เปิดสีสันของชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “ปีใหม่ ศรุดา” Miss Tiffany's Universe คนที่ 25 กับดีกรีแอร์โฮสเตสสาวทรานส์

Club Pride Day Recap

เปิดสีสันของชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “ปีใหม่ ศรุดา” Miss Tiffany's Universe คนที่ 25 กับดีกรีแอร์โฮสเตสสาวทรานส์

13 มี.ค. 2024

“อย่าลดขนาดของความฝัน แต่จงเพิ่มขนาดของความพยายาม โอกาสก็เหมือนกับอากาศ ถึงมองไม่เห็นแต่มันมีอยู่จริง”

 

ยังคงเป็นพื้นที่ปลอดภัย คอยส่งมอบแรงบันดาลใจ และเป็น Club ที่ทำให้ได้เรียนรู้ทุกเฉดสีในชีวิตของเหล่าตัวแม่ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดสวย “ปีใหม่ - ศรุดา ปัญญาคำ” สาวงามผู้คว้าตำแหน่ง Miss Tiffany's Universe 25th หลังจากที่เธอเข้าประกวดเวทีนี้มาแล้วรวม 5 ครั้ง และสร้างตำนานทรุดลงกับพื้นทุบเวทีด้วยความดีใจจนกลายเป็นไวรัลฮือฮา นอกจากนี้เธอยังมีดีกรีเป็นแอร์โฮสเตสหญิงข้ามเพศคนแรก จากสายการบิน American Airline อีกด้วย สีสันของชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร แล้วมีข้อคิด แรงบันดาลใจอะไรบ้าง ให้ได้นำมาปรับใช้ เธอได้แชร์ให้ฟังหมดแล้วในรายการ

 

 

ปีใหม่ กับการรับรู้ตัวตนมาตั้งแต่เด็ก

“ก่อนจะมาสวยเหมือนทุกวันนี้ หนูก็เป็นคนหล่อมาก่อน เพราะแต่งตัวบอย ๆ มาตั้งแต่เด็ก แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ชาย แต่ด้วยกรอบสังคม แล้วก็บริบทที่เราเกิดมาเป็นเด็กผู้ชายก็จะต้องทำตามขนบธรรมเนียม ไปโรงเรียนเราก็ต้องแต่งตัวเป็นผู้ชายปกติ ทั้ง ๆ ที่ความรู้สึกของเราก็รู้ว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ชายมาตั้งแต่แรกแล้ว

หนูเกิด และเติบโต ที่ อ.พบพระ จ.ตาก สิ่งที่เรารู้สึกได้เลยก็คือ เราไม่ชอบไปเล่นกับเพื่อนผู้ชาย ไม่ชอบไปเล่นกับเด็ก ๆ ข้างบ้าน แต่เราชอบเล่นกับพี่สาวของตัวเอง หนูมีพี่สาว 2 คน ซึ่งก็จะมีจิตวิญญาณของความเป็นผู้หญิงมาตั้งแต่เด็ก โดยครอบครัวรับทราบ แล้วก็สนับสนุนมาตลอด เค้าไม่เคยมีการตั้งคำถามในการใช้ชีวิตของหนูเลย แต่กลับส่งเสริมสนับสนุน ทั้ง คุณพ่อ คุณแม่ ครอบครัว รวมไปถึงญาติพี่น้องสนับสนุนเราเป็นอย่างดีเลย ซึ่งตอนเรียนหนูเป็นเด็กกิจกรรม เป็นหัวหน้าห้อง เป็นประธานโรงเรียน แล้วก็อยู่ในกลุ่มเด็กเรียน เรียนอยู่ห้อง 1 สายวิทย์-คณิต แล้วก็เป็นตัวแทนโรงเรียน ไปประกวดแข่งขันทักษะทางวิชาการอยู่บ่อยครั้ง”

 

 

เปิดหู เปิดใจ หากมีบุตรหลานเป็น LGBTQ+

“หนูอยากจะขอบคุณครอบครัวที่เป็นพื้นฐานที่ดีมาก ๆ ให้กับตัวเรา เค้าเปิดโอกาสให้เราเป็นตัวเอง และไม่ได้สร้างขีดจำกัดให้กับเรา มันจึงทำให้เรารู้จักตัวตนของตัวเองตั้งแต่เด็ก และหนูอยากจะฝากบอกไปยังผู้ปกครองว่า ถ้าหากคุณมีบุตรหลานที่มีความคิด อยากจะเป็นในสิ่งที่เค้าเป็น หนูอยากจะให้สนับสนุน สร้างความเข้าใจ แล้วก็เปิดใจ เหมือนกับคำถามในรอบ TOP5 ของหนูที่ถามว่า หากผู้ปกครองไม่ได้ยอมรับบุตรหลาน คุณจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งหนูตอบว่า ต้องเริ่มจากการเปิดหูรับฟัง แล้วก็เปิดใจที่จะเข้าใจว่า บุตรหลานต้องการสิ่งไหน แล้วเราสามารถสนับสนุนเค้าไปในทิศทางไหน เพื่อให้เค้าเติบโตไปเป็นเด็กที่มีคุณภาพของสังคมอีกคนหนึ่ง เพราะจริง ๆ แล้วการที่เราเกิดเป็นเพศอะไร ไม่สำคัญเท่ากับการที่เราสร้าง หรือว่าทำอะไรให้กับสังคมได้บ้าง”

 

“คุณครู” ความฝันในวัยเด็กของ ปีใหม่ ศรุดา

“ในตอนเด็ก ความฝันในการเป็นนางงามของหนูไม่เคยมีเลย เพราะว่าเราเกิดในจังหวัดที่ไม่ได้มีการประกวดนางงามอะไรเลย จึงทำให้รู้สึกว่าการเป็นนางงามมันไกลตัวเหมือนกัน หรือแม้กระทั่งการเป็นแอร์โฮสเตสก็ไม่เคยคิด เพราะเรายังไม่เคยเห็นเครื่องบิน ตอนนั้นทั้งหมู่บ้าน มีคอมพิวเตอร์ 4-5 เครื่องเอง หลังจากนั้นหนูก็ตัดสินใจไปเรียนครุศาสตร์ การเป็นคุณครู กลายเป็นความใฝ่ฝัน เพราะหนูรู้สึกว่าเราสามรถเป็นคนที่มีคุณภาพได้ หากได้รับการปลูกฝัง แล้วก็การสั่งสอนมาจากคุณครูในโรงเรียน และครูคือตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ณ ตอนนั้น แล้วแต่ก่อน มันไม่ได้มีโลกอินเตอร์เน็ตให้เราได้ไปท่องสืบค้นข้อมูลมากมายเหมือนสมัยนี้ ไม่ได้มีตัวอย่างที่ทำให้เราเห็น ส่วนใหญ่เราก็เห็นจากในทีวี หรือในสื่อ ซึ่งเราก็จะเห็นว่า อาชีพครู เป็นอาชีพที่เป็นที่สุดเหมือนกัน

ซึ่งที่ผ่านมาเรื่องเพศไม่เคยมีปัญหากับการเรียนครูเลย เพราะเราก็แต่งตัวเป็นผู้หญิงเวลาที่ต้องไปเรียน แต่แต่งตัวแบบถูกระเบียบ ซึ่งมันไม่ได้ทำให้คนอื่นมาตั้งคำถามกับเรา เหมือนที่เราเคยทำตอนเป็นเด็ก เราก็อยู่ในกฎระเบียบ ดังนั้นก็เลยไม่ได้มีปัญหาอะไร และอยากจะบอกน้อง ๆ รุ่นหลังว่า ถ้าหากเราอยากให้เกิดการยอมรับ เราต้องเคารพกฎระเบียบของสังคมก่อน แล้วถ้าคนในสังคมเข้าใจ เค้าก็จะยอมรับในความเป็นตัวเราโดยอัตโนมัติ

ซึ่งหนูมองว่าการที่เราจะเป็น LGBTQ+ มันไม่สามารถลอกเลียนแบบกันได้เลย มันเป็นเหมือนจิตวิญญาณ ที่ไม่สามารถสอนได้ในบทเรียน ถ้าเป็นในทางการแพทย์ที่หนูเคยอ่านมา เค้าบอกว่ามันเหมือนเป็นความผิดปกติในด้านฮอร์โมน หรือโครโมโซมที่เกิดขึ้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาแล้ว ดังนั้นเรื่องที่จะเกิดพฤติกรรมการเลียนแบบ หรือว่าการเป็นแบบอย่างให้กับเด็กรุ่นหลัง เพื่อชวนให้เค้ามาเป็น LGBTQ+ หนูคิดว่ามันไม่สามารถทำแบบนั้นได้”

 

 

จุดเริ่มต้นความฝัน บนเส้นทางนางงาม

“เรื่องการประกวดนางงาม เป็นกิจกรรมที่หนูจะเปิดทีวีดูกับคุณพ่อคุณแม่ตั้งแต่หนูยังเด็ก หลังจากนั้นมันก็จุดประกายให้หนูเริ่มเอาผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว ผ้าปูที่นอน มาคลุมเป็นชุดราตรี แล้วเดินเป็นนางงามไปทั่วบ้าน ซึ่งพ่อกับแม่ก็เห็น จากนั้นทุกปีเราก็จะนัดกันกับคุณพ่อคุณแม่มาดูการประกวดทุกปี เหมือนเป็นเทศกาลของที่บ้านไปเลย แล้วในปี 2008 หนูเปิดทีวีมาเจอการประกวด Miss Tiffany's Universe พอดูการประกวดครั้งนั้นคือเปิดโลกเลย หนูรู้สึกว่าโอ้โห เค้าเกิดในร่างของผู้ชายมาก่อน แล้วสามารถทรานส์ตัวเองได้สวยขนาดนี้เลยเหรอ ซึ่งยุคนั้นมันเริ่มมี Pantip มีเว็บบอร์ด แล้วเราก็เข้าไปอ่านว่าพี่ ๆ ทำอย่างไร ถึงจะไปอยู่จุดนั้นได้ จนกลายเป็นชนวนไฟที่จุดให้เรารู้สึกว่า เราสามารถก้าวข้ามเพศสภาพของเราได้ หลังจากนั้นพอหนูได้มาเจอรุ่นพี่ที่เค้าอยู่ในวงการนางงาม เค้าก็สอนเราว่าต้องเทคฮอร์โมนยังไง แต่ทั้งนี้ต้องปรึกษาและอยู่ในความดูแลของแพทย์ เพราะว่ามันอาจจะส่งผลต่อตับของเรา แล้วหนูอยากบอกไปยังน้อง ๆ ที่อยากจะทรานฟอร์เมชั่นตัวเอง ควรจะไปตรวจฮอร์โมนกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้โดยตรงก่อน เพราะว่ายุคนี้มันเป็นยุคที่ทันสมัยแล้ว ไม่อยากจะให้มาสุ่มเสี่ยง หรือเทคฮอร์โมนแบบคาดเดาด้วยตัวเอง อยากจะให้รู้สึกว่ามันปลอดภัย แล้วก็ยั่งยืนด้วย

หลังจากนั้น ก็มีพี่เลี้ยงนางงามมาเจอหนูในร้านเสริมสวย ชื่อ พี่วี กับ พี่พล เค้าถามเราว่าอยากจะประกวดนางงามรึเปล่า ในหัวเราตอนนั้นยังนึกภาพตัวเองประกวดนางงามไม่ออก เพราะเราผมสั้น ยังไม่เคยแต่งหญิงมาก่อน พี่ ๆ ก็ลองจับเราไปแปลงโฉม ลองแต่งหนูให้กลายเป็นผู้หญิง วันนั้นหนูไม่ล้างหน้า ไม่เอาผมออกเลย กลับบ้านแบบหน้าฉ่ำเพื่อที่อยากจะเอาไปให้คุณพ่อคุณแม่ดูว่า จริง ๆ แล้วเราก็แต่งเป็นผู้หญิงสวยนะ แล้วพอคุณพ่อคุณแม่เห็นก็บอกว่าลูกเราสวยนี่นา หลังจากวันนั้นหนูก็ประกวดมาเรื่อย ๆ จนที่บ้านเต็มไปด้วยมงกุฎ และสายสะพายเยอะมาก ถ้าลองนับหนูน่าจะประกวดมาเป็นพันเวทีเลย

แน่นอนว่าในการประกวด มันก็ต้องมีทั้งสมหวัง และผิดหวัง เวทีแรกี่หนูประกวดก็ไม่ได้ที่ 1 จำได้ว่าเวทีแรกหนูได้ที่ 4 หลังจากนั้นก็ตกรอบบ้าง ได้รางวัลบ้าง สมหวังบ้าง บางครั้งผิดหวังเสียใจ จนนั่งร้องไห้หลังเวทีก็มี ซึ่งตอนที่ผิดหวัง ปีใหม่จะบอกตัวเองว่า เราสามารถดีได้กว่านี้ และจะให้เวลาตัวเองเสียใจแค่ 1 - 2 ชั่วโมง และเราจะไม่เสียใจไปมากกว่านี้แล้ว นอกจากนั้นเราจะไม่โกรธใครด้วย วันพระไม่ได้มีหนเดียว เวทีนี้ไม่ชนะ เราไปต่อเวทีอื่นก็ได้”

 

 

จากนางงาม พลิกสู่การเป็นแอร์โฮสเตสหญิงข้ามเพศคนแรก ของ American Airline

“สิ่งที่จุดประกายให้หนูอยากเป็นแอร์โฮสเตส ก็คือตอนนั้นเราย้ายไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เพราะว่าผิดหวังกับความรัก แล้วก็ตกรอบ Miss Tiffany's Universe ด้วย หนูประกวดมาแล้ว 4 ครั้ง ครั้งล่าสุดนี้คือครั้งที่ 5 ซึ่งเส้นทางการประกวดมันไม่ได้ราบเรียบเลย หนูไปประกวดตั้งแต่ตอนอายุ 18 ปี เข้าแค่รอบ 30 คนสุดท้าย แล้วก็ไปอีกรอบหนึ่ง ก็เข้า 30 คนสุดท้าย พอไปอีกก็เข้าแค่รอบ 10 คนสุดท้าย ไปอีกรอบก็เข้า 10 คนสุดท้ายอีก 4 ครั้งแล้วที่หนูผิดหวัง ก็เลยรู้สึกว่าเวทีนี้อาจจะไม่ใช่ที่สุดของเรา เลยลองทบทวนว่าเราสามารถไปเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นไหนได้อีกบ้าง จึงตัดสินใจไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ในตอนแรกหนูไปเป็นคุณครูแลกเปลี่ยนในวัดไทยที่สหรัฐอเมริกา ตอนนั้นเราพูดภาษาอังกฤษแทบจะไม่ได้เลย แล้วรู้สึกว่าถ้าเราพูดภาษาอังกฤษได้ มันจะทำให้โลกเรากว้างขึ้นมาก จากนั้นเราก็มุ่งมั่นที่จะพูดและลงเรียนภาษาอังกฤษ ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองสามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ ก็เลยให้นักเรียนสอนภาษาอังกฤษกับเรา แล้วเราก็สอนภาษาไทยให้กับเด็ก จนวันหนึ่งที่เราสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ แล้วบังเอิญมีผู้ปกครองที่พาลูกมาเรียน เค้าเป็นกัปตัน เค้าบอกว่าเราเหมาะมากนะลองไปเป็น Flight attendant ดูไหม จากนั้นเราก็มาลองคิดดูว่าอาชีพอะไรที่บุคคลข้ามเพศอย่างเราไม่สามารถทำได้ในประเทศไทยบ้าง ซึ่งอาชีพ Flight attendant มันเป็นความคิดแรกเลยที่ผุดขึ้นมา และการเป็นแอร์โฮสเตสนี่แหละ เป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่าไม่สามารถทำได้เวลาเราอยู่เมืองไทย เพราะถ้าเราอยู่ในฝั่งเอเชีย หรือว่าฝั่งประเทศไทย ตอนนี้ยังไม่สามารถทำให้เพศสภาพตรงกับเพศกำเนิด  จึงทำให้ยังไม่สามารถเป็นแอร์โฮสเตสได้

ส่วนที่บอกว่าผิดหวังจากความรัก ก็เป็นความรักที่รักกันมา 5 ปีแล้ว ซึ่งพอคบกันนาน ๆ ถึงรู้ว่าเราทัศนคติไม่ตรงกัน จึงตัดสินใจที่จะแยกย้ายกันไปเติบโต หนูอยากไปอยู่ในที่ที่แปลกใหม่ดีกว่า  จึงปล่อยเวลาให้ตัวเองเสียใจแป๊บเดียว แล้วก็เก็บกระเป๋าบินเดี่ยวเลย ตอนนั้นแอบกังวลในใจว่า ภาษาอังกฤษเราก็ไม่ได้ดีเยี่ยม แล้วจะไปใช้ชีวิตยังไง จึงตัดสินใจไปอยู่วัดไทยก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยคิดต่อว่าจะใช้ชีวิตยังไง

พอเราตัดสินใจที่อยากจะลองเดินบนเส้นทางของอาชีพ Flight attendant ก็เริ่มสมัครเลยทุกสายการบินที่เปิดรับในสหรัฐอเมริกา หนูไม่ได้เข้าโรงเรียนเทรนนิ่ง แต่เปิด Youtube ดูว่าการจะเป็นแอร์โฮสเตสจะต้องทำยังไงบ้าง ต้องทำผมยังไง ต้องแต่งหน้าโทนไหน และด้วยความที่เราผ่านเวทีประกวดนางงามมา เราก็จะรู้พื้นฐานว่าหน้าตัวเองต้องแต่งยังไง ทำผมยังไง เพื่อสร้างความประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกับกรรมการ หลังจากนั้นก็เข้าไปสอบ ปรากฎว่าได้ทั้ง 3 สายการบินเลย แล้วเราก็ลองมาเลือกดูว่าตัวเองจะทำสายการบินไหนดี บทสรุปก็มาเป็นแอร์โฮสเตสที่ American Airline

ส่วนในการเดินทางไปสหรัฐอเมริกา ด่านแรกที่ต้องเตรียมก็คือเรื่องพาสปอร์ตของเรา ที่มันไม่ได้ตรงกับเพศสภาพ แต่สิ่งนี้เค้าไม่มองเลย ในใบสมัครของทางสายการบินเค้าไม่ได้ระบุเพศ เค้าบอกแค่ว่ารับสมัครพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน มีความสามารถในการบริการ ไม่ได้ให้ระบุว่า คุณเป็นเพศอะไร สัดส่วนเท่าไหร่ อายุเท่าไหร่ ไม่มี

แล้วพอไปทำงานจริง ๆ หนูสนุกมาก มันเป็นสิ่งที่ตัวเองรอคอยการที่จะได้แต่งตัวสวย ๆ ทำผมทรงกล้วยหอม ทาปากแดง เดินลากกระเป๋าอยู่ในสนามบิน พอได้ทำจริง ๆ มันเป็นอะไรที่ฟูลฟิลในชีวิตมาก และพอไปทำงานจริง ๆ มันก็เหนื่อยบ้าง แต่มันไม่มีงานไหนที่สบายอยู่แล้ว ขึ้นชื่อว่าการทำงานมันก็ต้องมีเหนื่อยบ้าง สนุกบ้าง แฮปปี้บ้าง แต่เราจะมีความสุขกับงานนั้นยังไงมากกว่า หนูก็เลือกที่จะมีเพื่อน หรือมีความสุขกับผู้โดยสาร เราดีใจมากเวลาที่สามารถนำพาผู้โดยสารไปถึงจุดหมายที่เค้ารอคอยได้อย่างปลอดภัย บางคนหนึ่งปีจะได้เจอพ่อแม่หนึ่งครั้ง บางคนมีงานแต่งงานรออยู่ หรือที่เศร้าไปกว่านั้นก็คือบางคนมีงานฌาปนกิจรออยู่ แล้วเราเป็นคนที่นำเค้าไปยังจุดหมาย ทำให้หนูรู้สึกเป็นเกียรติที่สามารถนำพาผู้โดยสารของเราไปสู่ปลายทางได้อย่างปลอดภัย”

 

 

จุดเปลี่ยนสู่การกลับมาประกวด Miss Tiffany's Universe ใหม่อีกครั้ง

“ตอนแรกปีใหม่ก็รู้สึกว่าตัวเองฟูลฟิลกับการได้เป็น Flight attendant แล้ว และก่อนหน้านั้นก็ได้มีโอกาสเป็นนางแบบ New York Fashion Week ด้วย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโอกาสของเรา เป็นฝันที่เราไม่กล้าฝัน ซึ่งคนธรรมดาอย่างเราก็แอบฝัน และสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นจริง เราดีใจมากที่ได้มีรูปตัวเองอยู่บนบิลบอร์ด ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้แหละ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้หนูอยากจะกลับมาประกวด Miss Tiffany's Universe อีกครั้ง ซึ่งตอนแรกความตั้งใจในการประกวดมันล้มหายไปแล้ว แต่ในวันที่เราประสบความสำเร็จจากความมุ่งมั่นด้วยตัวเอง ในดินแดนที่เราไม่รู้จักใครด้วยซ้ำ ภาษาก็ไม่ใช่ภาษาเรา เรายังทำได้เลย หนูจึงอยากนำสิ่งนี้มาเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลาย ๆ คน ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไร ไม่ว่าจะเป็นวัยไหน คุณสามารถฝันได้ แต่คุณต้องลงมือทำ เมื่อคุณลงมือทำ ความฝันมันจะมีโอกาสเกิดขึ้นจริงได้ หนูอยากจะมายืนบนเวที Miss Tiffany's Universe อีกครั้ง เพื่อที่จะเป็นกระบอกเสียงว่า ทุกความฝัน สามารถเป็นไปได้

การกลับมาครั้งที่ 5 นี้ ตั้งแต่วันออดิชั่น หนูเป็นตัวเองในแบบฉบับที่รู้สึกว่าสบายใจที่สุด แล้วขับเคลื่อนการประกวดด้วยความสุขในทุกวัน ตั้งแต่วันออดิชั่นหนูได้พูดทุกอย่างในชีวิตที่เราผ่านมาแล้ว ดังนั้นถึงแม้จะไม่ได้เป็นผู้ที่ชนะ แต่หนูรู้สึกว่าวันนี้ เราได้เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจให้กับใครหลาย ๆ คน หลังจากวันออดิชั่น มีคนส่งข้อความเข้ามาใน Inbox ของหนูเยอะมากว่าพี่เป็นแรงบันดาลใจให้กับหนูเลยนะ จุดนั้นทำให้หนูรู้สึกว่าเราประสบความสำเร็จตามความตั้งใจของเราแล้ว หลังจากนั้นหากเราจะได้ตำแหน่งใดก็ตาม นั่นคือกำไรแล้ว อย่างน้อย ๆ ชีวิตของเราสามารถเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจให้กับใครอีกหลาย ๆ คน ถ้าหากว่าเราจะได้ตำแหน่งหนูก็มองว่ามันเป็นของขวัญของตัวเองก็แล้วกัน”

 

 

รอคอยกว่า 10 ปี กับโมเมนต์ดีใจที่กลายเป็นตำนาน

“ในตอนที่จับมือรอประกาศผล หนูรู้สึกว่าเป็นชื่อของใครก็ได้ เพราะเรากับน้องที่ได้รางวัลรองอันดับ 1 เป็นคู่ที่หยุดโลกกันมาอยู่แล้ว เพราะ น้องโรส ก็เป็นแพทย์เวชปฏิบัติ ซึ่งเรารู้สึกว่าโปรไฟล์เค้าก็ไม่ได้ธรรมดา ถ้าเค้าจะได้มงกุฎ เราก็โอเคกับผลการตัดสิน แล้วในตอนรันทรู พี่อาร์ต อารยา เป็นโชว์ไดเร็คเตอร์ เค้าก็บรีฟนางงามทุกคนบอกว่าปีนี้เราต้องการหานางงามที่เป็นมนุษย์ เสียใจก็เสียใจเลย ร้องไห้ไปเลย ดีใจก็ดีใจให้สุด แสดงออกมาเลย

จน พี่อั๋น ประกาศออกมาเป็นชื่อเรา หนูรู้สึกว่าจะทำยังไงดี มันไม่ได้นัดกับความรู้สึกตัวเองมาก่อน ไม่ได้นัดกับร่างกายเราด้วย มันไม่ได้ห่วงเลยว่าสะโพก หรืออวัยวะเรา จะตกลงไปตรงไหน พอเราฟุบลงไปก็ตั้งใจแค่ว่า จะแตะพื้นขอบคุณพระแม่ธรณี แต่ในคลิปที่ออกมามันกลายเป็นว่าเหมือนเราทุบพื้น แล้วก็มีคนเอาคลิปไปโพสต์ในสื่อบอกว่า เงินรางวัลที่ได้มาทั้งหมด น้องต้องเอาไปซ่อม LED เพราะว่าทุบแตกไปแล้ว

ซึ่งจริง ๆ แล้ว มันเป็นความรู้สึกดีใจ แต่ที่ล้มลงไปรอบแรก มันสไลด์ลงไปเลยเพราะชุดค่อนข้างลื่นเนื่องจากชุดปักจากปล้องอ้อย แล้วกระโปรงมันแคบมาก จากนั้นเราก็อยากจะลุกขึ้นมาสวย ๆ  แล้วมาไหว้ขอบคุณ แต่ตัวหนูมันสไลด์ไปอีก ล้มไปอีกครั้ง ตอนนั้นคิดในใจว่าจะลุกขึ้นยังไงดี ลุกท่าไหนดีอายจังเลย แล้วน้องโรส ที่เป็นแพทย์เวชปฏิบัติ ซึ่งยืนข้าง ๆ หนู น้องบอกว่าเตรียมปั๊มหัวใจไว้แล้ว

ส่วนการจูบมงกุฎ ความรู้สึกตอนนั้นคือ ฉันรอเธอมาตั้งนาน ตั้งแต่ฉันอายุ 18 จนตอนนี้ล่วงเลยมา 10 กว่าปีแล้ว ขอจูบทีเถอะ ก็เลยบอกคนมอบมงกุฎว่า อย่าเพิ่งสวมนะเอามาจูบก่อน เพราะเรารู้สึกว่า มงกุฎก็เปรียบเสมือนความภูมิใจที่เราจะได้รับมา ซึ่งมันเป็นเวลากว่า 10 ปีที่เรารอคอยด้วย”

 

การเป็นนางงาม ไม่จำเป็นต้องทิ้งทุกอย่างในชีวิต

“ตอนนี้ก็ทาง Miss Tiffany's Organization นำโดย คุณจ๋า อลิสา แล้วก็ คุณปอย ตรีชฎา บอกว่าอยากให้หนูเดินต่อในการทำงานหลักไปด้วย แล้วก็เป็น Miss Tiffany's Universe ไปด้วย เพราะเราสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนรุ่นหลังต่อไปได้ว่า จริง ๆ แล้วการที่เรามาเป็นนางงาม เราไม่จำเป็นที่จะต้องทิ้งทุกอย่างในชีวิต เราสามารถเป็นนางงามที่มีหน้าที่การงานที่ดี และเราสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนรุ่นหลังได้ด้วย และตอนนี้ หนูก็เป็นหนึ่งในตัวแทนของบริษัท ที่ทำงานร่วมกับ UNICEF USA ช่วยเหลือเด็กที่ขาดโอกาส ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา หรือสนับสนุนทุนทรัพย์ต่าง ๆ หนูก็จะใช้ตรงนี้เป็นจุดที่จะไปช่วยเหลือสังคมต่อไป”

 

 

เปิดหัวใจ ส่องความรัก ของ ปีใหม่ ศรุดา

“ความรักตอนนี้ดีเลยค่ะ เค้าคอยซัพพอร์ททั้งจิตใจ แล้วก็เป็นกำลังใจด้วย เค้าบินมาเซอร์ไพรส์ในวันประกวดรอบตัดสิน เค้าเป็นลูกครึ่งจีนเวียดนาม เพราะคุณแม่เป็นคนฮ่องกง ส่วนคุณพ่อเป็นคนเวียดนาม ในอนคตก็คาดหวังเรื่องการสร้างครอบครัวไปด้วยกัน เพราเรารู้สึกว่าเค้าเป็นคนที่เข้าใจเรามาก ยอมรับในความเป็นตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศกำเนิด หรือเรื่องวัฒนธรรม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราก็ไม่ได้เป็นคนไปขอฝ่ายชายแต่งงาน ก็ต้องรอว่าจะมีอะไรคืบหน้าไหม

ปีหน้า หนูจะได้รับ U.S. Citizen ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความฝันที่เรารอคอยมา แล้วในใจลึก ๆ ก็อยากจะให้ประเทศไทย เปิดรับแล้วก็สร้างกฎหมายที่สนับสนุนเรื่องนี้ให้เป็นจริงสักที ซึ่งมันเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง หรือการทำธุรกรรมต่าง ๆ คำนำหน้าสำคัญมาก เพราะเราเลือกเกิดไม่ได้ ถ้าหากว่าเราเลือกเกิดได้ เราก็อยากจะเลือกเกิดเป็นผู้หญิง ใช้นางสาว แต่ในเมื่อเราเกิดมาแล้ว ก็ควรที่จะมีกฎหมายรองรับ และซัพพอร์ทพวกเราเกิดขึ้นอย่างจริงจังในสังคมไทย”

 

 

การที่เราเป็นทรานส์เจนเดอร์แล้วต้องขึ้นไปให้บริการบนเครื่องบิน เคยเจอเหตุการณ์ในการเลือกปฏิบัติบ้างไหม?

มีหนึ่งคำถามจาก คุณลูกมาร์ค ที่โทรเข้ามาพูดคุยกับ ปีใหม่ ศรุดา ซึ่งเธอได้ตอบคำถามนี้ว่า “ไม่เคยเลยค่ะ ทรานส์เจนเดอร์ที่สหรัฐอเมริกา เค้าไม่ได้ถูกเลือกปฏิบัติ แล้วเราเป็นตัวเองได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้ว Flight attendant ก็มีหน้าที่ที่จะบริการและรักษาความปลอดภัยให้กับผู้โดยสารตลอดการเดินทาง ซึ่งเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกของเราไม่ได้เป็นตัวกำหนดเลยว่าคุณภาพงานของเราจะดีหรือไม่ แต่จิตใจที่เราสามารถบริการลูกค้าได้อย่างดีเยี่ยมมากกว่า ที่เป็นสิ่งสำคัญ

อย่าไปกลัวว่า คนโน้นคนนี้จะมาตัดสินเราแบบไหน หรือว่าสังคมจะตัดสินเราแบบไหน เราจงทำตัวเองให้มีคุณค่า ทำตัวเองให้รู้สึกว่าศักยภาพของเราสามารถเป็นได้ในสิ่งที่เราฝัน ดังนั้นไม่มีอะไรมาหยุดเราได้”

 

สีสัน แรงบันดาลใจ จาก ปีใหม่ ศรุดา

“อยากจะบอกกับน้อง ๆ ทุกคนว่า เราสามารถเป็นได้มากกว่าสิ่งที่เราคิด อย่าไปกำหนดกรอบของความฝันของตัวเอง แต่จงทำทุกวันให้ดีที่สุด ในเมื่อพระอาทิตย์ยังขึ้นมาในทุก ๆ เช้า เราก็ยังมีโอกาสในทุก ๆ เช้าเช่นเดียวกัน ดังนั้นอย่าไปยอม อย่าไปกลัว ทุกวันคือวันของเรา” - ปีใหม่ ศรุดา

 

 

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ก็อตจิ”  ได้ในทุกสัปดาห์

ติดตามรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1