดี หรือเต้นไม่ดี แบบนี้เรากลับมาคิดและปรับปรุงได้ แต่ถ้ามาติเรื่องเพศ พวกเราจะไม่สนใจเลย เช่น มีคอมเมนต์ว่าร้องเพลงเพราะนะแต่เป็นกะเทย แค่นั้นหนูก็หัวเราะดีใจแล้ว เพราะอย่างน้อยเค้าก็บอกว่าหนูร้องเพลงเพราะ
ตอนที่เปิดตัวว่า 4MIX เป็นบอยแบนด์ LGBTQ+ วงแรกของไทย ตอนนั้นหนูดีใจ แล้วก็ตื่นเต้น ที่เกิดเป็นกระแส และทุกคนพูดถึงวงเรา ดีใจกับสิ่งที่เราทำมามันเกิดขึ้นแล้ว แม้ว่าก่อนเดบิวต์คนด่าเยอะ แต่พอเดบิวต์แล้วเหมือนกับว่าพวกเราทำถึง บวกกับจังหวะเวลาและสังคมที่ชื่นชมเราหมดเลย แทบจะไม่มีใครตำหนิเลย พวกเราดีใจมาก
ที่บ้านก็ดีใจมากเช่นกัน ตอนนี้แม่มีความสุขมากเพราะว่าเค้าเป็นคนที่พาหนูไปออดิชั่น พาไปประกวดตลอด พอมาถึงตรงนี้ได้แม่ก็ดีใจมาก ช่วงหลัง ๆ เวลากลับบ้านแล้วหนูอยากอยู่บ้านมาก แต่แม่ก็จะบอกว่าไปนี่กับแม่หน่อย มาโรงเรียนแม่หน่อย พบปะประชาชนหน่อย ก็ต้องไปโชว์ตัวบ่อยมากค่ะ”

4MIX กับปรากฎการณ์ดังชั่วข้ามคืน
“หลังจากที่ปล่อยเพลง Y U COMEBACK เป็นเพลงเดบิวต์เพลงแรก พอปล่อยออกมาคืนแรกยังปกติอยู่ คนก็ดูปกติแบบไม่ได้เยอะมาก แต่พอหนูหลับไปแล้วตื่นขึ้นมา Instagram มีแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาเป็น 2-3 พัน แล้วยอด Follow ของหนูเพิ่มขึ้นเยอะมาก แต่ไม่มีภาษาไทยเลย มีแต่คอมเมนต์ที่เป็นภาษาละตินล้วน เป็นคนบราซิล เม็กซิโก อเมริกาใต้ มาคอมเมนต์กันหมด เหมือนเปลี่ยนชีวิตภายในชั่วข้ามคืนเลย น่าตกใจมากค่ะ
หนูคิดว่าด้วยสไตล์เพลงของวงเรา ที่จะเป็นจังหวะหนัก ๆ สนุก ๆ แบบที่ละตินชอบ บวกกับเรื่อง LGBTQ+ ด้วย เหมือนฝั่งละตินชอบฟังเพลงเกาหลี ซึ่งก็จะเป็นเกาหลีแบบบอยแบนด์ หรือเกิร์ลกรุ๊ปไปเลย แล้วที่บราซิลหรือที่ละตินอเมริกามีศิลปินที่เป็น LGBTQ+ ที่ดังเยอะมาก แล้วพอวงเราปล่อยพลงในสไตล์ที่เค้าชอบ บวกกับเป็นวง LGBTQ+ ด้วย เค้าก็เลยชอบ แล้วช่วงนั้นมีช่องรีแอคชั่นของฝั่งละติน ซึ่งเป็นช่องใหญ่มารีแอคเพลงเรา เกิดเป็นการรีแอคต่อกันเป็นพันคลิป มันก็เลยกระจายเป็นวงกว้างในฝั่งละตินค่ะ
ซึ่งในบรรดาเพลงทั้งหมดของ 4MIX หนูชอบเพลง ROLLER COASTER ที่สุด มันเป็นเพลงที่ 2 หลังจาก Y U COMEBACK เพราะหนูรู้สึกว่า ทำนองเพลงมันดี แล้วหนูมีส่วนร่วมการคิดในทุกส่วนของเพลงนี้ หนูเป็นคนออกแบบท่าเต้นทั้งหมด แล้วคนก็เต้นตามใน Tiktok เยอะมาก ก็เลยเหมือนเป็นอีกผลงานที่ประทับใจค่ะ”
เมื่อ 4MIX พา T-POP ดังไกล กับคอนเสิร์ต ‘4MIX UNIX MEXICO’
“พอเพลง Y U COMEBACK ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ๆ สถานทูตเม็กซิโกก็ติดต่อมาว่า อยากให้วงเราไปแสดง แล้วเรากับค่ายก็ตกลงกันว่าไป สุดท้ายเราบินไป ซึ่งทีแรกเราก็คิดว่าคนดูคงประมาณ 500 คน เพราะใครจะมาดูด้วยตอนนั้นมีสถานการณ์โควิด-19 ช่วงที่เราบินไปมันไม่มีคนไทยออกนอกประเทศเลย มีการตรวจเข้มมากกว่าจะเข้าไปถึงเม็กซิโกได้
ในวันที่ต้องเล่นคอนเสิร์ต พวกเราเจ็ทแล็กอยู่ คอนเสิร์ตเราจะเริ่ม 6 โมงเย็น แต่ว่าเราตื่นกันตั้งแต่ตี 5 แต่พอส่องใน Instagram เราเห็นแฟนคลับไปรออยู่หน้าเวทีแล้ว ตอนนั้นเพิ่งจะ ตี 5 แต่โชว์เริ่ม 6 โมงเย็น จน 11 โมง ต้องไปบล็อกกิ้ง ปรากฏว่าคนรอเต็มหน้าเวทีเลย ประมาณ 500 คนแล้ว จนใกล้ถึงเวลาโชว์ พี่ทีมงานก็บอกว่ารถตู้ที่จะมารับพวกเรามาช้า เพราะตอนนี้ที่งานคนเยอะมาก และสถานการณ์มันควบคุมไม่ได้ พวกเราเข้าทางหน้างานไม่ได้ จนเราต้องอ้อมเข้าไปด้านหลังห้าง กว่าจะเข้าไปได้ก็ชุลมุนมากเลย ตอนนั้นมันทั้งดีใจ แล้วก็ช็อคด้วย พี่ทีมงานบอกว่า 4MIX อย่าเพิ่งขึ้นเวทีเพราะว่าคนเค้าจะเหยียบกันตาย พวกเราก็กลัว แล้วมันมีคนเป็นลมเยอะมาก จนทีมงานถามกันว่ายกเลิกไหม เพราะมันคุมคนไม่ได้จริง ๆ จากที่งานรับคนได้สูงสุดแค่ 500 คน แต่ตอนที่พวกเราจะขึ้นโชว์ มีคนประมาณ 4,000 คน จนทีมงานปรึกษากันอยู่ราวครึ่งชั่วโมง แล้วตัดสินใจให้พวกเราขึ้นโชว์ แต่ก็ร้องไม่ครบทุกเพลง แล้วต้องรีบลงเพราะคนเยอะมาก ตื่นเต้นและประทับใจมากเลยค่ะตอนขึ้นโชว์
หนูดีใจที่คนรู้จัก 4MIX เยอะ และความฝันของหนูคืออยากไปทัวร์ระดับโลกให้ได้ อยากเป็นศิลปินระดับโลก แบบที่ว่าทุกคนพูดถึง 4MIX จากทั่วทุกมุมโลก อยากขึ้น Grammy Awards อยากไปอยู่จุดนั้นเพื่อเป็นชื่อเสียงให้ประเทศ แล้วก็เป็นชื่อเสียงให้ตัวเองด้วย เติมเต็มความฝันตัวเองด้วยค่ะ”

เปิดสเปค ส่องความรักของ นินจา 4MIX
“หนูไม่เคยมีแฟนเลยค่ะ เกิดมา 26 ปี ไม่เคยได้มีคนไปดูหนังด้วยกัน จับมือกัน หนูไม่เคยมีเลยแม้แต่คนเดียว เสปคหนูชอบคนที่แขนขายาว มีความเป็นนายแบบ ผอม ๆ แบบหน้าเอเชียที่จริตเป็นอเมริกา พูดภาษาอังกฤษคล่องมาก ถ้าในไทยคือแบบ พี่เน PERSES คนนี้หนูชอบเค้า หนูจีบเค้าใน Instagram ทุกวันเลย แล้วพี่เค้ารู้ตัวค่ะ ทุกคนรู้ แฟนคลับรู้ เค้าก็ปล่อยให้หนูมีความสุขไป แล้วหนูแค่มองเค้าก็มีความสุขแล้วค่ะ”
หลังจากเล่าสเปคจบ ก็ได้มี 1 สายสุดเซอร์ไพรส์ ที่โทรเข้ามาสร้างสีสันพร้อมส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับ นินจา นั่นคือสายของ เน PERSES โดย เน ได้พูดถึง นินจา ว่า “ติดตามอยู่นะ ทั้ง นินจา ทั้ง 4MIX เลย เป็นวงที่เท่มาก ๆ แล้ว นินจา ก็มีความมั่นใจในความเป็นตัวเองแล้วมันเท่มาก ๆ อยากให้ นินจา มั่นใจในตัวเองแบบนี้เยอะ ๆ ชอบมาก ๆ ครับ”
ส่วน นินจา ก็ได้พูดความรู้สึกกับ เน ว่า “ติดตามผลงานของ PERSES อยู่ตลอดค่ะ ตอนนี้ PERSES พัฒนามาไกลมาก จริง ๆ แล้วสมาชิกในวงของเราเป็นเพื่อนกันหมดเลย แล้วก็รู้จักกันตั้งแต่ก่อนจะมาเป็น PERSES ด้วย แล้วก็ดีใจที่ PERSES มีแฟนคลับเยอะมากแล้วก็เก่งมาก ๆ ส่วน พี่เน หนูก็เห็นมาตั้งแต่เป็นนายแบบ แล้วการร้องการเต้นตอนนี้ พี่เน เก่งและสุดยอดมาก แล้ววงเค้าซ้อมกันทุกวันเลย พัฒนาตัวเองไม่หยุดเลย เก่งมาก ๆ เลยค่ะ หนูก็จะพยายามซ้อมบ่อย ๆ เหมือนกันค่ะ”

เพราะครอบครัวคือแรงสนับสนุนที่สำคัญ
“หนูอยากขอบคุณพ่อกับแม่มากที่สนับสนุนหนูมาตลอด ขอบคุณที่สนับสนุนทุก ๆ การเดินทาง แล้วก็ไม่เคยปิดกั้นหนูเลย แม้กระทั่งตอนนี้ที่เป็น 4MIX หนูขออะไรถ้าแม่มีแม่ให้หมด ขอบคุณที่เชื่อในความฝันของหนูด้วย เพราะว่าตอนนั้นพูดไปใครก็ไม่เชื่อหรอกว่าหนูจะมาอยู่จุดนี้ได้ แต่สุดท้ายหนูก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว และพ่อกับแม่คือส่วนสำคัญมาก ๆ ขอบคุณที่พามาอยู่ตรงนี้นะคะ แล้วหนูก็จะทำให้ดีที่สุดค่ะ
หนูอยากจะฝากถึงหลาย ๆ ครอบครัว อยากให้คุยกันเยอะ ๆ คำว่าความฝัน มันคงไม่สามารถจับต้องได้ภายในวันนี้หรอกค่ะ เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่ในอนาคต ถ้ารู้ว่าลูกทำอะไรได้ ลูกเราชอบอะไร อยากให้สนับสนุน หากมันไม่ได้ไปทำร้ายใคร หรือไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เพราะครอบครัวเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญที่สุด อยากให้สนับสนุนลูก ๆ ทุกคนที่ความฝันนะคะ”
คำขอบคุณ จาก นินจา 4MIX
“นิจา อยากขอบคุณทุกคนที่ช่วยกันติดตาม แล้วก็ซัพพอร์ต 4MIX มาตลอด ไม่ว่าเราผ่านอะไรมา แต่ทุกคนก็ยังรักแล้วก็สนับสนุนพวกเรามาตลอด แล้วก็ขอบคุณทุกคนที่ซัพพอร์ต นินจา ในแบบที่เป็น นินจา ด้วย ทุกคนคือกำลังใจที่สำคัญมาก ๆ
แล้วก็ขอบคุณสังคมที่มันมาได้ไกลขนาดนี้ เพราะทุกวันนี้ศิลปินหลาย ๆ คน ในการไปออดิชั่นหรือการเดบิวต์ออกมา เห็นหลายคนมากที่เค้าเป็นตัวของตัวเองแล้วจริง ๆ อยากให้ทุกคนสนับสนุนทั้งตัว นินจา แล้วก็ทุกคนทุกเพศที่มีความฝัน เรารักใคร ก็อยากให้สนับสนุนเค้ากันเยอะ ๆ ค่ะ” - นินจา จารุกิตต์

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “พี่อ้อย” และ “ก็อตจิ” ได้ในทุกสัปดาห์
ติดตามชมรายการย้อนหลัง
