เปิดเส้นทางชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “โอวา ธนาวัฒน์” ตัวแม่จากท้องนา ผู้สร้างรายได้หลักล้าน จากการขายข้าวสารออนไลน์

Club Pride Day Recap

เปิดเส้นทางชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “โอวา ธนาวัฒน์” ตัวแม่จากท้องนา ผู้สร้างรายได้หลักล้าน จากการขายข้าวสารออนไลน์

07 มี.ค. 2024

“เกษตรกรเป็นแบ็คอัพหนักมาก ในวันหนึ่งที่ใครอาจไม่เห็นว่าเราสำคัญ แต่ โอวา อยากจะบอกว่า คำว่า อย่างน้อยก็มีข้าวกิน อยากให้คำนี้อยู่คู่สังคมไทยต่อไป โดยที่พวกเราจะเป็นแบ็คอัพให้คุณเอง”

 

 

เกี่ยวเถิดนะแม่เกี่ยว ช้ะ ช้ะ เกี่ยวเถิดนะพ่อเกี่ยว เปิดไมค์ให้ได้ฟังเรื่องราวชีวิต พร้อมรับข้อคิดแรงบันดาลใจกันในทุกสัปดาห์ สำหรับรายการ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้มีโอกาสทอล์คกระทบไหล่กับตัวแม่จากท้องนา “โอวา ธนาวัฒน์” กะเทยนักสู้ ผู้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส จนสามารถเปลี่ยนข้าวสารกิโลกรัมละ 8 บาท ให้กลายเป็นรายได้หลักล้านจากการขายข้าวสารออนไลน์ กลยุทธ์ของเธอจะเป็นอย่างไร มีข้อคิดแรงบันดาลใจอะไรให้เราถอดบทเรียนได้บ้าง เธอได้แบ่งปันเอาไว้ในรายการด้วย

 

ที่มาของชื่อสุดปัง กับการตลาดแบบขายตรง ๆ

“ชื่อ โอวา เป็นชื่อที่ได้มาจากชมรม ตอนเรียนที่ธรรมศาสตร์ แล้วตอนนั้นในชมรมมีกะเทยชื่อ โอ ทั้งหมด 4 คน แล้วเวลารุ่นพี่เรียกโอ กะเทย 4 คนก็หันพร้อมกันทั้งหมด เลยต้องมีการตั้งชื่อต่อจากตัวเอง  ก็จะมี โอเด็ต แล้วก็ โอวา ที่มาจาก โอวาทปาฏิโมกข์ เพราะว่าบ้านเราติดวัด มี โอปอ แล้วก็ โอริโอ้ แล้วไม่มีใครเรียกว่าโอวาทปาฏิโมกข์เพราะมันยาวไป สุดท้ายเลยกลายเป็น โอวา

พอตั้งชื่อเพจ เราก็ตั้งตรง ๆ เลยว่า โอวาข้าวหอมมะลิแท้สุรินทร์100% เน้นขายตรง ๆ ชัดๆ ให้คนอ่านไม่ต้องตีความ ไม่ต้องคิดต่อ โอวา กะเทยขายข้าว พอเสิร์ชปุ๊บเจอเพจปั๊บ ทักซื้อข้าวได้ เท่านั้นจบ”

 

 

การยอมรับ กับตัวตน ของ ด.ช.โอ

“ย้อนกลับไปตอนเด็ก ๆ เวลาอยู่กับครอบครัว เราก็จะลั้นลาสนุกสนาน แต่พอไปอยู่โรงเรียนค่อนข้างเป็นคนเก็บตัว เพราะด้วยความเป็น LGBTQ ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่เข้ากับคนที่เป็นชายหญิงทั่วไป ทำให้เวลาไปโรงเรียนเราก็ตั้งใจเรียน พอกลับบ้านก็ลั้นลาสนุกสนาน

หนูอาจจะมีปมในใจที่เกิดขึ้นในโรงเรียน จากการโดนเพื่อนแกล้ง เราก็เลยไม่ค่อยที่จะเปิดเวลาอยู่ในโรงเรียน ปมของหนูคือตอนนั้นเป็นงานกีฬาสี ซึ่งเป็นช่วงที่ เพลงประเทือง ของพี่ ไท ธนาวุฒิ ดังมาก ที่ร้องว่า ว้าย ว้าย ว้ายนี่มันประเทืองนี่หว่า แต่เพื่อนชอบแกล้งหนูเค้าจะร้องว้าย ว้าย ว้าย นี่มันกะเทยนี่หว่า ซึ่งเราก็งง และรู้สึกว่ามันไม่ใช่ เราไม่อยากให้ใครมาพูดแบบนี้กับเรา เรารู้สึกไม่ชอบแต่เราต่อสู้ไม่ได้

ตอนเด็ก คุณพ่อไม่ได้ยอมรับในตัวตนของหนู ก็จะมีการพาไปเข้าค่ายมวยคาดเชือก กะเทยก็ต้องยอมเป็นกระสอบทรายให้เค้าเตะ แล้วต้องตื่นตี 4 วิ่งรอบสนาม 20 รอบ หลังจากซ้อมมวยเสร็จแล้วก็ไปโรงเรียน หนูรู้สึกว่าชีวิตวัยเด็กมันไม่ได้แฮปปี้เลย ณ ตอนนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ถ้าเราไปฝึกมันอาจจะเปลี่ยนตัวเองก็ได้ บวกกับเราไม่มีอำนาจในการตัดสินใจใด ๆ ทั้งสิ้น พ่อให้ไปก็ไป บวกกับเราอยากเป็นที่ยอมรับ แล้วด้วยความเป็นมวยที่พ่อพาไปซ้อม ทำให้เพื่อนไม่กล้าแกล้งเรา แล้วความสุขเดียวในตอนที่ไปค่ายมวย คือที่ค่ายมวยจะเปิดเพลงของ แม่เจินเจิน ต้องสู้ ต้องสู้ถึงจะชนะ นั่นคือความสุขของหนู เวลาได้ฟังเพลงของ แม่เจินเจิน

จริง ๆ หนูรู้ในความเป็นตัวเอง แต่ยังจำกัดความให้กับตัวเองไม่ได้ เพราะตอนแรกหนูไม่ได้อยากแต่งหญิง บวกกับหนูไม่มีคำจำกัดความให้ตัวเอง แล้วในหมู่บ้านกะเทยรุ่นพี่ก็ไม่มีด้วย จากนั้นพอเราได้เปิดทีวี ได้เห็นกะเทยในละคร ถึงรู้ว่าเมืองกรุงมีแบบนี้เยอะนะ แสดงว่าสุรินทร์น่าจะไม่ใช่ที่ที่เราควรอยู่แล้วแหละ แล้วพอมีพี่ ๆ จากค่ายจุฬาชนบทมาจัดค่ายที่โรงเรียนหนู ทำให้หนูได้รู้ว่ามีกะเทยไว้หนวด กะเทยออกสาว กะเทยตุ้งติ้งเต็มไปหมด เราก็คิดในใจว่ามันมีแบบนี้ด้วย แสดงว่ามันมีพื้นที่ที่เปิดรับเราอยู่

ส่วนที่บ้านเค้ารู้อยู่แล้ว และพยายามทำความเข้าใจมากเลย แต่เค้าก็ยังหาเรื่องที่จะมาอ้างอิงเราไม่ได้ ทุกคนรักลูก แต่เค้าก็ยังคาดหวังเล็ก ๆ  ว่าลูกจะกลับมาเป็นผู้ชาย จะมีเมีย จะมีลูก จะสร้างครอบครัว แต่ด้วยความที่เราเป็นแบบนี้ เค้าก็เปลี่ยนตัวเราไม่ได้

ซึ่งหนูคิดว่า คุณแม่ รับได้ตั้งนานแล้ว เค้าเป็นคนห้ามไม่ให้โอวาไปฝึกมวยต่อ เพราะทนเห็นลูกโดนซ้อมไม่ได้ จนทะเลาะกันกับพ่อเพราะไม่ให้ลูกไปซ้อมมวยแล้ว ซึ่งการที่จะมาเรียนต่อในกรุงเทพ คุณแม่ไม่ว่าอะไรเลย  เพราะว่าในหมู่บ้านหนูไม่ได้มีใครเข้ามาเรียนในกรุงเทพ แล้วก็เข้ามหาลัยชื่อดังด้วย เค้าก็ภูมิใจในตัวเรา”

 

 

จากความฝัน สู่การเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองกรุงอย่างที่ตั้งใจ

“ชีวิตในเมืองกรุงของหนู เริ่มขึ้นตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตอนแรกสอบได้ คณะวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ แต่เราไม่มีคอมพิวเตอร์นะ ที่เลือกเรียนก็เพราะรู้สึกว่าตัวเองชอบ แล้วก็คะแนนถึง แต่พอเข้ามาเรียนจริง ๆ เราทำไม่ได้ ท่ามกลางเพื่อนของโอวาที่ได้โควตาโอลิมปิค แล้วเด็กโอลิมปิคคอม เวลาเขียนภาษา C ภาษา JAVA เค้าเขียนได้เลย แต่เราเป็นกะเทยที่ไม่มีคอม ไม่รู้ภาษา ก็เลยคิดว่า จริง ๆ แล้วมันมีสิ่งที่เราชอบ แต่เราอาจจะทำไม่ได้ และต้องเปลี่ยนตัวเอง

ก็เลยซิ่ว ไปเรียนวิชาเลือกแทน เป็นการเก็บหน่วยกิต แล้วไปเรียน คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ เรารู้สึกว่าสังคมสงเคราะห์ เป็นพื้นที่เปิดมากเลย ไม่มีใครตัดสินใคร โอวา จะใส่กางเกงขาสั้นไปเข้าคลาสเรียนก็ได้ มีกะเทยเยอะแยะ แล้วสิ่งที่ทำให้อยากเรียนสังคมสงเคราะห์ศาสตร์คือ เราอยากขับเคลื่อนให้ทุกคนเปิดรับความเป็น Humen Rights ในความเป็นมนุษย์ ถ้าเราได้เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดัน มันจะมีผลกับจิตใจเรา เพราะเราอยากลบบาดแผลที่มีมาตั้งแต่อดีต ซึ่งชีวิตตอนเรียนของโอวา ได้เป็นตัวเองเต็มที่มาก ได้เป็นนางโชว์ ไปสุดทางเลย แล้วก็นาน ๆ ทีถึงจะกลับบ้าน

พอเรียนจบ โอวา ไปเกณฑ์ทหารจับได้ใบแดง ต้องไปเป็นทหารเรือ 1 ปี ซึ่งไม่ค่อยแฮปปี้เท่าไหร่หรอก เรารู้สึกว่าตัวเองถูกลดทอน แล้วก็กฎกติกาทุกอย่างต้องฝึกเหมือนชายแท้ แต่เพื่อน ๆ ทหารน่ารักนะคะ ทุกคนเรียกเจ๊หมด แล้วก็ให้เกียรติ มันเป็นเหมือนเกราะป้องกัน

พอปลดประจำการ ก็มีรุ่นพี่บอกว่าที่บริษัทมีตำแหน่งว่างให้มาทำงาน หนูเลยตัดสินใจทำงานต่อเลยไม่ได้หยุด ทำงานตำแหน่ง General Service เป็นฝ่ายที่ซัพพอร์ททุกอย่างในบริษัท ทำอยู่ประมาณ 2 ปีครึ่ง ก็ย้ายมาที่ กบข. (กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ)

จริง ๆ ความฝันตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย คือ โอวาอยากไป Work and Travel เพราะอยากไปเผชิญโลกกว้าง แต่ยังไม่มีโอกาสไปเพราะว่าตอนนั้นเรายังไม่มีเงิน ตลอดระยะเวลาของการเรียนที่ธรรมศาสตร์ โอวาต้องทำงานไปด้วย ซึ่งเรารับสอนพิเศษ ขนาดปลดทหารแล้ว ต้องมาทำงาน โอวา ก็ยังสอนพิเศษ เสาร์-อาทิตย์ อีก ไม่มีเวลาหยุดเลย เราเคยจนเลยไม่อยากกลับไปอยู่จุดนั้น เพราะหนูเป็นลูกเกษตรกร เคยกินข้าวคลุกน้ำมันที่ทอดซ้ำจนมันได้รสชาติอร่อย แล้วก็โรยเกลือ โรยพริกผง ซึ่งเราไม่อยากกลับไปอยู่จุดนั้นอีกแล้ว ฉะนั้นถ้ามีโอกาสที่จะเติบโต โอวา ก็จะทำทุกอย่าง

หนูทำงานอยู่ กบข. 6 - 7 ปี ซึ่งงานมัน Challenge เราตลอดเวลา เราได้ไปออกต่างจังหวัดเกือบ 74 จังหวัดแล้ว แล้วก็ได้จัดคอนเสิร์ต จัดสวัสดิการ ติดต่อประสานงาน ซึ่งงานมันแบบวาไรตี้มาก แต่ก็ยังไม่ตอบโจทย์ในใจก็เลยลาออก แล้วสมัครงานใหม่ ตอนนั้นหนูรู้สึกว่า ตลอดการเดินทางของกะเทยคนนี้มันไม่มีเวลาหยุดเลยจึงอยากพักสักเดือนสองเดือน ก่อนไปเริ่มงานใหม่ หนูก็เลยขอยังไม่เซ็นสัญญา หนูขอแค่สองเดือน ตอนนั้นคือเดือนพฤศจิกายนที่มี โควิด จาก อู่ฮั่นเข้ามา หนูยังไม่ทันไปเริ่มงานเลย ที่ทำงานก็โทรมาช่วงประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน บอกว่า คุณธนาวัฒน์ สัญญาที่คุยกันไว้ขออนุญาตยกเลิกก่อน แล้วหนูก็ตกงานเลย”

 

 

เมื่อโควิด ทำให้ชีวิตต้องกลับบ้านเกิด

“พอตกงาน เรียกได้ว่าทุกอย่างพัง เราคิดว่าตัวเองวางแผนมาตลอดชีวิตแล้ว เราลดความเสี่ยงในชีวิตตัวเองทั้งหมดแล้ว สุดท้ายเราก็อยู่ท่ามกลางความเสี่ยงเหมือนเดิม จึงตัดสินใจกลับบ้านเพราะว่าค่าใช้จ่ายที่กรุงเทพมันสูงมาก พอต้องกลับบ้าน ชีวิตตอนนั้นมันเครียดมาก เพราะด้วยความที่ตัวเองเป็นคนไฮเปอร์ แล้วพอกลับไปอยู่บ้านแล้วเราไม่ได้ทำงาน จนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า บวกกับถูกแรงกดดันจากทั้งครอบครัว แล้วคนข้างบ้านก็มากดดันครอบครัวอีกว่า ลูกเธอเมื่อไหร่จะกลับกรุงเทพ จนแม่ก็ไม่รู้จะไปถามใคร แล้วก็มาถามเรา พอเจอแบบนี้บ่อย ๆ มันทำให้เรารู้สึกว่าเหนื่อยจังเลย เราแค่กลับมาพักผ่อน เราแค่หามาพื้นที่ ไม่ต้องเป็นเซฟโซนให้เราก็ได้ แต่อย่าผลักเราออกไปก็พอ

มันเครียดจนทำให้หนูคิดสั้น ที่บ้านเป็นร้านขายของชำเล็ก ๆ มันก็จะมียาแก้แพ้เป็นกระปุกขาย  หนูก็เดินไปหยิบมา เทใส่มือ แล้วก็นั่งมอง จังหวะนั้นในใจก็คิดว่ากินดีไหมจะได้จบ อีกจังหวะหนึ่งก็ขอให้มีใครสักคนหนึ่งที่มาช่วยดึงเรา เราก็จะหยุด แล้วเหมือนแม่เค้าหายาแก้แพ้ไม่เจอ ก็เลยเดินมาดูเราในห้อง เปิดประตูมาแล้วเห็นเราก็กำลังมองยา เค้าก็หวีดร้องเหมือนจะขาดใจแล้ววิ่งมาปัดยาทิ้ง แล้วก็เอาน้ำอัดลมมากรอกปากกะเทย ตอนนั้นหนูยังไม่ได้กินยาแก้แพ้เลย แล้วน้ำอัดลมก็ออกปากออกจมูก ตอนนั้นถ้าตายก็ไม่ใช่เพราะยาแก้แพ้ แต่คงตายเพราะสำลักน้ำอัดลม

พอผ่านเหตุการณ์นั้นมา หนูก็ได้คุยกับแม่ แล้วเค้าก็เข้าใจเรามากขึ้นว่า จริง ๆ แล้วหนูเครียดมาก หนูพยายามแก้ Resume อยู่ หนูสมัครงานเกือบร้อยกว่าบริษัท แต่ด้วยสายงาน ด้วยสถานการณ์โควิด เราว่าเราพยายามสุดแล้ว แต่ทุกคนเหมือนจะมากดดันว่าเราไม่พยายามเลย ซึ่งพอได้คุยกันแม่ก็เข้าใจ”

 

 

จุดเริ่มต้น ของ กะเทยขายข้าว

“พอหนูได้คุย ได้ทำความเข้าใจกับแม่ ก็เริ่มออกจากห้อง แล้วแม่ก็ใช้ให้ไปสีข้าว หนูก็ได้ไปเห็นใบประทวน คือ ใบจำนำข้าว ของ ธกส. แปะไว้ที่ยุ้งข้าว ซึ่งเค้าจะมาดูข้าวในยุ้งเรา แล้วจะประเมินว่าข้าวยุ้งนี้มีข้าวประมาณกี่ตัน จากนั้นจะทำการตีราคา ซึ่งเราห้ามขายข้าวในยุ้ง เราจะต้องส่งให้เค้า แล้วเค้าจะให้เงินเรามาก่อน โดยราคาประเมินตอนนั้นข้าวในยุ้งประมาณ 10 ตัน ได้ 72,000 บาท หนูเห็นแล้วตกใจว่าทำไมราคาข้าวเปลือกถูกขนาดนี้ หนูเคยเจอข้าวในห้างที่แพ็คใส่ถุงไว้ ถ้าเป็นข้าวกล้องก็ราคาประมาณกิโลกรัมละ 95 บาทขึ้นไป แต่ข้าวเราขายได้กิโลกรัมละ 7-8 บาท แล้วเงินมันหายไปไหนหมด

ตอนนั้นหนูก็เลยบอกแม่ว่า หนูขอขายข้าวได้ไหม แม่ก็ตกใจนึกว่าจะขโมยข้าวไปขายให้โรงสีแล้วเอาเงินมาใช้เอง หนูก็บอกว่าไม่ใช่หนูจะสีข้าวขาย เพราะข้าวสุรินทร์มันขึ้นชื่ออยู่แล้ว แต่ถ้าเราอยู่กรุงเทพ แล้วเราจะซื้อข้าวหอมมะลิสุรินทร์กิน ต้องไปซื้อกับใคร ซื้อที่ไหน ซื้อยังไง หนูก็เลยตัดสินใจว่า ถ้าอย่างนั้นเรามาทำเองดีกว่า

ช่วงแรกหนูจะเริ่มจากการพรีออเดอร์ก่อน แล้วค่อยสีข้าว จากนั้นก็โพสต์ขายใน Facebook ของตัวเอง คนที่ซื้อก็เป็นเพื่อน ๆ ก่อน อุดหนุนไม่เยอะ คนละ 5 – 10 กิโลกรัม แล้วช่วงนั้นก็จะมีแบบการเปิดกลุ่มจุฬามาร์เก็ตเพลส ธรรมศาสตร์รับฝากร้าน หนูก็บอกว่าเรามีข้าว เอาไปขายให้พี่ ๆ ที่มหาวิทยาลัยดีกว่า ก็ไปโพสต์ในกลุ่ม แต่ไม่มีออเดอร์เลย

ตอนนั้นเรามานั่งตกตะกอน แล้วพบว่าข้าวเรามีคุณภาพแล้ว แต่เราขาดการส่งเสียงให้มันดัง ขาดการเป็นไวรัล หนูก็เลยทำคลิปเป็นแนวลิปซิงค์เพลงกลางท้องไร่ท้องนา แล้วก็โพสต์ไปในกลุ่มเหมือนเดิม ความคิดตอนนั้นคือไม่ใช่ว่าขายไม่ออกแล้วยอมแพ้ เราทำแบบนั้นไม่ได้ เราก็ต้องมานั่งคิดว่า จริง ๆ แล้วมันขาดอะไร ซึ่งเราอาจจะส่งเสียงไม่ดังพอรึเปล่า”

 

จากความเป็นลูกทุ่ง มุ่งสู่คลิปสุดไวรัล

“หนูมองว่า Target ของเราคือคนซื้อข้าวหุง ต้องเป็นกลุ่มอายุ 30 ปีขึ้นไป เด็ก ๆ หรือวัยรุ่นคงไม่ซื้อข้าว ฉะนั้นการเล่าเรื่องของความเป็นเพลงลูกทุ่ง ความเป็นท้องไร่ท้องนาเอามาผูกกัน คนดูน่าจะชอบ ก็เลยแต่งตัวเป็นทองกวาว เพราะรู้สึกว่าคนใน Target ผ่านกระบวนการ Socialization หรือการขัดเกลาทางสังคม รุ่นหนูทุกคนเคยดูมนต์รักลูกทุ่ง รู้จักพี่คล้าวทองกวาว ซึ่งความเป็นลูกทุ่งมันบ่งบอกเรื่องของความเป็นชาวไร่ชาวนาได้ สุดท้ายโอวาก็เลยเอาสองเรื่องนี้มาผูกกัน แล้วก็ผูกตัวเองไปด้วย

พอหลังจากนั้นก็โพสต์คลิป แล้วตอนนั้นในกลุ่มไม่มีใครทำคลิปขายของเลย แต่โอวาเป็นคนแรกที่ทำเป็นคลิปซื้อขาย แล้วยอดมาเยอะมาก เยอะจนน่าตกใจ จากข้าวในยุ้งที่ถูกตีราคาว่าได้ 72,000 บาท แต่โอวาขายข้าวยุ้งนั้นได้เกือบ 400,000 บาท แล้วขายหมดยุ้งภายใน 1 สัปดาห์”

 

 

กว่าจะเป็น “ข้าวจักรพรรดิ” สินค้าขายดีที่กะเทยขายได้

“ในการปลูกข้าว จนได้เป็นข้าวมา ใช้ระยะเวลา 1 ปี โดยใช้เวลา 6 เดือนในการปลูก แล้วจุดเด่นของข้าวโอวา คือเป็นข้าวนาปี เป็นข้าวไวต่อแสง และจะปลูกเฉพาะฤดูฝนเท่านั้น ฉะนั้นเรื่อง ลม ฟ้า ฝน อากาศ มีผลต่อข้าวหมด แล้วข้าวหอมมะลิต้องปลูกในดินทราย โดยน้ำไม่ต้องขัง ซึ่งการปลูกของโอวาก็คือรอน้ำฝน ฝนตกปุ๊บกะเทยไถนาเพื่อกลบเลย แล้วทำไมต้องรอฝนตกก่อน เพราะตอนฝนตกดอกหญ้ามันจะขึ้น เราต้องไถกลบเพื่อให้เป็นปุ๋ยสด ถ้าไม่อย่างนั้นเราต้องใช้สารเคมี แต่ข้าวของเราไม่ใช้สารเคมี หลังจากนั้นก็ต้องรอสักพัก ถ้าฝนยังตกอยู่ ต้องไถกลบอีกรอบ พอปลูกในดินทราย ข้าวมันจะหลั่งสารบางอย่างที่ทำให้ข้าวหอม แล้วก็นิ่มเป็นพิเศษ แต่ถ้าปลูกแบบดินร่วน ข้าวก็จะเต็มเม็ด อวบอิ่ม แต่มันก็จะไม่มีกลิ่นหอม ไม่ค่อยมีความหวาน

ตอนแรกลูกค้าชอบสั่งข้าวโอวาแบบหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวนิล ข้าวกล้องจากนั้นก็มีคนมาแนะนำให้หนูเอาข้าวไปผสม ใส่ลูกเดือย ใส่ธัญญาพืช แล้วเราเห็นว่ามันมี ข้าวสามกษัตริย์ ที่เป็นชั้น ๆ เรียงสวย แต่พอเราเป็นชาวนาเอง เรารู้ว่าข้าวช่วงไหนเป็นยังไง ผสมแบบไหนอร่อยที่สุด แล้วความเป็นกะเทยมันเลยอยากทำเว่อร์ แค่ข้าวสามกษัตริย์มันไม่พอ เราต้องผสมมากกว่านั้น จนกลายเป็น ข้าวจักรพรรดิ ที่เป็นสินค้าขายดีที่สุดของโอวา

ข้าวจักรพรรดิ มีข้าว 5 ชนิด คือข้าวกล้องหอมมะลิสุรินทร์ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวมันปู ข้าวหอมมะลินิล แล้วก็ข้าวกล่ำหรือว่าข้าวลืมผัว หนูใส่ไปเลย 5 ชนิด แล้วแต่ละชนิดมันมีความหอมและคุณประโยชน์ไม่เหมือนกัน อย่างข้าวไรซ์เบอร์รี่ จะมีแอนไทโซยานิน ต่อต้าน Antioxidant

พอคนชื่นชอบ และซื้อข้าวของโอวาเยอะขึ้น ยอดขายก็เพิ่มขึ้น ปีที่แล้ว 4 ล้านบาท นอกจากนั้นเรายังกระจายรายได้ในชุมชน ชวนคนในชุมชนมาร่วมกับโอวาไหม เดี๋ยวโอวาจะรับซื้อข้าวเองในราคาที่สูงกว่า ทำข้าวแบบปลอดสารให้โอวานะ นอกจากนี้โอวายังเอาคนที่มีศักยภาพใกล้ ๆ ตัว ชวนคุณป้า คุณน้า คุณยาย มาช่วยกันแยกข้าวแล้วก็แพ็คข้าวเท่าที่ทำไหว ดีกว่าอยู่บ้านเฉย ๆ แล้วไม่มีรายได้ โดยโอวาจะรับคนที่สามารถรับความเสี่ยงกับเราได้ก่อน”

 

 

ชีวิตคน ก็เหมือนต้นข้าว

“เราก็เหมือนข้าว ที่ควรจะมูฟตัวเองไปอยู่ในดินที่เหมาะสมกับเรา เพราะข้าวแต่ละชนิดก็จะมีดินที่เหมาะสมไม่เหมือนกัน อย่างเช่นข้าวสังข์หยดชอบดินเหนียว ข้าวของปทุมอาจจะชอบดินร่วน ข้าวสุรินทร์อาจจะชอบดินทราย ข้าวแต่ละชนิดมีพื้นที่ดินที่เหมาะสมในการผลิตไม่เหมือนกัน เหมือนกับคนเรา

โอวาคิดว่า ในแต่ละช่วงของชีวิต ไม่ต้องอยู่กับปัจจุบันให้ได้มากที่สุด แล้วถอดบทเรียนจากอดีต เพราะปัจจุบันของเรา มันเกิดจากจุดของอดีตหลาย ๆ จุด แล้วก็ขีดเส้นมาเป็นเรา ณ ปัจจุบันนี้”

 

สายสุดเซอร์ไพรส์ กับกำลังใจที่ต้องสู้ถึงจะชนะ

มีหนึ่งสายสุดเซอร์ไพรส์ ที่โทรเข้ามาช่วงท้ายของรายการ ซึ่งปลายสายเริ่มต้นประโยคว่า “ต้องสู้” เพียงเท่านี้ ก็ทำให้โอวารู้ว่า สายที่โทรเข้ามาคือ แม่เจินเจิน บุญสูงเนิน ศิลปินผู้ที่เป็นความสุขอย่างเดียวในตอนที่ โอวา ต้องไปซ้อมที่ค่ายมวย ซึ่งแม่เจินเจิน ก็ได้ขอบคุณ พร้อมฝากกำลังใจไว้ว่า “ทุกคนในโลก ต่างคนก็ต่างมีปัญหากันทั้งนั้น แต่เราต้องเรียนรู้ว่าต้องอยู่กับมันยังไง เราอาจจะเสียใจ เจ็บใจ หรือแค้นใจ แต่ถ้าเราเรียนรู้ที่จะต่อสู้กับปัญหา เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ปัญหาก็แค่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตแล้วเดี๋ยวมันก็ผ่านไป เหมือนชีวิตคนที่มี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เรียนรู้และเข้าใจ แล้วเราจะอยู่กับมันได้อย่างมีความสุขค่ะ”

ส่วน โอวา ก็ได้กล่าวขอบคุณ แม่เจินเจิน ว่า “ขอบคุณแม่เจินเจินมาก ที่อย่างน้อยก็เป็นการฮีลใจให้ในช่วงที่รู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจเราเลย เป็นเพลงที่สามารถทำให้เรามูฟออนไปข้างหน้าได้ ในอดีตแม่ได้ช่วยกะเทยตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่อยู่ในแบบสถานการณ์ที่แย่ที่สุด และไม่รู้ว่าตัวเองจะก้าวไปข้างหน้าได้ยังไง ให้ก้าวต่อได้ด้วยเสียงเพลงของแม่ ขอบคุณมากค่ะ เซอร์ไพรส์มาก”

 

 

สีสันแรงบันดาลใจ จาก โอวา กะเทยขายข้าว

“ในทุกสังคม มันมีทั้งคนแพ้และคนชนะ ถ้าเราสู้ในเมืองกรุงแล้วเรากลายเป็นผู้แพ้ บางทีเราอาจจะเป็นผู้ชนะเมื่อเรากลับไปอยู่ต่างจังหวัดก็ได้ อย่าปิดโอกาสตัวเองว่าตรงนี้เท่านั้นคือที่ของฉัน แล้วไม่ต้องควานหาเซฟโซนก็ได้ ในเมื่อเราโตขนาดนี้ ถ้าไม่มีใครให้ ก็สร้างมันเองค่ะ” - โอวา ธนาวัฒน์

 

 

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day  คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ”  ได้ในทุกสัปดาห์

 

ติดตามรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1