เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “จูดี้ - เดี่ยว จารุกิตติ์” ตัวแม่ ตัวมัม จากช่อง Cullen HateBerry ขวัญใจชาวด้อมใจฟู

Club Pride Day Recap

เปิดเรื่องราวชีวิต รับข้อคิดแรงบันดาลใจ จาก “จูดี้ - เดี่ยว จารุกิตติ์” ตัวแม่ ตัวมัม จากช่อง Cullen HateBerry ขวัญใจชาวด้อมใจฟู

23 ก.พ. 2024

ยังคงเป็น Club ที่รวมสีสันของชีวิต พร้อมแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลในในทุก ๆ สัปดาห์ สำหรับ Club Pride Day คุยอย่าง Proud เมาท์อย่าง Pride ทอล์คกระทบไหล่ตัวแม่ กับสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ” ที่ได้เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญสุดใจฟู “จูดี้ - เดี่ยว จารุกิตติ์” ตัวแม่ ตัวมัม จากช่อง Cullen HateBerry ช่องของยูทูบเบอร์ชาวเกาหลีหัวใจไทย คัลแลน-พี่จอง ซึ่งนอกจากสองหนุ่มแล้ว อีกคนที่กลายเป็นขวัญใจชาวช่อง นั่นก็คือ "จูดี้" ที่มาเป็นแขกรับเชิญทีไร ก็จะมาพร้อมสกิลการใช้ชีวิตแบบสุดปัง ทั้งหักอ้อยด้วยมือเปล่า ขับรถซาเล้ง ทำอาหาร จับปลา หรือแม้กระทั่ง ทำข้าวหลาม จนกลายเป็นเอกลักษณ์มัดใจชาวช่อง มีคนรักและชื่นชอบมากมาย ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ เขาผ่านหลากหลายเรื่องราวชีวิต และมีข้อคิดแรงบันดาลใจ ที่ได้นำมาแชร์ในรายการด้วย

 

 

ย้อนวัยใส ของ จูดี้ ใจฟู

“ตอนเด็ก หนูเป็นเด็กที่คุณแม่ปล่อยให้อยู่บ้านคนเดียว ตั้งแต่อายุ 12-17 ปี เพราะคุณแม่ต้องมาขายของที่ตลาดเมืองไทยภัทร แล้วหนูก็จะรับคำสั่งจากคุณแม่ออนไลน์อย่างเดียว ทุกอย่างในบ้านหนูต้องทำเองหมด หุงข้าวทำกับข้าวด้วยตัวเอง ส่วนการเรียน ด้วยความที่หนูไม่อยากแพ้ใคร เลยเรียนติดท็อป 1 ใน 3 ตลอด แล้วเวลาคุณแม่ให้เงินมากินแล้วไม่พอ ถ้าอยากได้เพิ่มหนูก็จะหาของมาขาย อย่างมะม่วงในป่า หนูก็ไปหาเอามาทำมะม่วงจิ้มพริกเกลือ แล้วขายถุงละ 2 บาท วันนึงขาย 10 ถุง ก็ได้ 20 บาท ทำให้หนูมีเงินกินเยอะกว่าเพื่อนคนอื่น

ชื่อจริง ๆ ของหนูชื่อ เดี่ยว แล้วที่มาของชื่อ จูดี้ เพราะเอาชื่อหมามาตั้ง คือตอน ม.4 เค้าให้เขียนชื่อ เหมือนเป็นการเขียนชื่อน้องใหม่ ซึ่งตอนเรียนม.ต้น หนูเรียนโรงเรียนตำบล พอมา ม.ปลายย้ายมาเรียนโรงเรียนในเมืองก็เลยใช้ชื่อ จูดี้ เลยเพราะไม่อยากชื่อเดี่ยวแล้ว

แล้วสกิลต่าง ๆ หนูก็ได้มาตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นยูทูปเสิร์ชไม่มี ถ้าอยากรู้ว่าจะเลือกไม้ไผ่ยังไง เราไปเสิร์ชนี่ไม่มี ต้องโทรไปหาแม่แล้วก็ให้น้องไปถ่ายไม้ไผ่กระบอกที่มันใช้ได้ แล้วส่งรูปกลับมา อย่างผ่ามะพร้าว ต้องผ่าครึ่ง ตากแดด แล้วแคะเอาเนื้อในมะพร้าวขายกิโลละ 7 บาท เพื่อหาเงินกินขนม แล้วมันกลายเป็นสกิลที่เราได้ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก”

 

 

ครอบครัว กับการยอมรับตัวตนของ จูดี้

“หนูรู้ตัวเองมาตั้งแต่ 5 ขวบ หนูชอบดูลิเกแล้วก็เล่นเป็นลิเก ที่บ้านก็รู้ว่าได้ลูกสาว ซึ่งการบูลลี่จากคนในครอบครัวเป็นศูนย์ ไม่มีใครสามารถมาวิพากษ์หรือว่าวิจารณ์หนูได้ เพราะหนูปิดทุกประตู คือ หนูไม่มีเรื่องเกเร ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ไม่มีเรื่องชู้สาว ไม่มีคดีความ เรื่องเรียนหนูก็อยู่ระดับท็อป จะคุณป้าบ้านไหนก็เอาหนูไม่ลง เพราะว่าหนูแพ้ไม่ได้ แล้วคนอื่นไม่มีสิทธิ์ที่จะมาวิพากษ์หรือวิจารณ์ความเป็นตัวหนู เพราะว่าขนาดแม่เรายังไม่พูดเลย แม่เราให้เกียรติเรามาก ๆ ไม่เคยพูดเรื่องนี้ รู้เต็มอกแต่ไม่พูด แล้วก็ภูมิใจในทุก ๆ สิ่งที่หนูทำในชีวิต”

 

จูดี้ กับการซ้อมเป็นดารามาตั้งแต่เด็ก

“หนูรู้ตัวว่าอยากเป็นดารามาตั้งแต่อายุ 13-14 ปี ตอนนั้นติดรายการแฉแต่เช้ามาก แล้วก็ติดพี่มดดำ แล้วก็คิดว่าต้องทำยังไง ฉันถึงจะไปนั่งตรงนั้นได้ พอจบ ม.6 หนูเลยขอแม่เข้ามาเรียนที่กรุงเทพ โดยที่คุณแม่สนับสนุนทุกอย่าง แต่มีอย่างเดียวที่สนับสนุนไม่ได้คือเงิน หนูก็บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวหนูทำงานระหว่างเรียน ซึ่งระหว่างที่เรียนหนูทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟด้วย แล้วหลัง ๆ มันก็เริ่มไม่ไหว เลยไปขออาจารย์ว่า ขอเข้าสายครึ่งชั่วโมง ซึ่งอาจารย์น่ารักมาก อาจารย์บอกว่าเข้าใจทำงานด้วยเรียนด้วยมันหนัก

พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย หนูเลือกเรียนนิเทศศาสตร์ เพราะอยากเป็นดารา แล้วก็เริ่มส่งเดโม่ ที่แรกเลยคือที่แกรมมี่ ของเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อหนึ่ง แล้วเป็นช่วงที่พี่ฉอดหาดีเจหน้าใหม่ หนูส่งเดโม่ 2 ครั้ง ตกรอบหมด ครั้งที่ 3 ก็ตึกแกรมมี่ เป็นงานพิธีกร ตกรอบแรก ครั้งที่ 4 ประกวด AF แล้วหนูร้องเพลงไม่ได้ ไปประกวดเค้าก็เชิญตกรอบ นั่นคือความตั้งใจที่อยากจะเข้ามาเป็นดาราอย่างเดียว

แล้วหนูซ้อมเป็นดารามาตั้งแต่อายุ 14-15 ปี ซ้อมตอบคำถามเรื่องความรัก แล้วถ้าถามเรื่องละคร เราก็จำคนอื่นว่าตอบเรื่องละครเป็นยังไง แล้วก็มาตอบในแบบที่เป็นเรา อย่างถ้าโดนสื่อถามว่า ทำไมพลิกบทมาเล่นร้าย หนูจะต้องตอบว่า เพราะว่าเบื่อแล้วเป็นนางเอก เล่นร้ายมันได้ปลดปล่อย แล้วหนูก็ซ้อมแบบนั้นอยู่คนเดียว นอกจากนั้นหนูก็มาสายพิธีกรตลอด หนูประกวดมาเยอะมาก นอกจากนี้เวลาที่เค้าให้เป็นพิธีกรมหาวิทยาลัย หนูก็เป็น”

 

 

จากดาราที่เป็นความฝัน ผันสู่การเป็นนักธุรกิจ

“ตอนนี้หนูก็ทำงานในสายงานร้านอาหารกึ่งผับ ก็เติบโตตรงนั้นไป มีรายได้จุนเจือครอบครัว เลี้ยงดูตัวเองมาตลอดอย่างยาวนาน หนูรู้สึกว่าเวลาทำธุรกิจอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ หนูน่าจะเหมาะกับการเป็นที่ปรึกษา หรือเป็นผู้จัดการ แต่ถ้าเปิดร้านเอง ทำธุรกิจเองเจ๊งหมดเลย เพราะหนูไม่มีเวลาลงไปทำแบบเต็มที่  หนูรู้ว่าลึก ๆ แล้วที่หนูเปิดเพราะหนูอยากเปิด เปิดตามเทรนด์ ไม่ได้มีความรู้ แต่ว่าในส่วนงานหลักที่เป็นลูกจ้างเค้าหนูดันทำได้ดี เพราะว่าเรามีเจ้านาย มีเจ้าของร้านที่มองเราอยู่ เราเลยต้องตั้งใจให้เต็มที่ แต่ถ้าเป็นร้านเราเปิดเองคือปล่อยไปเลยเพราะเงินฉัน จะลงทุนกี่แสนก็เงินฉัน ซึ่งก่อนหน้านี้หนูมีร้านฉีดหน้าจูดี้ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อจูดี้ ส้มตำจูดี้ เสื้อผ้าจูดี้ พอใจแล้ว ทำให้รู้ว่าเราทำมาแล้วนะ แล้วก็บอกกับตัวเองว่าอย่าทำอีก ซึ่งปัจจุบันหนูเหลืองานหลักอย่างเดียว คือ ร้านอาหาร ซึ่งเป็นงานประจำ ทำหน้าที่บริหารร้านอาหาร”

 

วันแรกที่ได้เจอ คัลแลน และ พี่จอง

“เจอกันเพราะสวรรค์ส่งเค้ามาให้หนู หนูเจอ คัลแลน ก่อน ในตอนเจอกัน เค้าทำงานเป็นดีเจ แล้วเราอยู่ใกล้ ๆ กัน หนูก็วิ่งไปขอคอนแทค เพราะเราก็ชอบเค้า แล้วเวลาหนูมีน้อย ถ้าหนูเจอเค้าแล้วไม่ขอไอจีหรือไลน์ตอนนี้ วันหน้าหนูอาจจะไม่เจอเค้าอีกแล้ว แต่ว่าเราก็คุยเป็นเพื่อนกัน เพราะว่าเค้าชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นผู้ชาย พอคุยก็รู้เลยว่าเราเป็นเพื่อนกันดีกว่า แล้วมันก็เป็นเพื่อนกันมาตลอด สนุกสนานเฮฮากันเรื่อย ๆ พอคุยเป็นเพื่อนได้สักพักเริ่มเจอปัญหาโควิด ก็เลยได้ปรึกษากัน และได้คุยกันมากขึ้น แล้วช่วงโควิดมันมีเคอร์ฟิว เราเลยได้กินเที่ยวอยู่ด้วยกัน

ส่วน พี่จอง มาที่หลัง หนูเจอพี่จองตอนถ่ายคลิปสุพรรณบุรี พอได้รู้จักกัน หนูว่าเค้าสองคนคงปรับตัวกันเอง รองเท้าที่เคยใส่แบรนด์เนม ก็ต้องเก็บเปลี่ยนมาใส่ที่เดินทางสะดวกมากขึ้น อย่างหนูใส่รองเท้าแตะตลอดกาล กางเกงก็ขาสั้นตลอด เวลาเที่ยวให้ลงน้ำลุยไฟหนูทำได้หมดเลย ซึ่งทั้ง คัลแลน กับ พี่จอง อาจจะต้องปรับตัวหน่อย

ในการทำคลิปต่าง ๆ มันก็มีโอกาสเข้ามาบ้าง แต่หนูไม่ทำเพราะขี้เกียจถือกล้อง หนูทำสองคลิปหยุด แล้วนาน ๆ ถึงจะกลับมาทำคลิปอีก ซึ่งหนูไม่ได้รู้เรื่องโปรดักชั่น แล้วเวลาจะถ่ายคลิป คัลแลน ก็จะโทรมาบอกว่าจูดี้เตรียมตัวนะ วันนี้ว่างไหม เดี๋ยว 9 โมงครึ่งไปรับ แค่นี้เอง แล้วเค้าก็มารับ แล้วถ่ายคลิปเลย”

 

 

การทำงานร่วมกันของชาวใจฟู

“ในคลิปหนึ่งคลิปทุกอย่างสดหมดเลย หนูไม่รู้ว่าหนูจะต้องทำอะไร สิ่งที่หนูต้องเตรียมคือ ชุดชั้นใน เสื้อ และชุดว่ายน้ำหนูต้องมี เพราะหนูไม่รู้เลยว่าเค้าสองคนจะพาไปไหนบ้าง เค้าไม่สคริปต์ ไม่สำรวจเส้นทาง ไม่บอกล่วงหน้าก่อนเลย ทุกอย่างสดหมดเลย

หนูงงในตอนแรก เพราะปกติคนเรามักจะเจอคอนเทนต์ที่มันอาจจะถูกเซ็ท ถูกวางไว้แล้ว หรือเป็นคอนเทนต์ที่คนดูคาดหวังได้ แต่คลิปในช่องของคัลแลนมันเดาไม่ได้เลย เริ่มตั้งแต่ภาษาพูด คนดูไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาบ้าง แล้วจะพูดผิดหรือพูดถูกก็ไม่รู้ เพราะสคริปต์ก็ไม่มี แล้วอย่าว่าแต่คนดูเลย หนูก็ไม่รู้ว่าวันหนึ่งต้องโดนอะไรบ้าง อย่างคลิปที่ทำข้าวหลาม หนูก็พยายามบอกว่าข้าวหลามมันจะต้องเสร็จก่อนค่ำนะ เพราะในป่ายุงตัวใหญ่กว่ามดอีก ซึ่งพี่จอง กับคัลแลน เค้าไม่เข้าใจ เค้าก็นึกว่าทำไมเหรอ ตะวันตกดินแล้วเกี่ยวอะไรกับข้าวหลาม แต่ทั้งคู่เค้าเรียนรู้เร็ว แล้วเค้าก็เป็นคนที่ครูพักลักจำ เวลาแกล้งกัน หรือแซวกันเค้าก็ไม่โกรธ เค้าเข้าใจว่าหนูเป็นคนพูดอะไรที่ ชัด ตรง แรง ซึ่งทั้งสองคนเข้าใจ”

 

 

แม้จะโด่งดัง แต่ยังคงใช้ชีวิตในรูปแบบเดิม

“ตอนที่ทุกคนชื่นชอบ แล้วหนูดัง ตอนนั้นหนูตกใจมาก เพราะว่าหนูไม่ได้เตรียมตัวเรื่องนี้ หนูมาเป็นกระแส ขึ้นเทรนด์เอ็กซ์ มีคนรู้จักในช่วงเวลาแค่เดือนเดียว แต่หนูคิดเสมอว่างานประจำต้องทำก่อนเพราะว่าลูกน้องเราเยอะ แล้วเราก็รับปากแล้วว่าเราจะต้องนำพาองค์กร แล้วการมาทำคลิปมันคือโอกาส หากทำได้เราจะทำ

พอเริ่มมีชื่อเสียงชีวิตมันเปลี่ยนแน่นอนในเรื่องของการไปไหนมาไหนเจอคนรู้จัก คนชื่นชอบเรามากขึ้น แต่มันไม่เปลี่ยนอะไรหนูมาก หนูกินข้าวที่ร้านเดิม นั่งมอเตอร์ไซค์เท่านั้นเหมือนเดิม ไม่ขับรถเหมือนเดิมเพราะว่าหนูมามีชื่อเสียงตอนอายุ 36 ย่าง 37 ปี ซึ่งหนูมีเป้าหมายชีวิตแล้ว แล้วหนูก็ตกผลึกแล้วว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งสวยงามวูบวาบ ดังนั้นดีใจอย่าดีใจแรง เสียใจอย่าเสียใจมาก ผ่านตรงนั้นไปให้เร็ว เดี๋ยวมันต้องผ่านแน่นอน แต่ก่อนที่จะผ่านหนูจะเก็บเกี่ยวอะไรตรงนั้นไว้ได้บ้าง แล้วก็เก็บช่วงเวลานี้ให้มีความสุขยาวนานที่สุด เพราะรู้มันต้องผ่านไปแน่นอนอยู่แล้ว

คำคมจากพี่อ้อยพี่ฉอด ก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่ทำให้หนูมีสติขึ้น โดยเฉพาะเรื่องความรัก ถ้ากลับย้อนไป 10 ปีก่อน คือไม่ยอม สู้ ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ความรักมา เพื่อให้เค้าพูดให้ได้ว่ารักเราต่อหน้า แต่พอโตขึ้นสติมันมา เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรในชีวิต มันจำเป็นต้องครองสติหมด”

 

เปิดหัวใจ ส่องความรักของ จูดี้ ใจฟู

“หนูมีความรักแค่ 3 ครั้ง แต่เป็นแบบรักเค้าข้างเดียวทั้งหมด ผ่านมา 36 ปี ไม่มีความรักเลย ที่เป็นความรักแบบสมบูรณ์ เป็นความรักแบบเราเป็นแฟนกัน อยู่กินด้วยกัน มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่น หนูไม่มีเลย เมื่อก่อนหนูค่อนข้างบ้าคลั่งในความรัก หนูหวงเค้า ทั้งที่ไม่ได้เป็นแฟนแต่หวง สืบทุกอย่าง แล้วก็จัดการผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาในความรักของเค้า เมื่อก่อนหนูจะบอกว่าเรื่องเดียวที่มีผลต่อชีวิตหนู หนูจะมีความสุขหรือเสียใจได้ คือความรัก เพราะงานหนูทำเป็นอาชีพอยู่แล้ว หนูแก้ปัญหาได้หมด แต่เรื่องรักหนูเคยแก้ปัญหาไม่ได้

แต่มาที่คนปัจจุบัน เราก็ดูแลกันปกติ เจอกันทานข้าว เวลาหนูมีปัญหาก็จะคุยกับเค้าคนแรกทุกเรื่อง ซึ่งเค้ามีแฟนผู้หญิงอยู่ด้วยตอนนี้ แต่เค้าจะไม่พูดเรื่องนั้นกับเราเลย ไม่พูดว่ารักกัน ไปเที่ยวด้วยกัน ไม่พูดถึงผู้หญิงคนนั้น แต่หนูรู้เพราะเราเป็นนักสืบมาก่อน แต่ก็แค่รู้แล้วจบ เราก็ใช้ชีวิตในส่วนที่เค้าว่างเจอเรา แล้วเรามีความสุขในทริปนั้น มีความสุขในการกินข้าว มีความสุขในการท่องเที่ยว เท่านั้นจบ ซึ่งถ้าถามว่าตอนนี้มีความรักไหม ตอบเลยว่ามีความรักแน่นอนค่ะ”

 

 

ความภูมิใจของ จูดี้ ใจฟู

“ณ วันนี้หนูมาถึงฝันของหนูทั้งหมดแล้ว จากที่เคยอยากเป็นคนที่มีคนรู้จัก ซึ่งเมื่อก่อนก็จะคิดว่า เป็นพิธีกรสิจะมีคนรู้จัก เล่นละครสิ แล้วก็รู้อยู่ว่าโซเชียลมันทำให้คนดังง่าย แต่ก็ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง แต่หนูเป็นคนไม่ปฏิเสธโอกาส แล้วถ้าโอกาสมันมาหาเรายาก ก็พยายามวิ่งใส่มัน อาจจะไม่ต้องมีชื่อเสียงก็ได้ แต่ในเรื่องของงาน ในเรื่องการดำรงชีวิต ในเรื่องของการเป็นคนดีของครอบครัว หนูว่าเราวิ่งหาโอกาสได้ อย่ารอวันสำคัญ เราไม่รู้ว่าคุณพ่อคุณแม่จะอยู่กับเราอีกนานไหม เพราะฉะนั้นรีบทำตอนนี้ รีบกระโจนเข้าไปหาโอกาส รีบทำให้พ่อแม่ภูมิใจตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เวลานี้ หนูไม่เสียใจเลยที่ตอนนี้คุณแม่ไม่สบาย เพราะที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ หนูทำทุกอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว”

 

 

เพลงสุดใจฟู จาก โจ๊ก โซคูล ที่แต่งให้ จูดี้

“อยากกินข้าวหลามช่วยที อยากให้จูดี้ช่วยหน่อย อยากกินน้ำหวานแต่ไม่มีใครหักอ้อยให้ฉัน ช่วยมาขูดมะพร้าวให้ที ช่วยทำน้ำกะทิช่วยหน่อย ช่วยมาดูแลผู้ชายตัวน้อยที่ไร้กำลัง” เป็นเพลงที่เพราะและทำให้จูดี้ ใจฟู มาก ๆ เมื่อมีแขกรับเชิญสุดพิเศษ โทรเข้ามาเป็นสายเซอร์ไพรส์กลางรายการ ซึ่งคนนั้นคือ โจ๊ก โซคูล ศิลปินอารมณ์ดีมากความสามารถ และยังเป็นรุ่นพี่โรงเรียนมัธยมของ จูดี้ อีกด้วย ที่นอกจากแต่งเพลงมาฝากแล้ว ยังมีการพูดคุยเรื่องราวประทับใจที่ทั้งคู่เล่าให้ฟังในรายการ เรียกว่าเซอร์ไพรส์นี้ ใจฟูสุด ๆ ไปเลย

 

คำขอบคุณ จาก จูดี้ ใจฟู

“ณ วันนี้ไม่มีคำอื่นเลยนอกจากคำว่า ขอบคุณ ขอบคุณที่ชื่นชอบ และหนูไม่มีอะไรตอบแทนนอกจากความเป็นตัวตนซึ่งก็เปลี่ยนไม่ได้แล้ว แต่ว่าแฟน ๆ เพื่อน ๆ หรือว่าทุกคนชอบ จูดี้ก็จะเป็นตัวตนแบบเนี้ย จะสร้างความสุขแบบเนี้ย เป็นการตอบแทนทุกคนแบบนี้ตลอดไป ขอบคุณมากครับ”จูดี้ ใจฟู

 

 

พบเรื่องราวชีวิตหลากสีสันใน Club Pride Day  คลับที่เต็มไปด้วยแบ่งปันข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับแขกรับเชิญพิเศษ และสองดีเจสุดแซ่บ “ดีเจพี่อ้อย” และ “ดีเจก็อตจิ”  ได้ในทุกสัปดาห์

 

ติดตามรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1